สายสัมพันธ์แห่งจิตวิญญาณ _01-2023_221219 Flipbook PDF


28 downloads 118 Views 4MB Size

Recommend Stories


Porque. PDF Created with deskpdf PDF Writer - Trial ::
Porque tu hogar empieza desde adentro. www.avilainteriores.com PDF Created with deskPDF PDF Writer - Trial :: http://www.docudesk.com Avila Interi

EMPRESAS HEADHUNTERS CHILE PDF
Get Instant Access to eBook Empresas Headhunters Chile PDF at Our Huge Library EMPRESAS HEADHUNTERS CHILE PDF ==> Download: EMPRESAS HEADHUNTERS CHIL

Story Transcript

สายสัมพันธ์ แห่งจิตวิญญาณ มูลนิธิราธาสวามี สัตสัง บียาส กรุงเทพมหานคร 01/2023 มูลนิธิราธาสวามี สัตสัง บียาส กรุงเทพมหานคร 58/32 ซอยรัชดาภิเษก 16 ถนนรัชดาภิเษก (ท่าพระ) แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพ 10600 โทร. (66 2) 868-2186-7 แฟกซ์. (66 2) 868-2195 เพื่ออ�ำนวยความสะดวกให้แก่ผ้ฟังค�ูำเทศนา (ซัตซัง) มีการแปลสดในภาษาไทย ปัญจาบี / ภาษาฮินดี และภาษาอังกฤษ


2 3 ใจและความบ้าคลั่ง งานสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้า สิ่งมหัศจรรย์ที่โดดเด่นที่สุดของการสร้างของพระเจ้า ก็คือใจของมนุษย์ ใจทั้งเข้มแข็งแต่ ก็อ่อนแอ ทั้งจริงใจแต่ก็เจ้าเล่ห์ในเวลาเดียวกัน ใจสามารถน�ำไปสู่การสร้างสรรค์ที่สุดยอด ที่สุดและการท�ำลายล้างที่รุนแรงที่สุดก็ได้ ใจเป็นความลึกลับที่น่าสนใจที่สุดและยังเป็น ความหายนะและเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายที่สุดของมนุษย์ ไม่มีสิ่งใดที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน และมีความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดเท่ากับ ใจ วิธีที่เราใช้เครื่องมือซึ่งเราเรียกว่า “ใจ” นั้นขึ้นอยู่กับเราอย่างสิ้นเชิง เราสามารถใช้มัน เพื่อท�ำลาย หรือใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด นั่นคือพลังของใจ เราสามารถปล่อยให้มัน ท�ำตามที่มันต้องการเพราะเราอ่อนแอและขาดการควบคุมตัวเอง และได้ให้อ�ำนาจที่โหด เหี้ยมแก่มัน เราสามารถท�ำให้ตัวเองเป็นทาสของใจด้วยการให้มันมีความอิสระอย่างเต็ม ที่ และปล่อยให้มันบ้าคลั่งไล่ล่าสิ่งที่มันต้องการ จริง ๆ แล้วเราควรเป็นผู้น�ำทางให้กับใจ แต่เรากลับปล่อยให้มันน�ำทางเราไปตามทิศทางที่มันต้องการ และใครจะปฏิเสธได้ว่าส่วน ใหญ่แล้วใจโง่มาก และฉลาดเพียงแค่บางครั้ง เราพูดถึงเจตจ�ำนงเสรี เหตุผล ตรรกะ สติ ปัญญาและความเข้าใจ แต่ค�ำพูด ความคิดและการกระท�ำของเราแสดงให้เห็นว่าเราแทบ จะไม่ใช้ความสามารถเหล่านั้นเลย มิรดาดกล่าวว่า “จงคิดเหมือนกับว่าทุกความคิดจะถูกจารึกไว้บนท้องฟ้าเพื่อให้ ทุกคนและทุกสิ่งได้เห็น เพราะจริง ๆ แล้ว มันเป็นเช่นนั้น” ลองคิดให้ลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราคงจะไม่สามารถอยู่กับตัวเองถ้าเรายอมรับกับ ตัวเองความคิดต่าง ๆ ที่เรามี เราคงจะตกใจกลัวถ้าเราต้องเปิดเผยให้คนอื่นรู้ถึงความคิดที่ หมุนเวียนเข้ามาใจของเราอยู่เสมอ เราคงจะตกใจเมื่อเราค้นพบความสกปรกและความ โกรธที่เราได้รวบรวมในใจของเราตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีค�ำกล่าวที่ว่า “ใจของเราเหมือนกับอีกา มันเก็บทุกสิ่งที่ดูแวววาว ไม่ว่ารังของ มันจะอึดอัดแค่ไหนกับโลหะแวววาวทั้งหมดที่อยู่ในนั้น” และโลหะที่ดูแวววาวแต่ไม่มีค่าใด ๆ ที่อยู่ในใจของเรานั้น ได้กลายเป็นบ่อเกิด ของกิเลสทั้งห้า ซึ่งเป็นโรคร้ายที่พันธนาการใจไว้ ทุกความคิด ค�ำพูดและการกระท�ำอาจ จะช่วยให้ใจมีความสนใจที่แน่วแน่หรือไม่ก็เบี่ยงเบนใจออกจากแหล่งก�ำเนิดของมัน บรรดาคุรุได้เน้นย�้ำถึงความจ�ำเป็นในการควบคุมใจและขึ้นเหนือกิเลสทั้งห้าโดยอาศัยการ ปฏิบัติสมาธิ …กาม โกรธ โลภ ความติดยึด และอหังการ เป็นอุปสรรคและสิ่งกีดขวางที่ ส�ำคัญต่อความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ กิเลสเหล่านี้ต้องถูกควบคุมและท�ำให้มันเชื่อง ดังที่ท่านมหาตมา คานธีได้พูดว่า เมื่อประสาทสัมผัสของเราไม่ได้อยู่ในความควบคุม “มันก็เหมือนกับการเดินเรือโดยไม่มี หางเสือ และเรือนั้นจะพังทลายเมื่อมันปะทะกับหินก้อนแรก” ชายชราคนหนึ่งอธิบายประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในใจของเขาให้หลานเขาฟัง “มีการต่อสู้ที่น่ากลัวระหว่างหมาป่าสองตัวในพวกเราทุกคน ตัวหนึ่งชั่วร้าย มัน คือความโกรธ ความอิจฉาริษยา ความเสียใจ ความโลภ ความหยิ่งทะนง ความซึมเศร้า ความรู้สึกผิด ความไม่พอใจ ความรู้สึกด้อย ความหลอกลวง ความภาคภูมิใจจอมปลอม คิดว่าตัวเองดีกว่า และอหังการ หมาป่าอีกตัวหนึ่งดี มันคือความปิติยินดี ความสงบสุข ความรัก ความหวัง ความสงบ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความเมตตากรุณา ความเข้าอก เข้าใจ ความเอื้ออาทร สัจจะ ความเห็นอกเห็นใจและศรัทธา การต่อสู้เดียวกันนี้ก�ำลังเกิด ขึ้นภายในเราและคนทุกคน” หลานคิดสักพักหนึ่งแล้วถามปู่ว่า “แล้วตัวไหนชนะครับ?” ชายชราตอบอย่างเรียบง่าย “ตัวที่เธอให้อาหารมัน” หมาป่าที่เราให้อาหารจะก�ำหนดว่าความดีชนะความชั่วร้ายภายในตัวเราหรือไม่ การท�ำลายล้างของกาม มีนิทานเกี่ยวกับนักบวชคนหนึ่งที่ปฏิบัติสมาธิมาเป็นเวลาหลายปีและได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้ที่มีความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ หลังจากใช้เวลาหลายต่อหลายปีในถ�้ำ และป่าด้วยการอยู่อย่างสันโดษและการปฏิบัติสมาธิ เขาเดินทางกลับหมู่บ้านของเขา เมื่อ ถึงริมฝั่งแม่น�้ำ เขาขอชาวประมงคนหนึ่งให้พายเรือพาเขาข้ามฝั่ง ชาวประมงไม่ว่าง จึงให้ ลูกสาวของเขาพายเรือพานักบวชข้ามฝั่ง ระหว่างนั่งเรือ นักบวชเริ่มรู้สึกสนใจลูกสาวของชาวประมง เขาเฝ้ามองเธอและ ในที่สุดกามตัณหาของเขาก็เอาชนะเขาได้ ความอ่อนแอเพียงชั่วครู่ดึงนักบวชลงสู่ความ พินาศ ด้วยการสูญเสียการควบคุมของใจ จึงท�ำให้เขาสูญเสียความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ ที่เขาได้มาจากการใช้ชีวิตอย่างสันโดษและจากการปฏิบัติสมาธิมากมาย เขาต้องกลับมาที่ จุดเดิมอีกครั้ง ทั้งหมดนี้ก็เพราะเขาควบคุมกามตัณหาของตนเองไม่ได้ เราจ�ำเป็นต้องควบคุมใจแทนที่จะปล่อยให้ใจเอาชนะเรา เมื่อเรือลอยอยู่ สมอเรือ จะถูกน�ำมาใช้ยึดเรือไว้ เช่นเดียวกัน เมื่อใจกระจัดกระจายไร้ทิศทาง การท�ำซิมรันอย่างต่อ


4 5 เนื่องเท่านั้นที่จะท�ำให้ใจมั่นคงได้ ซิมรันท�ำงานเหมือนกันชนที่ช่วยปกป้องและควบคุม การโจมตีของใจ โดยอาศัยซิมรัน เราสามารถบังคับใจให้กลับมามีความสนใจที่แน่วแน่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ถ้ามีแสงไฟในบ้าน ขโมยจะไม่ขึ้นบ้านนั้น และถ้ามียามเฝ้า บ้านอยู่ ขโมยจะไม่แม้แต่พยายามเข้าใกล้บ้านเลย” บ้านคือใจของเรา แสงไฟคือซิมรัน ขโมยคือความคิดทางลบ จงเปิดไฟในบ้านไว้ หมายถึงเราต้องพยายามท�ำซิมรันอยู่เสมอ เมื่อนั้น ขโมย สิ่ง ล่อใจและความคิดทางลบ จะไม่เข้าบ้านของใจ แสงไฟของซิมรันจะป้องกันขโมยทั้งหลาย ป้องกันความคิดทางลบของเราจากการเข้ามาโจมตี เมื่อเรารับนาม เราถูกบอกให้ท�ำซิมรันอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ปล่อยให้ มันด�ำเนินอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนลมหายใจของเรา โดยไม่มีความคิด ไม่ต้องใช้ความ พยายาม ให้มันซึมซับเป็นส่วนหนึ่งของเราอย่างลึกซึ้งจนเราไม่รู้ตัวว่าก�ำลังท่องซิมรันอยู่ ขณะที่เราเดินหรือนอนอยู่ ซิมรันควรอยู่กับเรา มันควรท�ำงานเป็นยามเฝ้าใจ ปกป้องบ้านของเราและไม่ปล่อยให้ขโมยของความคิดทางลบต่าง ๆ เข้ามา ผลร้ายของความโกรธ ผลร้ายของความโกรธถูกบันทึกไว้ในค�ำสอนของชาวยิวว่า “ความโกรธท�ำให้นักปราชญ์ขาดปัญญาและท�ำให้ผู้ปฏิบัติบ�ำเพ็ญขาดสติ” ความโกรธท�ำให้เราตาบอด ไม่มั่นคง หุนหันพลันแล่นและไม่คิดก่อนกระท�ำ ไม่มี กิเลสใดที่ท�ำให้เราสูญเสียความคิดที่ชัดเจนโปร่งใสและความสมดุลของเราเท่ากับความ โกรธ มีการพูดกันว่า “ความโกรธคือลมที่พัดตะเกียงของใจให้ดับลง” เมื่อเราเกิดความโกรธ เราจะเปิดเผยด้านมืดของเราออกมา เรามักจะใช้ความโกรธ ซ่อนความไม่มั่นคงและไร้ความสามารถของเรา มันกัดกร่อนสภาพจิตใจของเรา และแม้ว่า ความเจ็บปวดของเรามักเป็นต้นเหตุของความโกรธ แต่เราก็ยังคงต้องรับผิดชอบผลที่ตาม มาของมันอยู่ดี ศิษย์พูดกับมาสเตอร์ของเขาว่า “ผมมีอารมณ์โกรธที่รุนแรงมาก” มาสเตอร์พูดว่า “แสดงความโกรธของเธอให้ฉันเห็นสิ” ศิษย์ตอบว่า “แต่ตอนนี้ผมไม่ได้มีความโกรธ” มาสเตอร์พูดว่า “ถ้าอย่างนั้น น�ำมันมาให้ฉันเห็นเมื่อเธอมี” ศิษย์ตอบว่า “ผมท�ำไม่ได้ มันเกิดขึ้นทันที และเมื่อผมไปหาท่าน ความโกรธนั่น ก็คงจะไม่อยู่แล้วอย่างแน่นอน” เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าเวลาคือกุญแจส�ำคัญ เวลาจะเยียวยาและบรรเทาทุกอารมณ์ เวลาลดความรุนแรงของอารมณ์และท�ำให้ความโกรธหมดไป ทันทีที่เรารู้ตัวว่าโกรธ อารมณ์โกรธก็จะเริ่มสลายไปและความรุนแรงของมันจะ ลดลง เวลาจะเปลี่ยนความสนใจ พลังงานและอารมณ์ จากความรู้สึกที่เป็นลบ เราจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นใจที่เย็นลง ความมีสติท�ำให้เราหยุดและเริ่มคิด มันท�ำให้เราใจเย็นลง มันช่วยท�ำให้เราเห็น เหตุและผล ดังนั้น กว่าจะถึงเวลาที่เราพยายามระบายอารมณ์กับคนอื่น ความโกรธนั้นก็ เริ่มที่จะลดน้อยลงไป เมื่อเราท�ำร้ายจิตใจผู้อื่นหรือท�ำให้ผู้อื่นอับอายด้วยความโกรธ เราต้องรับผลของ ความคิดที่เป็นลบด้วยตัวเอง คนที่เราโกรธสามารถเดินออกไปได้โดยความโกรธของเรา ไม่ได้มีผลกระทบต่อเขา แต่เราเองต่างหากที่ต้องทนรับผลที่ตามมา ตอนแรกความเป็นลบจับเราไว้ แล้วเราโกรธ แล้วเราตอบโต้ แล้วเราก็ติดอยู่ใน อารมณ์หงุดหงิด เราอับอาย และอยากหลบและหนีจากผู้คน เพราะเราเกิดความละอาย และสิ่งที่ส�ำคัญที่สุด มันรบกวนมโนธรรมของเรา มันท�ำให้เรานอนไม่หลับ และท�ำให้เรา ไม่สบายใจ ท�ำให้เกิดบาดแผลภายในใจของเรา เราไม่สามารถวิ่งหนีมันได้ เราต้องรักษาแผล ระงับความโกรธด้วยการตระหนักรู้ถึงมัน ไม่ใช่ด้วยการปฏิเสธ มัน ด้วยการเฝ้าระวังใจของเรา และด้วยการรู้ทันความโกรธของเรา เราจะค่อย ๆ เปลี่ยน มันได้ มะเร็งร้ายของความโลภ เทอร์ทูลเลียน นักเขียนชาวคริสเตียนยุคแรก ได้แสดงความคิดเห็นไว้อย่างงดงามว่า “ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของพระเจ้าสามารถได้มาด้วยเงิน” ไม่มีข้อโต้แย้งในเรื่องนี้เลย! เรามักได้ยินเกี่ยวกับการหลอกลวงกันที่เลวร้าย เห็น ผู้คนที่ร�่ำรวยมีอ�ำนาจต้องสูญเสียทุกอย่างเพราะความหลอกลวงของพวกเขาถูกเปิดเผย พ่อลูกพากันขึ้นศาล และความสัมพันธ์ที่สั่งสมมาหลายต่อหลายปีหมดไปกับทนายและ ศาล เราขายวิญญาณของเรา เราสูญเสียความซื่อสัตย์ เกียรติและมโนธรรมของเราเพราะ ความโลภ น้อยคนนักที่จะรอดพ้นจากความเย้ายวน ชื่อเสียงเกียรติยศ เงินทองและอ�ำนาจ เราทุกคนเป็นเหยื่อของโรคเดียวกัน บางคนน้อย บางคนมาก ความโลภได้ครอบง�ำเหตุและ ผลของเรา


6 7 เงินก�ำหนดว่าใครจะเป็นเพื่อนของเรา และเราจะรับใครเป็นสมาชิกในครอบครัว และสิ่งที่แย่ที่สุดคือเราจะเป็นใครกันแน่ มีการพูดกันว่า “คนที่มีนาฬิกาเรือนเดียวจะรู้ทันทีว่ากี่โมงแล้ว คนที่มีนาฬิกาสอง เรือนมักจะไม่ค่อยแน่ใจ” ลองดูคนมีเงินทองมากมายที่นอนบนที่นอนหนานุ่มอันแสน สบาย แต่พวกเขาต้องดูละครและกินยานอนหลับเพื่อกล่อมตัวเองให้หลับ พวกเขาฟัง ดนตรีให้คลายเครียด แต่ก็ยังนอนกระสับกระส่ายไปมาทั้งคืน ใจของเรามีแต่ความอยาก ความต้องการหาโอกาสที่จะมีให้มากขึ้นและมากขึ้นอีก เราไม่พอใจอยู่ตลอดเวลา ยิ่งกว่า นั้นความโลภยังแทรกซึมเข้ามาในใจของเรา และท�ำให้เราไร้ศีลธรรม ท�ำให้เราพยายามหา ทางลัดและโกงคนอื่นโดยที่คิดว่าเราจะไม่โดนจับ แล้วลองดูตัวอย่างของคนจน พวกเขานอนบนพื้นที่แข็งและไม่มีผ้าห่ม อาหาร แต่ละวันของพวกเขาอาจเป็นเพียงแค่ขนมปังแผ่นหนึ่ง พวกเขานอนบนทางเท้าข้างถนน ท่ามกลางเสียงและฝุ่น แต่ก็ยังหลับสนิทได้ สิ่งที่เราสั่งสมจากความโลภจะอยู่ด้วยกับเราไม่นาน เราสามารถเรียนรู้จากพระ เจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชที่เดินทางไปพิชิตและครอบครองโลก และทรัพย์สมบัติมากมาย แต่ยังไม่ยอมหยุดที่จะสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามต�ำนานในช่วงสุดท้ายของชีวิต เขาพูดว่า “เมื่อฉันตาย ให้ปล่อยมือของฉันไว้นอกโลงศพเพื่อให้โลกเห็นว่าเราไม่สามารถเอาอะไร ไปด้วยได้ เรามามือเปล่าและจะกลับไปมือเปล่า” ความจริงนี้ได้ถูกอธิบายอย่างงดงามในสุภาษิตที่เขียนไว้ว่า “เมื่อเราตระหนักได้ ว่าเราไม่ขาดอะไร โลกทั้งโลกจะเป็นของเรา” เมื่อเราไม่ขาดสิ่งใด เมื่อนั้นทุกสิ่งเป็นของเราและไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา เมื่อนั้นไม่มีสิ่งใดที่เราต้องการครอบครอง และไม่มีสิ่งใดที่เราต้องสูญเสีย เมื่อเรารู้สึกว่าไม่ขาดสิ่งใด เราจะไม่มีความอยาก ความต้องการใด ๆ ในสภาวะนี้ เมื่อไม่มีความโลภ “โลกทั้งโลกจะเป็นของเรา” พันธนาการแน่นหนาของความติดยึด พลังที่เหมือนกับการสะกดจิตของความติดยึด ไม่ว่าจะแบบใดก็ตาม จะเกาะติดใจของเรา เหมือนปลิงที่เกาะติดที่ผิวหนังมนุษย์ ทันทีที่เราติดยึดกับบางสิ่ง นั่นคือการที่เรากลายเป็น ทาสของสิ่งนั้น ความติดยึดท�ำให้เกิดความไม่สมดุลในชีวิตของเรา มีเรื่องตลกที่พูดกันว่ามีอยู่สองครั้งที่ท�ำให้พระผู้เป็นเจ้ายิ้ม ครั้งแรกเมื่อหมอยืน ข้างเตียงของเด็กที่ป่วยหนักและใกล้ตาย และบอกแม่ของเด็กว่า “คุณครับ ไม่จ�ำเป็นต้อง เป็นกังวล ผมจะรับผิดชอบในการช่วยชีวิตลูกของคุณเอง” พระผู้เป็นเจ้ายิ้มอีกครั้งเมื่อพี่น้องสองคนวัดที่ดินและพูดว่า “ด้านนี้เป็นของฉัน และด้านนี้เป็นของเธอ” ของเธอและของฉัน! แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็หัวเราะ! วันที่พระองค์ลิขิตไว้ว่าเราต้องจากโลกนี้ เมื่อนั้นจะไม่มีสิ่งใดเป็นของเราเลย ด้วย พระประสงค์เดียว พระองค์สามารถท�ำให้ทุกสิ่งในชีวิตเราจบสิ้นลง ลูก ๆ พ่อแม่ คู่ครอง ความมั่งคั่ง ทรัพย์สมบัติ ทั้งหมดนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นของเราเลย ไม่มีสิ่งใดถาวร ความติดยึด คือภาพลวงตา เมื่อช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมาถึง เมื่อความตายมาเคาะประตู จะไม่มีความ สัมพันธ์ ไม่มีทรัพย์สมบัติทางวัตถุไปกับเราด้วย เราจะไปตัวคนเดียวและจะไปมือเปล่า ทุกอย่างที่เราได้รวบรวมและประสบความส�ำเร็จในชีวิตของเรา ที่เราเพียร พยายามให้ได้มาและภาคภูมิใจ ไม่ว่าจะเป็นต�ำแหน่งต่าง ๆ ที่น�ำหน้าชื่อของเรา ป้ายชื่อ หน้าบ้านของเรา ธุรกิจต่าง ๆ ที่อยู่ในชื่อของเรา ลูกชายที่จะมาสืบตระกูลของเรา ทั้งหมด จะถูกลบทิ้งและหมดไปในที่สุด ความตายคือสิ่งที่พิสูจน์ว่าความติดยึดนั้นไม่มีค่าใด ๆ เลย ไม่มีสิ่งใดเป็นของเราเลยในโลกที่ไม่ถาวรนี้ ทุกสิ่งและทุกคนจะต้องเสื่อมสลายไป ดังที่กวีในศตวรรษที่สิบเก้า วิลเลียม วินเธอร์เขียนไว้ว่า ความทะเยอทะยานมีรางวัลแบบเดียวกันให้กับทุกคน อ�ำนาจเล็กน้อย ชื่อเสียงชั่วคราวเล็กน้อย หลุมศพส�ำหรับพัก และชื่อที่จะเลือนหายไปในที่สุด อ�ำนาจและชื่อเสียงจะเลือนหายไปในหลุมฝังศพในที่สุด และจะมีใครที่ระลึกถึง เราอีกหลังจากเราถูกฝังแล้ว เราร้องไห้ให้กับคนที่เรารักกี่วันหรือ ความติดยึดเหล่านี้คือ ภาพลวงตา มีเพียงความติดยึดเดียวเท่านั้นที่ไม่เสื่อมสลายและเป็นอมตะ นั่นก็คือความติดยึด กับสัจจะ และมันจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเราขจัดความหลอกลวง ความหรูหราจอมปลอม และ ความผิวเผินของโลกนี้ออกจากใจของเรา และยึดมันกับการปฏิบัติสมาธิ มีการกล่าวกันว่า “หากมีรูเล็ก ๆ ใต้เหยือกน�้ำ น�้ำจะไหลออกจนหมด” เช่นเดียวกัน หากมีความติดยึดเพียงเล็กน้อย ความสนใจของเราจะถูกดึงออกสู่ ภายนอก ความสนใจที่แน่วแน่ของเราจะลดน้อยลง แทนที่เราจะก้าวไปข้างหน้า เราจะ ถอยห่างจากเป้าหมาย ความติดยึดจะดึงเราออกจากเส้นทางของเรา


8 9 ใจของมนุษย์ทุกคนมีสองด้าน มันจะบริสุทธิ์เมื่อมันเป็นอิสระจากความติดยึด และมันจะแปดเปื้อนไม่บริสุทธิ์เมื่อมันถูกครอบง�ำโดยความติดยึดต่างๆ ความอหังการของอัตตา ศรี รามากฤษณะ อธิบายถึงพลังแห่งอัตตาที่เพิ่มขึ้นไว้ว่า อัตตาของคนธรรมดาจะดับได้ง่ายกว่าอัตตาของนักปราชญ์ ซึ่งยากที่จะ ดับลงได้ อัตตาเหมือนกับแก้วว่างเปล่าที่จมอยู่ในมหาสมุทร หลังจากมันเต็มไปด้วยน�้ำใน มหาสมุทรแล้ว มันร้องออกมาว่า “นี่คือฉัน” แต่เราคือใครกันแน่ “เธอคือธุลีและเธอจะกลับคืนสู่ธุลี” ถ้าเราเข้าใจความลึกซึ้ง ของค�ำพูดนี้ เราจะตระหนักได้ว่า การคิดถึงแต่ตนเองของเรา ความหยิ่งทะนงของเราและ ความส�ำคัญตนเองของเราถือเป็นภัยคุกคามที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเรา ลองดูตัวอย่างของกษัตริย์ นายกรัฐมนตรี และประธานาธิบดี ความหยิ่งทะนง ท�ำให้พวกเขาเชื่อว่าผู้คนเคารพในตัวพวกเขา ไม่ใช่เคารพต�ำแหน่งของพวกเขา การได้รับ ความเคารพควรเป็นประสบการณ์ที่เรียบง่าย เป็นไปด้วยความสมถะ แต่แทนที่จะเป็นเช่น นั้น มันกลับท�ำให้ผู้มีอ�ำนาจหลงในอ�ำนาจและอัตตาของตน ต�ำแหน่งของพวกเขาอาจจะยังมีอยู่ต่อไป แต่คนรับต�ำแหน่งจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ นี่คือตัวอย่างของชีวิตของพระเจ้านโปเลียน โบนาปาร์ต พระเจ้านโปเลียนพ่ายแพ้ในสงครามและถูกส่งไปที่เกาะเซนต์ เฮเลนาเย็นวันหนึ่ง ระหว่างที่เขาออกไปเดินเล่น หญิงชราคนหนึ่งเดินมาจากอีกฝั่งหนึ่ง เธอแบกหญ้ากอง หนึ่งบนหลัง เธอถูกบอกให้หลีกทางเพราะนโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่ก�ำลังเดินมา เป็นเพราะเธอ ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เธอจึงร้องออกมาว่า “บอกให้เขาหลีกทางให้ฉันสิ เขามองไม่เห็นหรือ ว่าฉันเป็นคนแก่ที่ก�ำลังแบกสัมภาระหนักมาก” นโปเลียนจึงหลีกทางให้เธอเดินผ่านและ พูดกับทหารที่มาด้วยกับเขาว่า “ครั้งหนึ่ง แม้แต่ภูเขายังต้องหลีกทางให้กับนโปเลียนผู้ยิ่ง ใหญ่ แต่เวลานั้น ได้ผ่านไปแล้ว ฟองสบู่ไม่มีอีกแล้ว ตอนนี้ฉันต้องหลีกทางให้แม้แต่หญิง ชราที่แบกกองหญ้า” ตอนนี้เขาเหมือนกับคนที่ไม่มีตัวตน อัตตาของเขาถูกย�่ำยี นโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่หมด สิ้นอ�ำนาจแล้ว! ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูง และประธานบริษัททั้งหลาย มีชีวิตที่รุ่งโรจน์ในเวลาอันสั้น ๆ แล้วมันก็จะค่อย ๆ จางหายไปและถูกลืมเลือน บางครั้ง แม้แต่คนโง่ก็สามารถกลายเป็นวีรบุรุษได้ และโอกาสที่ยิ่งใหญ่ก็สามารถ ท�ำให้คนที่ต�่ำต้อยกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้ อหังการของเราเป็นสิ่งที่ถูกป้อนโดยใจ มันเป็น ภาพลวงตาที่เกิดจากความไม่รู้ของเรา เหมือนกับหิ่งห้อยที่คิดว่ามันเป็นผู้ให้แสงสว่างแก่ โลกในเวลาค�่ำคืน แต่เมื่อดวงดาวเริ่มส่องแสง แสงของมันก็เทียบไม่ได้เลยกับแสงของ ดวงดาว เมื่อใจของเราว่างเปล่าจากตัวตน เราจึงจะสามารถเปิดรับสิ่งต่าง ๆ ได้ ใจที่ว่าง เปล่าสามารถสร้างสรรค์และเปิดรับสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย แต่ใจที่เต็มไปด้วยอัตตาสามารถ ท�ำได้น้อยมาก เราจะมีความสุขที่สุดเมื่ออัตตาของเราลดลงเป็นศูนย์ สวามี ปรมนันทะได้กล่าวไว้ว่า “อัตตานั่นเองที่เป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของความ ก้าวหน้าบนหนทางทางจิตวิญญาณ ถ้าเธอต้องการอัตตา เธอไม่สามารถได้พระเจ้า ถ้าเธอ ต้องการพระเจ้า เธอต้องมีแต่ความอ่อนน้อมถ่อมตน” ตื่นรู้ เพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้น มาสเตอร์คอยย�้ำเตือนให้เราปฏิบัติสมาธิอยู่เสมอ ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยผ่าน หนังสือซันต์มัต การเทศนา การอ้างอิง และค�ำเปรียบเทียบทั้งหลาย ท่านเตือนเราว่าใจ เป็นเครื่องมือที่มีพลังอ�ำนาจมาก และเราต้องก�ำหนดทิศทางของใจไปสู่ความเป็นบวกและ ความบริสุทธิ์ สวามี วิเวกนันทะ ได้กล่าวว่า “ผู้พิชิตที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายของโลกจะพบว่าตัวเอง เป็นเพียงแค่เด็กน้อยเมื่อเขาพยายามควบคุมใจของเขา ใจของเรานั่นเองที่เป็นโลกที่เขา ต้องเอาชนะ มันเป็นโลกที่ยิ่งใหญ่และยากที่จะพิชิตได้” บรรดานักบุญและนักปราชญ์พยายามยกตัวอย่างที่ท�ำให้เราตื่นจากการหลับไหล พวกท่านพยายามปลุกเรา ให้เราลุกขึ้นและคิดให้ลึกซึ้งมากขึ้น ถ้าแม้แต่นักบวชที่ได้ ก้าวหน้าทางจิตวิญญาณจนถึงระดับหนึ่งแล้วยังมีกิเลส ยังพ่ายแพ้ต่อความอ่อนแอของ มนุษย์ แล้วพวกเราซึ่งยังไม่สามารถแม้แต่ปีนบันไดขั้นแรกของหนทางทางจิตวิญญาณ เลย จะไม่ยากยิ่งกว่าหรือ การที่เรายังไม่มีความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณท�ำให้เราอ่อนแอ อย่างสิ้นเชิง เพราะว่าเรายังไม่สามารถปกป้องตัวเองด้วยการปฏิบัติสมาธิของเรา ลองนึก ภาพดูว่าเราเปราะบางเพียงใด และใจของเราอันตรายมากเท่าใด! มีค�ำพูดว่า “มาสเตอร์ไม่ได้เป็นแค่ครู มาสเตอร์คือไฟที่เราจะต้องเดินผ่าน เพื่อให้สิ่ง ที่ไม่บริสุทธิ์ภายในตัวเราถูกเผาจนหมดไป และเหลือแต่เพียงทองค�ำบริสุทธิ์เท่านั้นที่ยังคงอยู่”


10 11 การเดินทางบนหนทางทางจิตวิญญาณคือการผ่านกระบวนการท�ำความสะอาด การช�ำระล้างครั้งใหญ่ การเปลี่ยนสภาพ เราอาจพูดได้ว่ามันเป็นหนทางที่เต็มไปด้วย อุปสรรคและความยากล�ำบาก เป้าหมายของมาสเตอร์คือน�ำพาวิญญาณกลับบ้านด้วยการ ขจัดความไม่บริสุทธิ์และเปลี่ยนเราให้เป็นทองค�ำที่บริสุทธิ์ เราต้องท�ำให้ใจของเราอยู่ใน ความควบคุมและหันมันเข้าสู่ภายในด้วยการปฏิบัติสมาธิ เพื่อเผาและช�ำระล้างสิ่งที่ไม่ บริสุทธิ์ทั้งหลายให้หมดไป ท่านกฤษณะ ปรมหรรษา กล่าวว่า “เช่นเดียวกับการยากที่จะรวบรวมเมล็ด มัสตาร์ดที่หลุดออกจากห่อที่ขาดและกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทางให้กลับคืนมา ใจ ของมนุษย์ก็วิ่งออกไปทุกทิศทางและถูกครอบง�ำด้วยสิ่งต่าง ๆ ทางโลก มันไม่ง่ายเลยที่จะ รวบรวมความสนใจและท�ำให้ใจแน่วแน่เป็นหนึ่งเดียว” ใจวิ่งไล่ล่าสิ่งต่าง ๆ ทางโลก ซึ่งเป็นเหตุให้มันกระจายไปทั่วทุกทิศทาง เพื่อที่จะ รวบรวมความสนใจของเรา เราจึงได้รับนามห้าค�ำเพื่อให้เราท่องซิมรัน มาสเตอร์กล่าวว่า “ไม่มีความล้มเหลวในซันต์มัต” นี่คือสิ่งที่ท�ำให้เราเป็นผู้ชนะ เพราะมันเป็นความคิดในทางบวก! มาสเตอร์รู้ว่าเราท�ำได้ ดังนั้น เราสามารถท�ำได้แน่นอน ขอให้เราวางเป้าหมาย และท�ำมันให้ส�ำเร็จ เราจะชนะ ไม่ว่าการเดินทางของเราจะยากมากแค่ไหน เราจะต้องเผา ความไม่บริสุทธิ์เหล่านั้นและท�ำให้ทองค�ำเปล่งประกายออกมา ถ้าเราฝึกใจให้มุ่งไปใน ทิศทางที่ถูกต้อง เราก็จะท�ำทุกสิ่งทุกอย่างส�ำเร็จได้! ปัญหาและอุ ปสรรคท�ำให้เราแข็งแกร่ง กาลครั้งหนึ่ง มีชาวนาคนหนึ่งดูแลที่ดินของตนเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม เขารู้สึก หงุดหงิดเพราะไม่ว่าเขาจะใช้ความพยายามมากมายเพียงใดในการปลูกพืชผล ความส�ำเร็จ ของเขาก็ต้องขึ้นอยู่กับปริมาณฝนที่ตกในฤดูกาลนั้น หรือขึ้นอยู่กับว่ามีพายุ ภัยแล้ง หรือ การระบาดของแมลงและศัตรูพืชต่างๆ หรือไม่ เขาหงุดหงิดมากจนไปหาพระเจ้าและบอก พระองค์ว่า พระเจ้าทรงท�ำงานที่แย่มากในการบริหารจัดการโลก เขาบอกพระเจ้าว่า พระองค์ควรจะละอายใจตัวเองที่วางแผนไม่ดี เขาบอกพระองค์ว่าโลกนี้มีความทุกข์ต่าง ๆ มากมายโดยไม่จ�ำเป็น และทุกอย่างเป็นความผิดของพระเจ้าทั้งหมด จากนั้นชาวนาก็พูด ว่า โอพระองค์ โปรดฟังค�ำแนะน�ำของฉัน อย่างน้อยก็จะไม่มีผู้คนและทุกสิ่งที่พระองค์ สร้าง จะต้องทนทุกข์จากความหิวโหยอย่างที่เป็นอยู่นี้ จากนั้นเขาก็บอกพระเจ้าว่าหากพระองค์จะรับประกันหนึ่งปี ว่าจะไม่มีอุปสรรค ต่างๆ เช่นสภาพอากาศที่รุนแรง และขอให้มีแสงแดดและฝนเพียงพอ เขาซึ่งเป็นชาวนา ก็จะรับประกันกับพระองค์ว่าความหิวโหยจะหายไปและผู้คนจะมีอาหารพอกิน พระเจ้า ตรัสว่าไม่ พระองค์ตรัสว่า “จงด�ำเนินชีวิตตามความประสงค์ของเรา” แต่ชาวนาก็โต้เถียง และโต้เถียงไม่หยุด ในที่สุด พระเจ้าก็ยอมให้เวลาหนึ่งปี ให้มีสภาพการณ์ในอุดมคติส�ำหรับ การเติบโตของพืชผลตามที่ชาวนาขอ ชาวนาบอกว่าเขาจะท�ำงานอย่างหนักเพื่อเติมเต็ม ส่วนที่เหลือ ตามการต่อรองของเขา ปีต่อมา จึงเป็นปีที่สมบูรณ์แบบที่สุด อากาศดีมาก มีฝนเพียงพอและไม่มีความ ร้อนหรือน�้ำค้างแข็งสุดขั้ว บรรดาชาวไร่ชาวนาต่างท�ำงานหนักและพืชผลของพวกเขา เจริญรุ่งเรืองมาก พวกมันดูมีสุขภาพดี ข้าวสาลีสีทองเติบโตงอกงามและล�ำต้นสูง ดังนั้น ชาวนาจึงไปหาพระเจ้าอีกครั้งและบอกพระองค์ว่าการเก็บเกี่ยวปีนี้จะอุดมสมบูรณ์ที่สุด เขาบอกว่าจะมีข้าวเพียงพอส�ำหรับท�ำขนมปังเป็นสิบปีและจะไม่มีใครต้องหิวหรือ อดอยากอีกต่อไป พระเจ้าตรัสว่า “แสดงให้ฉันดู” ชาวนาก็ตัดก้านข้าวสาลีที่ต้นใหญ่และงาม เขา แกะฝักออกเพื่อแสดงให้พระเจ้าเห็นถึงความดีงามที่อยู่ภายใน แต่เมล็ดข้าวกลับมีขนาด เล็กไม่เปล่งปลั่งสมบูรณ์ และมีขนาดแค่ครึ่งหนึ่งของเมล็ดปกติ ชาวนาประหลาดใจมาก เขาอุทานว่า “สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร!” พระเจ้าตรัสว่าเนื่องจากไม่มีสถานการณ์ที่ท้าทาย หรือสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ข้าวสาลีจึงไม่ต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด มันจึงกลับอ่อนแอแทนที่ จะแข็งแกร่ง ท�ำให้ภายนอกอาจดูสวย แต่ภายในแคระแกรน


12 13 พวกเราก็เป็นเหมือนเมล็ดข้าวสาลีนั้น เราจ�ำเป็นต้องมีสถานการณ์ที่ท้าทายใน ชีวิตเพื่อที่จะเติบโตและพัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่ ถ้าชีวิตมันง่ายเกินไป เราก็จะกลายเป็น คนเกียจคร้านและเฉื่อยชา ความผิดพลาดและความทุกข์ ก็เปรียบเหมือนกับสภาพอากาศ เลวร้ายและดวงอาทิตย์ที่แผดเผาเรา สิ่งต่างๆ เหล่านั้นให้ประสบการณ์ที่จ�ำเป็นแก่เรา ที่ จะช่วยให้เราเข้าใจว่าเราเป็นใคร ความเจ็บปวดที่เรารู้สึกจากอุปสรรค ปัญหา และกรรม ต่างๆ คือสิ่งที่ท�ำให้เราเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้น ถ้าชีวิตเราง่ายเกินไป เราก็คาดหวังว่าชีวิตจะเป็น แบบนี้ตลอดไป มันมีแต่ราบเรียบและราบรื่น และเมื่อมีปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้น เราก็ ไม่มีก�ำลัง ความแข็งแกร่งที่จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ที่แย่ไปกว่านั้น คือเราจะไม่มี พลังใจเมื่อต้องเผชิญกับการเจ็บป่วยหรือเมื่อคนที่เรารักเสียชีวิต เราจะไม่มีวุฒิภาวะและ มุมมองที่ได้รับจากการปรับตัวให้เข้ากับพายุแห่งชีวิต ซัตซังกีคนหนึ่งเคยพูดว่าเขากลายเป็นคนที่ดีขึ้นในตอนนี้ เพราะน้องชายของเขา เสียชีวิตเมื่ออายุได้สิบเอ็ดขวบ น้องชายของเขาได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมากและการ ตายของเขาได้ปลดปล่อยเขาจากความทุกข์ทรมานนั้น มันเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวด ที่สุดในชีวิตของซัตซังกีคนนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้สึกขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าเช่นกัน เมื่อเหตุการณ์นี้ท�ำให้เขาเริ่มการเดินทางที่ท�ำให้เขากลายเป็นซัตซังกีในที่สุด เพราะเขา ต้องการที่จะเข้าใจว่าท�ำไมจึงมีความทุกข์มากมายในโลกนี้ ค�ำตอบและการปลอบโยนที่ เขาได้รับนั้น มาจากค�ำสอนและมาจากมาสเตอร์ โดยการยอมรับการตายของพี่ชายของเขา เขาได้เริ่มต้นก้าวเล็กๆ ในการเรียนรู้ที่ จะด�ำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า ในการยอมรับสภาพเลวร้ายของชีวิต เราทุก คนต่างจ�ำเป็นต้องมีความท้าทายเพื่อค้นหาความแข็งแกร่งจากภายใน ความคิดในทางบวก และความหวังเกิดจากการยอมรับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในชีวิตนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ ของเรา ไม่มีกรรมดีหรือกรรมชั่ว ห่วงโซ่ของกรรมนั้นไม่ใช่สิ่งใดเลย แต่เป็นโอกาสในการ เรียนรู้และเติบโตอย่างต่อเนื่องส�ำหรับเรา เราจะตระหนักว่าชีวิตเต็มไปด้วยความยาก ล�ำบาก และการยอมรับการเปลี่ยนแปลงจากห่วงโซ่ของกรรมเหล่านี้ ไม่ว่าจะยากหรือง่าย จะท�ำให้เราสงบและสมดุลในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราในชีวิต เราจะตระหนักว่าทุก สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และทุกสิ่งล้วนเป็นของขวัญจากพระองค์ ของขวัญ เหล่านี้เป็นโอกาสในการเติบโต โอกาสในการพัฒนาตัวของเรา ไม่มีกรรมใดๆ เลยเป็นการ ลงโทษเรา แต่ทุกสิ่งก็คือผลจากการกระท�ำในอดีต ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น พระเจ้าจะประทานสิ่งที่พระองค์คิดว่าดีที่สุดส�ำหรับเราเท่านั้น พระองค์คือความ รัก ความรักของพระองค์แสดงออกในตัวเราในลักษณะของการสนับสนุนและความเข้ม แข็งที่เราประสบระหว่างพายุในละครแห่งกรรมของเรา เราจะตระหนักถึงข้อพิสูจน์ของ ค�ำสอนโดยรักษาความสมดุล ยอมรับและยินดีแม้เราจะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยาก ล�ำบาก มาสเตอร์คือหัวใจของค�ำสอน ท่านให้ก�ำลังและความแข็งแกร่งทุกอย่างแก่เรา ใน รูปทรงของชับบัดภายใน ท่านคือพลังแห่งความรักในตัวเรา ท่านคือก�ำลังใจ คือความ เมตตากรุณา และความรัก ชาวนาเข้าใจผิดไป เขาคิดว่าเขาสามารถเปลี่ยนล�ำดับพื้นฐานของชีวิต เปลี่ยน วัฏจักรของความสุขและความทุกข์ได้ เขาคิดว่าเขารู้ดีว่ามนุษย์ต้องการอะไร เขาคิดว่าเขา รู้ถึงความต้องการของมนุษย์ดีกว่าพระเจ้า อย่างไรก็ตาม เขาเรียนรู้ว่าแผนการของพระเจ้า คือการที่พระองค์ค่อยๆ น�ำเราเข้าใกล้พระองค์ ความบรมสุขอย่างช้าๆ แต่มั่นคง เราจ�ำเป็น ต้องมีความผิดหวัง ปัญหาและอุปสรรคในชีวิตเพื่อที่จะตระหนักว่ารากฐานของจักรวาล นี้คือความหวังและความรัก ชีวิตสมบูรณ์แบบอย่างที่มันเป็น มันคือแผนการของพระองค์ เราไม่ควรโกรธหรือหงุดหงิดกับสถานการณ์ของเรา สภาพการณ์ในชีวิตของเราเป็นโอกาส ให้เราเรียนรู้และพัฒนาทางจิตวิญญาณอย่างเต็มที่ และถึงตอนนี้ เราควรผ่อนคลายและมี ความสุขกับการเดินทางของชีวิต เพราะการด�ำเนินชีวิตในพระประสงค์ของพระองค์ไม่ ได้แปลว่ามันต้องเป็นปัญหา หรือการฝึกฝนให้อยู่ในวินัย แต่มันหมายถึงความสุข และ ความยินดีด้วยเช่นกัน ถ้าเราเข้าใจและมองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในชีวิตในทางบวก


14 15 มาสเตอร์ตอบค�ำถาม ค�ำถาม: เราจะขจัดกรรมทั้งหมดได้อย่างไร มหาราชจรัณ ซิงห์: ด้วยการปฏิบัติสมาธิ นั่นเป็นวิธีเดียว ความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า มีอยู่ตลอดเวลา พระองค์มีความกระตือรือร้นที่จะดึงเรามากกว่าความกระตือรือร้นของ เราที่จะกลับไปหาพระองค์ ถ้าพระองค์ไม่มีความกระตือรือร้นที่จะดึงเรา เราจะไม่สามารถ เข้ามาบนหนทางได้เลย ทุกวันนี้ มันเป็นเพราะพระองค์ดึงเรา เราจึงเข้ามาบนหนทางนี้ได้ ค�ำถาม: เรายังไม่ได้ขึ้นเหนืออะไรเลย เรายังไม่ได้ขึ้นเหนือกาม เรายังไม่ได้ขึ้นเหนือความ โกรธ เวลาได้ผ่านไปหลายปีแล้ว แต่เรายังไม่สามารถขึ้นเหนืออะไรได้เลย มหาราชจรัณ ซิงห์: เธอจะต้องท�ำหน้าที่ของเธอ เธอไม่สามารถหนีความรับผิดชอบต่าง ๆ ของเธอ หนีสิ่งที่เธอควรจะท�ำ เธอเข้าใจไหม นายพลเป็นผู้สั่งการ แต่เขาจะต้องอาศัยทหาร เราจะต้องต่อสู้กับใจของเรา และเราได้รับการเตรียมพร้อมแล้ว เพื่อที่จะต่อสู้กับใจ กับ ภาระกรรมของเรา เราได้รับความช่วยเหลือ เราได้รับค�ำสั่ง เราได้รับการชี้แนะ เพราะฉะนั้น เธอไม่สามารถพูดได้ว่าฉันจะไม่ต่อสู้ คุรุจะต้องต่อสู้ให้เรา นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด ค�ำถาม: เรารู้สึกหมดก�ำลังใจ เมื่อเราสู้รบและแพ้สงครามทุกครั้ง มหาราชจรัณ ซิงห์: ในซันต์มัต เธอไม่มีวันแพ้ เธอชนะเสมอ เธอจะไม่มีวันแพ้ มหาราช ซาวัน ซิงห์ มักจะพูดว่า ถ้าเธอไม่สามารถน�ำความส�ำเร็จผลมาให้ฉัน ก็จงน�ำความล้มเหลวมา ฉันไม่ปฏิเสธว่าเราทุกคนคือวิญญาณที่ก�ำลังต่อสู้ดิ้นรนอยู่ แต่อย่างน้อยเราก็ก�ำลัง พยายาม ถ้าเด็กไม่พยายามยืนหยัดด้วยตัวเอง เขาจะเรียนรู้ที่จะวิ่งได้อย่างไร แม่จะช่วยเหลือ ลูก แต่ลูกก็ต้องให้ความพยายามของเขา เขาต้องการความช่วยเหลือ ต้องการค�ำแนะน�ำต่าง ๆ แต่ในที่สุด เขาจะยืนได้เอง และจะวิ่งได้เอง แม่มีความกระตือรือร้นต้องการให้ลูกเรียนรู้ที่จะ วิ่งทันที แต่ลูกมีสิ่งที่เขาจะต้องท�ำ เราจะต้องใช้ความพยายามของเรา ค�ำถาม: มาสเตอร์รักความล้มเหลวของเราจริง ๆ ไหม เมื่อท่านเห็นวิญญาณต่อสู้ดิ้นรน แต่ก็ยังล้มเหลว? มหาราชจรัณ ซิงห์: มันหมายความว่าผู้คนเหล่านั้นที่ล้มเหลวได้พยายามอย่างแท้จริงแต่ เขาไม่สามารถท�ำได้ เขาจึงล้มเหลว มาสเตอร์รักความตั้งใจของเธอเพื่อที่จะได้มาซึ่งความ ส�ำเร็จ แม่ต้องการให้ลูกเรียนรู้ที่จะเดิน แต่ลูกก็ล้ม ขาเขาถลอกและฟกช�้ำ แต่เขาก็ลุกขึ้น อีก เขาจะพยายามอีกครั้ง เขาล้มและลุกขึ้นอีก เขาจะพยายามที่จะเรียนรู้อีกครั้ง เด็กจะ ต้องผ่านขั้นตอนนั้นก่อนที่จะจะเดินและวิ่งได้ เพราะฉะนั้น เช่นเดียวกัน เราก็มีข้อ บกพร่องของเราเช่นกันเมื่อเราอยู่บนหนทาง แต่ถ้าเราลุกขึ้นอีก มีความมุ่งมั่นในความ พยายามของเราที่จะชนะอีกครั้งหนึ่ง เราอาจจะล้มอีก แต่เราก็ยังพยายามที่จะชนะอีกครั้ง แน่นอน การล้มเหลวเหล่านั้นคือความพยายามของเราที่จะเดินไปข้างหน้าบนหนทาง ไม่ใช่การถอยหลัง ทุกการล้มเหลวของเราจะเตือนเราถึงความส�ำเร็จของเรา ว่าเรายัง บกพร่องตรงไหน เพราะฉะนั้น เราควรทุ่มเทความพยายามของเราอย่างดีที่สุดต่อไป และ ถ้าเราล้ม เราไม่ควรรู้สึกผิดหวังหรือเศร้าใจ แต่เราควรพยายามอีก ค�ำถาม: มาสเตอร์ ท่านช่วยพูดเกี่ยวกับความกล้าหาญที่เราควรมีเพื่อเป็นซัตซังกีที่ดีได้ ไหมครับ? มหาราชจรัณ ซิงห์: น้องชาย ทุก ๆ ก้าวบนหนทาง เราต้องการความกล้าหาญ มนุษย์มี ข้อบกพร่องต่าง ๆ แต่นั้นไม่ได้หมายว่าเราไม่ต้องลุกขึ้นอีกเพื่อต่อสู้กับศัตรูของเรา ทหาร ในสงครามบาดเจ็บ แต่พวกเขาก็ลุกขึ้นอีก ยกอาวุธขึ้นมาและต่อสู้อีกครั้ง เราไม่ควรมี ทัศนคติของผู้แพ้เมื่อเราล้ม เมื่อเราเป็นเหยื่อของความล้มเหลวของการเป็นมนุษย์ เมื่อเด็ก เริ่มวิ่ง เขาล้มกี่ครั้ง เขามีแผลถลอกมากแค่ไหน แต่เขาก็ลุกขึ้น และเริ่มวิ่งอีกครั้ง เราทุก คนได้ผ่านขั้นตอนนั้น และขณะนี้ การเดิน การวิ่งก็ไม่เป็นปัญหาส�ำหรับเราอีกแล้ว เพราะ ฉะนั้น ในวิธีเดียวกัน เราก็ถูกเย้ายวน และเราก็ล้มเช่นกัน เราก็เป็นเหยื่อของข้อบกพร่อง ต่าง ๆ ที่มนุษย์ทุกคนมี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราต้องยอมจ�ำนนต่อใจของเรา ว่าเรา ต้องแพ้สงครามนี้ เราจะต้องพยายามต่อไป ในที่สุด ความส�ำเร็จจะเป็นของเรา ถ้าเราต่อสู้ ดิ้นรนต่อไป


Get in touch

Social

© Copyright 2013 - 2024 MYDOKUMENT.COM - All rights reserved.