เพื่อความไม่เกิดไม่ตาย (เนื้อในครั้งที่ 10) Flipbook PDF

เพื่อความไม่เกิดไม่ตาย (เนื้อในครั้งที่ 10)

26 downloads 119 Views 842KB Size

Recommend Stories


Porque. PDF Created with deskpdf PDF Writer - Trial ::
Porque tu hogar empieza desde adentro. www.avilainteriores.com PDF Created with deskPDF PDF Writer - Trial :: http://www.docudesk.com Avila Interi

EMPRESAS HEADHUNTERS CHILE PDF
Get Instant Access to eBook Empresas Headhunters Chile PDF at Our Huge Library EMPRESAS HEADHUNTERS CHILE PDF ==> Download: EMPRESAS HEADHUNTERS CHIL

Story Transcript

ขอมอบเป็นธรรมบรรณการ

แด่........................................................... ด้วยความรัก เคารพ นับถือ จาก......................................................................... วันที่.............เดือน.....................................พ.ศ.......................

เห็นโลกมีค่าเท่ากับเศษหญ้าเศษไม้ เมื่อใดเห็นด้วยปัญญา ว่าโลกนี้ไม่มีค่าอะไร มากไปกว่าเศษหญ้าเศษไม้, เมื่อนั้นเขาย่อมไม่ปรารถนาสิ่งใด ๆ นอกจาก “สิ่งที่ไม่มีการเกิดใหม่อีกต่อไป” คือ นิพพานอันไม่มีปฏิสนธิ

ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๓๐ หน้า ๒๔๖ ข้อที่ ๕๐๕

หนังสือ เพื่อความไม่เกิดไม่ตาย

จัดทำ�และพิมพ์เผยแผ่ เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาสู่สาธารณชนเป็นธรรมทาน หากท่านใดมีความประสงค์ทจ่ี ะร่วมสมทบทุนในการจัดพิมพ์เผยแผ่สามารถโอนเงินเข้า ธนาคารกรุงไทย สาขากระทรวงการคลัง บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 068-0-14155-3 ในนามนางมณีโชค ตติยไตรรงค์ หากท่านใดต้องการหนังสือและหรือประสงค์จัดพิมพ์ โปรดติดต่อ นางมณีโชค ตติยไตรรงค์ ๐๘-๗๗๙๔-๙๗๕๐ , ๐๘-๖๕๐๘-๒๓๗๒ E-mail : [email protected] ID Line : ๐๘-๖๕๐๘-๒๓๗๒ พิมพ์ครั้งที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ จำ�นวน ๔,๐๐๐ เล่ม พิมพ์ครั้งที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ จำ�นวน ๔,๐๐๐ เล่ม พิมพ์ครั้งที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ จำ�นวน ๙,๐๐๐ เล่ม พิมพ์ครั้งที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ จำ�นวน ๕,๐๐๐ เล่ม พิมพ์ครั้งที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๐ จำ�นวน ๗,๐๐๐ เล่ม พิมพ์ครั้งที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ จำ�นวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม พิมพ์ครั้งที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๑ จำ�นวน ๑๑,๐๐๐ เล่ม พิมพ์ครั้งที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ จำ�นวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม พิมพ์ครั้งที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๓ จำ�นวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม พิมพ์ครั้งที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๕ จำ�นวน ๑๑,๐๐๐ เล่ม พิมพ์ท่ ี เขียนอักษรการพิมพ์ : ๒๕ ถ.โชคชัย ๔ แขวง/เขตลาดพร้าว กทม. ๑๐๒๓๐ โทร. ๐๒-๕๓๙-๓๐๖๗ , ๐๘-๖๓๔๒-๘๔๕๕ , ๐๘-๖๓๕๕-๐๑๕๐ E-mail : [email protected], [email protected], [email protected]

รัตนะ ๕

บุคคลผู้หาได้ยากในโลก ๑. พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒. บุคคลผู้แสดงธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ๓. บุคคลผู้รู้แจ้งธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว ๔. ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๕. กตัญญูกตเวทีบุคคล

อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต เล่ม ๒๒ หน้า ๒๗๔ ข้อที่ ๑๙๕

อานิสงส์แห่งธรรมที่เข้าถึงโสตประสาท ..ฟัง(พระพุทธวจน) เข้าถึงโสตฟังเนื่องๆ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยความเห็น ...เธอมีสติหลงลืม เมื่อกระทำ�กาละ (ตาย) ย่อมเข้าถึงเทพนิกายหมู่ใดหมู่หนึ่ง บทแห่งธรรมทั้งหลายย่อมปรากฏแก่เธอ ผู้มีความสุขในภพนั้น สติบังเกิดขึ้นช้า แต่เมื่อเธอมีสติย่อมเป็นผู้บรรลุคุณวิเศษเร็วพลัน อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต เล่ม ๒๑ หน้า ๒๗๗ ข้อที่ ๑๙๑

รักษาตน ด้วยการเสพธรรมะ ด้วยการเจริญธรรมะ ด้วยการกระทำ�ให้มาก รักษาผู้อื่น ด้วยความอดทน ด้วยความไม่เบียดเบียน ด้วยความมีจิตประกอบ ด้วยเมตตาจิต ด้วยเอ็นดู เธอพึงเสพสติปัฏฐานด้วยคิดว่า เราจักรักษาตน พึงเสพสติปัฏฐานด้วยคิดว่า เราจักรักษาผู้อื่น บุคคลผู้รักษาตน ย่อมชื่อว่ารักษาผู้อื่น บุคคลผู้รักษาผู้อื่น ย่อมชื่อว่ารักษาตน

สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๑๙ หน้า ๒๕๒ ข้อที่ ๗๖๐-๗๖๒

ความสุขที่แท้จริง

ความไม่มีโรค เป็นลาภอย่างยิ่ง ความสันโดษ เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ความคุ้นเคย เป็นญาติอย่างยิ่ง พระนิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง บรรดาทางทั้งหลายอันให้ถึงอมตธรรม (พระนิพพาน) ทางมรรคมีองค์ ๘ เป็นทางอันเกษม

มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๑๓ หน้า ๒๕๗ ข้อที่ ๒๘๘ ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่มที่ ๒๕ หน้า ๔๙ ข้อที่ ๒๕

ผู้ปฏิบัติใกล้นิพพานเห็นภัยในความประมาท

๑. เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ๒. เป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ๓. เป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภค ๔. เป็นผู้มีความเพียรเป็นเครื่องตื่นเนืองๆ (ไม่เกียจคร้านทั้งวันทั้งคืน มีสติสัมปชัญญะในการชำ�ระจิต ให้หมดจดสิ้นเชิงจากกิเลสที่กั้นจิต ด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่ง ด้วยการนอนอยู่เนืองนิจ)

อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต เล่ม ๒๑ หน้า ๕๘ ข้อที่ ๓๗

กองอกุศลและกองกุศลชนิดแท้จริง กองอกุศล ได้แก่ นิวรณ์ทั้ง ๕ คือ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา กองกุศล ได้แก่ สติปัฏฐานทั้ง ๔ คือ เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็น กาย เวทนา จิต ธรรม อยู่เป็นประจำ� มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำ�จัดอภิชฌา (ความพอใจ) และ โทมนัส (ความไม่พอใจ) ในโลกออกเสียได้

สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๑๙ หน้า ๒๒๕ ข้อที่ ๖๙๖-๖๙๗

คำ�นำ� โรงพิมพ์

นับตัง้ แต่ทพ่ี ระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพระชนม์อยู่ จนกระทัง่ ถึงปัจจุบนั พระพุทธวจน พระโอษฐ์ พระพุทธพจน์ พระพุทธภาษิต หรือคำ�ตรัสคำ�สอนธรรมที่ออกจากพระโอษฐ์ ของพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้โดยตรงมีอยู่ในพระไตรปิฎก ยังคงถูกถ่ายทอด และสืบสาน ต่อมาโดยลำ�ดับทัง้ จากบูรพามหากษัตริย์ และผูน้ �ำ ในแต่ละยุคสมัย การทีพ่ ทุ ธศาสนาจะยังคง ดำ�รงอยูแ่ ละแผ่ขยายต่อไปได้ เหล่าสาวกของตถาคตควรยึดถือตามหลักคำ�สอนของพระองค์ โดยการสวดสาธยายธรรม ใคร่ครวญธรรม ตามที่ได้ฟังมา ตามที่ได้เล่าเรียนมา ทรงจำ� ปฏิบตั ติ ามเพือ่ เจริญสติสมั ปชัญญะ เกิดศีล สมาธิ ปัญญาเห็นตามความเป็นจริง มีทกุ ข์ มีสขุ เกิดจากจิตปรุงแต่ง ถ้านำ�ไปปฏิบัติจะสามารถดับไฟกิเลสพ้นทุกข์ได้ หนังสือเพือ่ ความไม่เกิดไม่ตาย จัดทำ�ขึน้ เพือ่ ให้ผทู้ ไี่ ด้เข้ามาศึกษาได้เข้าใจคำ�สอน จากพระโอษฐ์ของพระองค์โดยตรงว่า ทุกคนทีเ่ กิดมามีภารกิจทีส่ �ำ คัญทีส่ ดุ ในชีวติ คืออะไร และเข้ า ใจบทสวดสาธยายธรรมที่ พ ระองค์ ท รงเน้ น ยํ้า ให้ พุ ท ธศาสนิ ก ชนนำ � ไปสวด ซึง่ ในปัจจุบนั ยังมีอกี จำ�นวนมากทีย่ งั ไม่ทราบ ซึง่ เล่มนีไ้ ด้รวบรวมพระสูตรจากพุทธประวัติ จากพระโอษฐ์ อริยสัจจากพระโอษฐ์ภาคต้น อริยสัจจากพระโอษฐ์ภาคปลาย ปฏิจจสมุปบาท จากพระโอษฐ์ ขุ ม ทรั พ ย์ จ ากพระโอษฐ์ ที่ ท่ า นพุ ท ธทาสได้ นำ � พระสู ต รมาจาก พระไตรปิฎกสยามรัฐ ภาษาบาลี ในการจัดพิมพ์หนังสือเพื่อความไม่เกิดไม่ตายครั้งที่ ๙ นี้ คุณมณีโชค ตติยไตรรงค์ซงึ่ เป็นผูจ้ ดั ทำ�เรียบเรียงด้วยความวิรยิ ะอุตสาหะได้ทบทวนพระสูตร ทั้งหมดกับพระไตรปิฎกสยามรัฐ ภาษาไทย โรงพิมพ์เขียนอักษรรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับ ความไว้วางใจให้ตพี มิ พ์และมีสว่ นร่วมในการเผยแผ่แต่พระพุทธวจนทีพ่ ระองค์ตรัสไว้ดแี ล้ว ออกไปอย่างกว้างขวาง ดังเช่นสาวกของตถาคตทั้งหลายในอดีตที่ได้กระทำ�ไว้ดีแล้ว ซึ่งจะ ทำ�ให้พุทธศาสนาตั้งมั่นไม่ลบเลือนจนเสื่อมสูญไป ขอให้ท่านผู้อ่านได้ศึกษาจนเกิดศรัทธา นำ�ไปปฏิบัติและได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุธรรมเพื่อความไม่เกิดไม่ตายไปตามเหตุปัจจัยที่ ได้กระทำ� ขออนุโมทนาสาธุ เขียนอักษรการพิมพ์ ๐๒-๕๓๙-๓๐๖๗, ๐๘-๖๓๔๒-๘๔๕๕

คำ�นำ� (พิมพ์ครั้งที่ ๙)

เจ้าชายนิทรา! คนเราเกิดทีหลังตายก่อนได้หรือไม่ ลูกชายของผู้เขียนเสียชีวิต เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ อายุ ๓๒ ปีเป็นเจ้าชายนิทราตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี นอนติดเตียง อยู่ ๑๖ ปีครึ่ง ไม่สื่อสารกับผู้ใดเหมือนถูกขังอยู่ในตัวเอง ผู้เขียนก็ไม่ทราบว่า เวลาพูดกับ ลูกให้ธรรมะกับลูกแล้วจะรู้เรื่องหรือไม่ ถ้าเขารู้เรื่องรับรู้ได้แต่ไม่สามารถสั่งสมองใน การติดต่อกับใครๆ ได้คงทุกข์ทรมานใจมาก โชคดีที่เขาได้เคยปฏิบัติธรรมและได้เคยบวช เรียนมา พระธรรมเท่านัน้ ทีจ่ ะช่วยเหลือหล่อเลีย้ งจิตใจได้ ชนิดทีเ่ งิน ชือ่ เสียง หรือใครๆ ก็ชว่ ย ทำ�ให้ไม่ได้ คนเราเกิดมาแล้ว ต้องแก่ เจ็บ และตาย ไม่มที างหลีกหนีพน้ ไปได้ เราจึงควรเป็น ผู้ไม่ประมาทศึกษาพระธรรมยอมรับในสัจธรรมของชีวิตที่มีการเกิด แก่ เจ็บ และตาย เป็น

เรือ่ งธรรมดาของชีวติ ต้องมีดว้ ยกันทัง้ นัน้ และนำ�ไปปฏิบตั ดิ บั ไฟกิเลสหมดลงโดยไม่มที กุ ข์ เกิดขึ้นในใจ มิใช่เกิดมาเพื่อให้กิเลสเผา อบรมจิตให้สดชื่น เยือกเย็นเป็นความสงบสุขชนิด ไม่อาจหาได้จากทีไ่ หน นอกจากพึง่ พาอาศัยพระธรรม ไม่มอี ะไรมารบกวนเราให้มคี วามทุกข์ ทรมานอี ก ต่ อ ไป คื อ ฝึ ก จิ ต ให้ รู้ ทั น ทุ ก ข์ แ ละวางเฉยอุ เ บกขาให้ ไ ด้ ใ นทุ ก สถานการณ์ ทำ�อย่างไรจะได้รับความสุขในทุกช่วงวัย หรืออย่างน้อยให้จิตสงบเอาตัวรอดให้ได้ในช่วง ลมหายใจสุดท้ายของชีวิตถือเป็นวินาทีทองเพื่อความไม่เกิดไม่ตาย สิ่งนี้ต้องคิดดูให้ดีๆ มิฉะนั้น จะไม่ได้รับสิ่งที่ควรจะได้รับ อย่าให้เสียทีที่โชคดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบ พระธรรมคำ�สอนของพระพุทธเจ้า เป็ น ที่ น่ า ยิ น ดี ที่ มี ผู้ ส นใจหนั ง สื อ เล่ ม นี้ ม ากเป็ น พิ เ ศษ และได้ รั บ ความนิ ย ม แพร่หลายเกินคาด เช่น มีผู้ตายได้สั่งเสียกับน้องสาวว่า ถ้าเขาเสียชีวิตให้ติดต่อผู้เขียนเพื่อ ขอร่วมสมทบทุนสร้างหนังสือนี้เพื่อแจกในงานศพของเขา และในแต่ละครั้งที่จัดพิมพ์จะมี ผูใ้ จบุญและมีจติ ศรัทธาได้รว่ มสมทบทุนในการจัดพิมพ์โดยตลอด การจัดพิมพ์ครัง้ นีผ้ เู้ ขียน ได้น�ำ เงินของผูท้ มี่ าร่วมทำ�บุญในงานศพของลูกชายในส่วนทีเ่ หลือมาร่วมสมทบทุนด้วยและ ทุกครัง้ ทีม่ กี ารจัดพิมพ์ผเู้ ขียนจะปรับปรุงเนือ้ หาสาระเพือ่ ให้ตรงกับคำ�สอนของพระพุทธองค์ ให้มากที่สุด ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ผู้เขียนได้จัดซื้อหนังสือพระไตรปิฎกสยามรัฐภาษาไทย ๔๕ เล่มเพือ่ ใช้เป็นข้อมูลในการทบทวนพระสูตร ๑๐๐ กว่าพระสูตรทีน่ �ำ มากล่าวอ้างอิง ซึง่ มี ผูใ้ หญ่ใจดีไม่ประสงค์ออกนามร่วมสมทบทุนในการจัดซือ้ หนังสือพระไตรปิฎกฯ ดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้บันทึกเสียงอ่านหนังสือเพื่อความไม่เกิดไม่ตายลงใน แอปพลิเคชั่นยูทูปเมื่อคราวพิมพ์ครั้งที่ ๖ ผู้อ่านสามารถค้นหาเสียงอ่านได้โดยพิมพ์ คำ�ว่า “เพื่อความไม่เกิดไม่ตาย” พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ทำ�การสวดสาธยายธรรมเข้าใจอรรถ เข้าใจธรรม ย่อมเกิดปราโมทย์ เกิดปิติ กายย่อมสงบ มีสุข จิตตั้งมั่น เป็นเหตุแห่งวิมุตติ (อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต เล่ม ๒๒ หน้า ๒๕ ข้อที่ ๒๖) การสวดสาธยายธรรมเพือ่ ให้เข้าถึง พระรัตนตรัยอยูเ่ ป็นประจำ�ทุกวันนับได้วา่ เป็นการบำ�เพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญาอย่างครบถ้วน ถ้าหากไม่รู้ความหมายก็สมควรสวดคำ�แปลเพื่อให้เกิดความเข้าใจและจำ�ได้ขึ้นใจถือได้ว่า เป็นการประกาศพระธรรมและจะเกิดประโยชน์ในการคิดใคร่ครวญธรรมทำ�ความเข้าใจ คำ�สอนจนเกิดปัญญาในการเพียรเผากิเลสที่จะเกื้อกูลต่อการบรรลุธรรมไปตามลำ�ดับ ผู้เขียนขอบพระคุณทุกๆ ท่านที่มีส่วนร่วมสมทบทุนและผู้ที่ได้ให้คำ�แนะนำ�ใน การปรับปรุงแก้ไขและเผยแผ่หนังสือเพือ่ ความไม่เกิดไม่ตายออกไปอย่างกว้างขวาง ด้วยเหตุ อันดีที่ได้กระทำ�มาแล้วนี้ ขอจงเป็นเหตุปัจจัยให้ผู้มีส่วนร่วมสมทบทุน และผู้ที่ได้อ่าน ได้ ศึกษา ได้น�ำ ไปปฏิบตั ิ พึงสำ�เร็จสมหวัง พบความเจริญรุง่ เรืองของชีวติ ได้จริงในทางโลก และ ได้ดวงตาเห็นธรรมสำ�เร็จผลยังนิพพาน สมดังความปรารถนา ตามเหตุปัจจัยที่ได้สร้างมา อย่างดีแล้วด้วยเทอญ. มณีโชค ตติยไตรรงค์ ๐๘-๗๗๙๔-๙๗๕๐ , ๐๘-๖๕๐๘-๒๓๗๒



คำ�นำ� (พิมพ์ครั้งที่ ๘)

“แปลกไหมละ” ศรัทธาพระพุทธเจ้า แต่สวดมนต์บทที่พระพุทธเจ้าไม่รู้จักใน พระไตรปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๑๖ หน้า ๙๒ ข้อที่ ๑๖๘ เขียนเป็นลายลักษณ์อกั ษร ชัดเจนพระพุทธเจ้าให้ภิกษุสวดสาธยายธรรมบทปฏิจจสมุปบาททรงตรัสว่า เธอจงรับเอา เธอจงเล่าเรียน เธอจงทรง (จำ�) ไว้ ธรรมปริยายนี้ ประกอบด้วยประโยชน์เป็นเบือ้ งต้นแห่ง พรหมจรรย์ และทรงตรัสว่า ธรรมเหล่านั้น (พระพุทธวจน) เข้าถึงโสต ฟังเนืองๆ คล่องปากขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดี ด้วยทิฐิ (ความเข้าใจที่ถูกตรง) เธอมีสติหลงลืม เมื่อกระทำ�กาละ (ตาย) ย่อมเข้าถึงเทพนิกายหมู่ใดหมู่หนึ่ง บทแห่งธรรมทั้งหลาย ย่อมปรากฏแก่เธอผูม้ คี วามสุขในภพนัน้ สติบงั เกิดขึน้ ช้า แต่เมือ่ เธอมีสติยอ่ มเป็นผูบ้ รรลุ คุณวิเศษเร็วพลัน (อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต เล่ม ๒๑ หน้า ๒๗๗ ข้อที่ ๑๙๑) ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงได้จัดทำ�หนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อให้ผู้อ่านศรัทธาในพระพุทธวจน และนำ�ไป สวดสาธยายธรรมเป็นเวลา ๔ ปีเต็ม ได้เผยแผ่ไปแล้วจำ�นวน ๕๐,๐๐๐ เล่ม แต่มักได้ยิน คำ�อุปมาอุปมัยประโยคว่า“พูดท่องเหมือนนกแก้วนกขุนทอง” จึงขอเน้นทำ�ความเข้าใจ ณ ทีน่ ว้ี า่ การสวดสาธยายธรรมต้องเข้าใจและนำ�ความรู้ท่ีได้ไปปฏิบัติเพื่อละความชั่ว ทำ�ความดี ชำ�ระจิตให้ผ่องใสมีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสตินำ� ความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ อย่างไรก็ตาม คำ�ตรัสของพระพุทธเจ้าสำ�หรับ ผูใ้ หม่อาจอ่านแล้วทำ�ความเข้าใจได้ยาก บางเนือ้ หาจึงมีความคิดเห็นของผูเ้ ขียนเพือ่ ให้ผอู้ า่ น เกิดความเข้าใจ หากมีข้อความใดไม่ถูกตรงกับคำ�ตรัสของพระพุทธเจ้า ขอให้ท่านผู้รู้ โปรดบอกกล่าวเพื่อให้ผู้เขียนปรับปรุงในการพิมพ์ครั้งต่อๆ ไป จะเป็นพระคุณอย่างสูง มณีโชค ตติยไตรรงค์ ๐๘-๗๗๙๔-๙๗๕๐ , ๐๘-๖๕๐๘-๒๓๗๒

ที่สุดแห่งการท่องเที่ยวของพระองค์



เมื่อเรายังค้นไม่พบแสงสว่าง, มัวแสวงหานายช่างปลูกเรือนอยู่, ได้ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ กล่าวคือ ความเกิดแล้วเกิดอีกเป็นอเนกชาติ. ความเกิดเป็นทุกข์รํ่าไปทุกชาติ. แน่ะ นายช่างผู้ปลูกสร้างเรือน! เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว, เจ้าจักสร้างเรือนให้เราต่อไปอีกไม่ได้, โครงเรือนของเจ้า เราหักเสียยับเยิน หมดแล้ว. ยอดเรือนเราขยี้เสียแล้ว. จิตของเราถึงความเป็นธรรมชาติ ที่อารมณ์จะยุแหย่ ยั่วเย้า ไม่ได้เสียแล้ว มันได้ถึงแล้ว ถึงความหมดอยากทุกอย่าง.

ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่มที่ ๒๕ หน้า ๔๐ ข้อที่ ๒๑



คำ�นำ� (พิมพ์ครั้งที่ ๗)

“หนังสือเล่มนีอ้ า่ นเข้าใจยาก” ผูเ้ ขียนจึงได้พยายามค้นหารวบรวมพระสูตรทีเ่ ป็น คำ � ตรั ส สอนจากพระโอษฐ์ ข องพระพุ ท ธเจ้ า และปรั บ ปรุ ง เนื้ อ หารู ป ภาพเพื่ อ ให้ เ กิ ด ความเข้าใจตามคำ�สอนของพระพุทธองค์ หลังจากทีพ่ ระองค์ตรัสรูไ้ ด้ให้สาวกจดจำ�คำ�สอน และนำ�ไปปฏิบตั ใิ ห้บรรลุธรรมเพือ่ แก้ไขปัญหาสำ�คัญทีส่ ดุ ในชีวติ ๓ ข้อ คือชาติ ชรา มรณะ ทรงตรัสว่า ชาติความเกิด ชราความแก่ มรณะความตาย ไม่พึงมีในโลก ตถาคตอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าไม่พงึ บังเกิดในโลก (อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต เล่ม ๒๔ หน้า ๑๖๘ ข้อที่ ๗๖) เพือ่ ให้สาวกสามารถหนีพน้ จากความตายในสังสารวัฏไปสูน่ พิ พานทำ�อย่างไรให้บรรลุธรรม ให้ได้อย่างน้อยจากปุถุชนคนธรรมดาเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบันและปฏิบัติธรรมอย่าง ต่อเนือ่ งให้ได้นพิ พานซึง่ ถือเป็นพระประสงค์ของพระพุทธองค์และเป็นเป้าหมายในการจัด พิมพ์หนังสือเล่มนี้ขึ้นมา หากแม้นว่ายังไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินี้และแม้นเธอมีสติหลงลืม ก่อนตายก็ยังได้บรรลุธรรมที่สวรรค์ด้วยเหตุ ๔ ประการ (รายละเอียดอยู่ในหน้าที่ ๑๗) ดังนัน้ เมือ่ เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วจึงควรฉวยโอกาสนีจ้ ดจำ�คำ�สอนของพระองค์อย่างน้อยสัก บทเดียวแล้วนำ�ไปปฏิบัติธรรมให้สมควรแห่งธรรม หนังสือเล่มนี้จะขอเป็นเครื่องชี้ทางที่ พระองค์เป็นผูบ้ อกหนทาง ถ้าเราเริม่ มีศรัทธาจะเกิดความเพียรขอให้ศกึ ษาและทำ�ความเข้าใจ พระพุทธวจนก่อนว่าคืออะไรทีอ่ ยูใ่ นหน้าที่ ๑ อนึง่ การปฏิบตั ธิ รรมแบบม้าอาชาไนยซึง่ มีอยูใ่ น หน้าที่ ๑๐ จะเหมาะมากสำ�หรับผูท้ เี่ ข้าใจและตัง้ เป้าหมายเป็นโสดาบันให้ได้ในชาตินี้ ถือได้วา่ ไม่เสียชาติทไี่ ด้เกิดมาเพราะชาติหน้ารับรองได้วา่ จะไม่ไปเกิดตํา่ กว่ามนุษย์อกี ต่อไป พระสูตร ที่กล่าวอ้างในหนังสือเล่มนี้จะพิมพ์ด้วยตัวอักษรเข้มเอียง ได้รวบรวมจากพระพุทธวจนที่ ท่านพุทธทาสได้เก็บข้อมูลมาจากพระไตรปิฎกฉบับบาลีสยามรัฐอีกต่อหนึ่ง เมื่อได้ศึกษา เข้าใจแล้วจะเห็นว่า การจดจำ�พระพุทธวจนมีความสำ�คัญกับชีวิตของเรามาก ดังคำ�อุปมา อุปไมยของพระพุทธเจ้าที่ทรงใช้พระหัตถ์ช้อนฝุ่นจากพื้นดินไว้ในปลายเล็บและตรัสถาม สาวกว่า ฝุน่ เล็กน้อยทีเ่ ราช้อนไว้ในปลายเล็บกับดินในแผ่นดินใหญ่ ข้างไหนจะมากกว่า กัน สาวกตอบว่า ที่แผ่นดินมีมากกว่า ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่ (จุติ) ตายในพวกมนุษย์ แล้วกลับมาเกิดในพวกมนุษย์นนั้ มีนอ้ ย โดยทีแ่ ท้สตั ว์ทตี่ ายจากมนุษย์ไปแล้ว กลับไปเกิด ในนรก ในกำ�เนิดสัตว์เดรัจฉาน เปรตวิสยั มีมากกว่า เพราะไม่ได้เห็นอริยสัจ ๔ (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๑๙ หน้า ๖๓๑ ข้อที่ ๑๗๕๗) เปรียบเหมือนพวกเราทีไ่ ด้เกิดมาเป็นมนุษย์ ครัน้ เมือ่ ตายจากโลกนีไ้ ปแล้วโอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อกี เท่ากับฝุน่ ทีต่ ดิ ปลายเล็บของ พระองค์ซงึ่ มีจ�ำ นวนน้อยมากๆ เมือ่ เปรียบกับการเกิดในภพภูมอิ นื่ ๆ ซึง่ เหมือนดินในมหาปฐพี ที่มีจำ�นวนมากกว่า ครั้นเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วและมีโอกาสได้ปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม เข้าสู่ความเป็นอมตะหรือนิพพาน (ไม่เกิดไม่ตาย) ในสังสารวัฏนี้ก็ยิ่งมีจำ�นวนน้อยมากๆ ดังนั้นพวกเรามาศึกษาและจดจำ�พระพุทธวจน เพื่อนำ�มาใคร่ครวญในธรรมอันจะนำ�ไปสู่ การกระทำ�กันอย่างจริงจังไม่มเี รือ่ งอะไรควรกระทำ�ยิง่ ไปกว่าการทำ�ให้รอู้ ริยสัจ ๔ เพือ่ เข้าสู่ ประตู น ครแห่ ง ความไม่ ต ายที่ พ ระองค์ ไ ด้ เ ปิ ด โล่ ง รอไว้ ใ ห้ แ ล้ ว เข้ า สู่ ค วามเป็ น อมตะ บรรลุมรรคผลนิพพานในชาตินี้กันเถิด มณีโชค ตติยไตรรงค์ ๐๘-๗๗๙๔-๙๗๕๐ , ๐๘-๖๕๐๘-๒๓๗๒

คำ�นำ� (พิมพ์ครั้งที่ ๖)

“ดู ก รพระผั ค คุ ณ ะเธอพออดทนได้ ห รื อ ” พระพุ ท ธเจ้ า ทรงตรั ส ถาม พระผัคคุณะซึง่ กำ�ลังอาพาธ ปวดศีรษะหนักเหมือนมีใครกำ�ลังเอามีดโกนเฉือนทีศ่ รี ษะ ปวดท้องมากเหมือนคนฆ่าโคกำ�ลังชำ�แหละท้องโค ความเร่าร้อนในกายเหมือนกำ�ลัง ถู ก ย่ า งบนหลุ ม ถ่ า นไฟ พระพุ ท ธเจ้ า ทรงเมตตาแสดงธรรมเทศนาแล้ ว เสด็จหลีกไป พระผัคคุณะได้ตรึกตรองใคร่ครวญเนือ้ ความแห่งธรรมนัน้ เป็นเหตุให้จติ หลุดพ้นจากสังโยชน์ ๕ ไม่นาน ได้ท�ำ กาละ (มรณภาพ) อินทรียข์ องท่านพระผัคคุณะ ผ่องใสยิ่งนัก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ..ในเวลาใกล้ตาย ถึงเธอไม่ได้เห็นตถาคตเลย แต่ ไ ด้ เ ห็ น สาวกของพระตถาคตแสดงธรรมจิ ต ของเธอย่ อ มหลุ ด พ้ น จาก สังโยชน์ ๕ เพราะได้ฟงั ธรรมเทศนาโดยกาลอันควรนัน้ (อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต เล่ม ๒๒ หน้า ๔๔๑ ข้อที่ ๓๒๗) ผู้เขียนได้พบพยาบาลท่านหนึ่งมีหน้าที่ปฏิบัติงานในห้อง ICU ได้สวด สาธยายธรรมให้ผู้ป่วยฟังก่อนสิ้นใจจำ�นวนร้อยกว่าราย และพบว่าผู้ป่วยจากไป อย่างสงบมีสีหน้าผ่องใสร่างกายนิ่ม (ปกติศพโดยทั่วไป มักจะมีสภาพดำ� คลํ้า ร่างกายแข็งเขียว ถือเป็นประสบการณ์ส่วนบุคคล) ทำ�ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าได้สะดวกขึ้น และผูเ้ ขียนได้พบเพือ่ นสนิทสวดบทปฏิจจสมุปบาทได้ตงั้ แต่เด็กๆ โดยสวดให้บดิ าฟัง ทุ ก ครั้ ง ที่ บิ ด าไม่ ส บายจวบจนลมหายใจสุ ด ท้ า ย ผลคื อ บิ ด าจากไปอย่ า งสงบ ผิ ว พรรณผ่ อ งใส ตั ว นิ่ ม คุ ณ ยายและคุ ณ พ่ อ ของผู้ เขี ย นหลั ง จากเสี ย ชี วิ ต แล้ ว ก็เช่นเดียวกัน นางพยาบาลถึงกับอุทานว่า “ทำ�ไมอาม่าตัวนิม่ ” และยังมีอกี หลายราย พระพุ ท ธเจ้ า ให้ คำ � สอนที่ เ ป็ น จริ ง สอนให้ เ ห็ น จริ ง นำ � ไปปฏิ บั ติ ไ ด้ ผ ลสมจริ ง เพียงได้ฟังธรรมยังให้ผลยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ถ้าได้สวดสาธยายธรรมใคร่ครวญธรรม ด้ ว ยตนเองจะให้ ผ ลที่ไม่สามารถคาดคะเนได้ จึงใคร่เชื้อเชิญชักชวนวิงวอนมา เริ่มสวดสาธยายธรรมใคร่ครวญธรรมให้เกิดความเข้าใจและนำ�ไปปฏิบัติในชีวิต ประจำ�วันกันเถอะ หวั ง ว่ า หนั ง สื อ เล่ ม นี้ จ ะช่ ว ยให้ ผู้ อ่ า นมี ค วามเข้ า ใจที่ ถู ก ต้ อ งตรงตามที่ พระพุทธเจ้าทรงตรัสสัง่ สอนและนำ�ไปสวดสาธยายธรรมใคร่ครวญธรรมนำ�ไปปฏิบตั ิ เพื่อความพ้นทุกข์ไม่เกิดไม่ตายเข้าสู่ประตูนครแห่งความไม่ตาย ผู้เขียนขอบพระคุณ ทุ ก ท่ า นเป็ น อย่ า งสู ง และอนุ โ มทนาบุ ญ ในกุ ศ ลจิ ต ที่ ไ ด้ มี ส่ ว นร่ ว มสมทบทุ น ในการจัดพิมพ์เผยแผ่ ข้อบกพร่องใดๆ หากพึงมีถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน แต่เพียงผู้เดียว มณีโชค ตติยไตรรงค์ ๐๘-๗๗๙๔-๙๗๕๐ , ๐๘-๖๕๐๘-๒๓๗๒

คำ�นำ� (พิมพ์ครั้งที่ ๕)

นิพพานหรืออมตะ คือความไม่ตาย ปุถชุ นจำ�นวนมากพยายามแสวงหาหนทาง ไม่ตายเพื่อหนีความตาย แต่ทุกวันนี้ส่วนใหญ่มักเห็นผิด จึงทำ�ให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น แสวงหาสิ่งที่ทำ�ให้เกิดใหม่ แล้วก็แก่ เจ็บ ตายไป วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏไม่รู้จักจบสิ้น พระพุทธเจ้าทรงตรัส ในกาลไหนๆ ท่านเหล่าใด เห็นภัยในความยึดมัน่ ถือมัน่ อันเป็น ตัวเหตุให้เกิดและให้ตายแล้ว เลิก ยึดมั่น ถือมั่น หลุดพ้นไปได้ เพราะอาศัยนิพพาน อันเป็นธรรมที่สิ้นไปแห่งความเกิด ความตาย เหล่าท่านผู้เป็นเช่นนั้น ย่อมประสบ ความสุข ลุพระนิพพานอันเป็นธรรมเกษม เป็นผู้ดับเย็นได้ในปัจจุบันนี้เอง ล่วงเวร ล่ว งภั ย ทุ ก อย่ า งเสี ย ได้ และก้ า วล่ ว งเสี ย ได้ ซึ่ ง ความทุ ก ข์ ทั้ ง ปวง (มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๑๔ หน้า ๓๑๘ ข้อที่ ๕๒๕) และทรงตรัสหนทางเพื่อให้ได้ นิพพานหรืออมตะ ชนเหล่าใด บริโภคกายคตาสติ (คือการมีความระลึกรูอ้ ยูท่ กี่ ายหรือ รูอ้ ยูท่ ลี่ มหายใจ) ชนเหล่านัน้ ชือ่ ว่า ย่อมบริโภคอมตะ (อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๒๐ หน้า ๖๖ ข้อที่ ๒๓๕) ดังนัน้ หนทางทีจ่ ะหนีความตายได้ส�ำ เร็จ คือ กายคตาสติฝกึ สติระลึกรูอ้ ยูท่ กี่ าย หรือรูอ้ ยูท่ ลี่ มหายใจ จึงควรนำ�บทสวดอาณาปานสติ (การมีความระลึกรูอ้ ยูท่ ลี่ มหายใจ) มาเรี ย นรู้ ส วดสาธยายธรรมนำ � ไปปฏิ บั ติ เมื่ อ เจริ ญ อานาปานสติ ใ ห้ ม ากชื่ อ ว่ า เจริญหรือบริโภคกายคตาสติ ทรงตรัสว่า “ครั้งเราเป็นโพธิสัตว์ยังมิได้ตรัสรู้ก็ย่อม อยู่ด้วยวิหารธรรม (ระลึกรู้อยู่ที่ลมหายใจ) นี้โดยมาก กายก็ไม่ลำ�บาก ตาก็ไม่ลำ�บาก และจิตของเราย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน” (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๑๙ หน้า ๔๔๓ ข้อที่ ๑๓๒๙) และพระองค์ทรงขอ ให้ฝึกสติให้เร็วเหมือนม้าอาชาไนยที่ฝึกดีแล้ว เพียงแต่ยกปฏักขึ้นเป็นสัญญาณม้า ก็ ส ามารถพารถไปข้ า งหน้ า หรื อ ให้ ถ อยกลั บ ไปข้ า งหลั ง ได้ ต ามที่ ต นปรารถนา การฝึ ก กายคตาสติ จึ ง ถื อ เป็ น กิ จ ที่ ก ระทำ � เพื่ อ ให้ เ กิ ด ขึ้ น แห่ ง สติ สั ม ปชั ญ ญะ เมื่อมีสติสัมปชัญญะทรงตรัสว่า เธอก็จงละอกุศลธรรมเสีย จงทำ�ความพากเพียร อย่ า งทั่ ว ถึ ง ในกุ ศ ลธรรมทั้ ง หลายเถิ ด เธอทั้ ง หลายก็ จั ก ถึ ง ความเจริ ญ งอกงาม ไพบูลย์ในธรรมวินยั นี้ (มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑๒ หน้า ๒๓๖ ข้อที่ ๒๖๕) และทรงตรัส เมื่อไม่มีความยินดี ก็ย่อมไม่มีการมาการไป ก็ไม่มีการจุติและอุปบัติ ก็ไม่มโี ลกนี้ โลกหน้า และระหว่างโลกทัง้ สอง นีแ้ ลเป็นทีส่ ดุ แห่งทุกข์” (ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๒๕ หน้า ๒๑๕ ข้อที่ ๑๖๑)“พึงเป็นผูม้ สี ติ มีสมั ปชัญญะ เพือ่ รอคอยการทำ�กาละ (ตาย) นีเ้ ป็นอนุสาสนีของเรา สำ�หรับพวกเธอทัง้ หลาย” (สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๑๘ หน้า ๒๙๐ ข้อที่ ๓๗๔) ช่วงวินาทีทองของชีวติ เราสามารถฝึกสติสมั ปชัญญะให้ ระลึกรู้อยู่ที่กายคตาสติ ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆ ในโลก ไม่มีการมาไม่มีการไปจวบจนลม หายใจสุดท้ายของชีวติ เพือ่ ให้ได้นพิ พานหรืออมตะ คือหนีความตายให้ส�ำ เร็จได้หรือไม่ มณีโชค ตติยไตรรงค์ ๐๘-๗๗๙๔-๙๗๕๐ , ๐๘-๖๕๐๘-๒๓๗๒



คำ�นำ� (พิมพ์ครั้งที่ ๔)

“มี เ ยอะ หนั ง สื อ ธรรมะมี เ ต็ ม บ้ า นแล้ ว ” เป็ น ประโยคที่ ผู้ เขี ย น มักจะได้ยินหลังจากที่ได้มอบหนังสือเพื่อความไม่เกิดไม่ตายให้กับคนที่รู้จัก ซึ่ ง ผู้ เขี ย นได้ ชี้ แจงว่ า เป็ น หนั ง สื อ ที่ ไ ม่ ค่ อ ยเหมื อ นกั บ หนั ง สื อ ธรรมะทั่ ว ไป มีบทสวดสาธยายธรรมที่แตกต่าง ท่านเคยได้ยินบทสวดปฏิจจสมุปบาทหรือ บทสวดอริ ย มรรคมี อ งค์ ๘ หรื อ ไม่ เป็ น บทที่ พ ระพุ ท ธเจ้ า ทรงตรั ส รู้ แ ละ รั บ รองว่ า ถ้ า ได้ นำ � ไปสวดสาธยายธรรมใคร่ ค รวญธรรมอยู่ เ ป็ น ประจำ � จนคล่องปากขึ้นใจเกิดความเข้าใจและนำ�ไปปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำ�วัน จะดั บ กรรมได้ แ ละจะบรรลุ ธ รรมบนสวรรค์ จากการสอบถามส่ ว นใหญ่ ไม่ค่อยเคยได้ยิน ผู้เขียนได้ศึกษาอ่าน ฟัง ธรรมะ มาเป็นเวลา ๓๐ กว่าปี ก็ยังไม่เคยได้ยินเพิ่งจะได้ยินเมื่อ ๒ ปีที่แล้ว จึงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะเผยแผ่บทแห่งธรรมดังกล่าว ดังนั้น หนังสือเล่มนี้ได้ชี้หนทางหรือแผนที่ ไปสวรรค์และจะบรรลุธรรมบนสวรรค์ อย่างไรก็ตาม การวางใจไม่โลภอยาก ไปสวรรค์ก็เป็นสิ่งที่สำ�คัญ พระพุทธเจ้าเป็นเพียงผู้บอกหนทางเราเป็นเพียง ผู้ เ ดิ น ตามทางปฏิ บั ติ ธ รรมประพฤติ พ รหมจรรย์ อนุ โ มทนาบุ ญ กั บ ผู้ ที่ ไ ด้ เริ่มออกเดินทางแล้ว สักวันหนึ่งเชื่อได้ว่า จะบรรลุธรรมถึงฝั่งพระนิพพาน ผู้ เขี ย นจะจั ด พิ ม พ์ ห นั ง สื อ นี้ ไ ปเรื่ อ ยๆ ตราบใดที่ ยั ง มี ผู้ ต้ อ งการ ร่วมกันบริจาคสมทบทุนสร้างหนังสือเพื่อความไม่เกิด ไม่ตาย ถือเป็นรัตนะ ๕ บุคคลผู้หาได้ยากในโลกที่ได้ร่วมกันเผยแผ่คำ�พระตถาคต เป็นเหตุปัจจัย ให้พวกเราประสบความสำ�เร็จสมความปรารถนาได้มรรคผลนิพพาน สาธุ สาธุ สาธุ มณีโชค ตติยไตรรงค์ ๐๘-๗๗๙๔-๙๗๕๐ , ๐๘-๖๕๐๘-๒๓๗๒



คำ�นำ� (พิมพ์ครั้งที่ ๓)

นับแต่ตน้ ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ หนังสือ “เพือ่ ความไม่เกิดไม่ตาย” ได้จดั พิมพ์ เผยแผ่ระยะเวลา ๘ เดือนเต็ม ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้อ่าน จึงได้จัดพิมพ์เป็นครั้งที่ ๓ ผู้เขียนมีความสุขใจจากผู้อ่านที่ติดต่อผู้เขียนซํ้า เพื่ อ ขอหนั ง สื อ เพิ่ ม เติ ม เป็ น จำ � นวนหลายรายทั้ ง ในกรุ ง เทพมหานครและ ต่างจังหวัด เช่น รายล่าสุดหลังจากทีไ่ ด้หนังสือ ๒๐๐ เล่ม เพือ่ แจกเนือ่ งในวันแม่ จากนั้นขอเพิ่มเติมอีก ๖๐ เล่ม และยํ้าว่าจะขอเผยแผ่อีกในโอกาสต่อไป และผู้เขียนเป็นสุขใจอย่างยิ่ง เมื่อท่านปลัดกระทรวงการคลังได้สนับสนุน เงินรางวัลให้ผู้อำ�นวยการสำ�นักบริหารกลางดำ�เนินการคัดเลือกข้าราชการ ที่ ส่ ง บทความสรุ ป เนื้ อ หาในหนั ง สื อ ให้ ผู้ ที่ ส รุ ป ได้ ดี ที่ สุ ด และผู้ เขี ย นสุ ข ใจ ยิ่งขึ้นไปอีกเมื่ออาจารย์หมอโรงพยาบาลรามาธิบดีได้บอกกล่าวกับผู้เขียนว่า จะนำ � หนั ง สื อ นี้ ใ ห้ คุ ณ พ่ อ อ่ า น ถ้ า คุ ณ พ่ อ ไม่ เ ห็ น ความสำ � คั ญ อาจารย์ ห มอ จะอ่านให้คุณพ่อฟังด้วยตัวเอง มักมีผ้ถู ามว่า หนังสือเล่มนี้เป็นธรรมะสายไหนมีบทสวดมนต์ท่แี ปลก ไม่เคยเห็นมาก่อน ขอตอบว่า สายพระไตรปิฎก ผูเ้ ขียนได้รวบรวมจากพระพุทธวจน ทัง้ เนือ้ หาและบทสวดสาธยายธรรมทีเ่ น้นเพือ่ นิพพาน เพือ่ วิมตุ ติ เพือ่ ความไม่เกิด ไม่ตาย เพื่อการบรรลุธรรม ผู้ใดปฏิบัติธรรมตามเนื้อหาในหนังสือนี้อย่างน้อย ได้ขึ้นสวรรค์และจะบรรลุธรรมบนสวรรค์ ซึ่งหนังสือนี้จัดทำ�เล่มเล็กกะทัดรัด พกติดตัวไปไหนมาไหนได้สะดวก เมื่อมีเวลาว่างใช้เวลาให้เกิดบุญสูงสุดเช่น นัง่ คอยหมอหรือเพือ่ นก็สามารถหยิบขึน้ มาสวดอ่านใคร่ครวญธรรมได้ โปรดสังเกตว่า ใช้คำ�ว่าสวดสาธยายธรรม คือต้องสวดให้ร้ใู ห้เข้าใจเพื่อนำ�มาใคร่ครวญธรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในหนทาง ๕ ทางให้ถึงวิมุตติ อย่างไรก็ตาม สำ�หรับผู้อ่านบางท่าน อาจจะประสบปั ญ หาอ่ า นเข้ า ใจยากเนื่ อ งจากไม่ รู้ ค วามหมายในคำ � ศั พ ท์ ยิ่งจำ�เป็นต้องศึกษาจนกว่าจะรู้ความหมายและอ่านทบทวนอยู่เนืองๆ

พระพุทธเจ้าสวดสาธยายธรรมบทไหน ครัง้ หนึง่ พระพุทธเจ้าหลีกเร้น อยูเ่ พียงลำ�พังกำ�ลังสวดสาธยายธรรม “เพราะอาศัยตาเห็นรูปทั้งหลายจึงเกิด จักขุวิญญาณ การประจวบแห่งธรรม ๓ ประการเป็น ผัสสะ เพราะมีผัสสะ เป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา เพราะ ตัณหานัน้ เทียวดับด้วยสำ�รอกโดยไม่เหลือ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้” และขณะนั้นมีภิกษุองค์หนึ่งแอบฟังพระพุทธเจ้าสวดสาธยายบทปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นจึงตรัสว่า “เธอจงศึกษาเล่าเรียน ทรงจำ�ธรรม ปริยายนี้ ธรรมปริยายนีป้ ระกอบด้วยประโยชน์ เป็นเบือ้ งต้นแห่งพรหมจรรย์” (สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๑๖ หน้า ๙๒ ข้อที่ ๑๖๗-๑๖๘) กระแสปฏิจจสมุปบาท จิตจะปรุงแต่งไปตามกระแสเป็นปัจจัยนำ�มาซึ่งความเกิดทุกข์จะดับทุกข์ได้ ด้ ว ยการปฏิ บั ติ ธ รรมประพฤติ พ รหมจรรย์ ตั ด กระแส ณ จุ ด ใดจุ ด หนึ่ ง ความดับไม่เหลือแห่งกรรมย่อมมี เพราะความดับแห่งผัสสะ (อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต เล่ม ๒๒ หน้า ๔๗๑ ข้อที่ ๓๓๔) เธอจงพิจารณาเห็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ว่าเป็นมาร เป็นผูท้ �ำ ให้ตาย เป็นผูต้ าย เป็นโรค เป็นดุจหัวฝี เป็นดุจลูกศร เป็นความทุกข์ เป็นตัวทุกข์ที่เกิดแล้ว เมื่อมีความเห็นชอบ ย่อมเบื่อหน่าย คลายกำ�หนัดจางคลายไป ได้วิมุตติหลุดพ้น ได้นิพพาน พรหมจรรย์ที่ประพฤติกันอยู่นี้แล ย่อมหยั่งลงสู่นิพพาน มีนิพพานเป็นที่ สุดท้าย (สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๑๗ หน้า ๒๓๔ ข้อที่ ๓๖๖) เพื่อเบื้องปลายที่สุดแห่งพรหมจรรย์คือ นิพพาน รักศรัทธาพระพุทธเจ้าขอเชิญ ชวนมาอ่านใคร่ครวญธรรมพระสูตรที่อ้างอิงไว้ตลอดทั้งเล่มและสวดสาธยาย ธรรมบททีพ่ ระองค์ตรัสจากพระโอษฐ์ในหนังสือเล่มนีอ้ ยูห่ น้าที่ ๑๙-๔๖ กันเถอะ อนุโมทนาบุญกับกัลยาณมิตรทุกท่านที่ได้ศึกษา ปฏิบัติ และเผยแผ่ คำ�สอนของพระพุทธเจ้า อันเป็นเหตุปจั จัยให้พวกเราได้รบั ผลตามทีพ่ ระพุทธเจ้า ได้บญ ั ญัตไิ ว้ คือเป็นผูไ้ ปทางเจริญไม่ไปทางเสือ่ มถึงความเจริญอย่างเดียว ไม่ถงึ ความเสื่อม ให้ได้เป็นอริยบุคคลในระดับต่างๆ ตามอินทรีย์ของแต่ละท่าน และ สำ�เร็จมรรคผลนิพพานในอนาคตกาลอันใกล้โดยทัว่ กันทุกท่านเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ มณีโชค ตติยไตรรงค์ ๐๘-๗๗๙๔-๙๗๕๐ , ๐๘-๖๕๐๘-๒๓๗๒



คำ�นำ� (พิมพ์ครั้งที่ ๒)

วิมตุ ติ คืออะไร คือความหลุดพ้นจากกิเลสหรือหลุดพ้นจากสังสารวัฏ ผูเ้ ทีย่ งแท้ตอ่ การไม่เกิดไม่ตายในสังสารวัฏเรียกว่า ได้มรรคผลนิพพาน จะช้า หรือเร็วขึน้ อยูก่ บั เหตุปจั จัยของผูน้ นั้ และจะพ้นทุกข์หนีความตายได้ส�ำ เร็จ คือ ชาติหน้าจะไม่มกี ารเกิดอีกต่อไปเพราะเมือ่ มีการเกิดย่อมหมายถึง มีความตาย ซ่ อ นอยู่ ใ นนั้ น ซึ่ ง เป็ น ภารกิ จ ที่ สำ � คั ญ ที่ สุ ด ในชี วิ ต เมื่ อ มี ค วามเห็ น ถู ก เข้าใจแล้ว ต้องศึกษาหนทางและปฏิบัติให้ได้นิพพานเป็นเป้าหมายสูงสุด ของพระพุทธเจ้าในการเทศนาสั่งสอนด้วยคำ�สอนของพระองค์ที่ชาวพุทธ ยึดมั่นไว้เป็นศาสดา คำ�เทศนานั้นเป็นมาตรฐานหนึ่งเดียว คือ ๑) พระองค์ทรงสามารถกำ�หนดสมาธิ เมื่อจะพูด ทุกถ้อยคำ�จึงไม่ผิดพลาด ๒) แต่ละคำ�พูดเป็นอกาลิโก คือ ถูกต้องตรงจริงไม่จำ�กัดกาลเวลา ๓) คำ�พูดที่พูดมาทั้งหมดนับแต่วันตรัสรู้นั้น สอดรับไม่ขัดแย้ง พระองค์ทรงชี้แนะหนทางให้ถึงวิมุตติหลุดพ้น ๕ ทาง คือ ฟังธรรม บรรยายธรรม สวดสาธยายธรรม ใคร่ครวญธรรม และปฏิบตั ธิ รรมให้ได้สมั มา สมาธิแทงตลอดด้วยดีด้วยปัญญาและมอบแผนที่ให้เดินทาง คือ อริยมรรค มีองค์แปด ปัญญา (ความเห็นชอบ ความดำ�ริชอบ) ศีล (วาจาชอบ การงาน ชอบการเลี้ยงชีพชอบ) สมาธิ (ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจ มั่นชอบ) ขอเชิญชวนให้พสิ จู น์ถงึ ความมหัศจรรย์ถงึ ความเปลีย่ นแปลงของจิต เมื่อได้นำ�บทสวดสาธยายธรรมที่มีอยู่ในหนังสือเล่มนี้ไปสวดทุกวันให้ขึ้นใจ บทที่ควรให้ความสำ�คัญ คือ บทสวดอริยมรรคมีองค์แปดเป็นหนทางแห่ง ความดับทุกข์ ซึ่งเป็นบทที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และพระองค์นำ�ไปแสดง ปฐมเทศนาครั้งแรกให้แก่ปัญจวัคคีย์ท้งั ๕ เป็นเหตุให้โกณฑัญญะมีดวงตา เห็นธรรมบรรลุธรรมจากปุถุชนคนธรรมดาเป็นโสดาบันบุคคลแรก บุคคลทั่วไปหากมีความโกรธเกิดขึ้นจะมีปฏิกิริยาตอบโต้กระทำ�ไป ทางกาย ทางวาจาก่อความเสียหาย บางครั้งอาจรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้ที่

เรียกว่า บันดาลโทสะ หากมีการสวดสาธยายธรรมทุกเช้าเย็นเปรียบเหมือน ได้มีการสั่งสมอาวุธซ้อมรบอยู่เป็นประจำ� เมื่อต้องออกรบจริงได้พบกับ สถานการณ์จริงคือ ผัสสะกระทบกับสิง่ ทีช่ อบใจบ้างไม่ชอบใจบ้าง เป็นสาเหตุ ทำ�ให้จิตเกิดความโลภ โกรธ หลง จะมีสติคอยเตือนให้เรามีความเพียรชอบ คือ เพียรละทิง้ อกุศลให้ไว สำ�หรับผูท้ มี่ ปี ระสบการณ์ดา้ นนีท้ มี่ กี ารฝึกฝนบ่อยๆ จะเข้าใจจากประสบการณ์โดยตรงของเขาเองว่า กายและจิตไม่ใช่เรา จิตจะ ไม่ยอมทิ้งอกุศล ถึงแม้นเราจะพยายามสวดอยู่เป็นประจำ�ให้มีความเพียร รีบทิ้งความคิดที่เป็นอกุศล จิตของเราบังคับบัญชายากมาก พอเผลอจิต ก็หนีไปคิดอีก คิดทุกครั้งเป็นความหลงขาดสติแล้ว ความโกรธเกิดขึน้ อีกแล้ว บทที่สวดอยู่เป็นประจำ�จะเป็นสัญญาความจำ�จะผุดขึ้นมา จะมีการพิจารณา ใคร่ครวญธรรม มีความดำ�ริชอบ เมื่อมีสติเกิดขึ้นบ่อยๆ จะเกิดปัญญา มี ค วามเห็ น ชอบว่ า สวดสาธยายธรรมขึ้น ใจแล้ ว ต้ อ งอดทนวางจิ ต เฉยๆ อุเบกขาให้ได้ในทุกสถานการณ์ ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา ขันติ คือ ความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง และไม่ลืมสวดหัวใจของ พุทธศาสนาโอวาทปาติโมกข์ละชั่ว ทำ�ความดี ทำ�จิตใจให้ผ่องใส จะทำ�ให้ เราสามารถชนะใจตนเองเปรียบเหมือนชนะมารที่อยู่ในใจของเราได้ เมื่อมี ความเพียรชอบสามารถทิ้งความคิดอกุศล กาม พยาบาท ความมุ่งร้าย ความเบี ย ดเบี ย น ก็ จ ะเป็ น ความดำ � ริ ช อบ ไม่ มี ก ารโต้ ต อบทางวาจา (ถ้ามีก็จะลดความรุนแรง) ถือเป็นวาจาชอบ ไม่ตอบโต้ทางกายถือเป็น การงานชอบ อนุโมทนาบุญกับผู้ที่นำ�ไปสวดสาธยายธรรม สาธุ อนุ โ มทนาบุ ญ กั บ ผู้ มี จิ ต ศรั ท ธาที่ ไ ด้ ร่ ว มกั น สละทรั พ ย์ เ ป็ น ค่าใช้จ่ายจัดพิมพ์หนังสือเผยแผ่และร่วมกันประกาศคำ�ของพระตถาคต ทุกท่าน เป็นเหตุปัจจัยให้ท่านผู้อ่านมีดวงตาเห็นธรรมพัฒนาศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อความไม่เกิดและไม่ตายในสังสารวัฏได้พบกับความสงบ อันแท้จริง มณีโชค ตติยไตรรงค์ ๐๘-๗๗๙๔-๙๗๕๐ , ๐๘-๖๕๐๘-๒๓๗๒



คำ�นำ� (พิมพ์ครั้งที่ ๑)

เพือ่ ความไม่เกิดไม่ตาย หนังสือเล่มนี้ ได้รวบรวมพระพุทธวจนอันเป็น สั จ ธรรมคำ � สอนของพระพุ ท ธเจ้ า และภารกิ จ ที่ สำ � คั ญ ที่ สุ ด ในชี วิ ต เมื่อมีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์จะใช้ชีวิตอย่างไรให้เกิดความคุ้มค่า มีทุกข์น้อย และบรรลุธรรมขัน้ ตํา่ เป็นโสดาบัน หรือเข้าสูน่ พิ พาน พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ..ธรรมทัง้ หลาย (พระพุทธวจน) เข้าโสต ฟังเนืองๆ คล่องปาก ขึน้ ใจ แทงตลอด ด้ ว ยดี ด้ ว ยทิ ฐิ (ความเข้ า ใจที่ ถู ก ตรง)เธอมี ส ติ ห ลงลื ม เมื่ อ กระทำ � กาละ (ตาย) ย่อมเข้าถึงเทพนิกายหมูใ่ ดหมูห่ นึง่ บทแห่งธรรมทัง้ หลายย่อม ปรากฏแก่เธอ ผูม้ คี วามสุขในภพนัน้ สติบงั เกิดขึน้ ช้าแต่เมือ่ เธอมีสติ ย่อมเป็น ผู้บรรลุคุณวิเศษเร็วพลัน (อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต เล่ม ๒๑ หน้า ๒๗๗ ข้อที่ ๑๙๑) ดังนั้น การเริ่มต้นชีวิตที่ดีด้วย “พระพุทธวจน” ธรรมวินัย จากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าด้วยการศึกษาธรรม ฟังธรรมเนืองๆ พร้อมทัง้ สวดสาธยายธรรมให้ปลูกฝังลงในใจคุน้ เคยกับพระพุทธวจนและนำ�ไปปฏิบตั ิ ธรรมประกอบพร้อมด้วยทาน ศีล สมาธิ เพือ่ ให้เกิดปัญญา ถ้ายังไม่บรรลุธรรม ในชาตินี้จะไปเกิดบนสวรรค์และจะบรรลุธรรม ในที่นี้จะกล่าวถึงบทสวด ที่สำ�คัญที่ควรระลึกอยู่ในใจเสมอเพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขในชีวิต ดั่งคำ�สอนของพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เพราะเหตุว่า ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าใจ ธรรมที่เราแสดง (พระพุทธเจ้า) สักบทเดียว นั่นก็ยังเป็นไปเพื่อประโยชน์ เกื้อกูลและความสุขแก่ชนทั้งหลายเหล่านั้นตลอดกาลนาน (สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๑๘ หน้า ๔๑๐ ข้อที่ ๖๐๖) บทสวดอริ ย มรรคมี อ งค์ ๘ พระพุ ท ธเจ้ า ทรงตรั ส รู้ อ ริ ย สั จ ๔ แบ่งเป็น สายเกิดคือ ทุกข์ สมุทัย ส่วนสายดับคือ นิโรธ มรรค ซึ่งบทสวด อริยมรรคมีองค์ ๘ ได้ชี้หนทางดับไม่เหลือแห่งทุกข์ และอธิบายเกี่ยวกับ ศีล สมาธิ ปัญญา ความเห็นถูก ความคิดถูก รวมถึงสติปัฏฐาน ๔ ให้พิจารณา ใคร่ครวญการเกิดดับที่เกิดขึ้นในฐานทั้ง ๔ คือ กาย เวทนา (ความรู้สึกสุข

ทุกข์ เฉยๆ) จิตและธรรม ความเพียรช่วยเผากิเลส ละความพอใจไม่พอใจ เพื่อให้วงจรของกรรมทั้งหมดทั้งปวงนั้นกลายเป็นโมฆะโดยสิ้นเชิง บทสวดอิ ทั ป ปั จ จยตา ปฏิ จ จสมุ ป บาท พระพุทธเจ้าทรงสวด ใคร่ครวญ ด้วยพระองค์เองเมื่ออยู่วิเวกหลีกเร้นผู้เดียว อิทัปปัจจยตาเป็นกฎ ความจริงของธรรมชาติ ทั้งรูปธรรมนามธรรมอาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น อาศัยเหตุปัจจัยจึงดับไป ปฏิจจสมุปบาท กับ อริยสัจ ๔ เป็นเรื่องเดียวกัน ปฏิจจสมุปบาทกล่าวโดยพิสดาร เช่น การอธิบายเรื่องความทุกข์เกิดสืบสาย มาจากเหตุใดบ้างอย่างละเอียดว่า ความทุกข์เกิดมาจากอวิชชา อวิชชาทำ�ให้ เกิดสังขารทัง้ หลาย และต่อไปเรือ่ ยๆ จนไปถึงเวทนา ทำ�ให้เกิดตัณหา และตัณหา ทำ�ให้เกิดอุปาทาน และทำ�ให้เกิดตัวตนผู้อยาก จนทำ�ให้เกิดการยึดมั่นถือมั่น จึงเกิดทุกข์ขนึ้ มา แต่อริยสัจ ๔ กล่าวโดยย่อๆว่า ความทุกข์ มีเหตุเกิดจากตัณหา บทสวดอินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ กล่าวถึงอารมณ์ชอบใจไม่ชอบใจ หรือความพอใจไม่พอใจทีเ่ กิดขึน้ แล้วจากผัสสะทีก่ ระทบ (วงจรปฏิจจสมุปบาท สายเกิดทุกข์เริ่มหมุน การเกิดเป็นทุกข์รํ่าไป) เป็นสิ่งมีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว หากไม่เพลินกับอารมณ์นั้นก็ไม่ก่อให้เกิดทุกข์เพราะจะไม่พัฒนาไปเป็น ความโลภ โกรธ หลง อุ ป าทาน ภพ ชาติ การละผั ส สะที่ เ กิ ด ขึ้ น ได้ ไว ดุจกระพริบตาของคนคือ ไม่ปล่อยจิตปรุงแต่งจนเกิดความพอใจไม่พอใจ ต้องทำ�ให้ดับไป ส่วนอุเบกขายังคงดำ�รงอยู่ (วางจิตเฉยๆ หรืออุเบกขาให้ได้ ในทุ ก สถานการณ์ ) ถื อ เป็ น อิ น ทรี ย์ ภ าวนาชั้ น เลิ ศ และการละอกุ ศ ล ได้ช้าหรือเร็วแค่ไหนถือเป็นเครื่องชี้วัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม หนังสือ “เพือ่ ความไม่เกิดไม่ตาย” เกิดขึน้ ด้วยจิตศรัทธาของบุคลากร กรมบั ญ ชี ก ลางและท่ า นอื่ น ๆ ได้ ร่ ว มกั น สละทรั พ ย์ เ ป็ น ค่ า ใช้ จ่ า ย จัดพิมพ์หนังสือ ผู้เขียนขอบคุณเป็นอย่างสูง และเชิญชวนเผยแผ่หนังสือ ธรรมะ เพือ่ ความไม่เกิดไม่ตาย ไปสูค่ ณ ุ พ่อคุณแม่ พีน่ อ้ งญาติสนิท มิตรสหาย เพื่อเปิดธรรมที่ถูกปิดและเพื่อความสุขตลอดกาล มณีโชค ตติยไตรรงค์ ๐๘-๗๗๙๔-๙๗๕๐ , ๐๘-๖๕๐๘-๒๓๗๒

กฎสูงสุดของธรรมชาติ

ตถตา คือ ความเป็นอย่างนั้น เป็นเช่นนั้นเอง, อวิตถตา คือ ความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น, อนัญญถตา คือ ความไม่เป็นไปโดยประการอื่นนอกจากอย่างนั้น, ธัมมัฏฐิตตา เป็นความตั้งอยู่โดยความเป็นธรรมดาของธรรมชาติ, ธัมมนิยามตา เป็นกฎตายตัวของธรรมดา, เป็นอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท คือ ธรรมอันเป็นธรรมชาติอาศัยกันและกันเกิดขึ้น สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๑๖ หน้า ๒๙ ข้อที่ ๖๑

การดำ�รงสมาธิจิต เมื่อถูกเบียดเบียนทั้งทางวาจาและทางกาย

จิตของเราจักไม่แปรปรวน เราจักไม่กล่าววาจาอันเป็นบาป เราจักเป็นผู้มีจิตเอ็นดูเกื้อกูล มีจิตประกอบด้วยเมตตา ไม่มีโทสะในภายใน อยู่ จักมีจิตสหรคตด้วยเมตตาแผ่ไปยังบุคคลนั้น อยู่ และจักมีจิตสหรคตด้วยเมตตา อันเป็นจิตไพบูลย์ ใหญ่หลวง ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลกถึงที่สุดทุกทิศทุกทาง มีบุคคลนั้นเป็นอารมณ์ แล้วแลอยู่ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑๒ หน้า ๒๓๙ ข้อที่ ๒๖๗



คำ�นิยม

หนังสือ “เพื่อความไม่เกิดไม่ตาย” เล่มนี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับบทสวดมนต์ ทีแ่ ตกต่างจากหนังสือสวดมนต์ทเี่ คยได้รบั ทัว่ ไป ทีเ่ น้นแต่ค�ำ ตรัสของพระพุทธเจ้าทีเ่ รียกว่า พระพุทธวจนจะเป็นประโยชน์สุขต่อผู้ที่มีความศรัทธาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างยิ่ง และรายละเอียดเกีย่ วกับภารกิจทีส่ �ำ คัญทีส่ ดุ ในชีวติ ได้ให้แง่คดิ ทีด่ ที คี่ นทัว่ ไปอาจมองข้ามไป และไม่ได้ให้ความสำ�คัญ ดังนัน้ หนังสือเล่มนีจ้ ะให้ประโยชน์ตอ่ ผูอ้ า่ นอย่างมากขออนุโมทนาบุญ กับผูเ้ ขียน และผู้มีจิตศรัทธาที่ทำ�ให้หนังสือเล่มนี้สำ�เร็จลุล่วงด้วยดี นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อดีตอธิบดีกรมบัญชีกลาง หนังสือ “เพือ่ ความไม่เกิดไม่ตาย” เพือ่ ให้สาธุชนได้น�ำ พระพุทธวจนธรรมวินยั จาก พระโอษฐ์ไปพิจารณา เพื่อเป็นสัญญาความจำ�ให้เกิดสติและปัญญา ละชั่ว จิตใจผ่องใส ชนะมารที่ อ ยู่ ใ นใจ เป็ น ประโยชน์ ต่ อ ผู้ ป ฏิ บั ติ ให้ ป ระสบความสุ ข ความเจริ ญ ต่ อ ไป ขออนุโมทนาบุญด้วย นางจินดา สังข์ศรีอินทร์ อดีตรองอธิบดีกรมบัญชีกลาง วินาทีทองคือ ลมหายใจสุดท้ายของชีวติ การฝึกให้มสี ติสมั ปชัญญะรูต้ วั ทัว่ พร้อม รู้อ ยู่กับ ลมหายใจอย่างวางเฉยอุเบกขารอคอยการตายได้อย่างต่อเนื่อง จะเป็ นเหตุ เป็นปัจจัยเพือ่ ความไม่เกิดไม่ตาย การฝึกให้มสี ติสมั ปชัญญะ จึงเป็นภารกิจทีส่ �ำ คัญของชีวติ ขออนุโมทนาบุญกับผู้เขียนและผู้อ่านทุกท่าน นายไว คงทวี ผู้อำ�นวยการสำ�นักตรวจสอบและประเมินผล สำ�นักงานปลัดกระทรวงการคลัง เป็นหนังสือที่ดีมีคุณค่าและมีประโยชน์มากที่สุดสำ�หรับชาวพุทธ ทำ�ให้ได้รับ ความรู้ที่เป็นจริงที่เป็นสากลที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ที่สำ�คัญมีบทสวดสาธยายธรรม ที่ไม่เคยพบที่ไหนมาก่อน ดิฉันและสามีนับแต่ได้หนังสือเล่มนี้มา ถือไม่ห่างกาย นางกรรณิการ์ หงสกุล



คำ�นิยม

คำ�สอนของพระพุทธองค์ทที่ รงมอบให้กบั มวลมนุษยชาติมมี ากมายเหลือคณานับ อย่างไรก็ตาม พุทธปัญญาล้วนมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำ�มนุษย์ไปสู่หนทางดับทุกข์ทั้งสิ้น หนังสือเล่มนี้เปรียบประดุจดั่ง “ใบไม้กำ�มือเดียว” พระปัญญาธิคุณของพระพุทธองค์ ที่เราควรน้อมนำ�ไปปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ รองศาสตราจารย์นายแพทย์ปิยะ สมานคติวัฒน์ สังคมในปัจจุบันนี้มีไม่น้อยเลยที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนกำ�ลังทำ�อยู่นั้นมันถูกหรือผิด ควรหรื อ ไม่ ค วร การมาศึ ก ษาธรรมะ ปฏิ บั ติ ธ รรมจึ ง ถื อ เป็ น การปลู ก จิ ต สำ � นึ ก ที่ ดี ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้ให้รายละเอียดที่ดีมาก ขออนุโมทนาบุญกับผู้เขียนที่มีความตั้งใจ ทำ�ได้ดีจนคนชมชอบ พลเรือเอกอภิชาติ ปัญญากิตติวัฒน์ หนั ง สื อ นี้ มี บ ทสวดสาธยายธรรมและสรุ ป เนื้ อ หาคำ � ตรั ส ของพระพุ ท ธเจ้ า เพื่อความหลุดพ้นเป็นประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง ทั้งนี้ อยู่ที่ผู้ที่ได้อ่านจะถอดรหัส จากเนื้อหาในหนังสือนี้ได้มากน้อยแค่ไหน ก็จะได้รับประโยชน์ตามความรู้ ความเข้าใจ จึงควรอ่านหลายครั้ง พิจารณาซํ้าหลายรอบ ปฏิบัติตามเนืองๆ อย่างต่อเนื่อง คุณค่าของ เนื้อหาที่กล่าวจะรู้ได้เฉพาะตนทีเดียว นายสมหมาย ปฐมวิชัยวัฒน์ อดีตอุปนายกสมาคมผู้ตรวจสอบภายในแห่งประเทศไทย

มนุษย์เข้าใจ “ทุกข์” แต่มักลืมแล้วก็เผลอๆ ทำ�ให้เกิดทุกข์อีกจนได้ มีส่วนหนึ่ง ของบทเพลงทีด่ ฉิ นั นำ�มาฝากเป็นแง่คดิ คือ “เจ็บแท้เหมือนแส่กระหนาํ่ ยังไม่จ�ำ ให้หนำ�ใจ” ก็เพราะเผลอใจ... เคยคิดทุกครั้งเมื่อพบทุกข์ ยิ่งทุกข์หนัก...สุดเบื่อการมีชีวิต ถ้าตายแล้ว ไม่ต้องเกิดพ้นทุกข์จะเป็นความปรารถนาที่สุด ติดตามหนังสือเล่มนี้ด้วยใจจดใจจ่อ แล้วท่านจะพบทางที่ท่านปรารถนาดังว่า ดร.วิลเลียม วิมกตายน

คำ�นิยม

“เธอทั้งหลายจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด” นี้เป็นพระวาจาครั้งสุดท้าย ของพระพุทธเจ้า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง เพื่อความไม่ประมาท สวดบทอาณาปานสติที่มีอยู่ใน หนังสือเล่มนี้และเจริญอาณาปานสติรู้ลมหายใจ ในแต่ละวันถ้าไม่มีสติทิ้งลมหายใจไปวันละ ๓๐,๐๐๐ กว่าครั้งเป็นที่น่าเสียดาย มีความเพียร มีสติ ระลึกรู้ลมหายใจ ผู้ใดเป็นผู้ไม่ประมาท ตามรักษาจิต มีสติ มีศีล เป็นอย่างดี จนกว่าเลื่อนชั้นก้าวสู่ความหลุดพ้น ละการเวียนว่ายตายเกิด ทำ�ที่สุดแห่งทุกข์ได้ เขมนนฺโท ภิกขุ คำ�สอนของพระพุทธเจ้าลึกซึ้งหนึ่งคำ�สามารถตีความได้หลากหลายมีทั้งถูกและผิด พระพุทธเจ้าให้น�ำ คำ�ตีความไปพิสจู น์ สิง่ ใดทีถ่ กู จะสามารถดับทุกข์ได้เป็นประโยชน์ตอ่ ชีวติ สิง่ ใดผิด ดับทุกข์ไม่ได้เป็นโทษต่อชีวิต พระพุทธเจ้าให้ตัดสิ่งที่เป็นโทษ ให้เลือกเอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ หนังสือเล่มนีเ้ ป็นส่วนหนึง่ ของการศึกษาคำ�สอนของพระพุทธเจ้าตีความได้ระดับหนึง่ ถ้าต้องการศึกษา รายละเอียดที่ลึกซึ้งขึ้นไปต้องพบกับสัตบุรุษ (พระพุทธเจ้าหรือสาวกแท้ของพระองค์) จึงจะได้ฟัง สัทธรรมที่บริบูรณ์ เพื่อจิตวิญญาณที่ผาสุกจากความพ้นทุกข์ เพราะดับกิเลสได้วิชาและวิมุตติไป เป็นลำ�ดับจนบริบูรณ์ในที่สุด ดร.ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว) ประธานมูลนิธิแพทย์วิถีธรรมแห่งประเทศไทย หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมคำ�สั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เกิดประโยชน์แก่ประชาชนทั่วไป เมือ่ ได้ศกึ ษาและปฏิบตั ติ ามคำ�สอนอย่างถูกต้องย่อมทำ�ให้เกิดปัญญาแก้ทกุ ข์ทเี่ กิดขึน้ ได้ อนุโมทนา บุญกับผู้จัดทำ�และเผยแผ่หนังสือเล่มนี้เป็นธรรมทาน ขอให้มีความเจริญในธรรมยิ่งขึ้น นายมณเธียร ธนานาถ นายกยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ธรรมทานเลิศกว่าทานทั้งหลาย การที่บุคคลได้มีหนังสือเพื่อความไม่เกิด ไม่ตาย อยู่ใน มือเท่ากับท่านได้รบั สิง่ ทีเ่ ลิศทีป่ ระเสริฐ ขอชืน่ ชมผูจ้ ดั ทำ�และพิมพ์เผยแผ่ได้นอ้ มนำ�พระพุทธวจน หรือธรรมะจากพระโอษฐ์โดยส่วนเดียวมาร้อยเรียงได้สอดคล้องสละสลวยง่ายต่อการศึกษา อันจะ นำ�มาซึง่ ความสุขสงบอย่างไพศาล จึงเป็นหนังสือทีม่ ปี ระโยชน์อย่างยิง่ สำ�หรับผูท้ ตี่ อ้ งการพ้นทุกข์ สามารถน้อมนำ�มาประพฤติปฏิบัติธรรมได้ด้วยตนเองสร้างเหตุแห่งการบรรลุธรรมได้ นางประทีป พยัพ พุทธวจนสุพรรณบุรี ศูนย์ปฏิบัติธรรมพุทธประทีป

สารบัญ

พระพุทธวจน พระโอษฐ์ พระพุทธพจน์ พระพุทธภาษิต คืออะไร โอกาสในการเกิดเป็นมนุษย์นั้นยาก ภารกิจที่สำ�คัญที่สุดในชีวิต หนทางให้ถึงวิมุตติหลุดพ้นจากสังสารวัฏ ๕ ประการ พระโสดาบันเป็นใคร ปฏิปทาที่ให้ถึงความเป็นโสดาบัน ทำ�อย่างไรให้สมความปรารถนา เทคนิคการเห็นเกิดดับเป็นเครื่องแทงกิเลส (ม้าอาชาไนย) การตอบแทนคุณมารดาบิดาอย่างสูงสุด วินาทีทองเพื่อความไม่เกิดไม่ตาย คำ�สอนของพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา ประโยชน์ของการสวดสาธยายธรรมพระพุทธวจน บทสวดสาธยายธรรมพระพุทธวจน บทสวด ระลึกถึงพระพุทธเจ้า บทสวด ระลึกถึงพระธรรม บทสวด ระลึกถึงพระสงฆ์ * บทสวด กฎอิทัปปัจจยตา ** บทสวด ปฏิจจสมุปบาท บทสวด อริยมรรคมีองค์แปด บทสวด ละนันทิ บทสวด อานาปานสติ บทสวด รู้ลมก่อนตาย บทสวด โอวาทปาติโมกข์ บทสวด พิจารณาสังขาร บทสวด เพื่อผู้เจ็บไข้ บทสวด ที่สุดแห่งทุกข์

๑ ๔ ๔ ๕ ๖ ๖ ๗ ๑๐ ๑๓ ๑๔ ๑๖ ๑๗ ๑๙ ๑๙ ๒๐ ๒๑ ๒๒ ๒๒ ๒๕ ๓๑ ๓๑ ๓๗ ๓๘ ๓๙ ๔๐ ๔๒



สารบัญ (ต่อ)

บทสวด อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ ๔๓ บทสวด ก่อนนอน ๔๕ บทสวด ปัจฉิมวาจา ๔๖ พระพุทธวจน ๔๘ การเจริญเมตตาหรือเจริญพรหมวิหาร ๔๘ อานิสงส์ของเมตตา ๑๑ ประการ ๔๙ ปัจฉิมวาจา ๔๙ ความเข้าใจเรื่องกรรม ๕๐ วิธีตรวจสอบว่า เป็นคำ�ของพระผู้มีพระภาคเจ้าหรือไม่ ๕๐ ผู้มีจิตตั้งมั่นรู้เหตุเกิดและดับแห่งเวทนา ๕๑ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ องค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ ๕๑ เจริญโพชฌงค์เป็นเหตุสิ้นตัณหา ย่อมทำ�วิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ ๕๑ วิญญาณฐิติ ที่ตั้งอยู่ของจิต หรือมโน หรือวิญญาณ ๕๒ ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น ๕๒ ผู้มีความเพียรตลอดเวลา ๕๓ การหาฤกษ์ดียามดี ๕๓ รายชื่อแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการขูดเกลา ๕๔ สอดส่องกรรม ๕๔ หมายเหตุ *, ** ๑. พระพุ ท ธเจ้ า อยู่ วิ เ วกหลี ก เร้ น ผู้ เ ดี ย วจะสวดสาธยายธรรม บท *อิทัปปัจจยตา และ **ปฏิจจสมุปบาท เป็นบทที่สมควรสวดสาธยายธรรม อย่างยิง่ ๒. พระสารี บุ ต รอั ค รสาวกเบื้ อ งขวาเลิ ศ ด้ า นสติ ปั ญ ญาและ พ ร ะ โ ม ค คั ล ล า น ะ อั ค ร ส า ว ก เ บื้ อ ง ซ้ า ย เ ลิ ศ ด้ า น ผู้ มี ฤ ท ธิ์ ไ ด้ ฟั ง ธ ร ร ม บทปฏิจจสมุปบาทเป็นครั้งแรกได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุธรรมเป็นโสดาบัน

-๑พระพุทธวจน พระโอษฐ์ พระพุทธพจน์ พระพุทธภาษิต คืออะไร

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ผู้ที่มีพระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และ พระปัญญาธิคุณ ในการตรัสรู้อริยสัจ ๔ ด้วยพระองค์เองพร้อมด้วยความสามารถ ในการถ่ายทอด ในการแสดง ในการบัญญัติ ในการตัง้ ขึน้ ไว้ ในการเปิดเผย ในการจำ�แนก แจกแจง ในการทำ�ให้เป็นเหมือนการหงายของที่ควํ่า พระพุทธวจน พระโอษฐ์ พระพุทธพจน์ พระพุทธภาษิต ทั้ง ๔ คำ�มี ความหมายเดียวกัน คือ คำ�ตรัสคำ�สอนธรรมที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้โดยตรง มีอยูใ่ นพระไตรปิฎก สำ�หรับคำ�ว่า ตถาคตภาษิตหรือตถาคตภาสิตา หมายถึง พระพุทธเจ้าเป็นผู้ภาษิตบัญญัติไว้ สอนไว้ ซึ่งคำ�ตรัสของพระองค์สอดรับ ไม่มีการขัดแย้งกันเป็นคำ�ตรัสที่ใช้ได้ตลอดกาลอดีตจริง ปัจจุบันจริง อนาคตจริง เป็ น คำ � ที่ พ ระศาสดาเรี ย กมาตั้ ง แต่ ต้ น ว่ า พระพุ ท ธวจน คนชาติ ไ หนที่ นำ � ไป แปลเป็นภาษาอะไรก็ตาม จะใช้เรียกแบบนี้ทั้งหมด เช่น พูดว่า ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทังสะมาทิยามิ ฝรัง่ เขียนมาต้องเขียนให้อา่ นออกว่า ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ คนจีนต้องอ่าน ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ แสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวของพระพุทธวจนที่มีทั่วโลก พระพุทธวจน มีส่วนสำ�คัญต่อชาวพุทธหรือมนุษยโลก มีส่วนสำ�คัญมาก คือ เป็นสิ่งที่เรียกว่า สัจจะความจริง และไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติใด วรรณะใด นับถือศาสนาใดก็จะจริง เหมื อ นกั น หมด สิ่ ง ที่ เ หมื อ นกั น หมดและเป็ น สากลแบบนี้ เ ป็ น สิ่ ง ที่ พ ระศาสดา เข้าไปค้นพบเรียนรู้สิ่งนี้ขึ้นมา เช่น ถามว่า ฝรั่งมีความอยากไหม มี คนไทยมี คนจีนมี มีความสุข มีความทุกข์ไหม ต้องบอกว่า มี ความอยาก ความสุข ความทุกข์ เกิดจากอะไร พระศาสดาทรงตรัสว่า เกิดจากผัสสะหรือสัมผัส (ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ) ผัสสะจึงเป็นต้นเหตุของการเกิดกรรม เมื่อมีสัมผัสเกิดขึ้น สุข ทุกข์จะเกิดขึ้น เมื่ อ เกิ ด ขึ้ น ความอยากตั ณ หาก็ จ ะเกิ ด ขึ้ น ตามไปด้ ว ย ทั้ ง รู ป ธรรม นามธรรมมี การเปลีย่ นแปลงเสมอกันคือ เกิดขึน้ ตัง้ อยู่ ดับไปไม่เทีย่ งเป็นทุกข์เป็นอนัตตาไม่มตี วั ตน

-๒แท้จริง สิง่ เหล่านีม้ ใี นคนทุกเชือ้ ชาติ จึงเป็นสิง่ สากล ดังนัน้ การมาศึกษาพระพุทธวจน เราจะได้ความเป็นสากล ได้ความจริง จริงๆ และความจริงนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไป ตามกาลเวลา อดีต คนที่เกิดมาแล้วกี่ร้อยกี่พันปีก็ตาม ล้วนมีผัสสะสัมผัส มีสุขทุกข์ มีความอยากตัณหาเหมือนกัน ปัจจุบนั เราก็มี และคนทีจ่ ะเกิดขึน้ มา ในอนาคตอีกกีพ่ นั กีห่ มืน่ ปีกต็ ามรูเ้ ลยว่า คนนัน้ จะต้องมีสมั ผัสมีสขุ ทุกข์ มีความอยากเหมือนกับพวกเรา ทำ�ให้รับรู้เรื่องจริง เรื่องแท้ที่ออกจากภูมิปัญญาของพระศาสดา ซึ่งเป็นสัจจะที่ พระศาสดาทรงตรัสว่า เป็นสิ่งควรรู้เป็นอันดับแรกของชีวิต ทุกๆ ศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี แต่พวกเราทราบหรือไม่ว่า ศาสนา พุทธมีค�ำ สอนทีแ่ ตกต่างจากศาสนาอืน่ ๆ พระประสงค์ของพระพุทธเจ้าในการเผยแผ่ คำ�สัง่ สอนคืออะไร นิพพาน คือ การพ้นทุกข์ หลุดพ้นไม่เกิดไม่ตายในสังสารวัฏ ทำ�อย่างไร ให้พวกเราหรือสัตว์ทงั้ หลาย (สัตว์หมายถึง ผูท้ ตี่ ดิ อยูใ่ นสังสารวัฏ) เข้าสูน่ พิ พาน เพราะ เมือ่ มีเกิดย่อมนำ�มาซึง่ เจ็บ แก่ และตาย วนเวียนเกิดๆ ตายๆ และจะมีอะไรทีจ่ ะเชือ่ มัน่ ได้วา่ ชาติหน้าเราจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ไปเกิดเป็นหมาเป็นแมว พระพุทธเจ้า ทรงตรัสว่า “สัตว์ที่เกิดกลับมาสู่หมู่มนุษย์มีน้อย สัตว์ที่ตายจากมนุษย์เกิดในนรก เดรัจฉาน เปรตวิสยั มีมากกว่า เพราะไม่ได้เห็นอริยสัจ ๔” (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๑๙ หน้า ๖๓๑ ข้อที่ ๑๗๕๗) ในสังสารวัฏนีภ้ พภูมทิ จี่ ะไปเกิด ได้แก่ พรหม เทวดา มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เปรตวิสยั สัตว์นรก พระพุทธเจ้าทรงตรัส “สัตว์ทมี่ อี วิชชาเป็น เครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก แล่นไปอยู่ ท่องเที่ยวไปอยู่ในสังสารวัฏก็ทำ�นอง เดียวกัน บางคราวแล่นไปจากโลกนี้สู่โลกอื่น บางคราวแล่นจากโลกอื่นสู่โลกนี้ เพราะความที่เขาเป็นผู้ไม่เห็นอริยสัจทั้ง ๔” (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๑๙ หน้า ๖๐๓ ข้อที่ ๑๗๑๖) และทรงตรัสว่า เราไม่มองเห็นการจองจำ�อืน่ แม้อย่างเดียว ที่ทารุณอย่างนี้ เจ็บปวดอย่างนี้ เป็นอันตรายอย่างนี้ ...เหมือนการถูกจองจำ�ใน นรกหรือในกำ�เนิดเดรัจฉานอย่างนี”้ (อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต เล่ม ๒๒ หน้า ๔๑๒ ข้อที่ ๓๑๖)

-๓ พวกเราทุกชีวติ ทีไ่ ด้เกิดมานีม้ กี ารเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วไม่รู้ กีร่ อ้ ยล้านชาติ มีพระอยู่ ๔ รูป นัง่ สมาธิจนหูทพิ ย์ตาทิพย์ใช้เวลา ๑๐๐ ปีเพือ่ สาวดูวา่ ชาติแรกเกิดมาได้ อย่างไร พระทัง้ ๔ รูปไม่สามารถเห็นได้เลย พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “นํา้ ตาทีห่ ลัง่ ไหล ออกของเธอ เพราะประสบสิง่ ที่ ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิง่ ทีพ่ อใจนัน่ แหละ มากกว่าส่วนนาํ้ ในมหาสมุทรทัง้ ๔ ไม่มากกว่าเลย เพราะว่า สงสารนีก้ �ำ หนดทีส่ ดุ เบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ก็เหตุเพียงเท่านี้พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขาร ทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำ�หนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น” (สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๑๖ หน้า ๒๒๗ ข้อที่ ๔๒๖) การทีเ่ ราได้มาพบกันนัน้ เป็นเพราะเคยมีความสัมพันธ์ กันมาตัง้ แต่ชาติปางก่อน อาจเป็นพ่อ แม่ พีน่ อ้ ง ศัตรู เพือ่ นรัก จะมีใครสักกีค่ น ทีจ่ ะรูว้ า่ นอกจากมีภารกิจทางโลกคือ เกิดมาต้องศึกษาเล่าเรียนจนจบมัธยม ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เรายังมีอีกภารกิจหนึ่งที่สำ�คัญที่สุด ในชีวิต คือ การเรียนทางธรรม แล้วนำ�ไปปฏิบตั ใิ ห้บรรลุธรรมจากปุถชุ น คนธรรมดาเป็นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ การที่สามารถบรรลุธรรมจากปุถุชนเป็นโสดาบันประโยชน์ที่ได้รับ อย่างน้อยก็รบั ประกันได้วา่ ชาติหน้าไม่ไปเกิดตํา่ กว่ามนุษย์ และเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ จะบรรลุธรรมเพื่อความไม่เกิดไม่ตาย การที่เราได้เกิดเป็นมนุษย์ ทำ�อย่างไรที่จะให้ การดำ�เนินชีวิตของเราคุ้มค่ามากที่สุด ไม่ใช่แค่แสวงหาความสุขทางโลกไปวันๆ เมื่อ ได้พบพระพุทธวจนที่เป็นคำ�ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าโดยตรง ทำ�ให้มี โอกาสได้ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม และบรรลุธรรม ภพของมนุษย์เป็นภพที่เหมาะต่อ การปฏิบัติธรรมมากที่สุด เพราะเห็นการเปลี่ยนแปลงเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ความจางคลายดับไม่เหลือสลัดคืนทีเ่ รียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ชดั เจนกว่าภพของ เทวดาและพรหมทีจ่ ะมีแต่ความสุขมากๆ การเปลีย่ นแปลงจะมีนอ้ ยมากสำ�หรับภพที่ ตํ่ากว่ามนุษย์จะไม่มีโอกาสปฏิบัติธรรมเลย ท่านเคยเห็นลิงปฏิบัติธรรมเดินจงกรม นั่งสมาธิหรือไม่

-๔โอกาสในการเกิดเป็นมนุษย์นั้นยาก

ภิกษุทั้งหลาย! ถ้าสมมติว่า มหาปฐพีอันใหญ่หลวงนี้ มีนํ้าท่วมถึงเป็น อันเดียวกันทั้งหมด บุรุษคนหนึ่งทิ้งแอก ซึ่งมีรูเจาะได้เพียงรูเดียว ลงไปในนํ้านั้น ลมตะวั น ออกพั ด ลอยไปทางทิ ศ ตะวั น ตก ลมตะวั น ตกพั ด ให้ ล อยไปทางทิ ศ ตะวันออก ลมทิศเหนือพัดให้ลอยไปทางทิศใต้ ลมทิศใต้พดั ให้ลอยไปทางทิศเหนือ อยูด่ งั นี้ ในนาํ้ นัน้ มีเต่าตัวหนึง่ ตาบอดล่วงไปร้อยๆ ปี มันจะผุดขึน้ มาครัง้ หนึง่ ๆ เธอ ทั้งหลายจะสำ�คัญความข้อนี้ว่าอย่างไร จะเป็นไปได้ไหมที่เต่าตาบอดร้อยปีจึงจะ ผุดขึ้นสักครั้งหนึ่ง จะพึงยื่นคอเข้าไปในรูซึ่งมีอยู่เพียงรูเดียวในแอกนั้น? ข้อนี้ยากที่จะเป็นไปได้ ภิกษุทั้งหลาย! ยากที่จะเป็นไปได้ฉันเดียวกันที่ใครๆ จะพึงได้ความเป็น มนุษย์ ยากทีจ่ ะเป็นไปได้ ฉันเดียวกันทีต่ ถาคตผูอ้ รหันตสัมมาสัมพุทธะจะเกิดขึน้ ใน โลก ยากทีจ่ ะเป็นไปได้ฉนั เดียวกันทีธ่ รรมวินยั อันตถาคตประกาศแล้วจะรุง่ เรืองไป ทัว่ โลก แต่วา่ บัดนี้ (๑) ความเป็นมนุษย์กไ็ ด้แล้ว (๒) ตถาคตผูอ้ รหันตสัมมาสัมพุทธะ ก็บงั เกิดขึน้ ในโลกแล้ว และ (๓) ธรรมวินยั อันตถาคตประกาศแล้วก็รงุ่ เรืองไปทัว่ โลก แล้ว เพราะเหตุนนั้ ในกรณีนี้ พวกเธอพึงกระทำ�โยคกรรมเพือ่ ให้รวู้ า่ นี้ ทุกข์ นี้ เหตุให้ เกิดทุกข์ นี้ ความดับแห่งทุกข์ นี้ หนทางให้ถึงความดับทุกข์ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๑๙ หน้า ๖๒๐ ข้อที่ ๑๗๔๔

ภารกิจที่สำ�คัญที่สุดในชีวิต

การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พวกเรารู้หรือไม่ว่าเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจมาก ที่สุด เพราะได้ในสิ่งที่ได้มายาก ๓ สิ่ง คือ ๑) การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ๒) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลก ๓) ธรรมวินยั ทีพ่ ระพุทธเจ้าทรงประกาศแล้ว รุง่ เรืองไปทัว่ โลก ถ้าผมบนศีรษะ ของเรากำ�ลังถูกไฟไหม้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามว่า เมือ่ ไฟลุกโพลงๆ อยูท่ เี่ สือ้ ผ้าหรือ ศีรษะ บุคคลนัน้ ควรทำ�อย่างไร สาวกตอบว่า สิง่ ทีบ่ คุ คลควรกระทำ�คือ ดับไฟนัน้ เสีย

-๕แต่พระองค์ตรัสว่า “สิง่ ทีค่ วรกระทำ�โดยยิง่ ก็คอื ฉันทะ วายามะ อุสสาหะ อุสโสฬ์หี (ขะมักเขม้น) อัปปฏิวานี (ไม่ถอยหลัง) สติและสัมปชัญญะ เพื่อรู้เฉพาะตามเป็น จริง ซึ่งอริยสัจทั้ง ๔ ที่ตนยังไม่รู้เฉพาะ เธอพึงประกอบ โยคกรรมอันเป็นเครื่อง กระทำ�ให้รู้ว่า ทุกข์ เป็นอย่างนี้ เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ความดับ ไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ทางดำ�เนินให้ถงึ ความดับ ไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี”้ (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๑๙ หน้า ๖๐๓ ข้อที่ ๑๗๑๗) ดังนัน้ ภารกิจทีส่ �ำ คัญ ที่สุดในชีวิตคือ เรียนรู้อริยสัจ ๔ กระทำ�ด้วยความเพียรอย่างเป็นระบบอย่างแข็งขัน เต็มที่ เพื่อให้ปฏิบัติธรรมประพฤติพรหมจรรย์บรรลุธรรมอย่างน้อยให้เป็นโสดาบัน เพื่อความไม่เกิดไม่ตาย



หนทางให้ถึงวิมุตติหลุดพ้นจากสังสารวัฏ ๕ ประการ

๑) ฟังธรรมคำ�สั่งสอนของพระพุทธเจ้า ๒) แสดงธรรม ตามที่ได้ฟังมา ได้ศึกษาเล่าเรียนมา ๓) สวดสาธยายธรรมกระทำ�การท่องบ่นซึง่ ธรรมตามทีต่ นฟังมาเล่าเรียนมา ๔) ใคร่ครวญธรรมตรึกตามตรองตามด้วยใจ ตามทีไ่ ด้ฟงั มาได้ศกึ ษาเล่าเรียนมา ๕) ได้สมาธินมิ ติ อย่างใดอย่างหนึง่ อันเธอเล่าเรียนมาด้วยดี ทำ�ไว้ในใจด้วยดี ทรงไว้ด้วยดี แทงตลอดด้วยดีด้วยปัญญา พระพุ ท ธเจ้ า ทรงตรั ส เมื่ อ มี ก ารศึ ก ษาและปฏิ บั ติ ใ นข้ อ ใดข้ อ หนึ่ ง หรือหลายข้อในหนทางให้ถงึ วิมตุ ติ ๕ ประการ ดังนี้ “เมือ่ เธอเข้าใจอรรถ เข้าใจธรรม ย่อมเกิดปราโมทย์ เมือ่ เกิดปราโมทย์ ย่อมเกิดปีติ เมือ่ ใจเกิดปีติ กายย่อมสงบ ผูม้ กี าย สงบแล้ว ย่อมได้เสวยสุข เมือ่ มีสขุ จิตย่อมตัง้ มัน่ เหตุแห่งวิมตุ ติ ๕ ประการนี้ ซึง่ เป็น เหตุให้จิตที่ยังไม่หลุดพ้นของผู้ไม่ประมาทมีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่ย่อม หลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นย่อมถึงซึ่งความสิ้นไป หรือเธอย่อมได้บรรลุธรรมอัน เกษมจากโยคะชั้นเยี่ยมที่ยังไม่ได้บรรลุ (อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต เล่ม ๒๒ หน้า ๒๕ ข้อที่ ๒๖)

-๖พระโสดาบันเป็นใคร

อริยสาวกในธรรมวินยั นีเ้ ป็นผูป้ ระกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลือ่ มใสอัน หยั่งลงมั่น ไม่หวั่นไหวใน...(๑) พระพุทธเจ้า...(๒) องค์พระธรรม..(๓) พระสงฆ์... (๔) ประกอบด้วยศีลชนิดเป็นทีพ่ อใจของเหล่าพระอริยเจ้า อันไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ดา่ ง ไม่พร้อย เป็นไปเพือ่ สมาธิ อริยสาวกผูป้ ระกอบด้วยธรรม ๔ ประการเหล่านี้ ชือ่ ว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกตํ่าเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน เป็นผู้ตรัสรู้ธรรมในกาลเบื้องหน้า สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๑๙ หน้า ๔๗๒ ข้อที่ ๑๔๑๔

สารีบตุ ร! ถูกแล้ว ถูกแล้ว ผูท้ ปี่ ระกอบพร้อมแล้ว ด้วยอริยมรรคมีองค์แปด นีอ้ ยู่ ถึงเราเอง (พระพุทธเจ้า) ก็เรียกผูเ้ ช่นนัน้ ว่า เป็นพระโสดาบันผูม้ ชี อื่ อย่างนี้ ๆ มีโคตรอย่างนี้ ๆ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๑๙ หน้า ๔๗๘ ข้อที่ ๑๔๓๓

ปฏิปทาที่ให้ถึงความเป็นโสดาบัน

หากจำ�นงว่า “เราพึงเป็นโสดาบัน เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ ๓ เป็นผู้มีอันไม่ตกตํ่าเป็นธรรมดา ผู้เที่ยงต่อพระนิพพาน มีการตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า เธอควรเป็นผู้กระทำ�ให้ (๑) บริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย พึงตามประกอบในธรรมเป็น เครือ่ งสงบแห่งจิตในภายใน เป็นผู้ (๒) ไม่เหินห่างในฌาน เป็นผู้ (๓) ประกอบพร้อม แล้วด้วยวิปสั สนา และให้ (๔) อยูส่ ญ ุ ญาคารทัง้ หลายเจริญงอกงามเถิด คำ�ใดทีเ่ รา กล่าวแล้วว่า เธอทัง้ หลาย จงมีศลี สมบูรณ์ มีปาติโมกข์สมบูรณ์อยูเ่ ถิด เธอทัง้ หลาย จงสำ�รวม ด้วยปาติโมกขสังวร สมบูรณ์ดว้ ยมรรยาทและโคจรอยูเ่ ถิด จงเป็นผูเ้ ห็น เป็นภัยในโทษทัง้ หลายทีม่ ปี ระมาณเล็กน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบททัง้ หลายเถิด” มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑๒ หน้า ๕๙ ข้อที่ ๘๒

-๗

ทำ�อย่างไรให้สมความปรารถนา

ปฏิ บั ติ พั ฒ นา ศี ล สมาธิ ปั ญ ญา ตั้ ง จิ ต อธิ ษ ฐานมี เจตนาปรารถนา สิ่งใด จะสมความปรารถนาคือ ต้องปฏิบัติให้สมบูรณ์ทั้ง ๔ ข้อ ดังนี้ ๑. บริ บู ร ณ์ ใ นศี ล คื อ ละเว้ น การฆ่ า สั ต ว์ ทำ � สั ต ว์ ใ ห้ เ ดื อ ดร้ อ น ลักทรัพย์ ประพฤติผดิ ในกาม พูดปด ส่อเสียด เพ้อเจ้อ คำ�หยาบ มัวเมาในสุราและในกิเลส สำ � รวมระวั ง ให้ เ ห็ น โทษภั ย เช่ น เมื่ อ ใดที่ คิ ด ไม่ พ อใจหรื อ มี ค วามโกรธเกิ ด ขึ้ น เตือนตัวเองว่ากำ�ลังจะทำ�ร้ายใจตัวเองและกำ�ลังจะมีปฏิกริ ยิ าตอบโต้ตอ่ ความไม่พอใจ ซึ่งเป็นสาเหตุจุดเริ่มต้นที่จะก่อให้เกิดความโกรธและกำ�ลังจะกระทำ�ผิดศีลมีสติ รู้ทันจะละเว้นจากภัยเวร ๕ ประการได้ ก็จะไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ๒. ไม่เหินห่างในฌาน การทำ�สมาธิเจริญกายคตาสติ (มีสติระลึกรูอ้ ยูท่ กี่ าย หรือลมหายใจ) เจริญอานาปานสติ (มีสติระลึกรู้อยู่ที่ลมหายใจ) จนสงัดจากกามและ อกุศลทัง้ หลาย ย่อมเข้าถึงฌานที่ ๑ ผลของการได้ฌานนี้ คือหากเกิดอกุศล คือ ความพอใจ ไม่พอใจ นิวรณ์ ๕ (กาม พยาบาท ความง่วงเหงาหาวนอน ฟุง้ ซ่าน ความลังเลสงสัย) รูเ้ หตุ เกิดแล้วละทิง้ โดยเร็ว หากเกิดเป็นกุศลให้เกิดขึน้ และตามรูจ้ นกุศลนัน้ ดับไปเอง แล้ว กลับมารูท้ กี่ ายทีล่ มหายใจ รูอ้ ยูป่ ฏิบตั อิ ยูเ่ ป็นประจำ�จิตจะสงบสงัดจากความพอใจ ไม่ พอใจ นิวรณ์ ๕ ทีเ่ ป็นอกุศล ย่อมกำ�จัดบาปอกุศลทัง้ หลายไม่พฒ ั นาไปเป็นความโลภ โกรธ หลง รูก้ ายรูล้ มหายใจจนเกิดสัมมาสมาธิ จิตตัง้ มัน่ เกิดแต่กศุ ลกรรมไม่มอี กุศล แม้เท่าปลายขนทราย นั่นแหละที่สุดแห่งทุกข์ (นิพพาน) พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า กายคตาสติ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำ�ให้มากแล้ว อกุศลธรรมทีย่ งั ไม่เกิด ย่อมไม่ เกิดขึ้นได้เลย และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละเสียได้ ฯ กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ ไพบูลย์ยิ่ง (อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๒๐ หน้า ๖๔ ข้อที่ ๒๒๘-๒๒๙) เธอทัง้ หลาย จงเจริญสมาธิ มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับแห่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เพลิดเพลิน ไม่พรํา่ สรรเสริญ ไม่เมาหมกนันทิ (ความเพลิน) ความยินดี ความเพลินในขันธ์ ๕ ย่อมดับไป เพราะความดับแห่งนันทิจงึ มีความดับแห่งอุปาทาน เพราะอุปาทานดับภพจึงดับ เพราะภพดับชาติจงึ ดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทง้ั สิน้ นี้

-๘ย่อมมีดว้ ยอาการอย่างนี้ (สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๑๗ หน้า ๑๖ ข้อที่ ๒๗-๒๙) ถ้าเจริญกายคตาสติ เจริญอาณาปานสติ เจริญมรณสติแม้ชั่วกาลเพียงลัดนิ้วมือ เรากล่าวว่า อยู่ไม่เหินห่างจากฌาน (อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๒๐ หน้า ๖๒ ข้อที่ ๒๒๔) ดังนั้น จึงควรเจริญกายคตาสติหรืออาณาปานสติในชีวิตประจำ�วันหรือ ปลีกวิเวกไปสถานที่ปฏิบัติธรรมผู้ที่เคยผ่านการปฏิบัติธรรม มักจะถูกกำ�หนดให้ ปิดวาจาทีส่ ง่ เสริมกิเลสทีเ่ ป็นโทษ ถึงแม้นจะเป็นเรือ่ งดี เรือ่ งจริง เป็นทีร่ กั ทีช่ อบของคนฟัง และเป็นเรือ่ งทีม่ ปี ระโยชน์ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เลือกเวลาทีจ่ ะพูด และทรงตรัสว่า พึงศึกษาว่า เราจักไม่พูดถ้อยคำ�ซึ่งจะเป็นเหตุให้ทุ่มเถียงกัน เมื่อมีถ้อยคำ�ซึ่งจะ เป็นเหตุให้ทุ่มเถียงกัน ก็จำ�ต้องหวังการพูดมาก เมื่อมีการพูดมากย่อมคิดฟุ้งซ่าน เมื่อคิดฟุ้งซ่าน ย่อมไม่สำ�รวม เมื่อไม่สำ�รวมจิตย่อมห่างจากสมาธิ (อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต เล่ม ๒๓ หน้า ๙๓ ข้อที่ ๕๘) และทรงตรัสว่า ผู้ได้ฌานที่สามารถใน ความเป็นผูฉ้ ลาดในสมาธิและฉลาดในอารมณ์สมาธิ นับว่าเป็นผูเ้ ลิศประเสริฐทีส่ ดุ (สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๑๗ หน้า ๓๗๔ ข้อที่ ๖๐๗) ๓. ประกอบพร้อมแล้วด้วยวิปัสสนา คือ มีความเพียรชอบมุ่งมั่น ที่จะเฝ้า พิจารณาใคร่ครวญเพื่อเข้าใจสภาวะอันแท้จริงเห็นสัจจะความจริงของการเกิดดับ ในกายใจ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “เวทนา สัญญา วิตก (ความคิด) เกิดขึน้ ก็รู้ ตัง้ อยูก่ ร็ ู้ ดั บ ไปก็ รู้ นี้ ส มาธิ ภ าวนาที่ บุ ค คลเจริ ญ กระทำ � ให้ ม ากแล้ ว ย่ อ มเป็ น ไปเพื่ อ สติสมั ปชัญญะ” (อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต เล่ม ๒๑ หน้า ๖๖ ข้อที่ ๔๑) “ร่างกายอัน เป็นทีป่ ระชุมแห่งมหาภูตทัง้ ๔ นี้ ทีต่ ถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ดวงหนึง่ เกิดขึน้ ดวงหนึง่ ดับไป ในกลางคืนและกลางวัน” (สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๑๖ หน้า ๑๑๙ ข้อที่ ๒๓๒) “สังขตลักษณะแห่งสังขตธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่ คือ ๑) มีการเกิดปรากฏ (อุปปฺ าโท ปญฺญายติ) ๒) มีการเสือ่ มปรากฏ (วโย ปญฺญายติ) ๓) เมื่ อ ตั้ ง อยู่ ก็ มี ภ าวะอย่ า งอื่ น ปรากฏ (ฐิ ต สฺ ส อญฺ ญ ถตฺ ตํ ปญฺ ญ ายติ ) ” (อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๒๐ หน้า ๒๔๑ ข้อที่ ๔๘๖) ทำ�ไมต้องเห็นการเกิดดับ บ่อยๆ ซํ้าๆ การเห็นจากประสบการณ์ของเราเองซํ้าๆ จะเกิดปัญญาที่เรียกว่า ภาวนามยปัญญา (ปัญญาที่เกิดจากการฟัง เรียกว่า สุตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดจาก

-๙ความนึกคิด เรียกว่า จินตามยปัญญา) ว่า ทุกสิ่งที่มีการเกิดขึ้นมีแต่ความเป็นโทษ ไม่เทีย่ ง (อนิจจัง) เป็นทุกข์ (ทุกขัง) และไม่มตี วั ตน (อนัตตา) ทีเ่ ทีย่ งแท้ถาวร พระพุทธเจ้า ตรัสว่า “ปฏิปทาอันนำ�ไปสูค่ วามดับสักกายทิฏฐิ (ดับไม่เหลือแห่งตัวตน) คือ บุคคล พิจารณาเห็น ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ ว่า: นัน่ ไม่ใช่ของเรา (เนตํ มม) นัน่ ไม่ใช่เป็นเรา (เนโสหมสฺม)ิ นัน่ ไม่ใช่ตวั ตนของเรา (น เมโส อตฺตา) (มัชฌิมนิกาย อุปริปณ ั ณาสก์ เล่ม ๑๔ หน้า ๔๗๓ ข้อที่ ๘๒๑) ขณะนี้มีเราอยู่อนาคตจะไม่มีดับสลายไป เมื่อรู้เห็น โดยถูกต้องเห็นการเกิดดับของขันธ์ ๕ ว่าเป็นทุกข์ด้วยปัญญา จิตจะเริ่มเบื่อหน่าย คลายกำ�หนัดปล่อยวางอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนของเราและในสิ่งทั้งปวง ยึดมากทุกข์มาก ยึดน้อยทุกข์นอ้ ย เกิดปัญญาหลุดพ้นทุกข์ได้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “อานนท์ ผูไ้ ม่มอี ปุ าทานความยึดมัน่ ย่อมปรินพิ พานได้” (มัชฌิมนิกาย อุปริปณ ั ณาสก์ เล่ม ๑๔ หน้า ๖๗ ข้อที่ ๙๑) ๔. อยู่สุญญาคาร ปลีกวิเวกอยู่ผู้เดียวเพื่อปฏิบัติสมถ วิปัสสนาเรียนรู้ ด้วยจิตแน่วแน่ในธรรมชาติกายใจของเรา และดำ�รงชีวิตในแต่ละวันหมั่นเตือน ตัวเองให้มสี มั มาสติมคี วามรูต้ วั ทัว่ พร้อมมีสมั ปชัญญะระลึกรูใ้ นกาย ลมหายใจ วาจา ใจ สำ�รวมระวังให้เป็นอินทรียภ์ าวนาชัน้ เลิศ เมือ่ ผัสสะกระทบเกิดอกุศลความไม่พอใจ เป็นเหตุให้เกิดความโกรธ เกิดความพอใจเป็นเหตุให้เกิดความโลภ เกิดนันทิความเพลิน ในอารมณ์เป็นเหตุให้เกิดความหลง ถ้ามีสติรู้เท่าทันสำ�รวมระวังจะไม่ตอบสนองต่อ เวทนาทีเ่ กิดขึน้ มีความเพียรละทิง้ อกุศลโดยเร็ว วางเฉยอุเบกขาให้ได้ในทุกสถานการณ์ ไปทีใ่ ด จิตก็สงบ กายไม่ออกคือ อยูก่ บั สภาพแวดล้อมทีว่ นุ่ วายได้ จิตออก คือ จิตออก จากทุกข์ได้ ถือว่า นัง่ อยูใ่ นสุญญาคาร (เรือนว่าง) หรือทีส่ งบสงัดอันแท้จริง เพราะว่า ตา หู จมูก ลิ้น กายใจของเรา ไม่รับอารมณ์เหล่านั้นมาทำ�ให้เราทุกข์ใจ

จิตรับรูไ้ ด้ทลี ะหนึง่ อยูเ่ ดีย่ วๆ ไม่ได้ตอ้ งหาฐานอาศัยเกิดดับในรูปบ้าง นามบ้าง

-๑๐เทคนิคการเห็นเกิดดับเป็นเครื่องแทงกิเลส (ม้าอาชาไนย)

การปฏิบตั ธิ รรม ด้วยการเจริญกายคตาสติ อานาปานสติ เราจะสัง่ ให้จติ หรือ วิญญาณรับรูอ้ ยูก่ บั กายอยูก่ บั ลมหายใจ แต่จติ ว่ายากสอนยากบังคับบัญชาไม่ได้ เพราะ จิตไม่ใช่เรา ดื้อยิ่งกว่าเด็กดื้อเสียอีก สั่งไม่ให้คิด สั่งให้รู้อยู่แต่ลมหายใจ พอเผลอจิตก็ หนีไปคิดแบบต่อหน้าต่อตาไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว พอมีสติรู้ตัวก็ดึงกลับมารู้อยู่ที่ลมหายใจ ถ้าปฏิบัติเพียงเท่านี้ถือเป็นการสร้างสติฝึกสติ เรียกว่า การปฏิบัติแบบม้ากระจอก พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ม้ากระจอกใจของมันมัวจะเพ่งอยู่แต่ว่า“ข้าวเปลือกๆ” มันไม่มแี ก่ใจทีจ่ ะคิดว่า วันนี้ สารถีของเราต้องการให้เราทำ�อะไรหนอ บุรษุ กระจอก บางคนไปแล้วสู่ป่าก็ตาม.. มีจิตถูกกามราคะนิวรณ์กลุ้มรุมห่อหุ้มอยู่ เขาไม่รู้ตาม เป็นจริงซึ่งอุบายเป็นเครื่องออกจากกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว (อังคุตตรนิกาย เอกาทสกนิบาต เล่ม ๒๔ หน้า ๔๐๑ ข้อที่ ๒๑๖) การปฏิบตั แิ บบม้าอาชาไนยนัน้ นอกจาก การสร้างสติและรูอ้ บุ ายเครือ่ งสลัดออกจากทุกข์ออกจากนิวรณ์ ๕ ทีเ่ กิดขึน้ แล้วตาม ความเป็นจริงและทรงตรัสว่า ต้องเป็นผู้ (๑) สมบูรณ์ดว้ ยวรรณะ ผูม้ ศี ลี (๒) สมบูรณ์ ด้วยพละ (กำ�ลัง) เป็นผูป้ รารภความเพียรเพือ่ ละอกุศลทัง้ หลายเพือ่ ยังกุศลทัง้ หลาย ให้ถงึ พร้อม เป็นผูม้ กี �ำ ลังแข็งขัน ทำ�ความเพียรก้าวไปข้างหน้าอย่างมัน่ คงไม่ทอดทิง้ ธุ ร ะในกุ ศ ลธรรมทั้ ง หลาย (๓) สมบู ร ณ์ ด้ ว ยเชาวน์ (ความไวแห่ ง ปั ญ ญา) (เห็นเกิดดับรูเ้ หตุเกิดดับ) ย่อมรูช้ ดั ตามทีเ่ ป็นจริงว่า ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับ ไม่เหลือแห่งทุกข์ ข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นเช่นนี้ๆ (อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๒๐ หน้า ๓๗๐ ข้อที่ ๕๓๖) เมือ่ เรารู้ เราเห็นอย่างนีว้ า่ รูปเป็นอย่างนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นอย่างนี้ ความดับแห่งรูปเป็นอย่างนี้... เวทนาเป็นอย่างนี้...สัญญาเป็นอย่างนี้...สังขารทั้งหลายเป็นอย่างนี้...วิญญาณ เป็ น อย่ า งนี้ ความเกิ ด ขึ้ น แห่ ง วิ ญ ญาณเป็ น อย่ า งนี้ ความดั บ แห่ ง วิ ญ ญาณ เป็ น อย่ า งนี้ ความสิ้ น ไปแห่ ง วิ ญ ญาณเป็ น อย่ า งนี้ เมื่ อ เรารู้ เราเห็ น อย่ า ง นี้ แ ลความสิ้ น ไปแห่ ง อาสวะทั้ ง หลายย่ อ มมี ฯ (สั ง ยุ ต ตนิ ก าย นิ ท านวรรค เล่ม ๑๖ หน้า ๓๕ ข้อที่ ๖๘) การเรียนรู้เห็นการเกิดดับของอุปาทานในขันธ์ ๕ คือ การเรียนรูอ้ ริยสัจ ๔ และปฏิจจสมุปบาท ถือเป็นอุบายเครือ่ งออกจากทุกข์ โดยรูเ้ ห็น

-๑๑ลักษณะแห่งความเกิดและความดับของอุปาทานในขันธ์ ๕ รูว้ า่ ลักษณะมันเป็นอย่างไร เกิ ด ขึ้ น อย่ า งไร ดั บ ไปอย่ า งไร เมื่ อ รู้ ไ ด้ อ ย่ า งแท้ จ ริ ง จะเป็ น ไปเพื่ อ สิ้ น อาสวะ จึงควรฝึกสติให้ไวดุจม้าอาชาไนยระลึกรูเ้ ห็นการเกิดดับทีเ่ กิดขึน้ ในฐานทัง้ ๔ เรียกว่า สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา (รู้สึกสุข ทุกข์ เฉยๆ) จิต ธรรม เห็นการทำ�งานของขันธ์ ๕ (ดูภาพหน้า ๙ และศึกษาเพิ่มเติมหน้า ๕๒ วิญญาณฐิติ ที่ตั้งอยู่ของจิตหรือวิญญาณ) โดยจิตหรือวิญญาณเป็นผู้รับรู้ขันธ์ ๔ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา (ความจำ�ได้หมายรู้) สังขาร (การนึกคิดปรุงแต่ง) ขันธ์ ๔ สามารถเรียกย่อว่า รูป นาม (เวทนา+สัญญา+สังขาร) เป็นฐานที่ต้ังให้จิตรับรู้ ตามธรรมชาติของจิตจะต้องหาฐานที่ตั้งอาศัยจะอยู่เดี่ยวๆ ไม่ได้จะตั้งอาศัยรู้อยู่ในรูปบ้าง เวทนาบ้าง สัญญาบ้าง สังขารบ้าง มีการเกิดดับ เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ เวลานั่งสมาธิเราจะสั่งให้จิตรับรู้อยู่ที่ลมหายใจ (รูป) เรียกว่า รูปเกิด

และเมือ่ จิตเผลอไปคิดการรูล้ มหายใจ (รูป) จะดับทันทีและไปเกิดทีค่ วามคิด (นาม) ทันที เรียกว่า รูปดับ นามเกิด จิตไปตัง้ อาศัยทีใ่ หม่คอื คิด (นาม) และเมือ่ จิตรับรูว้ า่ จิตกำ�ลังคิด ความคิด (นาม) จะดับทันที และจิตไปรับรู้อยู่ที่ลมหายใจ (รูป) อีกครั้งหนึ่ง เรียกว่า นามดับ รูปเกิด ซึ่งธรรมชาติของจิตรับรู้ได้ทีละหนึ่งเท่านั้น ถ้ารู้รูปหรือนามเกิดดับ ไปแล้วแต่เมือ่ ไหร่ไม่รอู้ นั เนือ่ งจากสติตามไม่ทนั จะเรียกว่า จินตามยปัญญา การเห็น การเกิดดับของรูปนามในวิปัสสนาจะเห็นกันจะๆ ในขณะนั้นที่มีสติสัมปชัญญะ ทัง้ ขณะทีร่ ปู เกิด ดับ และนามเกิด ดับ การเห็นเกิดดับ ณ ขณะนัน้ เรียกว่า ภาวนามยปัญญา เมื่อขาดสติคือ เกิดความคิดถ้าคิดไปในอดีตเป็นสัญญา คิดไปในอนาคตเป็นสังขาร ปรุงแต่ง พอใจไม่พอใจหรือเฉยๆ เป็นเวทนา เมือ่ สติเกิดคือ ระลึกรูแ้ ละยังรูต้ วั ทัว่ พร้อม

-๑๒อย่างต่อเนือ่ งมีการสังเกตตระหนักรูก้ ารเกิดขึน้ ตัง้ อยู่ ดับไปของนามรูปกายใจอันเป็น ลักษณะของอนิจจัง ไม่เที่ยงด้วยตัวของเราเองด้วยประสบการณ์โดยตรงเรียกว่า มีสัมปชัญญะ และเมื่อจิตลืมลมหายใจ ถือว่า ขาดสติ ไม่มีสัมปชัญญะ สังเกตบ่อยๆ เนืองๆ มีความเพียรมีสติสัมปชัญญะจะเกิดสมาธิจิตตั้งมั่นรับรู้ได้เร็วจะเกิดปัญญา เห็นว่า จิตทำ�งานรวดเร็วมากไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตวั ตนของเรา ทุกสิง่ ในโลกเมือ่ มี การเกิดขึ้นตั้งอยู่และจะดับไปไม่เที่ยงเป็นอนิจจัง เราไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัย รู้เหตุเกิดรู้เหตุดับ รู้ได้เท่าที่รู้ได้ สิ่งที่กำ�ลังเห็นนี้ เรียกว่า เห็นอริยสัจ ๔ พิจารณาใคร่ครวญถึงการเกิดดับของขันธ์ ๕ เรียกว่า เห็นทุกข์ การเกิด เป็นสมุทัย การดับเป็นนิโรธ ขณะกำ�ลังปฏิบัติอยู่เป็นมรรค มีความเพียรอดทนใน การปฏิบตั เิ ป็นธรรมเครือ่ งเผากิเลสอย่างยิง่ ทิง้ ความคิดทีเ่ ป็นสาเหตุของทุกข์ เมือ่ เกิด ความคิดมีเจตนาไม่ดีจะถูกเพียรถูกเผาจิตจะปล่อยวาง วางเฉยอุเบกขาได้ก็จะไม่มี การกระทำ�เป็นพฤติกรรมแสดงออกทางกาย ทางวาจา จะทำ�ให้เราได้เห็นความไม่เทีย่ ง เรียกว่า อนิจจัง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่เที่ยงแท้เป็นทุกข์และมีแต่เดินไปสู่ความเสื่อม ความจางคลาย ดับไม่เหลือสลัดคืน ไม่มตี วั เรา ไม่มขี องเราทีเ่ ทีย่ งแท้ มีแต่ความเป็นโทษ เปรียบเหมือนเราไปซื้อแก้วเห็นแก้วบิ่น ร้าว เราก็คงไม่ต้องการซื้อเฉกเช่นเดียวกัน เมื่อเราสังเกตใคร่ครวญรู้รูปนามขันธ์ ๕ เหตุปัจจัยรูปเกิด นามดับด้วยปัญญาเนืองๆ รู้เห็นอย่างถูกต้องจะเห็นโทษเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำ�หนัดและจิตจะสลด เร่งความเพียรเพื่อให้จิตหลุดพ้น จิตจะต้องเห็นเองยอมรับเองจากประสบการณ์ของ ตัวเอง กินเองอิ่มเอง คนอื่นมาอิ่มแทนไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า บุคคลนั้นหนอ ไม่ฝกึ ฝน ไม่อบรม ไม่ดบั กิเลสด้วยตนแล้ว จักยังผูอ้ นื่ ให้ฝกึ ฝน ให้อบรม ให้ดบั กิเลสได้ ข้อนั้นมิใช่ฐานะที่จะมีได้แล (ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๒๙ หน้า ๓๗ ข้อที่ ๓๗) ถ้าไม่มีการปฏิบัติจิตจะไม่ยอมรับ การได้ฟังธรรมปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องยากในโลก เพราะจิตไม่ใช่เราบังคับบัญชาไม่ได้จะไม่ยอมรับฟัง ดังนั้น ท่านที่กำ�ลังอ่านมา ถึงตรงนี้ ถือได้ว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ได้มีโอกาสทำ�ความเข้าใจในเรื่องภารกิจ สำ�คัญเร่งด่วนที่สุดในชีวิตของเรา ในอดีตชาติท่านได้สะสมบุญแห่งธรรมะเอาไว้ จงอย่าปล่อยให้ธรรมะทีฝ่ งั อยูใ่ นตัวท่านฝ่อไป เร่งความเพียร เพือ่ พัฒนา ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ได้อย่างน้อยโสดาบันในชาตินี้และหลุดพ้นจากทุกข์ให้ได้

-๑๓

การตอบแทนคุณมารดาบิดาอย่างสูงสุด

ภิกษุทั้งหลาย! เรากล่าวการกระทำ�ตอบแทนไม่ได้ง่ายแก่ท่านทั้งสอง ทั้งสองท่านคือใคร? คือ มารดา ๑ บิดา ๑ ส่วนบุตรคนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มี ศรัทธา ให้สมาทาน ตัง้ มัน่ ดำ�รงอยูใ่ นศรัทธาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา) ยังมารดาบิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นในศีลสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยศีล) ยังมารดาบิดาผูม้ คี วามตระหนี่ ให้สมาทานตัง้ มัน่ ดำ�รงอยูใ่ นจาคสัมปทา (ความถึง พร้อมด้วยการบริจาค) ยังมารดาบิดาผู้ทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่น ดำ�รงใน ปัญญาสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยปัญญา) ภิกษุทงั้ หลาย! ด้วยเหตุมปี ระมาณเท่านีแ้ ล การกระทำ�อย่างนัน้ ย่อมชือ่ ว่า อันบุตรนั้นทำ�แล้วและทำ�ตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดา อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต เล่ม ๒๐ หน้า ๙๑ ข้อที่ ๒๗๘

แม่พอ่ เป็นผูม้ พี ระคุณทีย่ ง่ิ ใหญ่สงู สุด ผูใ้ ห้ก�ำ เนิดความเป็นมนุษย์ ให้โอกาสได้ เรียนรูส้ จั ธรรม คำ�สอนของพระพุทธเจ้าและนำ�ไปปฏิบตั ธิ รรม จะทดแทนพระคุณท่าน อย่างไร ในพระพุทธวจนกล่าวไว้ว่า การตอบแทนพระคุณท่านที่ยิ่งใหญ่คือ ส่งเสริม แนะนำ�ให้ทา่ นมีศรัทธาเลือ่ มใสในพระพุทธวจน และเชิญชวนให้รกั ษาศีล ปฏิบตั ธิ รรม ให้เกิดปัญญา เพราะความรูท้ างธรรมถือเป็นอริยทรัพย์ทตี่ ดิ ตัวไปในชาติหน้าได้ ส่วน ทรัพย์สมบัตสิ ะสมมากมายก่ายกอง เมือ่ ตายไปก็เอาไปไม่ได้ พระราหุลเป็นโอรสของ พระพุทธเจ้าเมื่อได้พบเสด็จพ่อได้ขอสมบัติจากพระบิดา พระองค์ได้มอบอริยทรัพย์ ให้แก่ราหุล โดยให้บวชเป็นสามเณรและให้ศึกษาเล่าเรียนธรรมะ หากบังเอิญแม่พ่อ เป็นผู้ทุศีล เมื่อตายไปอาจไปเกิดในนรก ดังนั้น การเชิญชวนให้แม่พ่อเลื่อมใสศรัทธา ได้ฟังธรรมสวดสาธยายธรรมจนจำ�ขึ้นใจอย่างน้อยสักบทเดียว สมาทานรักษาศีล ๕ ให้บริบูรณ์ พร้อมทั้งมีการนำ�ไปปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำ�วัน ถ้าสามารถเปลี่ยนใจ แม่พอ่ ให้กลับใจได้ถอื ได้วา่ เป็นการฉุดท่านขึน้ จากนรก พระพุทธเจ้าทรงให้ค�ำ รับรองว่า ถึงแม้นตอนตายหลงลืมยังได้ไปเกิดบนสวรรค์และเมือ่ มีสติระลึกได้จะบรรลุคณ ุ วิเศษ

-๑๔วินาทีทองเพื่อความไม่เกิดไม่ตาย

การจะบรรลุคณ ุ วิเศษเพือ่ ความไม่เกิดไม่ตายจนถึงนิพพานนัน้ ค่อนข้างยาก ดังนั้นถ้ายังไม่นิพพานก็จำ�เป็นต้องสะสมเสบียงไว้เลี้ยงตัวในชาติหน้า คือ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อชาติหน้าจะได้ไม่ยากจน มีปัญญาเพื่อความก้าวหน้าในธรรมต่อไป จึงขอเชิญชวนให้พวกเรามาสวดสาธยายธรรมพระพุทธวจน ซึ่งมีหลายพระสูตรที่ สมควรศึกษาทำ�ความเข้าใจนำ�ไปสวดให้จ�ำ ขึน้ ใจจะเกือ้ กูลต่อการปฏิบตั ธิ รรมให้เกิด ปัญญา เช่น บทสวดปฏิจจสมุปบาท บทสวดอริยมรรคมีองค์ ๘ บทสวดอาณาปานสติ และบทสวดเพื่อผู้เจ็บไข้ ผู้ป่วยที่มีเวลาเหลือน้อยสวดได้ยิ่งดี ไม่เฉพาะผู้ป่วยเท่านั้น สำ�หรับคนทั่วไปก็สมควรนำ�ไปสวดเพราะพระองค์ทรงตรัสว่า “อันบุคคลเจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำ�หนัด เพื่อดับสนิท เพือ่ เข้าไปสงบ เพือ่ รูย้ งิ่ เพือ่ ตรัสรู้ และเพือ่ นิพพานโดยส่วนเดียว” (อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต เล่ม ๒๒ หน้า ๙๖ ข้อที่ ๖๙) เพือ่ พิจารณากายนีม้ แี ต่ทกุ ข์ทตี่ อ้ งรักษาให้อยู่ รอดให้ดใี ห้สวย เดีย๋ วก็เจ็บ เดีย๋ วก็ปว่ ย ไม่เทีย่ งต้องตายไปในทีส่ ดุ พิจารณาอาหารทีเ่ รา รั บ ประทาน ก่ อ นรั บ ประทานหอมหวนเอร็ ด อร่ อ ยเป็ น ที่ ถู ก อกถู ก ใจแล้ ว ก็ จ ะ เปลี่ ย นแปลงเป็ น สิ่ ง ที่ ทุ ก คนรั ง เกี ย จเหม็ น คื อ อุ จ จาระ ปั ส สาวะ พิ จ ารณาถึ ง ความไม่นา่ ยินดี ไม่นา่ เพลิดเพลิน ไม่มอี ะไรทีน่ า่ ยินดีในโลกทัง้ ปวง พิจารณาเห็นกาย ใจในสังขารทัง้ ปวงเป็นอนิจจัง ไม่เทีย่ ง เสือ่ มไปเรือ่ ยๆ พิจารณาถึงความตายไม่ยกเว้น ให้แก่ใครๆ มันยํ่ายีหมดทุกคน แต่ผู้เจ็บป่วยจะมีสภาพความสามารถที่จะพิจารณาได้หรือไม่นั้นอยู่ที่ว่าได้ เคยฝึกจิตมาบ้างหรือไม่ เพราะตามธรรมชาติของกายนัน้ ต้องเคลือ่ นไหวมากๆ ทีเ่ รียกว่า การออกกำ�ลังกายจะได้แรงได้พลังกาย แต่สำ�หรับจิตใจนั้นตรงกันข้าม คือ จิตต้อง ไม่เคลื่อนไหวสงบมีสมาธิอยู่ในอารมณ์เดียว เช่น รู้อยู่กับลมหายใจ ถ้ามีการฝึกฝน บ่อยๆ จะทำ�ให้เกิดพลังจิต จะสามารถระงับความเจ็บป่วย ทางกายได้บ้าง ที่เรียกว่า กายป่วย แต่ใจไม่ป่วย แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามารดาบิดาของเราเกิดเจ็บป่วยและเปิด พระพุทธวจนให้ทา่ นฟังบ่อยๆ เนืองๆ จะเป็นสิง่ วิเศษทีส่ ดุ ทำ�ให้เมือ่ ถึงเวลาทีท่ า่ นจะ จากไปท่านจะไปอย่างสงบ จิตเกาะอยูก่ บั สิง่ ใดจะไปตามสิง่ ทีจ่ ติ เกาะนัน้ เปรียบเหมือน

-๑๕กับว่า ขณะนีเ้ รากำ�ลังนัง่ อ่านหนังสือเล่มนี้ จิตเราคิดจะไปห้องครัว เพือ่ จะรับประทาน อาหาร กายจะทำ�ตามคำ�สั่งของจิตคือ พากายของเราไปห้องครัวเพื่อรับประทาน อาหารถือเป็นการเดินทางในภพนี้ สำ�หรับผูท้ เี่ จ็บป่วยและกำ�ลังจะเดินทางไปภพหน้า ผู้ไม่เคยฝึกจิตจะวางใจเฉยๆ ไม่ได้เท่าที่ควร ถ้าวิญญาณหรือจิตตั้งอาศัยเกาะอยู่ที่ ความคิดปรุงแต่งจนเกิดความโกรธจากความทรมานของกาย จิตดับตาย จะไปเกิดใน นรก ถ้าจิตเกาะอยู่กับความโลภจะไปเกิดเป็นเปรต ถ้าจิตเกาะอยู่กับนันทิความหลง ความเพลินจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ดังนัน้ เราสามารถเลือกทีเ่ กิดหรือเลือกไม่เกิด ก็ได้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ อันเกิดขึน้ แล้วอย่างนี้ ได้เร็วพลันทันที โดยไม่ล�ำ บากเหมือนอย่างบุรษุ มีตาดีกระพริบตา ฉะนัน้ อุเบกขา ย่อมดำ�รงมัน่ นีเ้ รียกว่า การเจริญอินทรียอ์ นั ยอดเยีย่ ม” (มัชฌิมนิกาย อุปริปณ ั ณาสก์ เล่ม ๑๔ หน้า ๔๙๔ ข้อที่ ๘๕๖) เพือ่ ความไม่เกิดไม่ตายต้องมีการฝึกสติสมั ปชัญญะจน เกิดสมาธิมคี วามตัง้ มัน่ พอ คือ กำ�กับจิตปักอยูร่ อู้ ยูก่ บั ลมหายใจดับอกุศลความชอบใจ ไม่ชอบใจอย่างวางเฉยอุเบกขา จิตหนีไปคิดไม่วา่ คิดดีหรือไม่ดเี ป็นกิเลสอกุศลมีสติ รูแ้ ล้วรีบทิง้ ภพทิง้ การเกิดให้ไวดุจกระพริบตา คิดดีไปเกิดเป็นมนุษย์หรือ เทวดา พรหม คิดไม่ดีไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต สัตว์นรก ต้องทิ้งความคิดทั้งหมดให้อยู่กับ อุเบกขาวางเฉยให้ได้ในทุกสถานการณ์ และกลับมารู้อยู่เกาะอยู่กับลมหายใจ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ก็เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำ�รอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทงั้ มวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้” (สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๑๖ หน้า ๕ ข้อที่ ๑๘) มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมรอคอยการตาย เมื่อถึงเวลาวินาทีทองเราจะรู้ว่า ลมหายใจนี้เป็นลมหายใจสุดท้ายของเรากายหรือสังขารดับตาย จิตหรือวิญญาณ ดวงสุดท้ายจะไม่สามารถหาฐานที่ตั้งอาศัยไปเกิดในภพใดภพหนึ่งได้ เพราะจิตทิ้ง ความคิดดี และความคิดไม่ดีอยู่กับอุเบกขามาตั้งแต่แรกแล้วเมื่อไม่มีการเกิด ก็ไม่มี การตาย พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงสภาวะวิมุตติหรือนิพพานว่า อสังขตลักษณะแห่ง อสังขตธรรมมี ๓ อย่างนี้ คือ ๑) ไม่ปรากฎมีการเกิด (น อุปฺปาโท ปญฺญายติ); ๒) ไม่ปรากฏมีการเสื่อม (น วโย ปญฺญายติ) ๓) เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่น

-๑๖ปรากฏ (น ฐิตสฺส อญฺญถตฺตํ ปญฺญายติ) (อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๒๐ หน้า ๒๔๒ ข้อที่ ๔๘๗) รูเ้ ห็นการเกิดดับตามความจริงจนเข้าใจแจ่มแจ้งไม่มกี ารเกิดดับอีกต่อไป ถือว่า ได้วมิ ตุ ติญาณทัศนะหลุดพ้นจากสังสารวัฏ ได้มรรคผลนิพพาน ถือว่าชาติสน้ิ แล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว ภารกิจที่สำ�คัญที่สุดในชีวิตได้กระทำ�สำ�เร็จแล้ว พระพุทธเจ้า ทรงตรัสว่า “สิ่ง” สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบ นั้นมีอยู่; ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ดิน นํ้า ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้; ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้; ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูป ย่อมดับสนิท ไม่มเี หลือ; นามรูป ดับสนิทใน “สิง่ ” นี้ เพราะ การดับสนิทของวิญญาณ; (ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๙ หน้า ๒๔๐ ข้อที่ ๓๕๐) ประตูนครแห่งความไม่ตาย พระพุทธเจ้า เปิดโล่งไว้แล้ว ภารกิจทีส่ �ำ คัญทีส่ ดุ ในชีวติ คือ เพือ่ ความไม่เกิดไม่ตาย ฟังสวดบทธรรม คำ�สอนของพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาบ่อยๆ เนืองๆ จนจำ�คล่องปากขึ้นใจแล้วเริ่ม ใคร่ครวญธรรมปฏิบัติธรรมด้วย ศีล พัฒนาสมาธิ แทงตลอดด้วยดีขจัดกิเลสอกุศล ออกจากใจด้วยปัญญา เพือ่ ให้บรรลุธรรมเป็นโสดาบันและพัฒนาบารมีของตนเองให้ หลุดพ้นจากความทุกข์เข้าสูป่ ระตูนครแห่งความไม่ตายเป็นถิน่ อันเกษมพบความสงบ อันแท้จริงตลอดไป

คำ�สอนของพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา

อานนท์ ! ความคิดอาจมีแก่พวกเธออย่างนีว้ า่ “ธรรมวินยั ของพวกเรามี พระศาสดาล่วงลับไปแล้ว พวกเราไม่มีพระศาสดา” ดังนี้. อานนท์ ! พวกเธออย่า คิดอย่างนัน้ อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินยั ก็ดี ทีเ่ ราแสดงแล้ว บัญญัตแิ ล้วแก่พวกเธอทัง้ หลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย โดยกาลล่วงไปแห่งเรา อานนท์! ในกาลบัดนีก้ ด็ ี ในกาลล่วงไปแห่งเราก็ดี ใครก็ตาม จักต้องมีตน เป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ; มีธรรม เป็นประทีป มีธรรม เป็นสรณะไม่เอาสิง่ อืน่ เป็นสรณะ เป็นอยู่ อานนท์! ภิกษุพวกใด เป็นผูใ้ คร่ในสิกขา ภิกษุพวกนั้นจักเป็นผู้อยู่ในสถานะอันเลิศที่สุด แล ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๑๐ หน้า ๑๖๓, ๑๑๔ ข้อที่ ๑๔๑, ๙๓

-๑๗ประโยชน์ของการสวดสาธยายธรรมพระพุทธวจน

เป็นไปเพื่อความตั้งมั่นไม่เสื่อมสูญแห่งพระสัทธรรม (อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต เล่ม ๒๒ หน้า ๒๐๕ ข้อที่ ๑๕๕) เป็นอาหารของความเป็นพหูสตู ซึง่ เป็น ธรรมอันน่าปรารถนาหาได้ยากในโลก (อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต เล่ม ๒๔ หน้า ๑๖๐ ข้ อ ที่ ๗๓) เป็ น บริ ษั ท ที่ เ ลิ ศ ใส่ ใจธรรมเล่ า เรี ย นท่ อ งขึ้ น ใจ (อั ง คุ ต ตรนิ ก าย ทุกนิบาต เล่ม ๒๐ หน้า ๑๐๖ ข้อที่ ๒๙๒) ทำ�ให้ไม่เป็นมลทิน (อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต เล่ม ๒๓ หน้า ๑๙๘ ข้อที่ ๑๐๕) เป็นผู้มีความเพียรมากด้วยการสาธยายธรรม เพื่ออบรมจิตไม่ให้มีเวร ไม่ให้มีความเบียดเบียน (มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๑๓ หน้า ๕๘๖ ข้อที่ ๗๒๘) เป็นเหตุให้ละความง่วงได้ (อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต เล่ม ๒๓ หน้า ๙๓ ข้อที่ ๕๘) ทำ�การสวดสาธยายธรรมเข้าใจอรรถเข้าใจธรรม ย่อม เกิดปราโมทย์ เกิดปิติ กายย่อมสงบ มีสขุ จิตตัง้ มัน่ เป็นเหตุแห่งวิมตุ ติ (อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต เล่ม ๒๒ หน้า ๒๕ ข้อที่ ๒๖) พระพุทธเจ้าทรงเน้นยํา้ ว่า คำ�ทีพ่ ระองค์ตรัส จากพระโอษฐ์นนั้ เป็นสิง่ ทีส่ มควรต่อการสาธยายธรรม ถ้าสามารถสวดสาธยายธรรม จนจำ�ได้คล่องปากขึ้นใจ แทงได้ตลอด หมายถึง นอกจากสวดแล้วนำ�ไปใคร่ครวญ ปฏิบตั ธิ รรมเฉกเช่น การเรียนว่ายนาํ้ ท่องวิธวี า่ ยนาํ้ ได้เป็นอย่างดี แต่ถา้ ไม่น�ำ ความรูน้ ี้ ไปฝึกหัดลงว่ายในนาํ้ ก็จะไม่สามารถว่ายนํา้ ได้ และพระองค์ทรงยืนยันว่า “เธอมีสติ หลงลืม เมื่อกระทำ�กาละ (ตาย) ย่อมเข้าถึงเทพนิกายหมู่ใดหมู่หนึ่ง บทแห่งธรรม ทัง้ หลายย่อมปรากฏแก่เธอผูม้ คี วามสุขในภพนัน้ สติบงั เกิดขึน้ ช้า แต่เมือ่ เธอมีสติ ย่อมเป็นผู้บรรลุคุณวิเศษเร็วพลันนี้เป็นอานิสงส์ประการที่ ๑” (อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต เล่ม ๒๑ หน้า ๒๗๗ ข้อที่ ๑๙๑) บรรลุธรรมด้วยกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังนี้ ๑) ไปเกิดเป็นเทวดามีความสุขแล้วมีสติระลึกถึงบทแห่งธรรมทั้งหลายได้ เองว่า เคยสวดสาธยายธรรมพระพุทธวจนและเคยปฏิบัติธรรมประพฤติพรหมจรรย์ ๒) ภิกษุผมู้ ฤี ทธิถ์ งึ ความชำ�นาญแห่งจิตแสดงธรรมให้ฟงั ทำ�ให้มสี ติระลึกได้ ๓) มีเทวดาแสดงธรรมให้ฟัง ทำ�ให้มีสติระลึกได้ ๔) มีเทวดาผู้เกิดก่อนเตือนเทวดาผู้เกิดทีหลัง ทำ�ให้มีสติระลึกได้

-๑๘-

ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมมีกระแสความลึกซึ้ง ปฏิจจสมุปบาท อวิชชา สังขาร วิญญาณ นาม-รูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ

ทางหลุดพ้น

นิพพาน (ธรรมเป็นที่สิ้นไป) ญาณในธรรมเป็นที่สิ้นไป วิมุตติ วิราคะ (คลายกำ�หนัด) นิพพิทา (ความเบื่อหน่ายในขันธ์ ๕) ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ตามความเป็นจริง) สมาธิ สุข ปัสสัทธิ ปีติ ปราโมทย์ ศรัทธา

ทุกข์

สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๑๖ หน้า ๓๕ ข้อที่ ๖๙

คนเราจิตยุ่ง เพราะไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท

เพราะไม่รู้ เพราะไม่รู้ตามลำ�ดับ เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมคือ ปฏิจจสมุปบาทนี้, (จิตของ) หมู่สัตว์นี้ จึงเป็นเหมือน กลุ่มด้ายยุ่ง ยุ่งเหยิงเหมือนความยุ่ง ของกลุ่มด้ายที่หนาแน่นไปด้วยปม พันกันยุ่งเหมือนเซิงหญ้ามุญชะ (หญ้ามุงกระต่าย) และหญ้าปัพพชะ (หญ้าปล้อง) อย่างนี้, ย่อมไม่ล่วงพ้นซึ่งสังสาระ ที่เป็นอบาย ทุคติ วินิบาต ไปได้

สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๑๖ หน้า ๑๑๕ ข้อที่ ๒๒๕

-๑๙บทสวดสาธยายธรรมพระพุทธวจน นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง บทสวด ระลึกถึงพระพุทธเจ้า อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปัชชะติ ตถาคตเกิดขึ้นในโลกนี้ อะระหัง เป็นผู้ไกลจากกิเลส สัมมาสัมพุทโธ เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง วิชชาจะระณะสัมปันโน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ สุคะโต เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี โลกะวิทู เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า สัตถา เทวะมะนุสสานัง เป็นครูผสู้ อนของเทวดาและมนุษย์ทง้ ั หลาย พุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยธรรม ภะคะวา เป็นผู้มีความจำ�เริญ จำ�แนกธรรม สั่งสอนสัตว์ โส อิมัง โลกัง ตถาคตนั้นทำ�ให้แจ้งซึ่งโลกนี้ สะเทวะกัง สะมาระกัง สะพ๎รัห๎มะกัง๎ สัสสะมะณะพ๎ราห๎มะณิง. กับทั้งเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ ปะชัง สะเทวะมะนุสสัง เทวดาพร้อมทั้งมนุษย์ สะยัง อภิญญา ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว

-๒๐สัจฉิกัต๎วา ปะเวเทสิ สอนผู้อื่นให้รู้แจ้งตาม โส ธัมมัง เทเสสิ ตถาคตนั้น แสดงธรรม อาทิกัล๎ยาณัง ไพเราะในเบื้องต้น มัชเฌกัลยาณัง ไพเราะในท่ามกลาง ปะริโยสานะกัล๎ยาณัง ไพเราะในที่สุด สาตถัง สะพ๎ยัญชะนัง เกวะละปะริปุณณังปะริสุทธัง พ๎รัห๎มะจะริยัง ปะกาเสติ ทรงประกาศพรหมจรรย์ คือ แบบแห่งการปฏิบัติอันประเสริฐ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง พร้อมทั้งอรรถะ พร้อมทั้งพยัญชนะ ดังนี้

มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๑๔ หน้า ๑๗ ข้อที่ ๑๖

บทสวด ระลึกถึงพระธรรม ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม พระธรรม เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว สันทิฏฐิโก เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง อะกาลิโก เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ ไม่จำ�กัดกาล เอหิปัสสิโก เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกับผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด โอปะนะยิโก เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ดังนี้

สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๑๙ หน้า ๔๒๘ ข้อที่ ๑๔๑๒

-๒๑บทสวด ระลึกถึงพระสงฆ์ สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ. สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติ เพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติสมควรแล้ว ยะทิทัง ได้แก่บุคคลเหล่านี้คีือ จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา คู่แห่งบุรุษสี่คู่ นับเรียงตัวได้แปดบุรุษ เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ นั้นแหละ คือสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า อาหุเนยโย เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำ�มาบูชา ปาหุเนยโย เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ ทักขิเณยโย เป็นสงฆ์ควรรับทักษิณาทาน อัญชะลิกะระณีโย เป็นสงฆ์ที่บุคคลทั่วไปจะพึงทำ�อัญชลี อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ เป็นสงฆ์ที่เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้

สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๑๙ หน้า ๔๒๘ ข้อที่ ๑๔๑๒

-๒๒บทสวด กฎอิทัปปัจจยตา อิมัส๎มิง สะติ อิทัง โหติ เมื่อสิ่งนี้ “มี” สิ่งนี้ ย่อมมี อิมัสสุปปาทา อิทัง อุปปัชชะติ เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น อิมัส๎มิง อะสะติ อิทัง นะ โหติ เมื่อสิ่งนี้ “ไม่มี” สิ่งนี้ ย่อมไม่มี อิมัสสะ นิโรธา อิทัง นิรุชฌะติ เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป

สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๑๖ หน้า ๘๔ ข้อที่ ๑๕๔

บทสวด ปฏิจจสมุปบาท อิธะ ภิกขะเว อะริยะสาวะโก ปะฏิจจะสะมุปปาทัญเญวะ สาธุกัง โยนิโสมะนะสิกะโรติ ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมกระทำ�ไว้ในใจ โดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเทียว ดังนี้ว่า ยะทิทัง ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ อะวิชชาปัจจะยา สังขารา เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย สังขาระปัจจะยา วิญญาณัง เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป นามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนัง เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ

-๒๓สะฬายะตะนะปัจจะยา ผัสโส เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ผัสสะปัจจะยา เวทะนา เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เวทะนาปัจจะยา ตัณหา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน อุปาทานะปัจจะยา ภะโว เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ภะวะปัจจะยา ชาติ เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ชาติปัจจะยา ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะทุกขะ โทมะนัสสุปายาสา สัมภะวันติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปะริเทวะทุกขะ โทมนัสอุปายาสะทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะสะมุทะโย โหติ ความเกิดขึน้ พร้อมแห่งกองทุกข์ทง้ั สิน้ นี้ ย่อมมีดว้ ยอาการอย่างนี้ อะวิชชายะเต๎ววะ อเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรโธ เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งอวิชชานั้น นั่นเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร สังขาระนิโรธา วิญญาณะนิโรโธ เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ วิญญาณะนิโรธา นามะรูปะนิโรโธ เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป นามะรูปะนิโรธา สะฬายะตะนะนิโรโธ

-๒๔เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ สะฬายะตะนะนิโรธา ผัสสะนิโรโธ เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ ผัสสะนิโรธา เวทะนานิโรโธ เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา เวทะนานิโรธา ตัณหานิโรโธ เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา ตัณหานิโรธา อุปาทานะนิโรโธ เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน อุปาทานะนิโรธา ภะวะนิโรโธ เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ ภะวะนิโรธา ชาตินิโรโธ เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ ชาตินิโรธา ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะทุกขะ โทมะนัสสุปายาสา นิรุชฌันติ เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปะริเทวะทุกขะ โทมนัสอุปายาสะทั้งหลายจึงดับสิ้น เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ นิโรโธ โหตีติ ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้

สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๑๖ หน้า ๘๔ ข้อที่ ๑๕๔

-๒๕บทสวด อริยมรรคมีองค์แปด อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค เสยยะถีทัง หนทางนี้แล เป็นหนทางอันประเสริฐ ซึ่งประกอบด้วยองค์แปด สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป ความเห็นชอบ ความดำ�ริชอบ สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว วาจาชอบ การงานชอบ การเลี้ยงชีพชอบ สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาทิฏฐิ ภิกษุทั้งหลาย ความเห็นชอบเป็นอย่างไร ยัง โข ภิกขะเว ทุกเข ญาณัง ภิกษุทั้งหลาย ความรู้ในทุกข์ ทุกขะสะมุทะเย ญาณัง ความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ ทุกขะนิโรเธ ญาณัง ความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ทุกขะนิโรธะคามินิยา ปะฏิปะทายะ ญาณัง ความรู้ในหนทางเป็นเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาทิฏฐิ ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ความเห็นชอบ กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป ภิกษุทั้งหลาย ความดำ�ริชอบ เป็นอย่างไร เนกขัมมะสังกัปโป ความดำ�ริในการออกจากกาม อัพ๎ยาปาทะสังกัปโป ความดำ�ริในการไม่มุ่งร้ายพยาบาท อะวิหิงสาสังกัปโป ความดำ�ริในการไม่เบียดเบียน

-๒๖อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ความดำ�ริชอบ กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาวาจา ภิกษุทั้งหลาย วาจาชอบเป็นอย่างไร มุสาวาทา เวระมะณี เจตนาเป็นเหตุงดเว้น จากการพูดเท็จ ปิสุณายะ วาจายะ เวระมะณี เจตนาเป็นเหตุงดเว้น จากการพูดยุให้แตกกัน ผะรุสายะ วาจายะ เวระมะณี เจตนาเป็นเหตุงดเว้น จากการพูดคำ�หยาบ สัมผัปปะลาปา เวระมะณี เจตนาเป็นเหตุงดเว้น จากการพูดเพ้อเจ้อ อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวาจา ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า วาจาชอบ กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมากัมมันโต ภิกษุทั้งหลาย การงานชอบเป็นอย่างไร ปาณาติปาตา เวระมะณี เจตนาเป็นเหตุงดเว้น จากการฆ่าสัตว์ อะทินนาทานา เวระมะณี เจตนาเป็นเหตุงดเว้น จากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี เจตนาเป็นเหตุงดเว้น จากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมากัมมันโต ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า การงานชอบ

-๒๗กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว ภิกษุทั้งหลาย การเลี้ยงชีพชอบเป็นอย่างไร อิธะ ภิกขะเว อะริยะสาวะโก มิจฉาอาชีวัง ปะหายะ ภิกษุทง้ั หลาย อริยสาวกในธรรมวินยั นี้ ละการหาเลีย้ งชีพทีผ่ ดิ เสีย สัมมาอาชีเวนะ ชีวิกัง กัปเปติ สำ�เร็จความเป็นอยู่ด้วยการหาเลี้ยงชีพที่ชอบ อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว ภิกษุทง้ั หลาย นีเ้ ราเรียกว่า การเลีย้ งชีพชอบ กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาวายาโม ภิกษุทั้งหลาย ความเพียรชอบเป็นอย่างไร อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ อะนุปปันนานัง ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง อะนุปปาทายะ ฉันทัง ชะเนติ วายะมะติ วิริยัง อาระภะติ จิตตัง ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อความไม่บังเกิดแห่งอกุศลธรรม อันเป็นบาปทั้งหลายที่ยังไม่ได้บังเกิด ไม่ให้เกิดขึ้น อุปปันนานัง ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง ปะหานายะ ฉันทัง ชะเนติ วายะมะติ วิริยัง อาระภะติ จิตตัง ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อการละเสียซึ่งอกุศลธรรม

-๒๘อันเป็นบาปทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นแล้ว อะนุปปันนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง อุปปาทายะ ฉันทัง ชะเนติ วายะมะติ วิริยัง อาระภะติ จิตตัง ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อการบังเกิดขึ้น แห่งกุศลธรรมทั้งหลายที่ยังไม่ได้บังเกิด ให้เกิดขึ้น อุปปันนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง ฐิติยา อะสัมโมสายะ ภิยโยภาวายะ เวปุลลายะ ภาวะนายะ ปาริปรู ยิ า ฉันทัง ชะเนติ วายะมะติ วิริยัง อาระภะติ จิตตัง ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อความยั่งยืน ความไม่เลอะเลือน ความงอกงามยิ่งขึ้น ความไพบูลย์ ความเจริญ ความเต็มรอบแห่งกุศลธรรมทัง้ หลายทีบ่ งั เกิดขึน้ แล้ว อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวายาโม ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ความเพียรชอบ กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาสะติ ภิกษุทั้งหลาย ความระลึกชอบเป็นอย่างไร อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌา โทมะนัสสัง มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะรู้สึกตัวทั่วพร้อม

-๒๙มีสตินำ�ความพอใจ และความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌา โทมะนัสสัง มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสตินำ�ความพอใจ และความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌา โทมะนัสสัง มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสตินำ�ความพอใจ และความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌา โทมะนัสสัง มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสตินำ�ความพอใจ และความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะติ ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ความระลึกชอบ กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ ภิกษุทั้งหลาย ความตั้งใจมั่นชอบเป็นอย่างไร อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ วิวจิ เจวะ กาเมหิ วิวจิ จะ อะกุสะเลหิ ธัมเมหิ . ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดแล้วจากกามทั้งหลาย

-๓๐สงัดแล้วจากอกุศลธรรมทั้งหลาย สะวิตักกัง สะวิจารัง วิเวกะชัง ปีติสุขัง ปะฐะมัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ เข้าถึงฌานที่หนึ่ง ประกอบด้วย วิตก วิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่ วิตักกะวิจารานัง วูปะสะมา อัชฌัตตัง สัมปะสาทะนัง เจตะโส เอโกทิภาวัง อะวิตักกัง อะวิจารัง สะมาธิชัง ปีติสุขัง ทุติยัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ เพราะวิตกวิจาร รำ�งับลง เธอเข้าถึงฌานที่สองอันเป็น เครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่ ปีติยา จะ วิราคา อุเปกขะโก จะ วิหะระติ สะโต จะ สัมปะชาโน สุขัญจะ กาเยนะ ปะฏิสังเวเทติ ยันตัง อะริยา อาจิกขันติ อุเปกขะโก สะติมา สุขะวิหารีติ ตะติยัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ เพราะปีติจางหายไป เธอเป็นผู้อยู่ อุเบกขาเฉยอยู่ได้ มีสติ มีสัมปชัญญะรู้สึกตัวทั่วพร้อมและ ได้เสวยสุข ด้วยนามกาย ย่อมเข้าถึงฌานที่สาม อันเป็นฌาน ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวสรรเสริญผู้ได้บรรลุว่า เป็นผู้อยู่ อุเบกขาเฉยอยู่ได้ มีสติ มีความเป็นอยู่เป็นปกติสุข แล้วแลอยู่ สุขัสสะ จะ ปะหานา ทุกขัสสะ จะ ปะหานา ปุพเพวะ โสมะนัสสะ โทมะนัสสานัง อัตถังคะมา อะทุกขะมะสุขัง อุเปกขาสะติปาริสทุ ธิง จะตุตถัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ เพราะละสุขและทุกข์เสียได้และความดับหายแห่งโสมนัส

-๓๑และโทมนัสในกาลก่อน เธอย่อมเข้าถึงฌานทีส่ อี่ นั ไม่ทกุ ข์ ไม่สขุ มีแต่สติเป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่ อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ ภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า สัมมาสมาธิ อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้แลเราเรียกว่า อริยสัจ คือ หนทางเป็นเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๑๐ หน้า ๓๔๘ ข้อที่ ๒๙๙

บทสวด ละนันทิ สัมมา ปัสสัง นิพพินทะติ เมือ่ เห็นอยูโ่ ดยถูกต้อง ย่อมเบือ่ หน่าย นันทิกขะยา ราคักขะโย เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิ (คือความเพลิน) จึงมีความสิ้นไปแห่งราคะ ราคักขะยา นันทิกขะโย เพราะความสิ้นไปแห่งราคะ จึงมีความสิ้นไปแห่งนันทิ นันทิราคักขะยา จิตตัง สุวิมุตตันติ วุจจะติ เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิและราคะกล่าวได้ว่า “จิตหลุดพ้นแล้วด้วยดี” ดังนี้

สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๑๘ หน้า ๑๗๙ ข้อที่ ๒๔๕

บทสวด อานาปานสติ อานาปานะสะติ ภิกขะเว ภาวิตา พาหุลีกะตา, ดูกอ่ นภิกษุทง้ั หลาย, อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ ทำ�ให้มากแล้ว,

-๓๒มะหัปผะลา โหติ มะหานิสังสา, ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่, อานาปานะสะติ ภิกขะเว ภาวิตา พะหุลีกะตา, ดูกอ่ นภิกษุทง้ั หลาย, อานาปานสติ อันบุคคลเจริญ ทำ�ให้มากแล้ว, จัตตาโร สะติปัฏฐาเน ปะริปูเรนติ, ย่อมทำ�สติปัฏฐานทั้งสี่ให้บริบูรณ์ จัตตาโร สะติปัฏฐานา ภาวิตา พะหุลีกะตา, สติปัฏฐานทั้งสี่ อันบุคคลเจริญ ทำ�ให้มากแล้ว, สัตตะโพชฌังเค ปะริปูเรนติ ย่อมทำ�โพชฌงค์ทั้งเจ็ดให้บริบูรณ์ สัตตะโพชฌังคา ภาวิตา พะหุลีกะตา โพชฌงค์ทั้งเจ็ด อันบุคคลเจริญ ทำ�ให้มากแล้ว วิชชาวิมุตติ ปะริปูเรนติ, ย่อมทำ�วิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์, กะถัง ภาวิตา จะ ภิกขะเว อานาปานะสะติ กะถัง พะหุลกี ะตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็อานาปานสติอันบุคคลเจริญ ทำ�ให้มากแล้วอย่างไรเล่า, มะหัปผะลา โหติ มะหานิสังสา, จึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่?, อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ภิกษุในธรรมวินัยนี้, อะรัญญะคะโต วา, รุกขะมูละคะโต วา, สุญญาคาระคะโต วา ไปแล้วสูป่ า่ ก็ตาม, ไปแล้วสูโ่ คนไม้กต็ าม, ไปแล้วสูเ่ รือนว่างก็ตาม นิสีทะติ ปัลลังกัง อาภุชิตฺวา, นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบแล้ว, อุชุง กายัง ปะณิธายะ, ปะริมุขัง สะติง อุปัฏฐะ เปตฺวา,

-๓๓ตั้งกายตรง ดำ�รงสติมั่น, โส สะโต วะ อัสสะสะติ, สะโต ปัสสะสะติ, ภิกษุนนั้ , เป็นผูม้ สี ติอยูน่ นั่ เทียว, หายใจเข้า, มีสติอยู่ หายใจออก ทีฆัง วา อัสสะสันโต ทีฆัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ ภิกษุนน้ั เมือ่ หายใจเข้ายาว ก็รสู้ กึ ตัวทัว่ พร้อมว่า เราหายใจเข้ายาว ทีฆัง วา ปัสสะสันโต ทีฆัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้สึกตัวทั่วพร้อมว่า เราหายใจออกยาว รัสสัง วา อัสสะสันโต รัสสัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้สึกตัวทั่วพร้อมว่า เราหายใจเข้าสั้น รัสสัง วา ปัสสะสันโต รัสสัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้สึกตัวทั่วพร้อมว่า เราหายใจออกสั้น สัพพะกายะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า สัพพะกายะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำ�กายสังขารให้รำ�งับอยู่ หายใจเข้า ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า

-๓๔เราเป็นผู้ทำ�กายสังขารให้รำ�งับอยู่ หายใจออก (จบหมวดกายานุปัสสนา)

ปีติปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ภิกษุนั้น ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจเข้า ปีติปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจออก สุขะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจเข้า สุขะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก จิตตะสังขาระปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจเข้า จิตตะสังขาระปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจออก ปัสสัมภะยัง จิตตะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า

-๓๕เราเป็นผู้ทำ�จิตตสังขารให้รำ�งับอยู่ หายใจเข้า ปัสสัมภะยัง จิตตะสังขารัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำ�จิตตสังขารให้รำ�งับอยู่ หายใจออก (จบหมวดเวทนานุปัสสนา)

จิตตะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ภิกษุนั้น ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตหายใจเข้า จิตตะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก อะภิปปะโมทะยัง จิตตัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำ�จิตให้ปราโมทย์ยิ่ง หายใจเข้า อะภิปปะโมทะยัง จิตตัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำ�จิตให้ปราโมทย์ยิ่ง หายใจออก สะมาทะหัง จิตตัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำ�จิตให้ตั้งมั่น หายใจเข้า สะมาทะหัง จิตตัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า

-๓๖เราเป็นผู้ทำ�จิตให้ตั้งมั่น หายใจออก วิโมจะยัง จิตตัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำ�จิตให้ปล่อยอยู่ หายใจเข้า วิโมจะยัง จิตตัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำ�จิตให้ปล่อยอยู่ หายใจออก (จบหมวดจิตตานุปัสสนา)

อะนิจจานุปัสสี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ภิกษุนั้น ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ� หายใจเข้า อะนิจจานุปัสสี ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ� หายใจออก วิราคานุปัสสี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ� หายใจเข้า วิราคานุปัสสี ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ� หายใจออก นิโรธานุปัสสี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า

-๓๗เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ� หายใจเข้า นิโรธานุปัสสี ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผูต้ ามเห็นซึง่ ความดับไม่เหลืออยูเ่ ป็นประจำ� หายใจออก ปะฏินิสสัคคานุปัสสี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ� หายใจเข้า ปะฏินิสสัคคานุปัสสี ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ�การฝึกหัดศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ� หายใจออก (จบหมวดธัมมานุปัสสนา)

เอวัง ภาวิตา โข ภิกขะเว อานาปานะสะติ เอวัง พะหุลีกะตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว อย่างนี้แล มะหัปผะลา โหติ มะหานิสังสา อิติ ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ด้วยประการฉะนี้

สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๑๙ หน้า ๔๒๔ ข้อที่ ๑๔๐๓ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๑๓ หน้า ๑๔๐ ข้อที่ ๑๔๖

บทสวด รู้ลมก่อนตาย เอวัง ภาวิตายะ โข ราหุละ อานาปานะสะติยา เอวัง พะหุลกี ะตายะ ราหุล เมือ่ บุคคลเจริญกระทำ�ให้มากซึง่ อานาปานสติอย่างนีแ้ ล้ว เยปิ เต จะริมะกา อัสสาสะปัสสาสา

-๓๘ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก อันจะมีเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อจะดับจิตนั้น เตปิ วิทิตาวะ นิรุชฌันติ โน อะวิทิตาติ จะเป็นสิ่งที่เขารู้แจ้งแล้วดับไป หาใช่เป็นสิ่งที่เขาไม่รู้แจ้งไม่ ดังนี้

มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๑๓ หน้า ๑๔๐ ข้อที่ ๑๔๖

บทสวด โอวาทปาติโมกข์ สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง การไม่ทำ�บาปทั้งปวง กุสะลัสสูปะสัมปะทา การทำ�กุศลให้ถึงพร้อม สะจิตตะปะริโยทะปะนัง การชำ�ระจิตของตนให้ผ่องใส เอตัง พุทธานะสาสะนัง ธรรม ๓ อย่างนี้ เป็นคำ�สั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา ขันติ คือความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา ผู้รู้ทั้งหลาย กล่าวว่า พระนิพพานเป็นธรรมอันยิ่ง นะ หิ ปัพพะชิโต ปะรูปะฆาตี ผู้กำ�จัดสัตว์อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตเลย สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต ผู้ทำ�สัตว์อื่นให้ลำ�บากอยู่ ไม่ชื่อว่า เป็นสมณะเลย อะนูปะวาโท อะนูปะฆาโต การไม่พูดร้าย การไม่ทำ�ร้าย ปาติโมกเข จะสังวะโร การสำ�รวมในปาติโมกข์

-๓๙มัตตัญญุตา จะภัตตัสมิง ความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค ปันตัญจะ สะยะนาสะนัง การนอน การนั่ง ในที่อันสงัด อะธิจิตเต จะ อาโยโค ความหมั่นประกอบในการทำ�จิตให้ยิ่ง เอตัง พุทธานะสาสะนัง ธรรม ๖ อย่างนี้ เป็นคำ�สั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่มที่ ๒๕ หน้า ๓๙ ข้อที่ ๒๔

บทสวด พิจารณาสังขาร สัพเพ สังขารา อะนิจจา สังขาร คือ ร่างกายจิตใจ แลรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วหายไป สัพเพ สังขารา ทุกขา สังขาร คือ ร่างกายจิตใจ แลรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมด ทั้งสิ้น มันเป็นทุกข์ทนยาก เพราะเกิดขึ้นแล้ว แก่ เจ็บ ตายไป สัพเพ ธัมมา อะนัตตา สิง่ ทัง้ หลายทัง้ ปวง ทัง้ ทีเ่ ป็นสังขาร แลมิใช่สงั ขาร ทัง้ หมดทัง้ สิน้ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ควรถือว่าเรา ว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา อะธุวัง ชีวิตัง ชีวิตเป็นของไม่ยั่งยืน ธุวัง มะระณัง ความตายเป็นของยั่งยืน อะวัสสัง มะยา มะริตัพพัง อันเราจะพึงตายเป็นแท้ มะระณะปะริโยสานัง เม ชีวิตัง ชีวิตของเรา มีความตาย เป็นที่สุดรอบ ชีวิตัง เม อะนิยะตัง ชีวิตของเรา เป็นของไม่เที่ยง

-๔๐มะระณัง เม นิยะตัง วะตะ ความตายของเรา เป็นของเที่ยง ควรที่จะสังเวช อะยัง กาโย อะจิรัง ร่างกายนี้ มิได้ตั้งอยู่นาน อะเปตะวิญญาโณ ฉุทโท อะธิเสสสะติ ปะฐะวิง ครัน้ ปราศจากวิญญาณอันเขาทิง้ เสียแล้ว จักนอนทับซึง่ แผ่นดิน กะลิงคะรัง อิวะ นิรัตถัง ประดุจดังว่า ท่อนไม้และท่อนฟืน หาประโยชน์มิได้ อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๒๐ หน้า ๓๖๘ ข้อที่ ๕๗๖

บทสวด เพื่อผู้เจ็บไข้ ยังกัญจิ ภิกขะเว ทุพพะลัง คิลานะกัง ปัญจะ ธัมมา นะ วิชะหันติ ภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมห้าประการ ไม่เว้นห่างไปเสียจากคนเจ็บไข้ทุพพลภาพคนใด ตัสเสตัง ปาฏิกังขัง นะจิรัสเสวะ ข้อนี้เป็นสิ่งที่เขาผู้นั้นพึงหวังได้ต่อการไม่นานเทียว คือ อาสะวานัง ขะยา อะนาสะวัง เจโตวิมุตติง ปัญญาวิมุตติง เขาจักกระทำ�ให้แจ้งได้ซง่ึ เจโตวิมตุ ติ ปัญญาวิมตุ ติ อันหาอาสวะมิได้ ทิฏเฐวะ ธัมเม สะยัง อภิญญา สัจฉิกัต๎วา อุปะสัมปัชชะ วิหะริสสะติ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายด้วย ปัญญาอันยิง่ เอง ในทิฏฐธรรมนีเ้ ข้าถึงแล้ว แลอยูต่ อ่ กาลไม่นานเทียว กะตะเม ปัญจะ อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ ธรรมห้าประการนัน้ เป็นอย่างไรเล่า ภิกษุทง้ั หลาย ภิกษุในธรรมวินยั นี้

-๔๑อะสุภานุปสั สี กาเย วิหะระติ เป็นผูม้ ปี กติตามเห็นความไม่งามในกาย อาหาเร ปฏิกกูละสัญญี เป็นผู้มีปกติสำ�คัญว่า ปฏิกูลในอาหาร สัพพะโลเก อะนะภิระตะสัญญี เป็นผู้มีปกติสำ�คัญว่า ไม่น่ายินดีในโลกทั้งปวง สัพพะสังขาเรสุ อนิจจานุปัสสี เป็นผู้มีปกติตามเห็นความไม่เที่ยงในสังขารทั้งหลาย มะระณะสัญญา โข ปะนัสสะ อัชฌัตตัง สุปัฏฐิตา โหติ มีสติอันตนเข้าไปตั้งไว้ดีแล้วในกาย แล้วเห็นการเกิดดับภายใน ยังกัญจิ ภิกขะเว ทุพพะลัง คิลานะกัง อิเม ปัญจะ ธัมมา นะ วิชะหันติ ภิกษุทั้งหลาย ธรรมห้าประการ ไม่เว้นห่างไปเสียจากคนเจ็บไข้ทุพพลภาพคนใด ตัสเสตัง ปาฏิกังขัง นะจิรัสเสวะ ข้อนี้เป็นสิ่งที่เขาผู้นั้นพึงหวังได้ต่อกาลไม่นานเทียว คือ อาสะวานัง ขะยา อะนาสะวัง เจโตวิมุตติง ปัญญาวิมุตติง เขาจักกระทำ�ให้แจ้งได้ซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ ทิฏเฐวะ ธัมเม สะยัง อะภิญญา สัจฉิกัต๎วา อุปะสัมปัชชะ วิหะริสสะตีติ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในทิฏฐธรรมนี้เข้าถึงแล้ว แลอยู่ อังคุตตรนิกาย ปัญฺจกนิบาต เล่ม ๒๒ หน้า ๑๖๐ ข้อที่ ๑๒๑

-๔๒บทสวด ที่สุดแห่งทุกข์ เอตถะ จะ เต มาลุงก๎ยะปุตตะ ทิฏฐะสุตะมุตะ วิญญาตัพเพสุ ธัมเมสุ มาลุงก๎ยบุตร ในบรรดาสิ่งที่ท่านได้เห็นได้ฟัง ได้รู้สึก ได้รู้แจ้งเหล่านั้น ทิฏเฐ ทิฏฐะมัตตัง ภะวิสสะติ ในสิ่งที่ท่านเห็นแล้ว จักเป็นแต่เพียงสักว่าเห็น สุเต สุตะมัตตัง ภะวิสสะติ ในสิ่งที่ท่านฟังแล้ว จักเป็นแต่เพียงสักว่าได้ยิน มุเต มุตะมัตตัง ภะวิสสะติ ในสิ่งที่ท่านรู้สึกแล้ว จักเป็นแต่เพียงสักว่ารู้สึก วิญญาเต วิญญาตะมัตตัง ภะวิสสะติ ในสิ่งที่ท่านรู้แจ้งแล้ว ก็จักเป็นแต่เพียงสักว่ารู้แจ้ง ยะโต โข เต มาลุงก๎ยะปุตตะ ทิฏฐะสุตะมุตะวิญญาตัพเพสุ ธัมเมสุ มาลุงก๎ยบุตร เมื่อใดแล ในบรรดาธรรมเหล่านั้น ทิฏเฐ ทิฏฐะมัตตัง ภะวิสสะติ เมื่อสิ่งที่เห็นแล้ว สักว่าเห็น สุเต สุตะมัตตัง ภะวิสสะติ สิ่งที่ฟังแล้ว สักว่าได้ยิน มุเต มุตะมัตตัง ภะวิสสะติ สิ่งที่รู้สึกแล้ว สักว่ารู้สึก วิญญาเต วิญญาตะมัตตัง ภะวิสสะติ สิ่งที่รู้แจ้งแล้ว สักว่ารู้แจ้ง ดังนี้แล้ว ตะโต ต๎วัง มาลุงก๎ยะปุตตะ นะ เตนะ มาลุงก๎ยบุตร เมื่อนั้น ตัวตนย่อมไม่มีเพราะเหตุนั้น

-๔๓ยะโต ต๎วัง มาลุงก๎ยะปุตตะ นะ เตนะ ตะโต ต๎วัง มาลุงก๎ยะ ปุตตะ นะ ตัตถะ มาลุงก๎ยบุตร เมื่อใดตัวตนไม่มี เพราะเหตุนั้น เมื่อนั้นตัวท่านก็ไม่มีในที่นั้นๆ ยะโต ต๎วัง มาลุงก๎ยะปุตตะ นะ ตัตถะ มาลุงก๎ยบุตร เมื่อใดตัวท่านไม่มีในที่นั้นๆ ตะโต มาลุงก๎ยะปุตตะ เนวิธะ นะ หุรัง นะ อุภะยะมันตะเรนะ เมื่อนั้นตัวท่านก็ไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกอื่น ไม่มีในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง เอเสวันโต ทุกขัสสาติ นั่นแหละ คือ ที่สุดแห่งความทุกข์ ดังนี้

สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๑๘ หน้า ๙๑ ข้อที่ ๑๓๓

บทสวด อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ กะถัญจะ อานันทะ อะริยัสสะ วินะเย อะนุตตะรา อินท๎ริยะภาวะนา โหติ อานนท์ อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศในอริยวินัย เป็นอย่างไรเล่า อิธานันทะ ภิกขุโน จักขุนา รูปัง ทิส๎วา อุปปัชชะติ มะนาปัง อานนท์ ภิกษุในกรณีนี้ เพราะเห็นรูปด้วยตา อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจก็เกิดขึ้น อุปปัชชะติ อะมะนาปัง ไม่เป็นที่ชอบใจ ก็เกิดขึ้น อุปปัชชะติ มะนาปามะนาปัง เป็นที่ชอบใจและไม่เป็นที่ชอบใจ ก็เกิดขึ้น โส เอวัง ปะชานาติ อุปปันนัง โขเม อิทัง มะนาปัง

-๔๔ภิกษุนั้นรู้ชัดอย่างนี้ว่า อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้วแก่เรานี้ อุปปันนัง อะมะนาปัง ไม่เป็นที่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว อุปปันนัง มะนาปามะนาปัง เป็นที่ชอบใจและไม่เป็นที่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว ตัญจะ โข สังขะตัง โอฬาริกัง ปะฏิจจะ สะมุปปันนัง เป็นสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นของหยาบๆ เป็นสิ่งที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น เอตัง สันตัง เอตัง ปะณีตัง แต่มีสิ่งโน้นซึ่งรำ�งับและประณีต ยะทิทัง อุเปกขาติ กล่าวคือ อุเบกขา ดังนี้ ตัสสะ ตัง อุปปันนัง มะนาปัง เมื่อรู้ชัดอย่างนี้ อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว อุปปันนัง อะมะนาปัง ไม่เป็นที่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว อุปปันนัง มะนาปามะนาปัง เป็นที่ชอบใจและไม่เป็นที่ชอบใจที่เกิดขึ้นแล้ว นิรุชฌะติ อุเปกขา สัณฐาติ นั้นย่อมดับไป ส่วนอุเบกขายังคงดำ�รงอยู่ เสยยะถาปิ อานันทะ จักขุมา ปุรโิ ส อุมมิเลต๎วา วา นิมมิเลยยะ นิมมิเลต๎วา วา อุมมิเลยยะ เอวะเมวะ โข อานันทะ ยัสสะกัสสะจิ เอวัง สีฆัง เอวัง ตุวะฏัง เอวัง อัปปะกะสิเรนะ อุปปันนัง มะนาปัง อุปปันนัง อะมะนาปัง อุปปันนัง มะนาปา มะนาปัง นิรุชฌะติ อุเปกขา สัณฐาติ

-๔๕อานนท์ อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ ไม่เป็นที่ชอบใจ เป็นที่ชอบใจ และไม่เป็นที่ชอบใจ อันบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น ย่อมดับไปเร็ว เหมือนการกระพริบตาของคน ส่วนอุเบกขายังคงดำ�รงอยู่ อะยัง วุจจะตานันทะ อริยัสสะ วินะเย อะนุตตะรา อินท๎ริยะภาวะนา จักขุวิญเญยเยสุ รูเปสุ อานนท์ นี้แล เราเรียกว่า อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศในอริยวินัย ในกรณีแห่งรูป ที่รู้แจ้งด้วยจักษุ (ผู้สวดพึงพิจารณาอนุโลมตามในกรณีแห่งอินทรีย์ คือ โสตะ, ฆานะ, ชิวหา, กายะ และมโน)

มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๑๔ หน้า ๕๔๒ ข้อที่ ๘๕๖

บทสวด ก่อนนอน สะยานัสสะ เจปิ ภิกขะเว ภิกขุโน ชาคะรัสสะ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุนอนตื่น (นอนไม่หลับ) อยู่ อุปปัชชะติ กามะวิตักโก วา พ๎ยาปาทะวิตักโก วา วิหิงสาวิตักโก วา ถ้ามีกามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตกเกิดขึ้น ตัญจะ ภิกขุ นาธิวาเสติ ปะชะหะติ วิโนเทติ พ๎ยันตีกะโรติ และภิกษุนั้นก็ไม่รับเอาวิตกเหล่านั้นไว้ อะนะภาวัง คะเมติ แต่สละทิ้งไป ถ่ายถอนออก ทำ�ให้สิ้นสุดลงไปจนไม่มีเหลือ สะยาโนปิ ภิกขะเว ภิกขุ ชาคะโร เอวังภูโต อาตาปี โอตตัปปี สะตะตัง สะมิตัง อารัทธะวิริโย ปะหิตัตโตติ วุจจะตีติ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่เป็นอย่างนี้ แม้กำ�ลังนอนตื่นอยู่ ก็เรียกว่า

-๔๖เป็นผู้ปรารภความเพียร รู้สึกกลัว (ต่อบาปอกุศล) อุทิศตนในการเผากิเลสอยู่เนืองนิตย์ ตัสสะ เจ อานันทะ ภิกขุโน อิมินา วิหาเรนะ วิหะระโต อานนท์ ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สะยะนายะ จิตตัง นะมะติ จิตน้อมไปเพื่อการนอน โส สะยะติ เอวัง มัง สะยันตัง นาภิชฌาโทมะนัสสา ปาปะกา อะกุสะลา ธัมมา อันวาสสะวิสสันตีติ ภิกษุนั้นก็นอนด้วยการตั้งจิตว่า อกุศลธรรมอันเป็นบาป ทั้งหลายคือ อภิชฌาและโทมนัสจักไม่ไหลไปตามเรา ผู้นอนอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้ อิติหะ ตัตถะ สัมปะชาโน โหติ ในกรณีอย่างนี้ ภิกษุนั้นชื่อว่า เป็นผู้มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในกรณีแห่งการนอนนั้น

อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต เล่ม ๒๑ หน้า ๑๖ ข้อที่ ๑๑ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๑๔ หน้า ๒๓๘ ข้อที่ ๓๔๘

บทสวด ปัจฉิมวาจา หันทะ ทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า วะยะธัมมา สังขารา สังขารทัง้ หลายมีความเสือ่ มไปเป็นธรรมดา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ เธอทั้งหลาย จงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด... ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๑๐ หน้า ๑๘๐ ข้อที่ ๑๔๓

-๔๗-

การแผ่เมตตา

เป็นผู้ปฏิบัติชอบ ละนิวรณ์ ๕ อกุศลทั้งหลาย และกิเลสที่เป็นมลทิน เกิดปราโมทย์ ปิติ กายสงบ เสวยสุข จิตตั้งมั่น มีจิตประกอบด้วยเมตตา (ปรารถนาให้หมู่สัตว์เป็นสุข) กรุณา (ให้หมู่สัตว์พ้นทุกข์) มุทิตา (ยินดีเมื่อหมู่สัตว์มีสุข ไม่มีริษยา) อุเบกขา (วางเฉยเป็นกลาง ไม่ยินดียินร้าย) แผ่ไปตลอดทิศที่ ๑, ๒, ๓, ๔ เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ตลอดทั่วทุกหมู่เหล่า ในที่ทุกสถาน อย่างกว้างขวาง หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน

มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑๒ หน้า ๔๗๑ ข้อที่ ๔๘๒

ผู้ไม่ประมาทในความตายแท้จริง

โอหนอ เราอาจจะมีชีวิต อยู่ได้เพียงชั่วขณะ ...ที่หายใจเข้า แล้วหายใจออก... ...หรือ ชั่วขณะหายใจออก แล้วหายใจเข้า... เราพึงใส่ใจถึงคำ�สอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด, การปฏิบัติตามคำ�สอน ควรทำ�ให้มากแล้วหนอ เราเรียกว่า เป็นผู้ไม่ประมาท เป็นผู้เจริญมรณสติ (ความระลึกถึงความตาย) เพื่อความสิ้นอาสวะ อย่างแท้จริง มรณสติ อันบุคคลเจริญทำ�ให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ หยั่งลงสู่นิพพานหรืออมตะ มีนิพพานหรืออมตะเป็นที่สุด อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต เล่ม ๒๓ หน้า ๓๒๖ ข้อที่ ๑๗๐

-๔๘-

พระพุทธวจน

การเจริญเมตตาหรือเจริญพรหมวิหาร

กุลบุตรผู้ฉลาดในประโยชน์ปรารถนาบรรลุสันตบท พึงบำ�เพ็ญไตรสิกขา กุลบุตรนัน้ พึงเป็นผูอ้ าจหาญ ซือ่ ตรง เคร่งครัด ว่าง่าย อ่อนโยน ไม่เย่อหยิง่ สันโดษ เลีย้ งง่าย มีกจิ น้อย มีความประพฤติเบา มีอนิ ทรียอ์ นั สงบแล้ว มีปญ ั ญาเครือ่ งรักษาตน ไม่คะนอง ไม่พวั พันในสกุลทัง้ หลาย และไม่พงึ ประพฤติทจุ ริตเล็กน้อย อะไรๆ ซึง่ เป็นเหตุให้ทา่ นผูร้ ู้ เหล่าอื่นติเตียนได้ พึงเจริญเมตตาในสัตว์ทงั้ หลายว่า ขอสัตว์ทงั้ ปวงจงเป็นผูม้ สี ขุ มีความเกษม มีตนถึงความสุขเถิด สัตว์มชี วี ติ เหล่าใด เหล่าหนึง่ มีอยู่ เป็นผูส้ ะดุง้ หรือเป็นผูม้ นั่ คง ไม่มี ส่วนเหลือ สัตว์เหล่าใดมีกายยาวหรือใหญ่หรือปานกลางหรือสั้น ละเอียดหรือหยาบ ที่เราเห็นแล้วหรือไม่ได้เห็น อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ ที่เกิดแล้วหรือแสวงหาที่เกิด ขอสัตว์ทงั้ หมดนัน้ จงเป็นผูม้ ตี นถึงความสุขเถิด สัตว์อนื่ ไม่พงึ ข่มขูส่ ตั ว์อนื่ ไม่พงึ ดูหมิน่ อะไรๆ เขาในที่ไหนๆ ไม่พึงปรารถนาทุกข์ให้แก่กันและกัน เพราะความโกรธ เพราะ ความเคียดแค้น มารดาถนอมบุตรคนเดียวผู้เกิดในตน แม้ด้วยการยอมสละชีวิตได้ ฉันใด กุลบุตรผูฉ้ ลาดในประโยชน์พงึ เจริญเมตตามีในใจ ไม่มปี ระมาณในสัตว์ทงั้ ปวง แม้ฉนั นัน้ กุลบุตรนั้นพึงเจริญเมตตามีในใจไม่มีประมาณ ไปในโลกทั้งสิ้น ทั้งเบื้องบน เบื้องตํ่า เบือ้ งขวาง ไม่คบั แคบ ไม่มเี วร ไม่มศี ตั รู กุลบุตรผูเ้ จริญเมตตานัน้ ยืนอยูก่ ด็ ี เดินอยูก่ ด็ ี นั่งอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี พึงเป็นผู้ปราศจากความง่วงเพียงใด ก็พึงตั้งสตินี้ไว้เพียงนั้น บัณฑิตทัง้ หลายกล่าววิหารธรรมนีว้ า่ เป็นพรหมวิหารในธรรมวินยั ของพระอริยเจ้านี้ และกุลบุตรผู้เจริญเมตตา ไม่เข้าไปอาศัยทิฐิ เป็นผู้มีศีลถึงพร้อมด้วยทัสสนะ กำ�จัด ความยินดีในกามทั้งหลายออกได้แล้ว ย่อมไม่ถึงความนอนในครรภ์อีกโดยแท้แล ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่มที่ ๒๕ หน้า ๓๘๙ ข้อที่ ๓๐๘

-๔๙อานิสงส์ของเมตตา ๑๑ ประการ

ภิกษุท้ังหลาย เมื่อเมตตาเจโตวิมุตติ อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว ทำ�ให้เป็นดุจยาน ทำ�ให้เป็นที่ตั้ง ให้ตั้งมั่นโดยลำ�ดับ สั่งสมดีแล้ว ปรารภด้วยดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๑ ประการ ๑๑ ประการ เป็นไฉน คือ ย่อมหลับ เป็นสุข ๑ ย่อมตื่นเป็นสุข ๑ ย่อมไม่ฝันลามก ๑ ย่อมเป็นที่รักแห่งมนุษย์ ทั้งหลาย ๑ ย่อมเป็นที่รักแห่งอมนุษย์ทั้งหลาย ๑ เทวดาทั้งหลายย่อมรักษา ๑ ไฟ ยาพิ ษ หรื อ ศั ล ตราย่ อ มไม่ ก ลํ้ า กรายได้ ๑ จิ ต ย่ อ มตั้ ง มั่ น โดยรวดเร็ ว ๑ สีหน้าย่อมผ่องใส ๑ เป็นผู้ไม่หลงทำ�กาละ ๑ เมื่อไม่แทงตลอดคุณอันยิ่งย่อม เป็นผูเ้ ข้าถึงพรหมโลก ๑ ภิกษุทงั้ หลาย เมือ่ เมตตาเจโตวิมตุ ติ อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว ทำ�ให้มากแล้ว ทำ�ให้เป็นดุจยาน ทำ�ให้เป็นที่ตั้ง ให้ตั้งมั่นโดยลำ�ดับ สั่งสมดีแล้ว ปรารภด้วยดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๑ ประการนี้แล

อังคุตตรนิกาย เอกาทสกนิบาต เล่ม ๒๔ หน้า ๔๒๔ ข้อที่ ๒๒๒



ปัจฉิมวาจา

ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด ความปรินพิ พานแห่งตถาคต จักมีในไม่ชา้ โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้ ตถาคตก็ จักปรินพิ พานฯ พระผูม้ พี ระภาคผูส้ คุ ตศาสดา ครัน้ ได้ตรัสไวยากรณภาษิตนีแ้ ล้ว จึงได้ตรัสพระคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า คนเหล่าใด ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งพาล ทั้ ง บั ณ ฑิ ต ทั้ ง มั่ ง มี ทั้ ง ขั ด สน ล้ ว นมี ค วามตายเป็ น เบื้ อ งหน้ า ภาชนะดิ น ที่ นายช่างหม้อกระทำ�แล้ว ทั้งเล็ก ทั้งใหญ่ ทั้งสุก ทั้งดิบ ทุกชนิด มีความแตก เป็นทีส่ ดุ ฉันใด ชีวติ ของสัตว์ทงั้ หลายก็ฉนั นัน้ ฯ พระศาสดาได้ตรัสคาถาประพันธ์ ต่อไปอีกว่า วัยของเราแก่หง่อมแล้ว ชีวติ ของเราริบหรีแ่ ล้ว เราจักละพวกเธอไป สรณะ (ที่พึ่งแก่ตน) ของตัวเองเราได้ทำ�แล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท มีสติ มีศีลเป็นอย่างดี มีความดำ�ริอันตั้งมั่นไว้แล้วด้วยดี ตามรักษาจิตของตนเถิด ผู้ใดจักเป็นผู้ไม่ ประมาทอยูใ่ นธรรมวินยั นี้ ผู้นั้นจักละชาติสงสาร (การเวียนว่ายตายเกิด) แล้ว กระทำ�ที่สุดแห่งทุกข์ได้ ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๑๐ หน้า ๑๓๕ ข้อที่ ๑๐๗-๑๐๘

-๕๐ความเข้าใจเรื่องกรรม

เรา (พระพุทธเจ้า) กล่าวซึง่ เจตนาว่า เป็นกรรม เพราะบุคคลเจตนาคิดแล้ว จึงกระทำ�กรรมด้วยกาย วาจา ใจ กรรมเป็นสิง่ ทีค่ วรรู้ เมือ่ รูช้ ดั จะเป็นเครือ่ งเจาะ แทงกิเลสเป็นที่ดับไม่เหลือแห่งกรรม ๑. นิทานสัมภวะ เหตุเป็นแดนเกิดแห่งกรรมทั้งหลาย คือ ผัสสะ ๒. เวมัตตตา ความต่างแห่งกรรม คือ กรรมที่ให้วิบากในนรก เดรัจฉาน เปรตวิสัย มนุษย์ เทวดา ๓. วิบากแห่งกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน, ในภพที่เกิด, ในภพต่อๆ ไป ๔. กัมมนิโรธ คือ ความดับแห่งกรรม ย่อมมีเพราะความดับแห่งผัสสะ อริยอัฏฐังคิกมรรค นี้นั่นเอง เป็นกัมมนิโรธคามินี



อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต เล่ม ๒๒ หน้า ๔๗๑ ข้อที่ ๓๓๔



วิธีตรวจสอบว่า เป็นคำ�ของพระผู้มีพระภาคเจ้าหรือไม่

ถ้าภิกษุในธรรมวินยั นี้ จะพึงกล่าวอย่างนีว้ า่ ข้าพเจ้าฟังมาแล้ว ได้รบั มาแล้ว เฉพาะพระพักตร์ พระผูม้ พี ระภาคเจ้า ว่า นีเ้ ป็นธรรม นีเ้ ป็นวินยั นีเ้ ป็นคำ�สอนของ พระศาสดา, ดังนี;้ พวกเธออย่าพึงรับรอง, อย่าพึงคัดค้าน เธอกำ�หนดเนือ้ ความนัน้ ให้ดี แล้วนำ�ไปสอบสวนในสูตร นำ�ไปเทียบเคียงในวินยั , ถ้าลงกันไม่ได้ เทียบเคียงกันไม่ได้ พึงแน่ใจว่า นัน้ ไม่ใช่ค�ำ ของพระผูม้ พี ระภาคเจ้าแน่นอน ภิกษุรปู นัน้ จำ�มาผิด, พวกเธอ พึงทิง้ คำ�เหล่านัน้ เสีย; ถ้าลงกันได้เทียบเคียงกันได้ พึงแน่ใจว่า นัน่ เป็นคำ�ของพระผูม้ ี พระภาคเจ้าแน่แล้ว ภิกษุรปู นัน้ จำ�มาอย่างดีแล้ว, พวกเธอพึงรับเอาไว้... ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๑๐ หน้า ๑๓๗ ข้อที่ ๑๑๓

-๕๑ผู้มีจิตตั้งมั่นรู้เหตุเกิดและดับแห่งเวทนา

สาวกของพระพุทธเจ้ามีจิตมั่นคงดีแล้ว มีสัมปชัญญะ มีสติ ย่อมรู้ชัดซึ่ง เวทนาและเหตุเกิดแห่งเวทนาทั้งหลาย อนึ่ง เวทนาเหล่านี้จะดับไปในที่ใด ย่อมรู้ชัด ซึ่งที่นั้น (คือนิพพาน) และทางดำ�เนินให้ถึงความสิ้นไปแห่งเวทนาเหล่านั้น เพราะสิ้น เวทนา จึงเป็นผู้หมดความหิว ปรินิพพานแล้ว สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๑๘ หน้า ๒๘๓ ข้อที่ ๓๖๐

โพธิปักขิยธรรม ๓๗ องค์ธรรมแห่งการตรัสรู้

โพธิปกั ขิยธรรม ๓๗ คือ สติปฏั ฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ ธรรมเหล่านีเ้ ป็นธรรมทีเ่ ราแสดงแล้ว เพือ่ ความรู้ ยิ่งแก่พวกเธอ พวกเธอพึงเรียน พึงส้องเสพ พึงเจริญ พึงกระทำ�ให้มากด้วยดี โดย วิธีพรหมจรรย์น้ีพึงยั่งยืน ดำ�รงอยู่ได้นาน ข้อนั้นพึงมีเพื่อเกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพือ่ ความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพือ่ อนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพือ่ ประโยชน์ เพือ่ เกือ้ กูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๑๐ หน้า ๑๓๔ ข้อที่ ๑๐๗



เจริญโพชฌงค์เป็นเหตุสิ้นตัณหา ย่อมทำ�วิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์

ภิกษุในธรรมวินยั นี้ ย่อมเจริญสติสมั โพชฌงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ ไพบูลย์ เป็นมหรคต (มรรค) หาประมาณมิได้ ไม่มคี วามเบียดเบียน ย่อมละ ตัณหาได้ เพราะละตัณหาได้ จึงละกรรมได้ เพราะละกรรมได้ จึงละทุกข์ได้ เพราะสิน้ ตัณหา จึงสิน้ กรรม เพราะสิน้ กรรม จึงสิน้ ทุกข์ ด้วยประการดังนีแ้ ล. (ผู้อ่านพึงพิจารณาอนุโลมตามในกรณีแห่ง ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปีตสิ มั โพชฌงค์ ปัสสัทธิสมั โพชฌงค์ สมาธิสมั โพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์) โพชฌงค์ ๗ อันบุคคลเจริญแล้วกระทำ�ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพือ่ กระทำ�ให้ แจ้งซึง่ ผล คือ วิชชาและวิมตุ ติ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๑๙ หน้า ๑๕๖, ๒๐๓ ข้อที่ ๔๕๐, ๖๒๕

-๕๒วิญญาณฐิติ ที่ตั้งอยู่ของจิต หรือมโน หรือวิญญาณ

เธอทั้งหลายพึงเห็นวิญญาณฐิติ ๔ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร) เหมือนดิน ความกำ�หนัดด้วยอำ�นาจแห่งความเพลิน (นันทิราคะ) เหมือนนํ้า พึงเห็นวิญญาณ เหมือนกับพืชสดทัง้ ๕ (ราก ต้น ผล ยอด เมล็ด) นัน้ วิญญาณทีเ่ ข้าถึงรูปก็ดี เมือ่ ตัง้ อยู่ พึงมีรูป เป็นอารมณ์ มีรูป เป็นที่ตั้ง มีความยินดีเป็นที่เข้าไปส้องเสพตั้งอยู่ พึงถึง ความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้ (ผูอ้ า่ นพึงพิจารณาอนุโลมตามในกรณีแห่งเวทนา สัญญา สังขาร) ผูใ้ ดพึงกล่าวอย่างนีว้ า่ เราจักบัญญัตกิ ารมา การไป จุติ อุปบัติ หรือความเจริญ งอกงามไพบูลย์แห่งวิญญาณ เว้นจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร ข้อนี้ไม่เป็นฐานะ ภิกษุทั้งหลาย ถ้าความกำ�หนัดในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุ ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ เป็นอันภิกษุละได้แล้วไซร้ เพราะละความกำ�หนัดละนันทิ เสียได้ อารมณ์ย่อมขาดสูญ ที่ตั้งแห่งวิญญาณย่อมไม่มี วิญญาณอันไม่มีที่ตั้งนั้น ไม่งอกงาม ไม่แต่งปฏิสนธิหลุดพ้นไป เพราะหลุดพ้นไปจึงดำ�รงอยู่ เพราะดำ�รงอยู่จึง ยินดีพร้อม เพราะยินดีพร้อมจึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น เธอย่อมทราบชัดว่า ชาติสนิ้ แล้ว พรหมจรรย์อยูจ่ บแล้ว กิจทีค่ วรทำ�ทำ�เสร็จแล้ว กิจอืน่ เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก สังยุตตนิกาย ขันฺธวารวรรค เล่ม ๑๗ หน้า ๖๗ ข้อที่ ๑๐๗

ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น

พราหมณ์! สาวกของเรา (พระพุทธเจ้า) แม้เรากล่าวสอน พรํา่ สอนอยูอ่ ย่างนี้ น้อยพวกที่ได้บรรลุนิพพาน อันเป็นผลสำ�เร็จถึงที่สุดอย่างยิ่ง, บางพวกไม่ได้บรรลุ “พระโคดมผู้เจริญ ! อะไรเล่าเป็นเหตุ อะไรเล่าเป็นปัจจัย,ที่พระนิพพาน ก็ยังตั้งอยู่, หนทางเป็นที่ยังสัตว์ให้ถึงนิพพาน ก็ยังตั้งอยู่, พระโคดมผู้ชักชวน (เพื่อ การดำ�เนินไป) ก็ยังตั้งอยู่, ทำ�ไมน้อยพวกที่บรรลุ และบางพวกไม่บรรลุ?”

-๕๓ พราหมณ์! ฉันใดก็ฉันนั้น, ที่พระนิพพานก็ยังตั้งอยู่, ทางเป็นเครื่องถึง พระนิพพานก็ยังตั้งอยู่, เราผู้ชักชวนก็ยังตั้งอยู่, แต่สาวกของเรา แม้เรากล่าวสอน พรํ่าสอนอยู่อย่างนี้ น้อยพวกได้บรรลุนิพพาน อันเป็นผลสำ�เร็จถึงที่สุดอย่างยิ่ง, บางพวกไม่ได้บรรลุ พราหมณ์ ! ในเรื่องนี้เราจักทำ�อย่างไรได้เล่า, เพราะเราเป็นเพียง ผู้บอกทางเท่านั้น มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๑๔ หน้า ๗๒ ข้อที่ ๑๐๑-๑๐๓

ผู้มีความเพียรตลอดเวลา

เมื่อภิกษุเดินอยู่ก็ตาม ยืนอยู่ก็ตาม นั่งอยู่ก็ตาม นอนตื่นอยู่ก็ตาม ถ้าเกิด มีกามวิตก (ครุ่นคิดอยู่ด้วยความครุ่นคิดในกาม) หรือพยาบาทวิตก (ความครุ่นคิด อยู่ด้วยความครุ่นคิดในทางเดือดแค้น) หรือวิหิงสาวิตก (ความครุ่นคิดอยู่ด้วย ความครุ่นคิดในทางทำ�ผู้อื่นให้ลำ�บาก) ขึ้นมา ภิกษุนั้นก็ไม่รับเอาวิตกเหล่านั้นไว้ แต่สละทิ้งไป ถ่ายถอนออก ทำ�ให้สิ้นสุดลงไปจนไม่มีเหลือ ภิกษุทเี่ ป็นเช่นนี้ แม้เดินอยูก่ ต็ าม ยืนอยูก่ ต็ าม นัง่ อยูก่ ต็ าม นอนตืน่ อยูก่ ต็ าม ก็เรียกว่า เป็นผูท้ �ำ ความเพียรเผากิเลส รูส้ กึ กลัว (ต่อสิง่ ลามก) เป็นผูป้ รารภความเพียร อุทิศตนในการเผากิเลส อยู่เนืองนิจ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต เล่มที่ ๒๑ หน้า ๑๘ ข้อที่ ๑๑

การหาฤกษ์ดียามดี

สัตว์เหล่าใดประพฤติสจุ ริต ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ในเวลาเช้า กลางวัน เย็น เวลานัน้ ก็เป็นเวลาทีด่ สี �ำ หรับสัตว์เหล่านัน้ เวลาทีส่ ตั ว์ประพฤติชอบ ชือ่ ว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี ลุกขึน้ ด้วยดี ขณะดี ยามดี และชือ่ ว่า บูชาดีในพรหมจารีบคุ คลทัง้ หลาย อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๒๐ หน้า ๔๔๑ ข้อที่ ๕๙๕

-๕๔รายชื่อแห่งธรรมเป็นที่ตั้งแห่งการขูดเกลา

เมื่อผู้อื่นเป็นผู้เบียดเบียน เมื่อผู้อื่นกระทำ�ปาณาติบาต เมื่อผู้อื่นกระทำ�อทินนาทาน เมือ่ ผูอ้ น่ื พูดเท็จ ส่อเสียด คำ�หยาบ เพ้อเจ้อ เมื่อผู้อื่นมากด้วยอภิชฌา เมื่อผู้อื่นมีจิตพยาบาท เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ฟุ้งซ่าน เมื่อผู้อื่นเป็นผู้มักโกรธ ผูกโกรธ เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ลบหลู่คุณ เมื่อผู้อื่นเป็นผู้แข่งดี เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ริษยา เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ตระหนี่ เมื่อผู้อื่นเป็นผู้โอ้อวด เมื่อผู้อื่นเป็นผู้มีมารยา เมื่อผู้อื่นเป็นผู้กระด้าง เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ดูหมิ่นท่าน เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ว่ายาก เมื่อผู้อื่นเป็นผู้มีมิตรชั่ว เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ประมาท เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ไม่มีหิริ และโอตตัปปะ เมื่อผู้อื่นเป็นผู้มีสุตะน้อย เมื่อผู้อื่นเป็นผู้ขี้เกียจ เมื่อผู้อื่นเป็นผู้มีสติหลงลืม

เราจักเป็นผู้ไม่เบียดเบียน เราจักเว้นขาดจากปาณาติบาต เราจักเว้นขาดจากอทินนาทาน เราจักเว้นขาดจากการพูดเท็จ ส่อเสียด คำ�หยาบ เพ้อเจ้อ เราจักเป็นผู้ไม่มากด้วยอภิชฌา เราจักเป็นผู้ไม่มีจิตพยาบาท เราจักเป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน เราจักเป็นผู้ไม่มักโกรธ ผูกโกรธ เราจักเป็นผู้ไม่ลบหลู่คุณ เราจักเป็นผู้ไม่แข่งดี เราจักเป็นผู้ไม่ริษยา เราจักเป็นผู้ไม่ตระหนี่ เราจักเป็นผู้ไม่โอ้อวด เราจักเป็นผู้ไม่มีมารยา เราจักเป็นผู้ไม่กระด้าง เราจักเป็นผู้ไม่ดูหมิ่นท่าน เราจักเป็นผู้ว่าง่าย เราจักเป็นผู้มีมิตรดี เราจักเป็นผู้ไม่ประมาท เราจักเป็นผู้มีหิริ และโอตตัปปะ เราจักเป็นผู้มีสุตะมาก เราจักเป็นผู้ปรารภความเพียร เราจักเป็นผู้มีสติตั้งมั่น

มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑๒ หน้า ๗๔ ข้อที่ ๑๐๔

สอดส่องกรรม

“ดูกรราหุล เธอจะสำ�คัญความข้อนั้นเป็นไฉน แว่นมีประโยชน์อย่างไร?” มีประโยชน์สำ�หรับส่องดู พระเจ้าข้า. “ฉั น นั้ น เหมื อ นกั น แล ราหุ ล บุ ค คลควรพิ จ ารณาแล้ ว พิ จ ารณาอี ก แล้วจึงทำ�กรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ.” มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่มที่ ๑๓ หน้า ๑๒๒ ข้อที่ ๑๒๘

อริยสัจ ๔ ในรูปแบบพิเศษ

ธรรมที่ควรกำ�หนดรอบรู้ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ธรรมที่ควรละ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ด้วยปัญญาอันยิ่ง ธรรมที่ควรกระทำ�ให้เจริญ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ธรรมที่ควรกระทำ�ให้แจ้ง

อุปาทานขันธ์ ๕ อวิชชา และ ภวตัณหา สมถะ และ วิปัสสนา วิชชา และ วิมุตติ

อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต เล่ม ๒๑ หน้า ๓๖๙ ข้อที่ ๒๕๔

เหตุให้อายุยืน

บุคคลย่อมเป็นผู้ทำ�ความสบายแก่ตนเอง รู้จักประมาณในสิ่งที่สบาย บริโภคสิ่งที่ย่อยง่าย เป็นผู้มีศีล มีมิตรที่ดีงาม

อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต เล่มที่ ๒๒ หน้า ๑๖๙ ข้อที่ ๑๒๖

อานิสงส์ ๖ ประการ ของผู้ได้ยินได้ฟังคำ�ตถาคตก่อนสิ้นชีวิต สรุป พระผัคคุณสูตร..ในเวลาใกล้ตาย... ๑. ยังไม่สิ้นสังโยชน์ ได้ฟังตถาคตแสดงธรรม สิ้นสังโยชน์เบื้องตํ่า ๕ ได้ ๒. ยังไม่สิ้นสังโยชน์ ได้ฟังสาวกตถาคตแสดงธรรม สิ้นสังโยชน์เบื้องตํ่า ๕ ได้ ๓. ยังไม่สิ้นสังโยชน์ ตรึกตรองเพ่งด้วยใจซึ่งธรรม สิ้นสังโยชน์เบื้องตํ่า ๕ ได้ ๔. สิ้นสังโยชน์เบื้องตํ่า ๕ ได้ฟังตถาคตแสดงธรรม น้อมไปในนิพพานได้ ๕. สิ้นสังโยชน์เบื้องตํ่า ๕ ได้ฟังสาวกตถาคตแสดงธรรม น้อมไปในนิพพานได้ ๖. สิ้นสังโยชน์เบื้องตํ่า ๕ ตรึกตรองเพ่งด้วยใจซึ่งธรรม น้อมไปในนิพพานได้ อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต เล่ม ๒๒ หน้า ๔๔๑ ข้อที่ ๓๒๗



ภิกษุ ทฺ! สังโยชน์ ๑๐ ประการ เหล่านี้มีอยู่... เป็นอย่างไรเล่า

สังโยชน์ ๑๐ คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ ผูกติดอยู่กับความทุกข์ทำ�ให้ ไม่สามารถสลัดหลุด ออกมาได้ คือ โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ คือ กิเลสผูกใจสัตว์อย่างหยาบ ได้แก่ ๑. สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน) ๒. วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) ๓. สี ลั พ พตปรามาส (ความยึ ด มั่ น ถื อ มั่ น ในศี ล แบบผิ ด ๆ) ๔. กามฉั น ทะ (ความกำ�หนัดด้วยอำ�นาจกามคุณ ๕ ) ๕. พยาบาท (ความผูกโกรธ) อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ คือ สังโยชน์เบื้องสูง ได้แก่ ๖ รูปราคะ (ความติดใจอยาก) ๗ อรูปราคะ (ติดใจอยากในรสประณีตอันละเอียด) ๘ มานะ (ความถือตัวถือตน) ๙ อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน) ๑๐ อวิชชา (ความไม่รู้) อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต เล่ม ๒๔ หน้า ๒๓ ข้อที่ ๑๓

บุคคลเหล่าอื่นจะด่า บริภาษ เกรี้ยวกราด เบียดเบียน กระทบกระเทียบ ตถาคตก็ไม่มีความอาฆาต ไม่มีความเสียใจ ไม่มีจิตยินร้าย ชนเหล่าอื่นจะสักการะ เคารพ นับถือบูชา ตถาคตก็ไม่มีความยินดี ไม่มีความดีใจ ไม่มีใจเย่อหยิ่ง ตถาคตย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า.. ก่อนหน้านี้ เรามีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั่วถึงอย่างไร บัดนี้..เราก็มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั่วถึงอย่างนั้น

มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่มที่ ๑๒ หน้า ๒๖๐ ข้อที่ ๒๘๖

อานิสงส์แห่งการปฏิบัติ

เมื่อเธอเจริญเมตตาภาวนาอยู่ พยาบาท จักละไป เมื่อเธอเจริญกรุณาภาวนาอยู่ วิหิงสา (ความคิดเบียดเบียน) จักละไป เมื่อเธอเจริญมุทิตาภาวนาอยู่ อรติ (ความไม่ยินดีด้วยใครๆ) จักละไป เมื่อเธอเจริญอุเบกขาภาวนาอยู่ ปฏิฆะ (ความหงุดหงิดแห่งจิต) จักละไป เมื่อเธอเจริญอสุภะภาวนาอยู่ ราคะ จักละไป เมื่อเธอเจริญอนิจจสัญญาภาวนาอยู่ อัสมิมานะ (ความสำ�คัญว่าตัวตนและของตน) จักละไป

มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่มที่ ๑๓ หน้า ๑๓๓ ข้อที่ ๑๔๕

การแสวงหาอย่างประเสริฐของผู้มองเห็นโทษในโลก คือ นิพพาน รู้แจ้งซึ่งโทษที่ตนเกิดมา จึงแสวงหาพระนิพพานที่ไม่เกิด รู้แจ้งซึ่งโทษที่ตนมีความแก่เป็นธรรมดา จึงแสวงหาพระนิพพานที่ไม่แก่ รู้แจ้งซึ่งโทษที่ตนมีความเจ็บไข้ จึงแสวงหาพระนิพพานที่ไม่มีความเจ็บไข้ รู้แจ้งซึ่งโทษที่ตนมีความตายเป็นธรรมดา จึงแสวงหาพระนิพพานที่ไม่ตาย รูแ้ จ้งซึง่ โทษทีต่ นมีความเศร้าโศก จึงแสวงหาพระนิพพานทีไ่ ม่มคี วามเศร้าโศก รู้แจ้งซึ่งโทษที่ตนมีความเศร้าหมอง จึงแสวงหาพระนิพพานที่ไม่เศร้าหมอง มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่มที่ ๑๒ หน้า ๒๙๕ ข้อที่ ๓๑๕

ทรัพย์ ๗ มีแก่ผู้ใดเป็นผู้ไม่ยากจน คือ

ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ ปัญญา ศรัทธา คือ เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ศีล คือ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผดิ ในกาม พูดเท็จ ดืม่ สุรา หิริ คือ ละอายต่อการถูกต้องอกุลศลธรรมอันลามก ต่อกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต โอตตัปปะ คือ สะดุ้งกลัวต่อการถูกต้องอกุลศลธรรมอันลามก ต่อกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต สุตะ คือ เป็นผู้ได้สดับมามากทรงไว้คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ จาคะ คือ เป็นผู้มีใจอันปราศจากความตระหนี่ ยินดีในการสละ ยินดีในทาน และการจำ�แนกทาน ปัญญา คือ เป็นผู้มีปัญญากำ�หนดความเกิดและความดับชำ�ระกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์ อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต เล่ม ๒๓ หน้า ๖ ข้อที่ ๖

โธ่เอ๋ย ความแก่อันชั่วช้าเอ๋ย ความแก่อันทำ�ความน่าเกลียดเอ๋ย กายที่น่าพอใจ บัดนี้ก็ถูกความแก่ยํ่ายีหมดแล้ว แม้ใครจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี ทุกคนมีความตาย เป็นที่ไป เบื้องหน้า ความตายไม่ยกเว้นให้แก่ใครๆ มันยํ่ายีหมดทุกคน

สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๑๙ หน้า ๓๒๔ ข้อที่ ๙๖๕

Get in touch

Social

© Copyright 2013 - 2024 MYDOKUMENT.COM - All rights reserved.