คุณธรรม3 Flipbook PDF


95 downloads 124 Views 16MB Size

Recommend Stories


Porque. PDF Created with deskpdf PDF Writer - Trial ::
Porque tu hogar empieza desde adentro. www.avilainteriores.com PDF Created with deskPDF PDF Writer - Trial :: http://www.docudesk.com Avila Interi

EMPRESAS HEADHUNTERS CHILE PDF
Get Instant Access to eBook Empresas Headhunters Chile PDF at Our Huge Library EMPRESAS HEADHUNTERS CHILE PDF ==> Download: EMPRESAS HEADHUNTERS CHIL

Story Transcript

ต์ ใ ก ช้ ยุ แ ะ น ร ว ป คิ ร า ก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด

ในการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้



คำนำ ตำราเล่มนี้เขียนขึ้นเพื่อใช้เป็นตำราประกอบการเรียนรายวิชา PC62501คุณธรรม จริยธรรมจรรยาบรรณ และจิตวิญญาณความเป็นครู ผู้เขียนได้ศึกษาค้นคว้าและเรียบเรียง จากตำรา บทความ เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ และจิตวิญญาณความเป็นครู โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ ตลอดจน ประยุกต์ใช้ความรู้ทั้งทางทฤษฎี และปฏิบัติพร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบเพื่อให้เกิดความ เข้าใจยิ่งขึ้น เนื้อหาของตำราเล่มนี้มีขอบเขตโดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น11เรื่องประกอบด้วยนิยาม ความพอเพียง ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง เงื่อนไขเพื่อให้เกิดความพอเพียง ความ สำคัญของเศรษฐกิจพอเพียงวิถีเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมิติ ต่างประเทศ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการนำไปปฏิบัติได้จริง การจัดการเรียนรู้สู่ความ พอเพียง ผลกระทบระหว่างบริบททางเศรษฐกิจและการศึกษาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอ เพียงด้านการศึกษา เศรษฐกิจพอเพียงกับการศึกษา ผู้เขียนขอขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จรินทร์ งามแม้น ที่กรุณาให้ความ อนุเคราะห์อย่างดียิ่งในทุกขั้นตอน จนทำให้การจัดทำตำราประกอบการสอนเล่มนี้สำเร็จลง ได้ด้วยดี และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารตำราเล่มนี้จะมีส่วนอย่างสำคัญต่อความสำเร็จในการ ศึกษาและการประกอบวิชาชีพของผู้เรียนต่อไป

คณะผู้จัดทำ 28 พฤศจิกายน 2565



สารบัญ เรื่อง

หน้า

คำนำ………………………………………………………………………………….……………………………………...



สารบัญ……………………………………………………………………………….……………………………………...



สารบัญภาพ……………………………………………………………………………………………..………………....



บทที่ 7 การประยุกต์ใช้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้

1

นิยามความพอเพียง……………………………………………………………………………………………………….

1

ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง……………………………………………………………………………………

2

เงื่อนไขเพื่อให้เกิดความพอเพียง……………………………………………………………………………………….

2

ความสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียง……………………………………………………………………………………

3

วิถีเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน……………………………………………………………………………………..

3

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมิติต่างประเทศ……………………………………………………………………..……

4

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการนำไปปฏิบัติได้จริง……………………………………………………………

5

การจัดการเรียนรู้สู่ความพอเพียง…………………………………………………………………………………..….

6

ผลกระทบระหว่างบริบททางเศรษฐกิจและการศึกษา……………………………………………………..…..

7

หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา………………………………………………………..……..

11

เศรษฐกิจพอเพียงกับการศึกษา…………………………………………………………………………………………

12

บทสรุป…………………………………………………………………………………………………………..……………..

14

คำถามทบทวน……………………………………………………………………………………………………………..…

15

บรรณานุกรม…………………………………………………………………………………………………..……………..





สารบัญภาพ ภาพประกอบที่

หน้า

1.เศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2เงื่อนไข………………………………………………………………………………….

2

2.หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา…………………………………………………..………….

11

1

บทที่ 7 การประยุกต์ใช้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักคิดควบคู่กับการปฏิบัติที่ใช้ในการดำเนินชีวิตของคนใน

ทุกระดับ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ครูจะต้องปลูกฝังหลักคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้เกิดกับผู้เรียน แต่การสร้างหลักคิดนี้ขึ้นอยู่กับบริบทภูมิสังคมของแต่ละสถาบัน ต้องจัดให้เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน และสภาพของโรงเรียน ดังนั้นกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อยู่อย่างพอเพียงสามารถ จัดได้อย่างหลากหลาย แต่ต้องจัดให้เหมาะสมกับวัยและบริบทสภาพภูมิสังคมของแต่ละโรงเรียน

นิยามความพอเพียง ความพอประมาณ การดำรงชีวิตให้เหมาะสม ซึ่งเราควรจะมีความพอประมาณทั้งการหารายได้ และพอประมาณ ในการใช้จ่าย ความพอประมาณในการหารายได้ คือ ทำงานหารายได้ด้วยช่องทางสุจริต ทำงานให้ เต็มความสามารถ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ส่วนความพอประมาณในการใช้จ่าย หมายถึง การใช้จ่ายให้ เหมาะกับฐานะความเป็นอยู่ ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรือใช้จ่ายเกินตัว และในขณะเดียวกัน ก็ใช้จ่ายในการ ดูแลตนเอง และครอบครัวอย่างเหมาะสม ไม่อยู่อย่างลำบาก และฝืดเคืองจนเกินไป ความมีเหตุผล การดำรงชีวิตประจำวันเราจำเป็นต้องมีการตัดสินใจตลอดเวลาซึ่งการตัดสินใจที่ดี ควรตั้งอยู่บน การไตร่ตรองถึงเหตุรวมทั้งคำนึงถึงผลที่อาจตามมาจากการตัดสินใจอย่างรอบคอบไม่ใช่ตัดสินใจตาม อารมณ์หรือจากสิ่งที่คนอื่นบอกมาโดยปราศจากการวิเคราะห์ การมีภูมิคุ้มกันที่ดี การเตรียมตัวให้พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลง ในโลกที่ไม่มีอะไรแน่นอน ทั้งสภาพลม ฟ้า อากาศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการทำเกษตร การเปลี่ยนแปลงในบริษัทคู่ค้า การเลิกจ้างพนักงานในบริษัท ใหญ่ หรือแม้แต่ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทั้งในและต่างประเทศที่มีผลต่อการลงทุน เราจึง จำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะดำรงอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาตนเอง และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่



2

ภาพประกอบที่ 1 เศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข

ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่ และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนา และบริหารประเทศให้ดำเนินไปใน ทางสายกลางโดย เฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์

เงื่อนไขเพื่อให้เกิดความพอเพียง การตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่างๆให้พอเพียงต้องอาศัยทั้งความรู้และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย มีความรอบรู้ เกี่ยวกับวิชาการต่างๆที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้านใช้ความรอบคอบที่ จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และมีความระมัดระวังใน ขั้นปฏิบัติทุกขั้นตอน เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้างให้เป็นพื้นฐานทั้งด้านจิตใจ และการกระทำประกอบด้วยมีความตระหนักใน คุณธรรม ละอายในการทำความชั่ว การตั้งมั่นในความดี มีความซื่อสัตย์สุจริต ความอดทน ความ เพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต

3 ความสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงมีความสำคัญและมีคุณค่าต่อประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับประเทศ โดยเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางให้ประชาชน สามารถดำรงชีวิตแบบพออยู่พอกินและสามารถพึ่งพาตนเองได้ เศรษฐกิจพอเพียงจึงมีความสำคัญ ต่อการพัฒนาประเทศ อันจะนำไปสู่สังคมที่มีคุณภาพทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งการนำ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ใน การพัฒนาท้องถิ่นและชุมชนจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อ ชุมชนและสังคม ดังนี้ 1.ผู้คนในชุมชนดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข เพราะทุกคนพออยู่พอกิน ตามสมควรแก่อัตภาพ ไม่อด อยาก ไม่เบียดเบียนผู้อื่น สามารถช่วยเหลือตนเองและยังช่วยเหลือผู้อื่นได้อีกด้วย 2.สมาชิกในชุมชนเกิดความสมัครสมานสามัคคี ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน 3.เศรษฐกิจชุมชนเกิดความเข้มแข็ง เพราะประชาชนมีการประกอบอาชีพ มีรายได้ช่วยลด การพึ่งพาเศรษฐกิจจากภายนอก 4.ก่อให้เกิดความสมดุลในทุกๆด้าน ทั้งในการดำรงชีวิตของสมาชิกในชุมชน การดำเนิน กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ความเจริญก้าวหน้าของสังคม และการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมที่ ยั่งยืน

วิถีเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน สุนัย เศรษฐ์บุญสร้าง (2550, หน้า 40-43) การที่คน ๆ หนึ่งขวนขวายศึกษาหาความรู้ ทำงาน หนัก สะสมทรัพย์สินเงินทอง ทำทุกอย่างชั่วชีวิต เพื่อสร้างฐานะของครอบครัวให้มั่นคงแสวงหา เกียรติยศชื่อเสียงให้เป็นที่ยอมรับของสังคม ฯลฯ ก็เพื่อต้องการความสุขหรือความพึงพอใจที่หวังว่า จะได้รับจากสิ่งต่าง ๆ ที่ดิ้นรนแสวงหาเหล่านั้น อับราฮัม เอส. มาสโลว์ นักจิดวิทยาที่มีชื่อเสียง ได้สังเกตพฤติกรรมของมนุษย์และสรุปเป็น ทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้น (Hierarchy of Needs Theory) โดยอธิบายว่า มนุษย์จะมีความ ต้องการซึ่งสามารถจำแนกเป็นลำดับขั้นได้ 5 ระดับ เมื่อชีวิตได้รับสิ่งตอบสนองความต้องการใน ลำดับขั้นตอนหนึ่งๆ อย่างพอเพียงแล้ว ก็จะเขยิบไปแสวงหาสิ่งตอบสนองความต้องการในระดับขั้น ที่สูงขึ้นต่อๆ ไป ตามลำดับ คือ ก. ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) เช่นต้องการอาหาร ที่อยู่อาศัยเครื่องนุ่ง ห่ม และยารักษาโรคที่จำเป็น ต่อความอยู่รอดของชีวิต เป็นต้น ข. ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (Safety Needs) เมื่อมีปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต่อการ ดำรงชีวิตอย่างพอเพียงแล้วมนุษย์ก็จะเขยิบขึ้นมาแสวงหาหลักประกันความมั่นคงในชีวิต เพื่อให้ สามารถมีปัจจัยพื้นฐานสำหรับการดำเนินชีวิตอย่างยั่งยืนตลอดไป รวมทั้งแสวงหาหลักประกันความ ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินจากภัยคุกคามต่างๆ

4 ค. ความต้องการทางสังคม (Social Needs) เมื่อมีทรัพย์สินเงินทองสะสมมากพอที่จะสร้างหลักประกัน ความมั่นคงในชีวิตแล้ว มนุษย์ก็จะเริ่มแสวงหาเกียรติยศชื่อเสียง และการยอมรับยกย่องจากสังคมต่อไป ง. ความต้องการความภาคภูมิใจในตัวเอง (Self Esteem) เมื่อมีทั้งเงินทองและเกียรติยศชื่อเสียงอย่าง พอเพียงแล้ว มนุษย์จะเริ่มแสวงหาความท้าทายใหม่ ๆ ที่สร้างความรู้สึกภาคภูมิใจให้กับตัวเอง (เพื่อชดเชย ภาวะความรู้สึกอ้างว้างในจิตใจส่วนลึก) เศรษฐีบางคนก็เสี่ยงตายไปปืนภูเขาหิมาลัยบ้าง ไปท่องอวกาศบ้าง บางคนก็หันมาริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์สุขต่อสังคมในด้านต่างๆ ฯลฯ จ. ความต้องการประจักษ์ถึงความจริงเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง(Self Actualization) เมื่อได้รับสิ่งตอบสนอง ต้องการต่างๆครบหมดแล้ว มีทั้งทรัพย์สินเงินทอง มีเกียรติยศชื่อเสียง และมีความภาคภูมิใจในตัวเอง สุดท้ายคนผู้นั้นก็จะหันมาแสวงหาความจริงเกี่ยวกับชีวิตที่กำลังจะต้องตายจากโลกนี้ไปในวันหนึ่งข้างหน้า เพื่อเตรียมตัวเองไปสู่อนาคตที่ยังไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับอะไรต่อไปภายหลังความตาย โดยหันมาศึกษา ประพฤติปฏิบัติธรรมตามหลักศาสนาต่าง ๆ หรือกระทำสิ่งที่เป็นคุณความดีในชีวิต เป็นต้น ถ้าหากชีวิตแต่ละชีวิตสามารถแสวงหาสิ่งต่าง ๆ เพื่อมาตอบสนองความต้องการตามลำดับขั้นได้อย่าง "พอเพียง" ครบถ้วนเป็นลำดับ ๆ ชีวิตก็จะได้รับการยกระดับพัฒนาการให้สูงขึ้น ๆ จากการหมกมุ่นอยู่กับ การแสวงทาทรัพย์สินเงินทองเพื่อตัวเองและครอบครัว ก็ยกระดับไปสู่การทำงานเพื่อช่วยเหลือสังคมส่วน รวม การสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นอุดมคติในชีวิต ตลอดจนการแสวงหาสิ่งที่เป็นคุณธรรมความดีตามแนวคิดทาง ปรัชญาหรือหลักธรรมทางศาสนาต่าง ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ถ้าชีวิตใดยังติดปลักอยู่กับการแสวงหาสิ่ง ตอบสนองความต้องการในลำดับขั้นต้น ๆ จนไม่สามารถสอบผ่านขั้นตอนนั้น ๆ มาได้ พัฒนาการของชีวิตผู้ นั้นก็จะติดอยู่ในขั้นตอนดังกล่าว โดยไม่สามารถยกระดับให้สูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ การที่เศรษฐีหรือมหาเศรษฐีบางคนไม่รู้จัก "ความพอเพียง"เข้าไม่ถึง "ความพอดีพอประมาณของชีวิต" และต้องจมปลักอยู่กับความทุกข์กังวลในการแก่งแย่งทรัพย์สมบัติไม่จบไม่สิ้น เป็นโรคเครียดจนนอนไม่หลับ หนักๆเข้าก็กลายเป็นโรคมะเร็ง (เนื่องจากร่างกายหลั่งสารพิษที่เกิดจากความเครียดออกมามาก) ก็เพราะ บุคคลผู้นั้นไม่รู้วิธีที่จะยกระดับพัฒนาการของชีวิตให้สูงขึ้นกว่าระดับที่จมปลักอยู่ กรณีเช่นนี้ กระบวนการเรียนรู้ 7 ขั้นตอนตามแนวพระบรมราโชวาทคุณธรรม 4 ประการสู่วิถีแห่ง ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจะสามารถใช้เป็นเครื่องมือช่วยยกระดับพัฒนาการของชีวิตแต่ละคนให้สูงขึ้น ได้ อันถือเป็น "วิถีเศรษฐกิจพอเพียงขั้นพื้นฐาน"

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมิติต่างประเทศ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย (2550, หน้า 42-45) ในสายตาผม "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" นั้น เป็น "ปรัชญา" ความจริงแล้วเป็นปรัชญาซึ่งใช้กับการดำเนินชีวิตได้ทุกอย่าง เพราะ 3 หลักที่สำคัญ คือ 1.ความพอประมาณ 2.ความมีเหตุมีผลหรือสมเหตุสมผล 3.การสร้างภูมิคุ้มกันในเรื่องต่างๆที่เราดำเนินการอยู่

5 เศรษฐกิจพอเพียงกับงานการต่างประเทศ จาก 3 หลักข้างต้น เมื่อผมได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวลาที่เดินทางไปต่าง ประเทศ และแสดงสุนทรพจน์ตามเวที่ต่างๆ ก็มีหน้าที่ต้องอธิบายถึง “เศรษฐกิจของไทย" ความมั่นคงของ ไทย และแนวทางนโยบายต่างๆของประเทศ และทุกปีที่มีการจัดประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ในช่วง เดือนกันยายนผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็จะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในฐานะตัวแทน ของประเทศไทยซึ่งจะมีการอธิบายถึง "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพี่ยง" อยู่ทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นเวทีความร่วมมือ เอเชียก็ดี (Asia Cooperation Dialogue : ACD) เวทีการประชุมเอเชีย และยุโรปก็ดี (Asia-Europe Meeting : ASEM) เวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปคก็ดี (Asia-pacific Economic Cooperation : APEC) ผมก็จะสอดแทรกเรื่องนี้ทุกครั้ง นอกเหนือจากเรื่องของเศรษฐกิจ มหภาคทั้งหลาย "เราได้น้อมนำเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ ทรงพระราชทานเอาไว้มาเป็นแนวทางในการดำเนินนโยบายต่างๆ มีหลักของความพอประมาณ สมเหตุสม ผล และความมีภูมิคุ้มกันของตัวเองเอาไว้" ผมเรียนว่า ประเทศไทยจะเจริญเติบโต ต้องไม่ใช่ประเภท "หลับ หูหลับตาเจริญเติบโต"เพียงอย่างเดียว โดยไม่ดูว่าเราจะเสียหายขนาดไหน หรือคนบางกลุ่มจะได้รับการดูแล หรือไม่ ถ้าอย่างนั้น ก็แสดงว่าไม่สมเหตุสมผล ยังไม่พอประมาณ ยังไม่มีภูมิคุ้มกันตัวเองหวังแต่การเติบโต อย่างมากเข้าไว้เพียงอย่างเดียว แต่เมื่อครั้นจะไม่เน้นในเรื่องการเติบโตเลยก็ไม่ใช่อีก เพราะไม่สมเหตุสมผล ซึ่งถ้าเศรษฐกิจไม่เติบโตเลย รายได้ต่างๆ ที่ประชาชนควรได้รับก็ไม่พอ ฉะนั้น ทุกอย่างต้องเดินตามแนวทางของปรัชญานี้ ถือเป็นแนวทางสำคัญ ผมได้เคยแสดงสุนทรพจน์ เกี่ยวกับเรื่องนี้มาอย่างมากมาย ดังปรากฎในหนังสือของกระทรวงการต่างประเทศ ที่รวบรวมสุนทรพจน์ ของผมในเวที่ต่างๆ เอาไว้ จำนวน 2 เล่ม ทั้งในเวทีพหุภาคี และเวทีอื่นๆ

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการนำไปปฏิบัติได้จริง ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา (2550. หน้า 89) โดยตร.จิรายุ ได้เล่าถึงเรื่องราวของแผนในการขับ เคลื่อนทีละขั้น คณะทำงานบูรณาการเศรษฐกิจพอเพียงสู่การเรียนการสอน ได้จัดทำตัวอย่างชุดหน่วยการ เรียนบูรณาการเศรษฐกิจพอเพียงในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ทั้ง 4ช่วงชั้น ตั้งแต่ช่วงชั้นที่1-4)หรือเทียบ เท่า รวมทั้งระดับอาชีวศึกษา และการศึกษานอกโรงเรียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยได้มีการโยงสาระของ หน่วยงานเรียนการสอนเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับองค์ประกอบของหลักปรัชญาฯ คือ หลัก 3 ห่วง 2 เงื่อนไข มีจุดเน้นและความยากง่ายแตกต่างกันไปตามลำดับในแต่ละระดับ" สำหรับการจัดแบ่งช่วงชั้นการบรรจุหลักสูตรการศึกษานั้น เราได้จัดแบ่งเป็น 4 ช่วงคือ ช่วงชั้นที่ 1 ( ป.1 -ป.3) เน้นให้รู้จักสร้างความพอเพียงให้กับตนเองและภายในครอบครัว โดยสอนให้รับผิดซอบต่อตนเอง ประหยัด และแบ่งปัน ส่วนช่วงชั้นที่ 2 (ป.4-ป.6) สอนให้รู้จักเรียนรู้และใช้ชีวิตอย่างพอเพียงในระดับตนเองครอบครัว และ โรงเรียน

6 ขณะที่ ช่วงชั้นที่ 3 (ม. 1-ม. 3) เน้นให้รู้จักชุมชนที่ตนเองเป็นสมาชิกอยู่ และร่วมเรียนรู้ร่วมพัฒนาชุมชน ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง และช่วงชั้นที่ 4 (ม.4-ม.6) จะเน้นสอนให้เด็กรู้ เข้าใจ ตระหนักและวิเคราะห์ปรัชญาของเศรษฐกิจพอ เพียง ในระดับ ชุมชน องค์กร ประเทศ และการดำรงอยู่ของชาติภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์...." โดยการดำเนินการในขั้นต่อไปคือ จะมีการจัดตั้งคณะบรรณาธิการตรวจสอบหน่วยการเรียนรู้ และนำ หน่วยการเรียนรู้ไปทดลองใช้ในสถานศึกษาที่อาสาสมัครร่วมเป็นเครือข่ายวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วน ร่วม เพื่อจะได้ปรับปรุงหน่วยการเรียนรู้ดังกล่าวให้มีความสมบูรณ์และเหมาะสมสำหรับเยาวชนมากที่สุด ขยายสู่โรงเรียน 50,000 แห่ง การใช้เยาวชนเป็นตัว "จุดระเบิด" ให้กระแสปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้ทำให้ประชาชนที่อยู่ในสังคม ทั่วประเทศ เกิดการรับรู้และเข้าถึงหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและสามารถนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็น รูปธรรมมากยิ่งขึ้น ดร.จิรายุ ขยายความในเรื่องนี้ "การทำงานของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอ เพียงได้มีการพัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงโดย แบ่งการทำงานออกเป็น 8 คณะ ได้แก่ ผู้นำ ทางความคิด วิชาการ สถาบันการศึกษา เยาวชน สถาบันการเมือง องค์กรภาครัฐ สื่อมวลชน ประชาชน องค์กรภาคเอกชน และประชาสังคม"

การจัดการเรียนรู้สู่ความพอเพียง แนวทางการประยุกต์ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงสู่การเรียนรู้ และการดำเนินชีวิตดังนี้ 1.รูปแบบการจัดกิจกรรมเศรษฐกิจพอเพียงมี 3 รูปแบบ คือ รูปแบบที่ 1 เป็นรูปแบบสำหรับโรงเรียน หรือบ้านเรือนของนักเรียนที่มีพื้นที่สำหรับการทำนา และ การเกษตร มีแหล่งน้ำพอเพียง สามารถจัดกิจกรรมโดยการจัดแบ่งพื้นที่เป็น 4 ส่วน ตามแนวทางของเกษตร ทฤษฎีใหม่ตามขั้นตอนที่ 1 เต็มรูปแบบ รูปแบบที่ 2 เป็นรูปแบบสำหรับโรงเรียน หรือบ้านเรือนของนักเรียนที่มีพื้นที่ไม่มากนัก ไม่มีพื้นที่ในการทำ นา โรงเรียนสามารถจัดแบ่งพื้นที่ให้นักเรียนปลูกพืชผักสวนครัว ปลูกพืชสมุนไพร ปลูกไม้ดอก ไม้ประดับ และเลี้ยงสัตว์ ฯลฯ โรงเรียนอาจมอบหมายให้นักเรียนไปทำกิจกรรมนี้ที่บ้านของนักเรียนได้ด้วย รูปแบบที่ 3 เป็นรูปแบบสำหรับโรงเรียนที่มีพื้นที่น้อย โรงเรียนควรส่งเสริมให้นักเรียนทำการเกษตรแบบใช้ พื้นที่แคบ เช่น กะลามะพร้าว กะละมัง ล้อยางรถยนต์ การปลูกพืชสวนครัวรั้วกินได้ เป็นต้น นอกจากนั้น โรงเรียนยังสามารถส่งเสริมให้นักเรียนประดิษฐ์ชิ้นงานจากภูมิปัญญาชาวบ้าน เช่น การสานเสื่อ การทำ เครื่องใช้จากกะลามะพร้าว เป็นต้น ในการจัดกิจกรรมทั้ง 3 รูปแบบ สามารถฝึกนิสัยในการประหยัด การลดรายจ่าย การมีผักปลอดสารพิษ ไว้รับประทาน โรงเรียนควรจัดกิจกรรมช่วยเหลือด้านการตลาด เช่น จัดตลาดนัดจำหน่ายผลผลิตของ นักเรียน หรือจัดกิจกรรมสหกรณ์ เป็นต้น 2.การนำแนวคิดด้านทักษะในการทำงานเป็นกรอบในการปฏิบัติงาน เช่น การทำงานเป็นการมีนิสัยรัก การทำงาน การรู้จักวิเคราะห์งาน การวางแผนการทำงาน และการรู้จักปรับปรุงงานอยู่เสมอ

7 3.การนำแนวคิดทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต ดร.ทิศนา แขมมณี (2546 : 2 - 7) ได้วิเคราะห์แนวคิดทฤษฎีใหม่พบว่า ทฤษฎีใหม่นี้มีศักยภาพที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในศาสตร์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี มีหลักสำคัญอยู่หลายประการดังนี้ 1. รู้จักพึ่งพาตนเอง 2. ดำรงชีวิตอยู่อย่างมีอิสรภาพ 3. มีความสามารถในการบริหารจัดการ รู้จักคิด รู้จักระบบ 4. ความขยัน อดทน ไม่ท้อถอย 5. มีความสามัคคี มีการแสวงหาความร่วมมือ และให้ความร่วมมือ มีการรวมกลุ่มและมีความสามารถในการ ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มคณะ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกฝ่าย 6. มีการศึกษาหาข้อมูล ข้อความรู้ และนำมาใช้ในการปฏิบัติงานและการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ 7. รู้จักการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลกัน 8. รู้จักพัฒนาตนเองขึ้นตามลำดับ 9. สามารถนำความรู้ หลักการ แนวคิด หรือทฤษฎีต่าง ๆ ไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม แนวทางที่นำเสนอนี้เป็นส่วนน้อยที่พอจะเป็นแนวทาง เป็นตัวอย่าง หากได้นำไปปฏิบัติแล้วจะทำให้ทุก คนมีการดำรงชีวิตในสังคมอย่างเรียบง่าย พอมี พอกิน และช่วยเหลือตนเอง เป็นหลักการของทฤษฎี เศรษฐกิจพอเพียง

ผลกระทบระหว่างบริบททางเศรษฐกิจและการศึกษา บริบททางเศรษฐกิจที่เน้นความเป็นทุนนิยม ทำให้การจัดการศึกษาต้องรับผลกระทบของทุนนิยมรวม ทั้งต้องมีการจัดการศึกษาตามแนวทางทุนนิยม ขณะเดียวกันการศึกษามีบทบาทสำคัญในการผลิตบุคลากร ทางเศรษฐกิจที่จะไปดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อความมั่นคงของประเทศมากยิ่งขึ้น 1.ผลกระทบของบริบททางเศรษฐกิจต่อการศึกษา บริบททางเศรษฐกิจมีผลกระทบที่สำคัญต่อการศึกษาดังนี้ (รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ 2544 ก. 15-45) 1.1 ผลกระทบของการแข่งขันทางเศรษฐกิจต่อการศึกษา เนื่องจากการแข่งขันเป็นหัวใจของระบบ เศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรี และการศึกษาได้กลายเป็นสินค้าสำคัญประเภทหนึ่งของภาคบริการ การ แข่งขัน ทางการศึกษาจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนั้นการที่การศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนา บุคคลและ การเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้คนที่วิ่งเข้าสู่สู่การแข่งขันทางเศรษฐกิจ ก็ต้องวิ่งเข้าสู่สู่การ แข่งขันทางการ ศึกษาด้วย จึงเกิด World Education League ในลักษณะการแข่งขันกีฬาฟุตบอล ผู้ปกครองส่วนใหญ่ ยินยอมเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากโดยมีเจตคติว่าการศึกษาเป็นการลงทุนและเป็น เครื่องมือที่ช่วยยกฐานะ ทางเศรษฐกิจและสังคมของบุตรหลาน ซึ่งเป็นการสร้างรากฐานนักทุนนิยมตั้งแต่ เยาว์วัย แต่การแข่งขัน ทางการศึกษาที่ผ่านมาอาจไม่เป็นธรรมเนื่องจากสาเหตุหลายประการ ดังนั้นจึงควรปรับแนวทาง ดำเนิน การที่จะส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม เช่น

8 1.1.1การกระจายโอกาสในการเป็นผู้จัดการศึกษา ในอดีตรัฐเป็นผู้จัดการศึกษาในลักษณะ ที่เป็นผู้ผูกขาด หรือกึ่งผูกขาด แต่ในเศรษฐกิจทุนนิยมเสรี ผู้บริโภคต้องการความหลากหลายของสินค้า ซึ่งภาครัฐไม่ สามารถสนองความต้องการนี้ได้เพียงพอ สาเหตุหนึ่งเนื่องจากการจัดการศึกษาของรัฐต้อง มุ่งประโยชน์ของ สังคมส่วนรวมมากกว่าความต้องการของบุคคลที่หลากหลาย จึงควรส่งเสริมให้เอกชน มีส่วนร่วมในการ ระดมทุนและเป็นผู้จัดการศึกษามากขึ้น 1.1.2 การส่งเสริมการแข่งขันป็นธรรม ในอดีตรัฐมีข้อกำหนดที่ทำให้เอกชนสามารถแข่งขันกับภาครัฐได้ จำกัด เช่น การจำกัดค่าลงทะเบียน ทำให้ภาครัฐมีความได้เปรียบในการแข่งขัน สามารถเลือกนักเรียนได้ ก่อนซึ่งจัดเป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม (imperfect competition) แนวทางการเพิ่มความเป็นธรรม แนวทางหนึ่งคือการลดการอุดหนุนค่าเล่าเรียนในสถาบันการศึกษาของรัฐ เนื่องจากการอุดหนุนอาจกลาย เป็นการอุดหนุนแอบแฝงให้แก่ผู้ที่มีฐานะที่ช่วยเหลือตนเองได้แต่เลือกมาศึกษาที่สถานศึกษาของรัฐ จึงมิใช่ เป็นการอุดหนุนผู้ขาดแคลนที่แท้จริง นอกจากนั้นรัฐควรมีการจัดสรรทุนการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ หลากหลาย สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย 1.1.3 การแบ่งหน้าที่ในการจัดการศึกษาโดยยืดกลุ่มเป้าหมาย คือ การแบ่งความรับผิดชอบในการจัดการ ศึกษาเป็น 2 ส่วน คือ 1) ภาครัฐ จัดการศึกษาสำหรับคนเก่ง เพื่อเป็นแกนหลักในการพัฒนาประเทศและการแข่งขันระหว่าง ประเทศ และจัดการศึกษาสำหรับคนจนเพื่อการสร้างโอกาสและความเป็นธรรมทางการศึกษา เนื่องจากใน ระบบทุนนิยมนี้ ผู้ไม่มีอำนาจซื้อจะถูกทอดทิ้ง รัฐจึงต้องทุ่มทรัพยากรการศึกษาเพื่อพัฒนาบุคคลกลุ่มนี้ให้ เป็นกำลังคนของประเทศ แต่หากรัฐบาลส่งเสริมเอกชนมากเกินไป รัฐจะสูญเสียฐานะการเป็นผู้จัดบริการ การศึกษาชนิดให้เปล่าหรือกึ่งให้เปล่าแก่ประชาชนด้วย 2) ภาคธุรกิจและภาคประชาชน จัดการศึกษาสำหรับคนฐานะปานกลาง หรือคนที่มีฐานะดีแต่ไม่เก่งโดย การกำหนดค่าเล่าเรียนด้วยการใช้ระบบตลาดและกลไกราคา เพื่อให้สถาบันการศึกษาเอกชนสามารถดำรง อยู่และได้เติบโต 1.2 ผลของการควบคุมคุณภาพต่อการศึกษา บริการการศึกษามีลักษณะที่แตกต่างจากสินค้าอื่นคือ สินค้าอื่นนั้นถ้ามีระบบควบคุมคุณภาพที่ดี ไม่ว่าจะผลิตที่โรงานใด ในประเทศใด จะมีคุณภาพและมาตรฐาน เดียวกัน การจัดการศึกษาจึงประสบปัญหาความยากลำบากในการควบคุมคุณภาพ ถ้ายิ่งเป็นบริการการ ศึกษาที่คนมีความต้องการมาก มีการแข่งชันที่เข้มข้น การควบคุมคุณภาพยิ่งเป็นสิ่งจำเป็นและมีความ สำคัญ การควบคุมคุณภาพยังเป็นการส่งเสริมการจัดอันดับซึ่งเป็นการกดดันสถาบันการศึกษา ให้ปรับปรุง คุณภาพการศึกษาเพื่อการรักษาอันดับหรือการไต่อันดับขึ้นไปอันนำไปสู่การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ดังนั้น แม้ว่าจะมีการวิพากษ์เกี่ยวกับวิธีการและเกณฑ์การจัดอันดับก็ตาม แต่ผลของการแช่งชันก็ถูกใช้เป็น พื้นฐานในการปฏิรูปการศึกษาของประเทศต่างๆ 1.3 ผอของระบบตลาดที่มีต่อการศึกษา ตลาดในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมอาจแบ่งเป็นตลาดแรงงานและ ตลาดสินค้า ตลาดของการศึกษาในยุคโลกาภิวัตน์ที่สำคัญ คือ

9 1.3.1 ตลาดแรงงาน การมีอาจารย์ที่มีคุณภาพหรือเป็นบุคคลที่ผู้บริโภคต้องการเป็นวิธีการหนึ่งในการแข่งขันหรือ การจัดอันดับทางการศึกษา ในบางประเทศการซื้อตัวอาจารย์จึงเป็นเรื่องปกติเนื่องจากตลาดอาจารย์มหาวิทยาลัย นับเป็นตลาดแรงงานประเภทหนึ่ง อาจารย์ของมหาวิทยาลัยจึงมีบทบาทในการหาตลาดและขยายตลาดการศึกษา ของสถาบัน เช่น การเดินทางไปยังประเทศต่างๆ และสร้างความต้องการบริโภคในประเทศนั้น นอกจากนั้นการ เคลื่อนย้ายแรงงานโดยอิสระทำให้มีแรงงานที่มีทักษะทางการศึกษาเคลื่อนย้ายไปยังประเทศต่างๆ จึงเป็นการเพิ่ม ทางเลือกของผู้บริโภคในตลาดการศึกษาในปัจจุบันผู้รับบริการการศึกษาจึงมีโอกาสเลือกบุดลากรทางการศึกษาที่มี คุณลักษณะที่พึงสงค์ได้มากขึ้น ขณะเดียวกันรัฐบาลและหน่วยงานที่เที่ยวข้องก็จำเป็นต้องมีกฎระเบียบและ แนวทางการดูแลควบคุมแรงงานต่างชาติในวงการศึกษา ตลอดจนต้องมีนโยบายในการพัฒนาบุคลากรทางการ ศึกษาของไทยให้สามารถอยู่ในตลาดแรงงานได้ ทั้งตลาดในประเทศและตลาดระหว่างประเทศ ผลกระทบประการ หนึ่งของการจัดการศึกษาในระบบตลาดทุนนิยมคือ ผู้สอนและผู้เรียนมีความสัมพันธ์กันด้วยเอกสารสัญญา บริการ และสินค้า ทำให้การปฏิบัติต่อกันตามจารีตเดิมลดน้อยลง ความสัมพันธ์ลักษณะนี้อาจเริ่มต้นจากการศึกษาระดับ อุดมศึกษาแล้วขยายตัวในแนวดิ่งสู่การศึกษาระดับมัธยมศึกษา ประถมศึกษา ขณะเดียวกันก็ขยายตัวในแนวนอน จากในเมืองไปสู่ชนบทด้วย อย่างไรก็ดี ตลาดแรงงานทางการศึกษาจะมีความสำคัญในอนาคตเนื่องจากสัดส่วนการ จ้างงานที่เพิ่มชื้นจะอยู่ในประเทศกำลังพัฒนาแถบเอเชียประมาณหนึ่งในสามของการจ้างงานทั้งหมดในโลก 1.3.2 ตลาดสินค้า การที่บริการทางการศึกษาได้แปรสภาพกลายเป็นสินค้า ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคและ กลไกราคากลายเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดโครงสร้างการผลิตในภาคการศึกษา และเข้ามาแทนที่บทบาทของ ภาครัฐที่เคยเป็นผู้กำหนดแนวทางการจัดการศึกษาตามที่รัฐเห็นว่าเหมาะสม การผลิตตามความต้องการของตลาด จะทำให้ไม่สนับสนุนการผลิตด้านที่มีความต้องการของตลาดจะทำให้ไม่สนับสนุนการผลิตด้านที่มีความต้องการต่ำ ในปัจจุบันผู้ผลิตจึงต้องลงทุนผลิตตามความต้องการของตลาด เช่น ผลิตผู้เรียนด้านวิทยาศาสตร์มากกว่าด้าน สังคมศาสตร์ เน้นการศึกษาของเมืองมากกว่าชนบท เนันการศึกษาด้านอุตสาหกรรมมากกว่าการเกษตร เน้นการ ศึกษาของชนชั้นสูงและชนชั้นกลางมากกว่ารากหญ้า ตัวอย่างหนึ่งของการจัดการศึกษาเพื่อสนองอุปสงค์ของตลาด เช่น การสอนภาษาต่างประเทศซึ่งเป็นภาษาสากลที่จำเป็นสำหรับทุกคน ทำให้เกิดตลาดและธุรกิจการศึกษาขนาด ใหญ่ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น โครงการเรียนภาษาภาคฤดูร้อน ณ ต่างประเทศ ธุรกิจการหาสถานศึกษาในต่าง ประเทศ การสอนภาษาในโรงเรียน สถาบันสอนภาษาเอกชน โครงการศึกษานานาชาติในมหาวิทยาลัยและสถาน ศึกษา ในปัจจุบันการลงทุนทางการศึกษาไม่ใช่การลงทุนของทุนภายในประเทศเท่านั้น แต่มีการลงทุนของทุนต่างชาติ ซึ่งนักลงทุนต่างชาติจะตัดสินใจโดยใช้หลักการลงทุนเหมือนการผลิตสินค้าอื่นๆ โดยมีลำดับการลงทุนจากน้อยไป หามากดังนี้ 1) การขายบริการการศึกษาเป็นสินค้าส่งออก เช่น การทำหลักสูตรการศึกษาระหว่างประเทศ (sandwich course) ซึ่งผู้เรียนต้องศึกษาที่สถาบันในประเทศไทยและสถาบัต่างประเทศในหลักสูตรเดียวกัน การจัดหลักสูตร ลักษณะนี้เป็นสินค้าออกที่ทำรายได้อย่างสำคัญให้แก่ประเทศมหาอำนาจ อุตสาหกรรมเก่าเนื่องจากมีสถาบันการ ศึกษาที่ดีในประเทศตนเอง กอปรกับคนในประเทศอื่นมีค่านิยมที่จะรับการศึกษาจาก

10 ประเทศมหาอำนาจ โดยมหาวิทยาลัยเอกชนจะเริ่มเป็นตลาดสินค้าลักษณะนี้ก่อนเพื่อการแข่งขันกับสถาบัน อื่น 2) การร่วมทุน การร่วมทุนส่วนมากเป็นการร่วมทุน (ointventure) โดยประเทศเจ้าบ้านลงทุนสิ่งอำนวย ความสะดวกที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางวิซาการ เช่น ตึก ห้องสมุด ห้องทดลอง ส่วนนักลงทุนต่างชาติจะทำ หน้าที่จัดการเรียนการสอนและกำหนดมาตรฐานการศึกษา ผู้ลงทุนฝ่ายไทยมักเป็นกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ ได้รับประโยชน์จากที่ดินรอบสถานศึกษา จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีสถาบัน ความร่วมมือเกิดขึ้นใน ประเทศไทยเร็วกว่าในประเทศอื่น 3) การตั้งโรงงานผลิตบริการทางการศึกษา วิธีสุดท้ายของการลงทุนจากต่างชาติคือการตั้งสถาบันเอง โดยนักลงทุนจะตัดสินใจเสมือนการตั้งโรงงานผลิต ซึ่งจะทำเมื่อตลาดมีขนาดใหญ่และต้องใช้ทุนสูงมาก รวม ทั้งต้องอาศัยการลงทุนสะสมเป็นเวลายาวนาน ดังนั้น จะเห็นว่าบริบททางเศรษฐกิจในยุคโลกาภิวัตน์ทำให้การศึกษามีลักษณะเป็นสินค้าและภาค การ ศึกษาเป็นภาคเศรษฐกิจที่ไร้พรมแดน เป็นการศึกษาที่สนองผู้มีอำนาจซื้อ เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยง จาก ปัจจัยภายนอกและปัจจัยที่อาจควบคุมไม่ได้ เช่น ราคาน้ำมัน ภาวะเศรษฐกิจโลก ปัญหาการเมือง ระหว่าง ประเทศ องค์กรเหนือรัฐที่เข้ามาแทรกแซงการกำหนดนโยบายภายใน ประเทศผู้ผลิตจึงมีภาระ ทั้งการสร้าง สินค้าคุณภาพและการดูแลระบบเศรษฐกิจ การเมืองสังคม ให้มีเสถียรภาพด้วย 2. ผลกระทบของการศึกษาต่อบริบททางเศรษฐกิจ การศึกษาสามารถช่วยพัฒนาบริบททางเศรษฐกิจด้วยการพัฒนาคนให้มีประสิทธิภาพทางเศรษฐ กิจโดย การพัฒนาหลักสูตร การเรียนการสอน มาตรฐานการศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ เจตคติ และ ทักษะทาง เศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น 2.1 การพัฒนาความรู้ทางเศรษฐกิจ การศึกษาอาจจัดให้ผู้เรียนมีความรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจที่สำคัญ ใน กระแสโลกปัจจุบันอย่างเพียงพอสำหรับการประกอบอาชีพเพื่อลดปัญหาความยากจนและความเหลื่อม ใน การกระจายรายได้ มีความรู้ในการผลิตสินค้าใหม่ตามสภาพการณ์ของสังคม เข้าใจการเปลี่ยนแปลง ทาง เศรษฐกิจ ตลอดจนสามารถวิพากษ์การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลได้อย่างมีเหตุผลบนฐานของ ประโยชน์ส่วนรวม 2.2 การพัฒนาเจตคติทางเศรษฐกิจ การศึกษาสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีเจตคติในการดำเนิน กิจกรรม ทางเศรษฐกิจเพื่อส่วนรวมบนฐานของคุณธรรมจริยธรรม มีเจตคติที่ดีในการเป็นนักคิดและยอม ปรับเปลี่ยน เรียนรู้อย่างทันการณ์และรู้เท่าทัน เคารพความแตกต่างของบุคคลและสังคม ตลอดจนดำเนิน กิจกรรมทาง เศรษฐกิจโดยรักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเอง 2.3 การพัฒนาทักษะทางเศรษฐกิจ การศึกษาสามารถพัฒนาให้ผู้เรียนมีทักษะในการประกอบ อาชีพเพื่อ การรับผิดชอบตนเองและสังคม มีทักษะความชำนาญการเฉพาะทางตามความต้องการของตลาด แรงงาน มี ทักษะในการผลิตสิ่งใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาดและการแข่งขันระหว่างประเทศ นอกจาก นั้นการศึกษา ควรเน้นการพัฒนาทักษะใหม่ตามความต้องการของสังคม เช่น ทักษะการบริหารจัดการ ทักษะการทำงาน แบบสากล ทักษะการเชื่อมโยงเศรษฐกิจทุนนิยมในกระแสโลกและเศรษฐกิจพอเพียงตาม วิถีไทย

11 ดังนั้น การศึกษาจึงช่วยพัฒนาผู้เรียนทั้งระดับฐานรากและระดับอื่นๆ ให้เป็นกำลังคนที่สนอง ระบบ เศรษฐกิจของชาติ สามารถสร้างความเข้มแข็ง ความมั่นคงมั่งคั่ง และสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ ให้แก่การ พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว อนึ่ง การพัฒนาผู้เรียนในฐานะกำลังคนหรือทุนมนุษย์นั้น เป็นการ มองมนุษย์ในฐานะที่เป็นทุนอย่างหนึ่งในการผลิตเท่านั้น ทำให้อาจละเลยบุคคลที่มีความสามารถแตกต่างจาก คุณลักษณะของกำลังคนที่กำหนดไว้ รวมทั้งอาจละเลยการพัฒนาคุณค่าของมนุษย์ที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคน หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา เริ่มมาจากหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 ได้น้อมนำเนื้อหาเกี่ยวกับ “หลักการปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง”ตามคำนิยามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ รับพระราชทานเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 เข้าสู่หลักสูตร โดยระบุไว้ในมาตรฐานการเรียนรู้ของ สาระการเรียนรู้กลุ่มสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระเศรษฐศาสตร์ กำหนดให้นักเรียนทุกระดับชั้น เมื่อจบการศึกษาตามหลักสูตรนี้แล้ว จะต้องเข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรการผลิตและการ บริโภค การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า รวมทั้งเข้าใจหลักการของ เศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ ส่งผลให้เกิดการจัดการเรียนรู้เกี่ยวกับ “หลักเศรษฐกิจ พอเพียง” อย่างแพร่หลายในโรงเรียนทั่วไป

ภาพประกอบที่ 2 หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา

12 แต่ก็พบว่ายังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่ถูกต้องชัดเจน เกี่ยวกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงในภาคการ ศึกษา เนื่องจากการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรที่กำหนดไว้ดังกล่าว มักมุ่งเน้นที่กิจกรรมเกษตร การปลูกพืช ผักสวนครัวในโรงเรียน หรือกิจกรรมการออมทรัพย์ เป็นส่วนมาก แต่ยังไม่ได้มุ่งเน้นการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียน ได้ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่เป็นหลักคิด หลักปฏิบัติในการประพฤติตน และการทำกิจกรรมต่างๆ ตาม มาตรฐานตัวชี้วัดในหลักสูตรการศึกษามุ่งหวังให้เกิดขึ้น ใน ปี พ.ศ. 2549 คณะทำงานขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา ภายใต้คณะ อนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง จึงได้ร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการ ศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และโครงการวิจัยเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จัดการ ประชุมอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำตัวอย่างแผนการจัดการเรียนการสอนสำหรับครูที่สอนแต่ละสาระการ เรียนรู้ และระดับชั้นต่างๆ เพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ให้บรรลุตามมาตรฐานตัวชี้วัดที่ กำหนดไว้ในหลักสูตรการศึกษา โดยมีคณะผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหาร และครูจากทั่วประเทศร่วมกันทำงาน จนได้ กรอบเนื้อหาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ “หลักเศรษฐกิจพอเพียง” ของแต่ละช่วงชั้น และตัวอย่างแผนการ จัดการเรียนรู้ที่บูรณาการ “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ทุกระดับชั้น และทุกสาระการเรียนรู้ โดยเผยแพร่ ไปทั่วประเทศเมื่อต้นปี พ.ศ. 2550 ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ปรับปรุง หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 ให้มีความชัดเจนในเป้าหมายและคุณภาพของผู้เรียน และ สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 โดยประกาศใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ซึ่ง ได้กำหนด 1 ใน 5 เป้าหมายของหลักสูตร คือ “การพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึง ประสงค์ มีวินัย และปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง” และมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (Character) หรือจุดเน้นคุณภาพผู้เรียน 8 ประการ ได้แก่ รักชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งมั่นในการทำงาน รักความ เป็นไทย มีจิตสาธารณะ การกำหนดมาตรฐานตัวชี้วัดในหลักสูตร พ.ศ. 2551 จึงเป็นไปในทิศทางการปลูกฝัง และบ่มเพาะผู้เรียนให้ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการคิด การวางแผน และการปฏิบัติตน พร้อม กับคุณลักษณะอื่นๆ ที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21 เศรษฐกิจพอเพียงกับการศึกษา การขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา หมายถึง การดำเนินการส่งเสริมและ สนับสนุนให้บุคลากรในภาคการศึกษาทุกระดับ น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจำ วันและการปฏิบัติภารกิจ เช่น การบริหารการศึกษา การบริหารจัดการงบประมาณการศึกษา การจัดสถาน ศึกษา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน การจัดกิจกรรมนักเรียน เป็นต้น เพื่อที่ท้าย ที่สุดแล้วเกิดกระบวนการปรับเปลี่ยนวิธีคิดและวิถีปฏิบัติ จนเป็นวิถีชีวิต เพื่อผลให้เกิดการปลูกฝังและบ่ม เพาะผู้เรียน เด็ก และเยาวชน ให้มีจิตสำนึกและอุปนิสัย “พอเพียง” (Sufficiency Mindset and Behavior) เพื่อจะได้สามารถดำรงตน และดำเนินชีวิตให้เจริญก้าวหน้าไปได้อย่างสมดุลและพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลง ต่างๆ จุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อน เนื่องมาจากกระแสพระราชดำรัส “เศรษฐกิจพอเพียง”

13 ที่ปวงชนชาวไทยได้เริ่มรับรู้และเรียนรู้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชดำรัส พระบาท สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เมื่อวันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ความตอนหนึ่งว่า “...คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่น น้อยถ้าทุกประเทศมีความคิด ‘อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ’ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่า พอ ประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็ พอเพียง ฉะนั้น ความพอเพียงนี้ ก็แปลว่า ความพอประมาณ และความมีเหตุผล...” จึงเป็นที่มาของความ เข้าใจว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นหลักคิดหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตที่ทุกคน ทุกประเทศสามารถนำไปใช้ ในทุกกิจกรรม ทุกสาขาอาชีพ และทุกระดับ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่สมดุล มั่นคง และยั่งยืน แนวทางการสอนแบบบูรณาการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 1.สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สาระที่ 1 : ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ยึดมั่นในหลักศีลธรรม การกระทำความดีมีค่านิยมที่ดีงาม การพัฒนาตน บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อการอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข สาระที่ 2 : หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม การดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมไทยและสังคมโลกอย่างสันติสุข วิถีชีวิตประชาธิปไตย (คารวะธรรม สามัคคีธรรม ปัญญาธรรม) สาระที่ ๓ : เศรษฐศาสตร์ การบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ สาระที่ ๔ : ประวัติศาสตร์ ใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์บนพื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผล มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆอย่างเป็น ระบบ วัฒนธรรมไทย ภูมิปัญญาไทย มีความภูมิใจและรักษาความเป็นไทย สาระที่ ๕ : ภูมิศาสตร์ ระบบธรรมชาติและความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสภาพแวดล้อม การสร้างสรรค์วัฒนธรรมที่เกิดจากสภาพแวดล้อมทางกายภาพ จิตสำนึกอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 2.วิทยาศาสตร์ ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม, การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ, และสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน 3.คณิตศาสตร์

ㆍ ㆍ

ㆍ ㆍ ㆍ ㆍ ㆍ

14 ทักษะ/กระบวนการทางคณิตศาสตร์, การแก้ปัญหา, การให้เหตุผล, และเชื่อมโยงความรู้ต่างๆทาง คณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่นๆได้ 4.ภาษาไทย ฟัง พูด อ่าน เขียน, สำนวนไทย, การแสดงความคิดเห็น, บทร้อยแก้ว, คำขวัญ, การคัดลายมือ, การสรุป ใจความ และการทำหนังสือเล่มเล็ก/ เล่มใหญ่ 5.ภาษาต่างประเทศ ภาษาเพื่อการสื่อสาร, ภาษาและวัฒนธรรม และภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก 6.ศิลปะ คุณค่างานศิลปะที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมภูมิปัญญาไทยและภูมิ และปัญญาท้องถิ่น 7.การงานอาชีพและเทคโนโลยี ทักษะกระบวนการ, การจัดการ,การทำงานเป็นกลุ่ม, การแสวงหาความรู้ และการแก้ไขปัญหา ฯลฯ มีคุณธรรม มีจิตสำนึกในการใช้พลังงานทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม 8.สุขศึกษา และพลศึกษา เข้าใจและเห็นคุณค่าของชีวิตและมีทักษะในการดำเนินชีวิต



บทสรุป การประยุกต์ใช้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน คือ การทำให้เด็กรู้จัก ความพอเพียง ปลูกฝัง อบรม บ่มเพาะให้เด็กมีความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม โดยสอดแทรกแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร สาระเรียนรู้ต่างๆเพื่อ สอนให้เด็กรู้จักการใช้ชีวิตได้อย่างสมดุล ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง เห็นคุณค่าของทรัพยากรต่างๆ รู้จัก อยู่ร่วมกับผู้อื่น รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และแบ่งปัน มีจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อม และเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมค่า นิยม ความเป็นไทย ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงต่างๆ รู้ว่าตนเองเป็นองค์ประกอบหนึ่งในสิ่งแวดล้อมและ วัฒนธรรมของโลก การกระทำของตนย่อมมีผลและเชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อมในโลกที่ตนเองเป็นสมาชิกอยู่ ด้วย ซึ่งการจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวข้างต้น สำคัญคือครูจะต้องรู้จักบูรณาการการเรียนการสอนให้เด็กและ เยาวชนเห็นถึงความเชื่อมโยงในมิติต่างๆ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม สังคม และเศรษฐกิจ ซึ่งความเป็น องค์รวมนี้จะเกิดขึ้นได้ ครูต้องโดยใช้ความรู้และคุณธรรมเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อน

15

คำถามทบทวน 1.นิยามความพอเพียงคือ 2.แนวทางการประยุกต์ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงและการดำเนินชีวิตมีกี่รูปแบบพร้อมอธิบายสั้นๆ 3.อธิบายผลกระทบของบริบททางเศรษฐกิจต่อการศึกษา 4.เศรษฐกิจพอเพียงกับการศึกษามีความสำคัญอย่างไรบ้าง 5.3ห่วง 2เงื่อนไขประกอบด้วยอะไรบ้าง



บรรณานุกรม มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2551). พื้นฐานวิชาชีพครู Foundation of teaching Profession (พิมพ์ครั้งที่2). นนทบุรี : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สุนัย เศรษฐ์บุญสร้าง. (2550). แนวทางปฏิบัติ 7 ขั้นสู่วิถีเศรษฐกิจพอเพียง จากแนวปฏิบัติสู่แนวคิดทาง ทฤษฎีของเศรษฐกิจพอเพียง (พิมพ์ครั้งที่2). กรุงเทพฯ : ออกแบบ สบายใจ จำกัด. เอก อนันต์. (2550). ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง Road to Sustainable Economy (พิมพ์ครั้งแรก). กรุงเทพฯ : หจก.เม็ดทรายพริ้นติ้ง. ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2565. จาก https://sites.google.com แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ปรัชญาเศรษฐกิจที่ทำได้จริง. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2565. จาก https://www.krungsri.com เศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2565. จาก https://greenshopcafe.com เศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษา. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2565. จาก https://www.bodin.ac.th เศรษฐกิจพอเพียงกับการจัดการเรียนการสอนและการดำเนินชีวิต. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2565. จาก https://www.kroobannok.com

Get in touch

Social

© Copyright 2013 - 2024 MYDOKUMENT.COM - All rights reserved.