ปรัชญาทางการศึกษา น.ส.เพ็ญนภา อาวะสาร Flipbook PDF


91 downloads 107 Views 1MB Size

Recommend Stories


Porque. PDF Created with deskpdf PDF Writer - Trial ::
Porque tu hogar empieza desde adentro. www.avilainteriores.com PDF Created with deskPDF PDF Writer - Trial :: http://www.docudesk.com Avila Interi

EMPRESAS HEADHUNTERS CHILE PDF
Get Instant Access to eBook Empresas Headhunters Chile PDF at Our Huge Library EMPRESAS HEADHUNTERS CHILE PDF ==> Download: EMPRESAS HEADHUNTERS CHIL

Story Transcript



คำนำ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้ ( E-Book ) จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมเนื้อหาประกอบการเรียนรายวิชา ปรัชญาการศึกษาและความเป็นครูมืออาชีพ คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยนครพนม รหัสวิชา 61512311 เล่มนี้ เพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการเรียนการสอนสำหรับการบรรยายในชั้นเรียน ประกอบด้วย บทเรียน และเนื้อหาในบทเรียน มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจ และสามารถอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจได้ ในเรื่อง ของปรัชญาการศึกษาและความเป็นครูมืออาชีพ นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมุ่งหวังให้ผู้เรียนต้องมี ความรู้ ความสามารถในการแสวงหาความรู้เพิ่มเติม มีความคิด สามารถนำความรู้ที่ได้ มาวิเคราะห์อันจะ ก่อให้เกิดความรู้ใหม่และความรู้ที่ยั่งยืน ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจศึกษาปรัชญา ทางการศึกษาต่อไป นางสาวเพ็ญนภา อาวะสาร



สารบัญ เรื่อง คำนำ สารบัญ ปรัชญาทางการศึกษา ความหมายของปรัชญาทางการศึกษา สาขาของปรัชญา ปรัชญาการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ ปรัชญาการศึกษา ลัทธิปรัชญาการศึกษา ปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม (Perennialism) ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนิยม (Existentialism) ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม (Reconstructionism) ปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม (Essentialism) ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม (Progessivism) ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การจัดการความรู้ ( KM ) การจัดการความรู้ ประเภทขององค์ความรู้ เป้าหมาย หัวใจของการจัดการความรู้ องค์ประกอบของการจัดการความรู้ ตัวอย่างโมเดลปลาทู มาตรฐานวิชาชีพครูของคุรุสภา มาตรฐานวิชาชีพของคุรุสภา มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ มาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพครู มาตรฐานการปฏิบัติตน ( จรราบรรณวิชาชีพ ) ประกาศคณะกรรมการคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพฉบับที่ 4 รายละเอียดของมาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ

หน้า ก ข-ค 1 1-2 2-5 8 9 9 9 9 9 10-12 13-28 33 33-34 34-35 35 35 36 36 38 38-39 40-41 42 42 42-44 45-47 47-50 51 51-55



แนวข้อสอบ จำนวน 120 ข้อ เฉลยแนวข้อสอบ อ้างอิง

56-75 76 77

ปรัชญาทางการศึกษา การศึกษาเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เครื่องมือ ในการเตรียมประชากรให้มีคุณภาพคือการศึกษาการจัดการศึกษาของชาตินั้นจะต้องสอดคล้ องกับนโยบาย ทางด้านเศรษฐกิจสังคมและการเมืองถ้ามีการเปลี่ยนแปลงระบบทั้งสามการจัดการศึกษาของชาติก็จะต้อง เปลี่ยนแปลงตามไปด้วยแต่ละสังคมจะมีแนวทาง ในการจัดการศึกษาต่างกัน เพราะระบบทั้งสามไม่เหมือนกัน แนวความคิดหรือความเชื่อในการจัดการศึกษาก็คือปรัชญาการศึกษาซึ่ งผู้ที่มีหน้าที่ในการจัดการศึกษาจะยึด แนวทางในการจัดการศึกษาหรือปรัชญาของการศึกษาต่างกันไปตามวัตถุแระสงค์ของสังคมและสถานการณ์ ทางสังคมในแต่ละยุคแต่ละสมัย การจัดการศึกษาของประเทศใดถ้าไม่ยึดการศึกษาที่ถูกต้องก็ไม่มีทางที่จะทำ ให้ประเทศเจริญไปสู่เป้าหมายที่ต้องการปรัชญาการศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดแนวทางในการพัฒนา ประเทศ ความหมายของปรัชญาทางการศึกษา เรื่องยากแต่นักปราชญ์และนักคิดได้พยายามให้ความหมายของปรัชญาไว้มากมายซึ่งความหมายหนึ่ง อาจเป็นที่ยอมรับของคนกลุ่มหนึ่งแต่อาจไม่เป็นที่ยอมรับของคนอีกกลุ่มหนึ่งสุดแล้วแต่ว่าบุคคลใดจะมีมุมมอง อย่างไรการพิจารณาความหมายของคำว่าปรัชญาแยกพิจารณาออกเป็น 2 นัย คือความหมายตามรูปศัพท์ และความหมายโดยอรรถ ความหมายตามรูปศัพท์ คำว่า Philosophy ตามรูปศัพท์ภาษาอังกฤษ ผู้ที่นำมาใช้ คือ ไพทากอรัส (Pythagoras) เป็นผู้เริ่มใช้ คำนี้เป็นครั้งแรก มาจากภาษากรีกว่า Philosophy เป็นคำสนธิระหว่างคำ ว่า Philos แปลว่า ความรัก ความ สนใจ ความเลื่อมใส กับคำว่า Sophia ซึ่งแปลว่า ความรู้ ความสามารถ ความฉลาด ปัญญา เมื่อรวม 2 คำเข้า ด้วยกัน ก็จะได้คำแปลว่าความรักในความรู้ความรักในความฉลาด หรือความรักในความปราดเปรื่อง (Love of Wisdom) ความหมายตามรูปศัพท์ภาษาอังกฤษเน้นที่ทัศนคติ นิสัยและความตั้งใจ และกระบวนการแสวงหา ความรู้คำว่าปรัชญา ในภาษาไทยเป็นคำที่พระวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ทรงบัญญัติขึ้นใช้แทน คำว่า Philosophy ในภาษาอังกฤษ เป็นการบัญญัติเพื่อให้มีคำภาษาไทยว่าปรัชญา ใช้คำว่าปรัชญา เป็นคำใน ภาษาสันสกฤต ประกอบด้วยรูปศัพท์ 2 คำ คือ ปร ซึ่งแปลว่าไกล สูงสุด ประเสริฐ และคำว่า ชญา หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจ เมื่อรวมกันเป็นคำว่าปรัชญา จึงหมายถึงความรู้อันประเสริฐ เป็นความรอบรู้ รู้กว้างขวาง ความหมายตามรูปศัพท์ในภาษาไทยเน้นที่ตัวความรู้หรือผู้รู้ ซึ่งเป็นความรู้ที่กว้างขวาง ลึกซึ้ง ประเสริฐ (ไพฑูรย์ สินลารัตน์ 2524 : 2) จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันในความแตกต่างกันในความหมายของคำ ว่า Philosophy และปรัชญา Philosophy เป็นความรักในความรู้ อยากที่จะแสวงหาความรู้ หรืออยากค้นหา ความจริงอันนิรันดร์ (Ultimate reality) เพื่อให้พ้นไปจากความสงสัยที่มีอยู่ ส่วนคำว่า ปรัชญา เป็นความรู้อัน ประเสริฐเป็นสิ่งที่เกิดจากการแสวงหาความรู้จนพ้นข้อสงสัยแล้วก็นำไปปฏิบัติเพื่อให้มนุษย์หลุดพ้นจากปัญหา ทั้งปวง นำไปสู่ความสุขที่พึงประสงค์

2

ความหมายโดยอรรถ นักปรัชญา และนักคิดได้อธิบายถึงความหมายของ ปรัชญาถือว่าเป็นศาสตร์ของศาสตร์ทั้งหลาย ซึ่ง หมายถึงว่าปรัชญาเป็นวิชาแม่บทของวิชาการแขนงอื่น ๆ และมีความสัมพันธ์กับวิชาทุก ๆ สาขาด้วย (บรรจง จันทร์สา 2522 : 3) ปรัชญาจะทำหน้าที่สืบค้นเรื่องราวต่าง ๆ ที่มนุษย์ยังไม่รู้และสงสัย จนกระทั่งรู้ความจริง และมีคำตอบของตนเองอย่างชัดเจนในเรื่องราวนั้น ก็จะแยกตัวเป็นวิชาหรือศาสตร์ต่างหากออกไป วิชาที่ แยกตัวออกไปเป็นวิชาแรกคือ ศาสนา จากนั้นก็มีการพัฒนาวิชาอื่น ๆ กลายเป็นศาสตร์ต่าง ๆ มากมาย เมื่อมี ศาสตร์พัฒนาออกไปมาก เนื้อหาของปรัชญาก็ไม่ค่อยมี แต่ปรัชญาจะทำหน้าที่ในการนำเนื้อหาของศาสตร์ ต่างๆ มาวิเคราะห์ หาความสัมพันธ์ และหาทางพัฒนาศาสตร์นั้น เพื่อให้ไปสู่เป้าหมายที่ต้องการถ้ามอง ปรัชญาในอีกลักษณะหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่า ได้มีการนำเอาแนวคิดพื้นฐานของปรัชญามาประยุกต์ใช้ได้ อย่าง เหมาะสมกับวิชาต่าง ๆ เพือ่ วิเคราะห์ศาสตร์ต่างเหล่านั้นให้เกิดความเข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ปรัชญาสังคม ปรัชญาการเมือง ปรัชญาศาสนา ฯลฯ จากลักษณะของปรัชญาดังกล่าว ได้มีนักคิด นักปรัชญา นักวิชาการได้ พยายามให้ความหมายของปรัชญาไว้แตกต่างกัน ดังนี้ ความหมายของปรัชญา ปรัชญา คือ ศาสตร์หนึ่งที่มีวัตถุประสงค์ที่จะจัดหมวดหมู่ หรือระบบความรู้สาขาต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้เป็น เครื่องมือทำความเข้าใจและแปลความหมายข้อเท็จจริงต่าง ๆ อย่างสมบูรณ์แบบ ปรัชญาจะประกอบด้วยวิชา ตรรกวิทยา จริยศาสตร์ สุนทรีศาสตร์ อภิปรัชญาและศาสตร์ที่ว่าด้วยความรู้ทั้งปวงของมนุษย์ (Good 1959 : 395) ปรัชญา คือ ความคิดเห็นใดที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ หรือยังสรุปผลแน่นอนไม่ได้ แต่ถ้าพิสูจน์ได้จนลงตัวแล้วก็จัด ว่าเป็นศาสตร์ (จำนง ทองประเสริฐ 2524 : 2) ปรัชญา คือ ศาสตร์ชนิดหนึ่ง ที่มีวัตถุประสงค์ที่จะจัดหมวดหมู่หรือแบบความรู้สาขาต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ เป็นเครื่องมือทำความเข้าใจและแปลความหมายข้อเท็จจริงต่าง ๆ อย่างสมบูรณ์แบบ (ภิญโญ สาธร 2514: 21) สาขาของปรัชญา ๓ สาขาหลัก 1. อภิ ป รั ช ญา (METAPHYSICS) หรื อ ภววิ ท ยา (ONTHOLOGY) เป็ น การศึ ก ษาเกี ่ย วกับ ความจริง (REALITY) เพื่อค้นหาความจริงอันเป็นที่สูงสุด (ULTIMATE REALITY) ได้แก่ความจริงที่เกี่ยวกับธรรมชาติ จิต วิญญาณ รวมทั้งเรื่องของพระเจ้า อันเป็นบ่อเกิดของศาสนา 2. ญาณวิทยา (EPISTEMOLOGY) เป็นการศึกษาเกี่ ยวกับเรื่องความรู้ (KNOWLEDGE) ศึกษาธรรมชาติของความรู้บ่อเกิดของความรู้ ขอบเขตของความรู้ ซึ่งความรู้อาจจะได้มาจากแหล่งต่างๆเช่น จากพระเจ้าประธานมาซึ่งปรากฏอยู่ในคัมภีร์ ของศาสนาต่างๆจากผู้เชี่ยวชาญที่ทำการศึกษาค้นคว้าปรากฏในตำรา เกิดจากการหยั่งรู้เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นมา ในทันทีทันใด เช่นพระพุทธเจ้าตรัสรู้หรือเป็นความรู้ที่เกิดจากการพิจารณาเหตุและผล หรือได้จากการสังเกต

3

3. คุณวิทยา (AXIOLOGY) ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับคุณค่าหรือค่านิยม (VALUE) เช่น คุณค่า เกี่ยวกับความดีและความงาม มีอะไร เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าอย่างไรดี อย่างไรงาม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 3.1 จริยศาสตร์ (ETHICS) ได้แก่คุณค่าแห่งความประพฤติ หลักแห่งความดี ความถูกต้อง เป็นคุณค่า แห่งจริยธรรม เป็นคุณค่าภายใน 3.2 สุนทรียศาสตร์ (ANESTHETICS) ได้แก่คุณค่าความงามทางศิลปะ ซึ่งสัมพันธ์กับจิตนาการและ ความคิดสร้างสรรค์ ซึง่ ตัดสินได้ยากและเป็นอัตนัย เป็นคุณค่าภายนอก ปรัชญาพื้นฐาน ปรัชญาพื้นฐาน หรือปรัชญาทั่วไป เมื่อพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษามีลัทธิ ได้แก่ 1. ลัทธิจิตนิยม (IDIALISM) เป็นลัทธิปรัชญาที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาปรัชญาต่าง ๆ มีกำเนิดพร้อมกับ การเริ่มต้นของปรัชญา ปรัชญาลัทธินี้ถือเรื่องจิตเป็นสิ่งสำคัญ มีความเชื่อว่าสิ่งที่เป็นจริงสูงสุดนั้นไม่ใช่วัตถุหรือ ตัวตน แต่เป็นเรื่องของความคิดซึ่งอยู่ในจิต (MINE) สิ่งที่เราเห็นหรือจับต้องได้นั้น ยังไม่ความจริงที่แท้ ความ จริงที่แท้จะมีอยู่ในโลกของจิต (THE WORLD OF MIND) เท่านั้น ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของแนวความคิดลัทธิ ปรัชญานี้ คือ พลาโต (PLATO) นักปรัชญาเมธีชาวกรีก ซึ่งมีความเชื่อว่าการศึกษา คือการพัฒนาจิตใจมากกว่า อย่างอื่น ถ้าพิจารณาลัทธิปรัชญาลัทธิจิตนิยมในแง่สาขาของปรัชญา แต่ละสาขาจะได้ดังนี้ 1.1 อภิปรัชญา ถือว่าเป็นจริงสูงสุดเป็นนามธรรมมากกว่ารูปธรรม ต้องพัฒนาคนในด้านจิตใจ มากกว่าวัตถุ 1.2 ญาณวิทยา ถือว่าความรู้เกิดจากความคิดหาเหตุผล และการวิเคราะห์แล้วสร้างเป็นความคิด ในจิตใจ ส่วนความรู้ที่ได้จากการสัมผัสด้วยประสาททั้ง 5 ไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริง 1.3 คุณวิทยา ถือว่าคุณค่าความดีความงามมีลักษณะตายตัวคงทนถาวรไม่เปลี่ยนแปลง ในด้านจ ริยศาสตร์ ศีลธรรม จริยธรรมจะไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนสุนทรียศาสตร์นั้น การถ่ายทอดความงาม เกิดจาก ความคิดสร้างสรรค์และอุดมการณ์อันสูงส่งสรุปว่า ปรัชญาลัทธิจิตนิยมเป็นการพัฒนาด้านจิตใจ ส่งเสริมการ พัฒนาทางด้านคุณธรรม จริยธรรม ศิลปะต่าง ๆ การจัดการศึกษาตามแนวจิตนิยมจึงเน้นในด้านอักษรศาสตร์ และศิลปะศาสตร์ เป็นผู้มีความรอบรู้โดยเฉพาะตำรา การเรียนการสอนมักจะใช้ห้องสมุดเป็นแหล่งค้นคว้าและ ถ่ายทอดเนื้อหาวิชาสืบต่อกันไป 2. ลัทธิวั ตถุ น ิย ม หรือสัจ นิย ม (REALISM) เป็นลัทธิปรัช ญาที่ ม ีค วามเชื่ อ ในโลกแห่ งวั ต ถุ (THE WORLD OF THINGS) มีความเชื่อในแสวงหาความจริงโดยจิตตามแนวคิดของจิตนิยมอย่างเดียวไม่พอ ต้อง พิจารณาข้อเท็จจริงตามธรรมชาติด้วย ความจริงที่แท้คือ วัตถุที่ปรากฏต่อสายตา สามารถสัมผัสได้ สิ่งเหล่านี้ เป็นพื้นฐานของการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ บิดาของลัทธินี้คือ อริสโตเติล (ARISTOTLE) นักปราชญ์ชาว กรีกลัทธิปรัชญาสาขานี้เป็นต้นกำเนิดของการศึกษาทางงด้านวิทยาศาสตร์ ถ้าพิจารณาปรัชญาลัทธิวัตถุนิยม ในแง่สาขาของปรัชญา จะได้ดังนี้ 2.1 อภิปรัชญามีความเชื่อว่า ความจริงมาจากธรรมชาติ ซึ่งประกอบสิ่งที่เป็นวัตถุสามารถสัมผัสจับ ต้องได้ และพิสูจน์ได้ด้วยวิธีวิทยาศาสตร์ 2.2 ญาณวิทยา เชื่อว่าธรรมชาติเป็นบ่อเกิดของความรู้ทั้งมวลความรู้ได้มาจากการได้เห็นได้สัมผัส ด้วยประสาทสัมผัส ถ้าสังเกตไม่ได้มองไม่เห็น ก็ไม่เห็นว่าเป็นความรู้ที่แท้จริง

4

2.3 คุณวิทยา เชื่อว่าธรรมชาติสร้างทุกสิ่งทุกอย่างมาดีแล้ว ในด้านจริยศาสตร์ก็ควรประพฤติปฏิบัติ ตามกฎธรรมชาติ กฎธรรมชาติก็คือศีลธรรมจรรยา ขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งใช้ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ ส่วนสุนทรีศาสตร์เป็นเรื่องของความงดงามตามธรรมชาติสะท้อนความงามตามธรรมชาติออกมา สรุปว่า ปรัชญาลัทธิจิตนิยม เน้นความเป็นจริงตามธรรมชาติ การศึกษาหาความจริงได้จากการสังเกต สัมผัสจับต้อง และเชื่อในกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ การศึกษาในแนวลัทธิจิตนิยมเน้นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้นกำเนิด ของวิชาวิทยาศาสตร์ 3. ลัทธิประสบการณ์นิยม (EXPERIMENTALISM) เป็นปรัชญาที่มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า ปฏิบัตินิยม (PRAGMATISM) ปรัชญากลุ่มนี้มีความสนใจในโลกแห่งประสบการณ์ ฝ่ายวัตถุนิยมจะเชื่อในความเป็นจริง เฉพาะสิ่งที่มนุษย์พบเห็นได้เป็นธรรมชาติที่ปราศจากการปรุงแต่งเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ ส่วนประสบการณ์นิยม มิได้หมายถึงสิ่งที่เราพบเห็นในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่หมายรวมถึงสิ่งที่มนุษย์กระทำ คิด และรู้สึก รวมถึง การคิดอย่างใคร่ครวญและการลงมือกระทำ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในผู้กระทำ กระบวนการทั้งหมดที่ เกิดขึ้นครบถ้วนแล้ว จึงเรียกว่าเป็น ประสบการณ์ ความเป็นจริงหรือประสบการณ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตาม เงื่อนไขแห่งประสบการณ์ บุคคลที่เป็นผู้นำของความคิดนี้ คือ วิลเลียม เจมส์(WILLIAM, JAMES) และจอห์น ดิวอิ้ (JOHN DEWEY) ชาวอเมริกัน วิลเลียม เจมส์ มีความเห็นว่าประสบการณ์และการปฏิบัติเป็นสิ่งสำคัญ ส่วนจอห์น ดิวอิ้ เชื่อว่ามนุษย์จะได้รับความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ จากประสบการณ์เท่านั้น ถ้าพิจารณาปรัชญา ลัทธิประสบการณ์นิยมในแง่ของสาขาของปรัชญาจะได้ดังนี้ 3.1 อภิปรัชญา เชื่อว่าความจริงเป็นโลกแห่งประสบการณ์ สิ่งใดที่ทำให้สามารถได้รับประสบการณ์ ได้ สิ่งนั้นคือความจริง 3.2 ญาณวิทยา เชื่อว่าความรู้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการลงมือปฏิบัติ กระบวนการแสวงหาความรู้ก็ด้วย วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (SCIENTIFIC METHOD) 3.3 คุณวิทยา เชื่อว่าความนิยมจะเกี่ ยวกับการประพฤติปฏิบัติทางด้านศีลธรรม จรรยาเป็นสิ่งที่ มนุษย์สร้างและกำหนดขึ้นมาเอง และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนสุนทรียศาสตร์ เป็นเรื่องของความต้องการ และรสนิยมที่คนส่วนใหญ่ยอมรั บกัน สรุปว่า ปรัชญาลัทธิประสบการณ์นิยม เน้นให้คนอาศัยประสบการณ์ใน การแสวงหาความเป็นจริงและความรู้ต่าง ๆ ได้มาจากประสบการณ์ การศึกษาในแนวลัทธิปรัชญานี้เน้นการลง มือกระทำเพื่อหาความจริงด้วยคำตอบของตนเอง 4. ลัทธิอัตถิภาวะนิยม (EXISTENTIALISM) เป็นลัทธิปรัชญาที่เกิดหลังสุด มีแนวความคิดที่น่าสนใจ และท้าทายต่อการแสวงหาของนักปรัชญาในปั จจุบัน (กีรติ บุญเจือ 2522) EXISTENTIALISM มีความหมาย ตามศัพท์ คือ EXIST แปลว่าการมีอยู่ เช่น ปัจจุบัน มีมนุษย์อยู่ก็เรียกว่า การมีมนุษย์อยู่หรือ EXIST ส่วน ไดโนเสาร์ไม่มีแล้ว ก็เรียกว่ามันไม่ EXIST คำว่าEXISTENTIALISM จึงหมายความว่า มีความเชื่อในสิ่งที่มีอยู่ จริงๆ เท่านั้น (THE WORLD OF EXISTING)หลักสำคัญปรัชญาลัทธินี้มีอยู่ว่า การมีอยู่ของมนุษย์มีมาก่อน ลักษณะของมนุษย์ (EXISTENCE PRECEDES ESSENCE) ซึ่งความเชื่อดังกล่าวขัดกับหลัก ศาสนาคริสต์ ซึ่งมี แนวความคิดว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์และสรรพสิ่งในโลก ก่อนที่จะลงมือสร้างมนุษย์พระเจ้ามีความคิดอยู่ แล้วว่ามนุษย์ควรจะเป็นอย่างไร ควรจะมีลักษณะอย่างไร ควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร ทั้งหมดเป็นเนื้อหา หรือสาระ ลักษณะของมนุษย์มีมาก่อนการเกิดของมนุษย์ มนุษย์จะต้องอยู่ในภาวะจำยอมที่จะต้องปฏิบัติตาม

5

พระประสงค์ของพระเจ้า หมดเสรีภาพที่จะเลือกกระทำตามความต้องการของตนเองปรัชญาลัทธิอัตถิภาวะ นิยมไม่ยอมรับแนวคิดดังกล่าว มีความเชื่อเบื้องต้นว่า มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความว่างเปล่า ไม่มีลักษณะใดๆ ติดตัวมา ทุกคนมีหน้าที่เลือกลักษณะหรือสาระต่าง ๆ ให้กับตัวเอง การมีอยู่ของมนุ ษย์ (เกิด) จึงมีมาก่อน ลักษณะของมนุษย์หลักสำคัญของปรัชญานี้จะให้ความสำคัญแก่มนุษย์มากที่สุด มนุษย์มีเสรีภาพในการกระทำ สิ่งต่าง ๆ ได้ตามความพอใจและจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เลือกถ้าพิจารณาลัทธิอัตถิภาวนิ ยมในแง่สาขาของ ปรัชญาจะได้ดังนี้ 4.1 อภิปรัชญา ความจริงเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลจะพิจารณา และกำหนดว่าอะไร คือ ความจริง 4.2 ญาณวิทยา การแสวงหาความรู้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลที่จะเลือกสรรเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ 4.3 คุณวิทยา ทุกคนมีเสรีภาพที่จะเลือกค่านิยมที่ตนเองพอใจด้วยความสมัครใจส่วนความงามนั้น บุคคลจะเป็นผู้เลือกและกำหนดเอง โดยไม่จำเป็นจะต้องให้ผู้อื่นเข้าใจ สรุปว่า ปรัชญาลัทธิอัตถิภาวนิยม เป็น ปรัชญาที่ให้ความสำคัญแก่มนุษย์ว่ามีความสำคัญสูงสุด มีความเป็นตัวของตัวเอง สามารถเลือกกระทำสิ่งใดๆ ได้ตามความพอใจ แต่จะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่กระทำ การศึกษาในแนวลัทธิปรัชญานี้จะให้ผู้เรียนมีอิสระใน การแสวงหาความรู้ เลือกสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเสรี มีการกำหนดระเบียบกฎเกณฑ์ขึ้นมาเอง แต่ต้องรับผิดชอบต่อ ตนเองและสังคม จากการที่ได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาและปรัชญามาโดยลำดับแล้วจะได้พิจารณาต่อไปว่า ปรัชญาและการศึกษามีความสัมพันธ์กันในลักษณะใดและนำไปใช้ประโยชน์ต่อการศึกษาได้อย่างไร (จำนง ทองประเสริฐ 2520 ; วิไล ตั้งจิตสมคิด 2540) ความสัมพันธ์ระหว่างปรัชญากับการศึกษา ปรัช ญาช่ว ยพิจ ารณาและกำหนดเป้าหมายทางการศึกษาการศึกษาเป็นกิจกรรมที่ทำให้บุคคล เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางที่พึงปรารถนาปรัชญาจะช่วยกำหนดแนวทางหรือเป้าหมายที่พึงปรารถนา ซึ่ง จะสอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรมฯลฯ และปรัชญาจะช่ว ยให้เ ห็ นว่า เป้าหมายทางการศึกษาที่จะเลือกนั้นสอดคล้องกับการมีชีวิตที่ดีหรือไม่ ชีวิตที่ดีควรเป็นอย่างไร ธรรมชาติของ มนุษย์คืออะไร ปัญหาเหล่านี้นักปรัชญาอาจเสนอแนวความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาในการเลือกเปา หมายทางการศึกษา (วิทย์ วิศทเวทย์ 2523 : 29) ปรัชญากับการศึกษามีความสัมพันธ์ กันอย่างมาก ปรัชญา ช่วยให้เกิดความชัดเจนทางการศึกษาและทำให้นักศึกษาสามารถดำเนินการทางการศึกษาได้อย่างถูกต้อง รัดกุมเพราะได้ผ่านการพิจารณา วิพากย์วิเคราะห์อย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม ทำให้เกิดความเข้าใจอย่างชัดเจน ขจัดความไม่สอดคล้อง และหาทางพัฒนาแนวคิดใหม่ ให้กับการศึกษา

6

ความหมายของปรัชญาการศึกษา ปรัชญาการศึกษาคือ แนวความคิด หลักการ และกฎเกณฑ์ ในการกำหนดแนวทาง ในการจัดการศึกษา ซึ่ง นักการศึกษาได้ยึดเป็นหลักในการดำเนินการทางการศึกษาเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย นอกจากนี้ปรัชญาการศึกษายัง พยายามทำการวิเคราะห์และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษา ทำให้สามารถมองเห็นปัญหาของการศึกษาได้อย่าง ชัดเจน ปรัชญาการศึกษาจึงเปรียบเหมือนเข็มทิศนำทางให้นักการศึกษาดำเนินการทางศึกษาอย่างเป็นระบบ ชัดเจน และสมเหตุสมผล ลัทธิปรัชญาการศึกษา ลักษณะของปรัชญาทางการศึกษา ปรัชญาการศึกษามีอยู่มากมายหลายลัทธิ ตามลักษณะและตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ต่างก็คิดและเชื่อไม่ เหมือนกัน อาศัยแนวคิดของปรัชญาพื้นฐานที่แตกต่างกัน หรือนำมาผสมผสานกัน ทำให้มีลักษณะที่คาบเกี่ยวกัน หรืออาจมาจากความคิดของปรัชญาพื้นฐานสาขาเดียวกันดังนั้นปรัชญาการศึกษาจึงมีหลายลัทธิ หลายระบบ ในที่นี้ จะกล่าวถึงปรัชญาการศึกษาที่เป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวางดังต่อไปนี้ (บรรจง จันทรสา 2522 ; อรสา สุขเปรม 2546 : 63 - 74) 3.1 ปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม (Essentialism) 3.2 ปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม (Perennialism) 3.3 ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม (Progessivism) 3.4 ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม (Reconstructionism) 3.5 ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนิยม (Existentialism) ปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม (Essentialism) เป็นปรัชญาการศึกษาที่เกิดในอเมริกา เมื่อประมาณ ปี ค.ศ.1930 โดยการนำของ วิลเลี่ยม ซี แบคลี (William C. Bagley) และคณะ ได้รวมกลุ่มกันเพื่อเผยแพร่แนวคิดทางการศึกษา ฝ่ายสารัตถนิยม และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และยังนิยมเรื่อยมาอีกเป็นเวลานาน เพราะมีความเชื่อว่าลัทธิปรัชญาสารัตถนิยมมีความเข้มแข็งในทางวิชาการและมีประสิทธิภาพในการสร้างค่านิยม เกี่ยวกับระเบียบวินัยได้ดีพอที่จะทำให้โลกเสรีต่อสู้กับโลกเผด็จการของคอมมิวนิสต์ (ภิญโญ สาธร :2525, 31) ปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม (Perennialism) เป็นปรัชญาการศึกษาที่ได้รับอิทธิพลจากปรัชญาพื้นฐานกลุ่ม วัตถุนิยมเชิงเหตุผล(Rational realism) หรือบางทีเรียกว่าเป็นพวกโทมนัสนิยมใหม่ (Neo – Thomism) เกิดขึ้น ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกกำลังมีการพัฒนาทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้น โดยเฉพาะประเทศ ทางตะวันตกซึ่งมีระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ก่อให้เกิดการแข่งขันทางการค้าอย่างไม่เป็นธรรม มีการเอารัดเอา เปรียบสินค้า ราคาสูงเกิดปัญหาครอบครัว ขาดระเบียบวินัย มนุษย์ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ได้ทำให้วัฒนธรรมเสื่อมสลายลงไป จึงมีการเสนอปรัชญาการศึกษาลัทธินี้ขึ้นมาเพื่อให้การศึกษาเป็นสิ่งนำพามนุษย์ ไปสู่ความมีระเบียบเรียบร้อย มีเหตุและผล มีคุณธรรมและจริยธรรม จึงเป็นที่มาของปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม ปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม มีมาแล้วตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ ผู้เป็นต้นคิดของปรัชญาลัทธินี้ คือ อริสโตเติล (Aristotle) และเซนต์ โทมัส อะไควนัส (St. Thomas Aquinas) อริสโตเติลได้พัฒนาปรัชญาลัทธินี้โดยเน้น การใช้ ความคิดและเหตุผล จนเชื่อได้ว่า Rational humanism ส่วนอะไควนัส ได้นำมาปรับให้เข้ากับสถานการณ์ โดย คำนึงถึงความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้า เรื่องศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องของเหตุและผล แนวคิดนี้มีส่วนสำคัญโดยตรงต่อแนวคิด

7

ทางการศึกษาในศตวรรษที่ 20 นักปรัชญาที่เป็นผู้นำของปรัชญานี้ในขณะนี้คือ โรเบิร์ท เอ็ม ฮัทชินส์ (Robert M. Hutchins) และคณะได้รวบรวมหลักการและให้กำเนิดปรัชญานิรันตรนิยมขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ.1929 ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม (Progessivism) ปรัชญานี้ให้กำเนิดขึ้นเพื่อต่อต้ านแนวคิดดั้งเดิมที่ การศึกษามักเน้นแต่เนื้อหา สอนให้ท่องจำเพียงอย่างเดียว ทำให้เด็กพัฒนาด้านสติปัญญาอย่างเดียว ไม่มีความคิด สร้างสรรค์ ไม่มีความกล้าและความมั่นใจในตนเองประกอบกับมีความก้าวหน้าในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำ ให้เกิดแนวความคิดปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยมขึ้นปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยมเกิดขึ้นใน ค.ศ.1870 โดยฟรานซิส ดับเบิ้ลยูปาร์คเกอร์ (Francis W. Parker) ได้เสนอให้มีการปฏิรูปการศึกษาเสียใหม่ เพราะการเรียนแบบ เก่าเข้มงวดเรื่องระเบียบวินัย แต่แนวคิดนี้ไม่ได้รับการยอมรับ ต่อมา จอห์น ดิวอี้ (John Dewey)ได้นำแนวคิดนี้มา ทบทวนใหม่ โดยเริ่มงานเขียนชื่อ School of Tomorrow ออกตีพิมพ์ในปีค.ศ.1915 ต่อมามีผู้สนับสนุนมากขึ้นจึงตั้ง เป็นสมาคมการศึกษาแบบพิพัฒนาการ (ProgessiveEducation Association) (Kneller 1971 : 47) และนำแนวคิด ไปใช้ในโรงเรียนต่างๆแต่ก็ถูกจู่โจมตีจากฝ่ายปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยมภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปรัชญา การศึกษา สารัตถนิยมกลับมาได้รับความนิยมอีก จนสมาคมการศึกษาพิพัฒนาการนิยมต้องยุบเลิกไปแต่แนวคิดทาง การศึกษาปรัชญาพิพัฒนาการนิยมยังคงใช้ในสหรัฐอเมริกา ต่อมาได้รับความนิยมมากขึ้นและแพร่หลายไปยัง ประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย ปรั ช ญาการศึ กษาปฏิ ร ู ปนิ ยม (Reconstructionism)ในปี ค.ศ.1930 ได้ เกิ ดภาวะเศรษฐกิ จตกต่ ำ ใน สหรัฐอเมริกา เกิดปัญหาการว่างงาน คนไม่รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เกิดช่องว่างระหว่างชนชั้นในสังคม จึงมี นักคิดกลุ่มหนึ่งพยายามจะแก่ปัญหาสังคมโดยใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาสังคม ผู้นำของกลุ่มนักคิดกลุ่ม นี้ ได้ แก่ จอร์ จ เอส เค้ าทส์ (George S.Counts) ซึ ่ งมี ความเห็ นด้ วยกั บหลั กการประชาธิ ปไตย แต่ ต ้ องเป็ น ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และควรเห็นว่าโรงเรียนควรมีหน้าที่แก้ปัญหาเฉพาะอย่างของสังคมผู้ที่วางรากฐานและตั้ง ทฤษฎีปฏิรูปนิยม ได้แก่ ธีโอดอร์ บราเมลด์ (Theodore Brameld)ในปีค.ศ.1950 โดยได้เสนอปรัชญาการศึกษาเพื่อ ปฏิรูปสังคมและได้ตีพิมพ์ ลงในหนังสือหลายเล่ม ธีโอดอร์ บราเมลด์ จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของปรัชญา การศึกษาปฏิรูปนิยม ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนิยม (Existentialism) ปรัชญานี้เกิดขึ้นเนื่องจากความรู้สึกที่ว่ามนุษย์กำลังสูญเสีย ความเป็นตัวของตัวเอง การศึกษาที่มีอยู่ก็มีส่วนทำลายความเป็นมนุษย์ เพราะสอนให้ผู้เรียนอยู่ในกรอบของสังคมที่ จำกัดเสรีภาพความเป็นตัวของตัวเองให้ลดน้อยลงนอกจากนี้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยียังมีส่วนในการทำลายความ เป็นมนุษย์เพราะต้องพึ่งพามันมากเกินไปนั่นเองผู้ให้กำเนิดแนวความคิดใหม่ทางปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนิยม ได้แก่ ซอเร็น คีร์เคอร์การ์ด (Soren Kierkegard) นักปรัชญาชาวเดนมาร์ค เขาได้เสนอความคิดว่า ปรัชญาเป็นเรื่อง ส่วนตัวของแต่ละคน ดังนัน้ ทุกคนจึงควรสร้างปรัชญาของตนเองจากประสบการณ์ ไม่มีความ จริงนิรันดร์ให้ยดึ เหนี่ยวเป็นสรณะตัวตาย ความจริงที่แท้คือสภาพของมนุษย์ (Human condition)(กีรติ บุญเจือ 2522: 14 ) แนวคิด ของ คีร์เคอร์การ์ด มีผู้สนับสนุนอีกหลายคน ซึ่งเป็นคนร่วมสมัยในช่วงปี ค.ศ. 1950 – 1965 แต่ความพยายาม ที่จะ นำมาประยุกต์ใช้กับการศึกษาก็เป็นเวลาราว10 ปีต่อมาและผูร้ ิเริ่มนำมาใช้ทดลองในโรงเรียน คือ เอ เอส นีลล์ (A.S. Neil) โดยทดลองในโรงเรียนสาธิตและโรงเรียนซัมเมอร์ฮิลล์

8

ปรัชญาการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 กับปรัช ญาการศึกษา ปัญหาของวิกฤติการณ์ทาง เศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครอง และความเจริญทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ส่งผลต่อการจัดการศึกษา ของไทยเป็ น อย่ า งยิ ่ ง เพราะการจั ด การศึ ก ษาสามารถที ่ จ ะขจั ด ปั ญ หาต่ า ง ๆ ไป ได้ จึ ง ได้ ม ี ก ารตรา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ขึ้น และได้มีการปฏิรูปการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้บรรจุมาตราต่าง ๆ เพื่อกำหนดเงื่อนไขในการ เปลี่ยนแปลง 5 แนวทาง ได้แก่ 1. การปฏิรูปกระบวนการเรียนการสอน-การประเมินผล 2. การปฏิรูปการฝึกอบรมครู และระบบการพัฒนาครู การใช้ครู 3. ปฏิรูประบบการบริหารจัดการ 4. ปรับระบบการศึกษา 5. ยุทธศาสตร์ของการระดมสรรพกำลังจากทุก ๆ ส่ว นของสังคม ให้เข้ามามีส ่ว นร่ว มในการจั ด การศึกษาให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ปรัชญาการศึกษามีความสำคัญต่อการปฏิรูปการศึกษาเป็นอย่างมาก เพราะมีการศึกษาที่ใดย่อมมีการ นำปรัชญาการศึกษาไปใช้ที่นั่น เช่นเดียวกัน ที่ใดมีปรัชญาการศึกษาที่นั่นย่อมมีการจัดการศึกษา โดยคำนึงถึง องค์ประกอบต่าง ๆ ในการเรียนการสอน เพื่อใช้เป็นแนวทาง เป็นหลักการและเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบ ปรัชญาการศึกษาที่น ำมาศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับพระราชบัญญัติ พ.ศ. 2542 พอจะสรุปเนื้ อ หา ความสำคัญของปรัชญาดังต่อไปนี้ ปรั ช ญาการศึ ก ษาสารั ต ถนิ ย ม (essentialism)เน้ น เนื ้ อ หาสาระและความสำคั ญ ของมรดกทาง วัฒนธรรมของสังคมที่ได้รับการยอมรับและปฏิบัติกันในสังคมจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางในการดำเนิน ชีวิตของประชาชนในสังคม โดยมีจุดมุ่งหมายดังนี้ 1. เพื่อทะนุบำรุง และถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมไปสู่ชนรุ่นหลัง มิให้สูญหาย หรือถูกทำลายไป 2. เพื่อให้การศึกษาในสิ่งที่เป็นเนื้อหาสาระอันได้จากมรดกทางวัฒนธรรม 3. เพื่อให้การศึกษาในเรื่องของความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยมของสังคมในอดีต 4. เพื่อฝึกฝนให้ผู้เรียนมีความขยันหมั่นเพียรในการศึกษาเล่าเรียนและการทำงาน 5. เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนมีพัฒนาการทางปัญญา 6. เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนมีระเบียบวินัยในตนเอง และรู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น

9

ปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม (perennialism) จุดมุ่งหมายของปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยมอยู่ที่ การสร้างคนให้เป็นคนที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง ปลูกฝังความเชื่อและค่านิยมที่ดีแก่ผู้เรียน มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนมีเหตุผลยิ่งขึ้น รู้จักและเข้าใจตนเอง พร้อมทั้ง เห็นว่าตัวเองนั้นมีพลังธรรมชาติอยู่ ภายในแล้ว การศึกษาก็คือการส่งเสริมให้พลังธรรมชาตินั้นพัฒนาเต็มที่ พลังธรรมชาติในที่นี้ก็คือ สติปัญญาของมนุษย์ ถ้าสติปัญญาได้รับการขัดเกลาและพัฒนาอย่างดีพอ มนุษย์ก็จะ ทำอะไรได้อย่างมีเหตุผลเสมอ จุดหมายของการศึกษาของทฤษฎีการศึกษานิรันตรนิยมกล่าวไว้ดังนี้ คือ 1. มุ่งให้ผู้เรียนรู้จักและทำความเข้าใจกับตนเองให้มากที่สุด โดยเฉพาะในเรื่องเหตุผลและสติปัญญา 2. มุ่งให้ผู้เรียนพัฒนาสติปัญญาและเหตุผลในตัวมนุษย์ให้ดีขึ้น สูงขึ้นเพื่อเป็นคนที่สมบูรณ์ ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม(progressivism) แนวคิดหลักการของการศึกษาแบบพิพัฒนาการนิยมนี้ ก็คือการศึกษาจะต้องพัฒนาเด็กทุก ๆ ด้านไม่ เฉพาะสติปัญญาเท่านั้น โรงเรียนมีความสัมพันธ์กับสังคมมากขึ้น เด็กจะต้องพร้อมที่จะไปอยู่ในสังคมได้อย่างมี ความสุข ปรับตัวได้อย่างดี กระบวนการเรียนการสอนจึงมีความสำคัญ พอ ๆ กับเนื้อหา เรื่องของปัจจุบันมี ความสำคัญกว่าอดีตหรืออนาคต จุดมุ่งหมายของการศึกษา การศึ กษาตามปรัชญาพิพัฒนาการนิยมนี้ เกิดขึ้น เพื่อต้านแนวคิดและวิธีการเก่าของการศึกษาที่เน้นแต่เพี ยงคุณสมบัติด้านใดด้านหนึ่ง เพราะคิดว่าด้านนั้น สำคัญกว่าดังที่สารัตถนิยมเน้นความสามารถทางการจำและเข้าใจ และมองว่าการศึกษาจะต้องให้การศึกษาทุก ด้าน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา ควบคู่กันไป ความสนใจ ความถนัด และลักษณะพิเศษของ ผู้เรียนควรได้รับความสนใจและได้รับการส่งเสริมให้มากที่สุดส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย ทั้งในและนอก ห้องเรียน และส่งเสริมให้ผู้เรียนได้รู้จักตนเองและสังคม เพื่อผู้เรียนจะได้ปรับตัวเข้ากับสังคมได้อย่างมีความสุข ไม่ว่าสังคมจะเปลี่ยนไปอย่างใดก็ตาม ผู้เรียนจะต้องรู้จักแก้ปัญหาได้ ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม(reconsteuctionism) ปรัชญาการศึกษาในแนวนี้เห็นว่า ปัจจุบัน(รวมทั้งอนาคต) สังคมมีปัญหามากทั้งในด้านของเศรษฐกิจ การเมือง ศิลปวัฒนธรรม ทั้ง ในระดับท้องถิ่นและระดับโลก สังคมจึงต้องการการแก้ปัญหาและหาทางที่จะ สร้างค่านิยมและแบบแผนของสังคมขึ้นใหม่ การที่จะแก้ปั ญหาและสร้างค่านิยมขึ้นใหม่นี้ การศึกษาจะต้องมี บทบาทอย่างสำคัญซึ่งความเชื่อและหลักการสำคัญของทฤษฎีการศึกษาปฏิรูปนิยมในด้านจุดมุ่งหมายหลักของ การศึกษาในแนวทางนี้คือการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อปรับปรุง พัฒนาและสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ดีและเหมาะสม กว่าขึ้นมาให้ได้ ดังจะกล่าวเป็นรายละเอียดได้คือ 1. การศึกษาจะต้องช่วยแก้ปัญหาของสังคมที่เป็นอยู่ 2. การศึกษาต้องเป็นไปเพื่อส่งเสริมและพัฒนาสังคมโดยตรง 3. การศึกษาจะต้องมุ่งสร้างระเบียบใหม่ของสังคมจากพื้นฐานเดิมที่มีอยู่ 4. ระเบียบใหม่ที่สร้างขึ้นรวมทั้งวิธีสร้างต้องอยู่บนพื้นฐานของประชาธิไตย 5. การศึกษาจะต้องให้เด็กเห็นความสำคัญของสังคมคู่ไปกับตนเอง

10

ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนิยม(existentialism) เชื่อว่ามนุษย์มีศักยภาพในทางที่จะเป็นตัวของตัวเองตลอดเวลานักปรัชญากลุ่มนี้สนใจเกี่ยวกับโลกแห่งการ ดำรงชีวิตอยู่ได้(A World of Existing) เชื่อว่า คนคือความไม่แน่นอน ไม่มีแก่นสารความจริงหรือความรู้ควรจะเป็น เรื่องที่ช่วยให้ตนเองดำรงชีวิตอยู่ได้ จริยศาสตร์ควรจะเป็นเรื่องของเสรีภาพและความสมัครใจสุนทรียศาสตร์ควรจะ เป็นเรื่องของการปฏิวัติหรือหนีสังคมและไม่จำเป็นต้องตรงกับความพอใจของประชาชนส่วนใหญ่ กลุ่มนี้เชื่อว่ามนุษย์ มีความเป็นอิสระมีเสรีภาพในการเลือกในการกระทำมนุษย์ตัดสินใจด้วยตนเองเลือกด้วยตนเองและรับผิดชอบต่อการ กระทำของตนเองลัทธินี้มีความสัมพันธ์กับปรัชญาด้านต่าง ๆ คือเชื่อว่า ความจริงคือการดำรงอยู่ของชีวิต ไม่เห็น ด้วยกับความสมบูรณ์แท้จริงที่สุดของการให้เหตุผลหรือตรรกวิทยาบริสุทธิ์ ลัทธินี้เน้นถึงชีวิตและประสบการณ์ของ เอกัตบุคคล เชื่อว่ามนุษย์จะดีก็อยู่ที่การเลือกที่จะทำตนให้เป็นเช่นนั้น นักปรัชญาในกลุ่มนี้บางคนก็เชื่อว่าไม่มีพระ เจ้า แต่บางคนเชื่อว่า มีพระเจ้าเป็นผู้ช่วยมนุษย์ให้มีศีลธรรมจรรยาดี เชื่อว่าความจริงคือ ความรู้จะช่วยให้ดำรงชีวิต อยู่ได้ และถือว่าความรู้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแก่แต่ละบุคคล ความรู้ไม่ใช่ ผลบั้นปลายอันต้องประสงค์ และก็ ไม่ใช่มรรคอันจำจะต้องเรียนรู้เพื่อเตรียมตัวไปเผชิญกับชีวิตจริง หากความรู้เป็นมรรควิธีจะให้แต่ละคนเจริญเติบโต และเลือกทำในสิ่งที่ตนประสงค์ยิ่งขึ้นทุกที ปรัชญาการศึกษาพุทธปรัชญา (Buddhism) เป็นปรัชญาที่เชื่อว่า การศึกษาคือการพัฒนาบุคคลให้ถึงพร้อมด้วยปัญญา และดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้ อย่างมีความสุขตลอดจนรู้จักแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปรัชญาสารัตถนิยม (Essentialism) หมายถึง ปรัชญาที่ยึดเนื้อหาเป็นหลักสำคัญของการศึกษาเริ่มก่อตั้งตั้งแต่ปี ค.ศ.1930 เป็นการรวมตัวของ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยซึ่งมี วิลเลียม ซี แบ็กเลย์ เป็นบุคคลสำคัญในการก่อตั้ง มาจากภาษาละตินว่า Essentia หมายถึง สาระ หรือ เนื้อหาที่เป็นหลัก เป็นแก่น เป็นสิ่งสำคัญปรัชญาสารัตถนิยม ในทางการศึกษา คือปรัชญาที่ยึด เนื้อหา (Subject Matter) เป็นหลักสำคัญของการศึกษา และเนื้อหาที่สำคัญนั้นก็ต้องเน้นเนื้อหาที่ได้มาจากมรดก ทางวัฒนธรรมที่ควรได้รับการถ่ายทอดต่อไป สารัตถนิยม เป็นการหล่อหลอมความคิด ของจิตนิยม (Idealism) และ สัจนิยม (Realism) มีชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น สาระนิยม สารวาส ลัทธิจิตนิยม หรือ คตินิยม (Idealism)เชื่อว่า ความเป็นจริง (Reality) เป็นความนึกคิด (Mind) และเป็นจิตรภาพ (Idea) หรือ แบบ (From) ที่มีอยู่ในจินตนาการของเรา โลกแห่งความเป็นจริงอันสูงสุด (Ultimate reality) จึงเป็นโลกแห่งจินตนาการ (A world of mind) จากพื้นฐานความจริงนี้ จึงเชื่อต่อไปว่า การล่วงรู้ ความจริงได้ต้องอาศัยจิต (Mind) อาศัยปัญญา(Intellect) เพื่อเข้าถึงความเป็นจริงที่มีอยู่ในจิตรภาพ(Idea) คือ เราใช้ ปัญญาและความคิดในการรับรู้ความจริงเมื่อปัญญาล่วงรู้สิ่งที่เป็นจริงแล้วก็หมายถึงเรามี“ความรู้” Plato เป็นบิดา แห่งปรัชญาสาขาจิตนิยมที่ถือว่าเก่าแก่ที่สุดและตรงกับปรัชญาจิตนิยมใหม่ ในทัศนะของ Kant ซึ่งเห็นว่า การรู้นั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วน คือ 1. การรับรู้ (Percepts) คือ การได้รับข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุต่าง ๆ มาโดยผัสสะ 2. การเข้าใจ หรือสัญชาน (Concept) คือ ความนึกคิดที่เกิดขึ้นในจิตของเรา ความเข้าใจนั้นต้องอาศัยการ รับรู้ในการป้อนข้อมูลต่าง ๆจากผัสสะ

11

หลักการสำคัญตามแนวคิดของปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม 1. การเรียนรู้ เกิดขึ้นได้จากการทำงานหนักและนำไปประยุกต์ใช้ได้ ความมีระเบียบวินัย เคร่งครัดเป็น สิ่งสำคัญ ปลูกฝั่งให้เด็กเกิดความมานะ พยายาม ต้องอุทิศตนเพื่อจุดหมายปลายทางในอนาคต 2. การริเริ่มทางการศึกษา ควรเริ่มต้ นที่ครู ครูเป็นผู้นำในการเรียน และสร้างพัฒนาการให้กับเด็ก ทำ หน้าที่เชื่อมโยงโลกของผู้ใหญ่กับโลกของเด็กเข้าด้วยกัน 3. หัวใจสำคัญของการศึกษา คือ การเรียนรู้เนื้อหาวิชามาเชื่อมโยงกัน การศึกษาช่วยให้เอกัตบุคคล ตระหนักในศักยภาพของตน ความรู้และประสบการณ์ที่เป็นมรดกตกทอดเป็นสิ่งที่ดีงามและถูกต้อง เน้นความสำคัญของ “ประสบการณ์ของเชื้อชาติ” 4. โรงเรียนควรรักษาวิธีการดั้งเดิมที่ใช้ระเบียบวิ นัยและการอบรมจิตใจเป็นสิ่งที่ส่งเสริมการเรีย นรู้ การ สอนเด็กให้เกิดการเรียนรู้ ควรสอนให้เข้าใจในสาระสำคัญ แม้ว่าจะต้องมีการปรับให้สอดคล้องกับ ความต้องการของเด็ก แนวคิดทางการศึกษาของสารัตถนิยม จุดมุ่งหมายทางการศึกษา 1. ให้การศึกษาในสิ่งที่เป็นเนื้อหา สาระ (Essential subject – matter) อันได้จากมรดกทางวัฒนธรรม โดยการรักษาและถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลัง 2. ให้การศึกษาเพื่อการเรียนรู้ในเรื่องของความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยมของสังคมในอดีต 3. ธำรงรักษาสิ่งที่ดีงามต่าง ๆ ในอดีตเอาไว้ 4. มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้มีระเบียบวินัย มีปัญญา และรักษาอุดมคติอันดีงามของสังคมไว้ หลักสูตร เป็นหลักสูตรที่เน้นเนื้อหา (Subject – matter Oriented) เป็นหลักสำคัญ โดยยึดประสบการณ์ของเชื้อ ชาติ หรือมรดกทางวัฒนธรรมเป็นหลัก ได้รับการจัดไว้อย่างเป็นระบบต่อเนื่องตามขั้นตอนความยากง่าย จะ ช่ว ยเพิ่มประสิทธิ ภ าพในการเรี ย นการสอน วิช าพื้นฐาน เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ ตรรกวิทยา ศิลปะ ดนตรี ภาษาและวรรณคดี โดยมีการผสมผสานกันเพื่อช่วยเพิ่มทักษะในการอ่าน การเขียน การคิดและจินตนาการให้ตัวผู้เรียน หลักสูตรจะต้องสอดคล้องกับวุฒิภาวะของผู้เรียน กระบวนการเรียนการสอน 1. การเรียนการสอนจะเน้นการบรรยายเป็นหลัก โดยมีศิลปะของการถ่ายทอดความรู้เป็นสำคัญ 2. มีหลักการอบรมจิตใจ และถ่ายทอดค่านิยมเพื่อสร้างนิสัยที่ดีงามให้เกิดแก่ผู้เรียน 3. กระบวนการเรียนการสอนจะมี “ครู” เป็นผู้มีบทบาทสำคัญเป็นศูนย์กลาง 4. การเรียนการสอนคำนึงถึงความสามารถ ความสนใจ และจุดหมายของผู้เรียนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้

12

ผู้สอน 1. ผู้สอนหรือครู ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ดี มีความประพฤติดี มีศีลธรรม เป็นแบบอย่างที่ดี และเป็น ศูนย์กลางของห้องเรียน 2. ผู้สอนควรต้องเป็นผู้มีทักษะ เทคนิควิธี ที่จะโน้มน้าวให้นักเรียนเห็นคุณค่าของการเรียนรู้ 3. ผู้สอนต้องเสริมสร้างความสนใจและเป้าหมายในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน 4. ผู้สอนมีบทบาทสำคัญในอันที่จะกำหนด หรือตัดสินใจในกิจกรรมทางการเรียนรู้ ผู้เรียน 1. ผู้เรียนเป็นผู้รับ ผู้ฟัง และทำความเข้าใจในเนื้อหาต่าง ๆ ที่ครูกำหนด 2. ผูเ้ รียนเป็นผู้เรียนรู้ เป็นผู้สืบทอดค่านิยม และมรดกทางวัฒนธรรมไว้และถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังต่อไป 3. ผูเ้ รียนต้องเป็นผู้ที่มีความพยายาม อดทน และเป็นผู้มีระเบียบวินัย โรงเรียน 1. มีจุดมุ่งหมาย เพื่อสงวน รักษา และประเมินคุณค่ามรดกทางวัฒนธรรม 2. ทำหน้าที่ฝึกฝน อบรมทางปัญญาให้แก่เยาวชน เพื่อให้ ผู้เรียนได้เรียนรู้ เข้าใจเรื่องราวหรือมรดกทาง สังคม 3. เป็นสถาบันเพื่อความมั่นคง ความเป็นระเบียบของสังคมแต่ไม่เป็นผู้นำของสังคม 4. ช่วยสงวนรักษาความดีงาม คุณค่า และวัฒนธรรมของสังคมให้ประณีต สมบูรณ์ขึ้นและถ่ายทอดให้คน รุ่นใหม่รับช่วงต่อไป 5. ให้ผู้เรียนรู้กฎเกณฑ์ ระเบียบ ประเพณีและวัฒนธรรมของสังคม ผู้บริหาร 1. มีลักษณะแบบรวมอำนาจ คือ ผู้บริหารตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว 2. มีลักษณะยึดกฎระเบียบ ยึดกฎหมายเป็นสำคัญ 3. มีลักษณะยึดแบบอย่าง ยึดมาตรฐาน ยึดระเบียบวินัย 4. มีการบริหารจัดการเรื่องการเรียนรู้ไปในทางเดียวกัน คือระบบบริหารเป็นแบบสั่งงาน (Bureaucratic Model) การวัดผลประเมินผล 1. เชื่อว่าความรู้ที่แท้จริงอยู่ภายนอกตัวผู้เรียน สามารถรับรู้ด้วยจิต 2. การได้มาซึ่งความรู้นั้นเป็นการรับมาโดยกระบวนการถ่ายทอด จดจำ 3. ใช้วิธีการทดสอบความจำในเนื้อหาวิชาที่ได้เรียนมา 4. ประเมินผู้เรียนทางด้านทฤษฎี(วิชาการ)เป็นสำคัญ

13

สรุปแนวคิดปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม 1. มุ่งเพื่ออนุรักษ์ และสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมที่ดีงามของสังคมไทยให้แก่คนรุ่นหลัง 2. หลักสูตรประกอบด้วยเนื้อหาสาระ การฝึกฝนทักษะ ค่านิยม ความเชื่อ และความรู้พื้นฐานของสังคม 3. ผู้สอนเป็นผู้กำหนดตัดสิน คัดเลือกสิ่ง ที่เห็นว่าผู้เรียนควรจะเรียน ผู้เรียนจะเป็นผู้รับ ผู้ฟัง ฝึกฝน ตนเองให้เกิดความเข้าใจ และเชี่ยวชาญในสิ่งที่เรียน 4. การเรียนการสอนใช้วิธีการเรียนรู้จากครูและตำรา 5. เน้นการบรรยาย ซักถามเพื่อให้เกิดความเข้าใจเนื้อหามากกว่าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม (Progressivism) ปรั ช ญาการศึ ก ษาพิ พ ั ฒ นาการนิ ย ม (Progressivism) มี ร ายชื ่ อ เรี ย กเป็ น หลายอย่ า งเช่ น อุ ป กรณ์ น ิ ย ม (Instrumentalism) ประสบการณ์นิยม ( Experimentalism) นอกจากนี้ตำราบางเล่มก็เรียกว่า อนุกรรมวาท หรือก้าวหน้านิยม การศึกษาแผนใหม่ ( New Education) เป็นต้น ปรัชญาการศึกษาลัทธินี้เป็นปรัช ญา การศึกษาที่ แพร่หลายและเป็นที่กล่าวถึงทั่วโลกมากที่สุดลัทธิหนึ่ง แนวความคิดและการปฏิบัติทางการศึกษา ก็มีแตกต่างกันไปประเทศสหรัฐอเมริกาเองซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของปรัชญาการศึกษาลัทธินี้ความคิดก็ยังไม่ ลง รอยกันในทุกเรื่อง ยิ่งเมื่อมีผู้นำทัศนะนี้ไปปนกับการเคลื่อนไหวของการศึกษาแบบพิพัฒนาการยิ่งทำให้เกิด ความสับสนมากยิ่งขึ้น ความหมายของปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม ความหมายของคำพิพัฒนาการนิยม (Progressivism) คำพิพัฒนาการนิยม (ประกอบด้วยคำ Progressive + ism ) บางแห่งใช้คำว่าพิพัฒนนิยม ในที่นี้ขอใช้ คำพิพัฒนาการนิยม และถือว่าทั้งคำพิพัฒนาการนิยม และพิพัฒนนิยม มีความหมายอย่างเดียวกันคือเป็นที่ แปลมาจากคำ Progressivism ด้วยกันทั้งสองคำ ซึ่งเป็นคนสำหรับเรียกชื่อลัทธิปรัชญาที่มีลักษณะเป็นแนวคิด แบบก้าวหน้า (Progressive viewpoint) (พิพัฒนนิยม) Progressivism หรือ การศึกษาแบบพิพัฒนาการถือว่า ได้มองการศึกษาในฐานะเป็น กระบวนการถ่ายทอดวัฒนธรรม (Gultural Transmission) ก็คือหนทางก้าวหน้าไปสู่วัฒนธรรม ( progressive Road to Culture) ตามทฤษฎีก็คือ การศึกษาที่มุ่งทางด้านความเปลี่ยนแปลง ความหมายโดยรวม คือ พิพัฒนาการ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่ไม่หยุดนิ่ง การจัดการศึกษาต้องปรับปรุงให้มีความสอดคล้องกันกับความเปลี่ยนแปลง จึงได้ชื่อว่า “แนวทางแห่ง ความอิสระที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง วัฒนธรรม และสังคม”

14

แนวคิดพื้นฐานและความเป็นมาของปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม แนวความคิดทางการศึกษาแบบพิพัฒนาการนิยม หรือ Progressivism มีรากฐานจากปรัชญาบริสุทธิ์ ลัทธิประจักษ์วาทเป็นต้น ปรัชญาการศึกษาลัทธิแพร่หลายที่สุด จนถึงปัจจุบัน มีแนวคิดเช่นเดียวกับปรัชญาปฏิบัตินิยม เชื่อว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอตามกาลเวลาและสิ่งแวดล้อม (เปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งแวดล้อม) องค์ประกอบที่มีอิทธิพลสูงสุดในการกำหนดรูปแบบของวัฒนธรรม และสั งคม เช่น การค้นคว้า ทดลอง เพื่อประสบการณ์ของมนุษย์ที่เกิดมาจากผัสสะ เพราะฉะนั้นมนุษย์จะเน้นความสำคัญและคุณค่าของ แต่ละบุคคลให้มาก การศึกษาต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการณ์ไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิม ก่อให้เกิดการปรับปรุงและ พัฒนาด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่อง Continuous Improvement ( การปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง) วิวัฒนาการของปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม วิวัฒนาการของพิพัฒนาการนิยม เมื่อกล่าวถึงลัทธิพัฒนาการนิยมในฐานะที่เป็นปรัชญาการศึกษา หรือปรัช ญาของโรงเรีย นแผนใหม่แล้ว วิว ัฒ นาการของปรัช ญาการศึกษาลัทธิพิพัฒ นาการนิยม หรือ วิวัฒนาการของโรงเรียนแผนใหม่ มีสาระสำคัญดังนี้ จอห์น ดิวอี้ กล่าวยืนยันว่า พันเอก ฟรานซิส ปาร์คเก้อร (Colonel Francis Parker) คือบิดาของ การศึกษาแบบพิพัฒนาการ เพราะเหตุว่า พันเอกฟรานซิส ปาร์คเก้อร เป็นผู้เสนอให้มีการปฏิรูประบบ โรงเรียนเสียใหม่ เมื่อปี ค.ศ. ๑๘๗๐ เพราะเขามีความเห็นว่าระบบโรงเรียนแบบเก่า (Traditional School or Conventional School) นั้น ไม่เหมาะสมกับสภาพของสังคมชาวอเมริกันในขณะนั้น เนื่องด้วยระบบ โรงเรียนแบบเก่าเข้มงวดในเรื่องระเบียบแบบแผน ประเพณี ระเบียบวินัย มากเกินไป ทำให้เกิดบรรยากาศ การเรียนเฉื่อยชา และปรากฏว่าโรงเรียนบางแห่งจัดการศึกษาแบบตามสบายคือไม่มีจุดยืนที่แน่นอน สแตนวู๊ด คอบบ์ (Stanwood Cobb) ได้จัดตั้งสมาคมการศึกษาแบบพิพัฒนาการ (The Progressive Education Association) ขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๑๙ และนับตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา ปรัชญาการศึกษาแบบพิพัฒนาการก็เป็นที่รู้จักและยอมรับกันอย่างแพร่หลาย ช่วงเวลาที่ปรัชญาการศึกษา ลัทธิพิพัฒนาการนิยม มีอิทธิพลและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้แก่ช่วง ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๒๐ – ๑๙๕๐ ความคิดพื้นฐานบางประการของการศึกษาพิพัฒนาการ พื้นฐานหรือรากฐาน (Foundations) ที่สำคัญๆ ของการศึกษาแบบพิพัฒนาการมีอยู่ ๕ ประการคือ 1. พื้นฐานทางปรัชญา 2. พื้นฐานทางจิตวิทยา 3. พื้นฐานทางสังคมวิทยา 4. พื้นฐานทางประวัติศาสตร์ 5. พื้นฐานทางเทคโนโลยี

15

การวิเคราะห์แนวคิดของปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการ พิพัฒนาการนิยม (Progressivism) ยึดหลักประสบการณ์นิยม (Experimentalism) เป็นหลัก เชื่อว่า นักเรียนเรียนรู้ได้โดยอาศัยประสบการณ์แ ละการกระทำจริง ๆ ครูจึงมีหน้าที่จัดเตรียมประสบการณ์ที่ดีและ เหมาะสมให้นักเรียนเพื่อให้เขาได้รับประสบการณ์และมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของสังคม การเรียนการ สอนจะทำในลักษณะการกำหนดปัญหาให้นักเรียนหาทางแก้ เพื่อฝึกให้ผู้เรียนสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ อย่างมรประสิทธิภาพ ในบางแห่งได้ก้าวหน้าไปถึงขั้นให้โรงเรียนและนักเรียนเป็นผู้นำในการปรับปรุงและ พัฒนาสังคมไปในทางที่ต้องการ กลายเป็นลัทธิใหม่เรียกว่า ปฏิรูปนิยม หลักของปรัชญาพิพัฒนาการ 1. ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง ถ้าเด็กเป็นฝ่ายกระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วมและริเริ่มกิจกรรมการเรียนรู้ ครูเป็น ผู้คอยแนะนำและจัดเตรียมประสบการณ์ ไม่เน้นเนื้อหาวิชา แต่มุ่งให้เด็กพัฒนาทั้ง ทางร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา 2. เน้นการทดลอง และการปฏิบัติจริง โดยเฉพาะการฝึกแก้ปัญหา 3. ถือว่าการศึกษาคือ ชีวิต เป็นการพัฒนาเด็กในทุกด้าน มุ่งให้เด็กเกิดความเจริญงอกงาม และเพิ่มพูน สติปัญญาสำหรับการดำเนินชีวิต 4. เน้นการร่วมมือมากกว่าการแข่งขัน เน้นความรับผิดชอบ 5. มุ่งเสริมวิถีทางประชาธิปไตย สอนให้นักเรียนรู้จักทำงานเป็นหมู่คณะ รู้จักเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี ฝึก ให้รู้จักแสดงความคิดเห็น การจัดชั้นเรียนคละกันทั้งเด็กเก่งและเด็กอ่อน ตามสภาพที่เป็นจริงของ สังคมภายนอกให้เรียนรู้การทำงานเป็นกลุ่มและการร่วมมือกัน รู้จั กแก้ปัญหาหรือทำกิจกรรม โต๊ะ เก้าอี้ สามารถเคลื่อนย้ายได้ตามความเหมาะสมกับสภาพการเรียนการสอน แม้แต่ตารางสอนก็จัด แบบยืดหยุ่นได้ มุ่งที่ความสนใจของผู้เรียนเป็นสำคัญ เนื้อที่เรียนต้องนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงได้ ดังคำกล่าวที่ว่า การศึกษาคือชีวิต จึงควรให้โอกาสแก่เด็กทุกคนได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน หลักการสำคัญของทฤษฎีการศึกษาตามแนวคิดฝ่ายพิพัฒนาการนิยม หลักการสำคัญของทฤษฎีการศึกษาตามแนวคิดฝ่ายพิพัฒนาการนิยม โดยสรุปแล้ว ก็พอจะนำมา กล่าวได้ดังนี้ 1. การศึกษา คือ ชีวิต ไม่ใช่เป็นการเตรียมตัวเพื่อชีวิต หมายความว่า การที่จะมีชีวิตอยู่อย่างชาญ ฉลาดนั้นจะต้องอาศัย การเข้าใจความหมายของประสบการณ์ ฉะนั้น เด็กจึงควรจะได้เรียนรู้ในการสิ่ง ที่ เหมาะสมแก่วัยของเขา และสิ่งที่จัดให้เด็กเรียนนั้น ควรจะเป็นไปในทางที่ก่อให้เกิดประสบการณ์ ที่เด็ก อาจจะต้องประสบเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ เรียนรู้เพื่อให้สามารถเข้าใจปัญหาของชีวิตและสังคมในปัจจุบัน และ หาทางปรับตัวให้เข้าภาวะที่เป็นจริงในปัจจุบัน

16

2. การเรียนควรจะเรียนในสิ่งที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับความสนใจของเด็ก ดังนั้น แนวคิดของฝ่าย พิพัฒนาการนิยมจึงถือว่า เด็กเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการเรียน ดร.คีลแพทริค จึงสนับสนุนให้จัดโรงเรียน แบบยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง ซึ่งกระบวนการเรียนนั้นจะเป็นไปตามแนวทางที่เด็กแต่ละคนสนใจ ทั้งนี้ ไม่ได้ หมายความว่าครูจะปล่อยให้เด็กเลือกเรียนอะไร ๆ ก็ได้ตามความปรารถนาของตนไปเสียทุกอย่าง ถ้าหากเด็ก ยังไม่โตพอที่เข้าใจในจุดมุ่งหมายอันสำคัญแห่งชีวิตได้ ครูก็ย่อมจะต้องช่วยแนะนำ เด็กนั้นย่อมต้องการแนะ แนวทางจากครู เพราะครูเป็นผู้มีประสบการณ์มามากกว่า 3. การเรียนโดยวิธีแก้ปัญหาย่อมจะมีความสำคัญกว่าการเรียนโดยวิธีท่องจำเนื้อหาวิชา ฝ่ายพิพัฒนาการ นิยมคัดค้านวิธีการเรียนรู้ โดยการยัดเยียดความรู้ซึ่งเป็นนามธรรมเข้าไปในจิตใจและความจำของเด็ก และ เห็นว่าความรู้นั้นเป็นเพีย งเครื่องมือที่จ ะช่วยให้เด็กมีประสบการณ์เท่านั้นประสบการณ์ย่อมเป็นสิ่ง ที่ มี ความสำคัญกว่า การจะให้เ ด็กมีประสบการณ์ในเรื่องใด ๆ ย่อมต้องอาศัยวิธีการแก้ปัญหา ในการเรียนวิชา ต่าง ๆ นั้น แทนที่จะสอนในเนื้อหาวิชาจึงเป็นการนำเนื้อหาวิชาเหล่านั้นมาสร้างเป็นปัญหา ซึ่งจะเป็นปัญหา ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสังคมปัจจุบัน เช่น ปัญหาสุขภาพ ปัญหาการคมนาคม การขนส่ง ปัญหาเกี่ ยวกับการค้าและ เศรษฐกิจ เป็นต้น 4. บทบาทของครูนั้นไม่ใช่เป็นผู้บงการหรือออกคำสั่ง แต่จะทำหน้าที่ในการให้คำแนะนำและคำปรึกษา ในลักษณะเช่นนี้เด็กจะเป็นผู้กำหนดว่าตนเองต้องการอะไร มีแผนการในการเรียนอย่างไร ต้องการประสบ ความสำเร็จในด้านใด จากการที่ได้ ทราบความต้องการของเด็กเช่นนี้ ครูก็จะคอยเป็นผู้ให้คำปรึกษาและ แนะนำ การที่จะทำเช่นนี้อย่างได้ผล ครูจะต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ของตนมาใช้เป็นประโยชน์ใน การให้คำแนะนำ โรงเรียนควรจะส่งเสริมให้เด็กเกิดความร่วมมือ ไม่ใช่ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขัน มนุษย์ นั้น โดยธรรมชาติย่อมจะไม่อยู่โดดเดี่ยว หากแต่จะอยู่กันเป็นหมู่คณะที่เรียกว่าสังคม และความพอใจสูงสุดของ มนุษย์นั้น ก็ได้มาจากการที่ได้มีความสัมพันธ์และการพึ่งพาซึ่งกันและกัน นักการศึกษาฝ่ายพิพัฒนาการนิยม จึงเชื่อว่า ความรักก็ดี การช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกั นและกันก็ดี จะเป็นสิ่งที่เหมาะที่ควรยิ่งกว่าการแข่งขัน เพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์ส่วนตน ดังนั้น การศึกษาในฐานะที่เป็นปัจจัยในการสร้างสรรค์ประสบการณ์ จึง เป็นเครื่องมือสร้างสรรค์ธรรมชาติของมนุษย์เพื่อให้อยู่ในสังคมอย่างเป็นสุขนั่นก็คือ ให้มนุษย์รู้จักร่วมมือกัน วิถีทางแบบประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะส่งเสริมให้เกิดมีความสัมพันธ์กันทางแนวความคิดและบุคลิกภาพอย่าง เสรี ซึ่งสิ่งนี้เองคือลักษณะที่จ ำเป็น สำหรับพัฒ นาการที่ ถูกต้ อง นั่นก็คือ หลักการข้อ ๕ กับข้อ ๖ มี ความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ตามความเห็นของฝ่ายพิพัฒนาการนิยมนั้นเห็นว่าประชาธิปไตยก็คือการมีความ ร่วมมือใจกันนั่นเอง ถ้าจะพูดกันอย่างเป็นอุดมการณ์แล้ว “ประชาธิปไตย” ก็คือ “การมีประสบการณ์ ร่วมกัน” ดังที่จอห์น ดิวอี้ กล่าวว่า “ประชาธิปไตยนั้นมีความหมายกว้างกว่าที่จะหมายถึงรูปแบบของการ ปกครองระบอบหนึ่งเท่านั้น ความหมายในขั้นพื้ นฐานนั้นหมายถึงแนวทางอยู่ร่วมกัน การมีประสบการณ์ ร่วมกัน” ดังนั้น คำว่า “ประชาธิปไตย” “พัฒนาการ” (Growth) และ “การศึกษา” จึงมีความสัมพันธ์กัน อย่างแนบแน่น

17

การนำลัทธิปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยมไปใช้กับการศึกษา ก่อนสงครามโลกครั้ งที่ ๒ วิชาครูหรือวิชาศึกษาศาสตร์ในโรงเรียนฝึกหัดครู หรือในแผนกฝึกหัดตรู มัธยมของมหาวิทยาลัย ยังเป็นแบบ Traditional, คือยังยึด “การสอนตามขั้นทั้ง ๕ ของ Herbart” อยู่ เมื่อ นักเรียนฝึกหัดครูเหล่านั้นออกทำการฝึกสอนตามโรงเรียนต่าง ๆ ก็ต้องเตรียมการสอนตามแบบของ Herbart ทั้งสิ้น ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ประเทศไทยถูกภัยสงครามมาก ทุก ๆ อย่างชะงักงันไปหมดจึงไม่อาจจะ มีอะไรเปลี่ยนแปลงในวงวิชาครูได้ ใน พ.ศ. ๒๔๘๘ (๑๙๔๕) สงครามโลกดังกล่าวสงบลง แต่กว่าทุกสิ่งทุกอย่างโดยเฉพาะการศึกษาจะ เข้ารูปเข้ารอยเดิม ก็กิน เวลาอยู่บ้าง ในระยะ ๑ – ๒ ปี หลังสงคราม นักเรียนไทยที่เรียนวิชาศึกษาศาสตร์ที่ เอมริกา และติดสงครามอยู่นั้นก็เริ่มทยอยกลับมาบ้าง แต่ก็จำนวนน้อย เพราะคนที่เรียนวิชาศึกษาศาสตร์ใน สมัยนั้นมีน้อยมาก อาชีพครูยังเป็นอาชีพที่ต่ำต้อยเกินควร นอกจากผู้ที่สอนในมหาวิทยาลัย แต่ก็สันนิษฐานได้ ว่านักเรียนไทยดังกล่าวนั้นเมื่อเข้ารับราชการในมหาวิทยาลัยหรือในกระทรวงศึกษาธิการแล้ว ก็คงจะพยายาม สอดแทรกความคิดเรื่อง Progressive Education ให้แก่นักเรียนหรือนิสิตฝึกหัดครูได้บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะโอกาสยังไม่อำนวย คือว่า การฝึกหัดครูยั งอยู่ในระบบเดิม เช่นมีครูประถมแล้วสูงขึ้นไปก็เป็นครูมัธยม ครูประถมต่ำกว่า ครูมัธยม เป็นต้น ใน พ.ศ. ๒๔๙๐ (๑๙๔๗) สหรัฐอเมริกาเริ่มให้ทุนแก่นักเรียนไทยไปเรียนวิชาศึกษาศาสตร์ ๑ ทุน และต่อมาอีกประมาณ ๑ – ๒ ปี กระทรวงศึกษาธิการก็เริ่มส่งนักเรียนไทยไปศึกษาวิชาศึกษาศาสตร์ที่อเมริกา เป็นอันมาก และส่งครูไปดูงานหรือไปศึกษาที่อังกฤษอีกหลาย ๆ คน รวมแล้วทั้งหมดเป็นจำนวน ๑๐๐ ทุนคนเหล่านี้เมื่อเรียนสำเร็จแล้วก็ทยอยกันกลับมารับใช้ประเทศชาติทันที ใน พ.ศ.๒๔๙๕ (๑๙๕๒) โรงเรี ย นฝึ ก หั ด ครู ช ั ้ น สู ง ถนนประสานมิ ต ร เริ่ มสอนวิ ช าครู แ บบ Progressive Education แต่ก็ยังทำได้ไม่ถนัดมาก เพราะยังเป็นหลักสูตรเดิม (หลักสูตรครูมัธยม) อยู่แต่ก็ได้ รีบสอนเข้าไปทั้งปรัชญา Experimentalism และจิตวิทยา Gestalt และอื่น ๆ (John Dewey) ถึงแก่กรรมใน ปี ๑๙๕๒ นี้เอง ถ้าชักช้าอยู่จะตามเขาไม่ทัน ใน พ.ศ. ๒๔๙๖ (๑๙๕๓) โรงเรียนฝึกหัดตรูชั้นสูง ถนนประสานมิตรได้รับการสถาปนาเป็นวิทยาลัย วิชาการศึกษา (คือมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒในปัจจุบัน) จึงสามารถเปลี่ยนระบบฝึกหัดครู และฝึกหัด ศึกษาธิการได้ทั้งระบบ คือ 1. หลักสูตร ได้ใช้ระบบหน่วยกิต (Credit System) และทำการฝึกหัดครูในระดับปริญญา ตรี โท เอก คือได้ฝึกหัดครูประถมในระดับปริญญาฝึกหัดครูมัธยมในระดับปริญญา 2. วิธ ีสอน เริ่มใช้วิธีการแห่งปัญญาเป็นวิธ ีการสอนแทนวิธีตามขั้นทั้ง ๕ ของ Herbert ตลอดจน พยายามปรับปรุงวิธีการสอนวิชาเฉพาะต่าง ๆ ด้วยเท่าที่จะทำได้ 3. วิธ ีวั ด ผล ก็ได้เปลี่ย นไปตามลักษณะของหลักสูตร มีการให้เขียนนิพนธ์ประจำรายวิชา (Term Paper) มีการทดสอบย่อย ๆ และมีการสอบและวัดผลทุก ๆ ภาคเรียนผลที่วัดออกมาได้นั้น ก็เป็นรูป ของ Grade – Point – Average (G.P.A) แทนที่จะเป็นเปอร์เซ็นต์

18

4. การบริหารสถานศึกษา นอกจากจะพยายามใช้วิธีการแห่งปัญญา เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจแล้ว ก็ พยายามสร้างน้ำใจประชาธิปไตยขึ้นอีกด้วย จึงทำให้เกิด School Climate อย่างใหม่ขึ้น เป็นที่ชื่นชม กันมากในตอนต้น (ใน พ.ศ. ๒๔๙๖ (๑๙๕๓) นั้นเอง องค์การ USOM แห่งอเมริกามีนโยบายที่จะ ช่วยการศึกษาด้าน ต่าง ๆ ของประเทศไทย ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๙๗ (๑๙๕๔) ก็มีการทำสัญญาระหว่าง วิทยาลัย วิช าการศึกษาแห่ง กระทรวงศึกษาธิการ กับ School of Education แห่งมหาวิทยาลัย Indiana ของอเมริกา แล้วต่อมามหาวิทยาลัย Indiana นี้ ก็ได้ทำสัญญากับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ อีกของ ประเทศไทยเพื่อมาช่วยปรับปรุงแก้ไขและเร่งเร็วในงานั้น ๆ) ทฤษฎีการศึกษาหรือแนวคิดทางการศึกษาของปรัชญาการศึกษาลัทธิพัฒนาการนิยม ในตอนต้นนี้จะขอนำเอาทฤษฎีการศึกษา หรือแนวคิดทางการศึกษาของปรัชญาการศึกษาลัทธิพิพัฒนาการ โดยจัดแบ่งออกเป็นส่วน ๆ ตามลำดับดังต่อไปนี้ 1. ความหมายของการศึกษา 2. ความมุ่งหมายของการศึกษา 3. โรงเรียนและหน้าที่ของโรงเรียน 4. หลักสูตร 5. หลักการสอน 6. ครูและบทบาทของครู 7. นักเรียน 8. วินัย 9. ค่านิยมทางการศึกษา (หรือค่านิยมทางสังคม) ความหมายของการศึกษา : นักการศึกษาฝ่ายพิพัฒนาการนิยมเชื่อว่า 1. การศึกษาคือ ขบวนการดำรงชีวิต (Education is life) 2. การศึกษาคือ ขบวนการแห่งความเจริญงอกงาม (Education is grouch) 3. การศึ ก ษาคื อ ขบวนวิ ธ ี แ ห่ ง การปฏิ ร ู ป ประสบการณ์ อ ย่ า งต่ อ เนื ่ อ งกั น ไป ( Education is a continuous reconstruction of experience) 4. การศึกษาคือ ขบวนวิธีทางสังคม (Education is a social process) 5. การศึกษาคือ ขบวนวิธีที่อาศัยองค์ประกอบที่สำคัญสองส่วน ได้แก่ องค์ประกอบทางสังคมวิทยา และองค์ประกอบทางจิตวิทยา 6. การศึกษาคือ เครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้สังคมก้าวหน้าและมีการปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง

19

ความมุ่งหมายของการศึกษา : โรงเรียนแบบพิพัฒนาการหรือโรงเรียนของฝ่ายพิพัฒนาการนิยม กำหนด ความมุ่งหมายของการศึกษาไว้ดังนี้ 1. ความมุ่งหมายของการศึกษาจะต้องตอบสนองความต้องการปัจจุบันและความสนใจที่เกิดขึ้น ใน ขณะนั้น ของนักเรียน (ซึ่งหมายถึงความต้องการและความสนใจที่แท้จริงของนักเรียน) 2. ความมุ่งหมายของการศึกษาจะต้องมุ่ งพัฒนาความเจริญงอกงามด้านต่าง ๆ ของนักเรียน ได้แก่ ทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม อาชีพ และสติปัญญา ควบคู่กันไปกับความสนใจ ความถนัดและ ลักษณะพิเศษของผู้เรียนแต่ละคน ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการเอาใจใส่ได้รับการส่งเสริม 3. ความมุ่งหมายของการศึกษาจะต้องมุ่งพัฒนาผู้ เรียนให้เป็นบุคคลที่มีความสามารถในการพัฒ นา ตนเองและพัฒนาสังคมของตนอีกด้วย โรงเรียนและหน้าที่ของโรงเรียน : นักการศึกษาฝ่ายพิพัฒนาการนิยมมีความเห็นว่า 1. โรงเรียนคือ สถาบันทางสังคม เป็นที่สำหรับสร้างสมาชิกที่ดีและมีประโยชน์ต่อสังคม 2. โรงเรียนจะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสังคม ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของสังคม 3. โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวัฒนธรรม เมื่อโรงเรียนเป็นส่วนของสังคมแล้ว โรงเรียนก็จะมีโอกาสสร้างนักเรียนในลักษณะใหม่ ที่มีสติปัญญา มีความพร้อม มีความกระตือรือร้น มี ความรู้จักและเข้าใจสังคมอย่างดีพอ จนทำให้สังคมมีพัฒนาการดำเนินไปอย่างต่อเนื่องอย่างไม่ หยุดยั้ง โรงเรียนจะต้องได้รับการตั้งขึ้น เพื่อสนองความต้องการของสังคม โดยสังคมเป็นผู้มีส่วนร่วม ในการดำเนินงาน และดำรงอยู่ได้ด้วยการสนับสนุนของสังคม หลักสูตร : ทรรศนะของนักพิพัฒนาการนิยม หรือแนวคิดเกี่ยวกับหลักสูตรของโรงเรียนแบบพิพัฒนาการ 1.หลักของการจัดหลักสูตร มีดังนี้ • ยึดหลักแห่งความแตกต่างระหว่างเอกัตบุคคล (Principle of individual differences) • ยึดหลักแห่งพัฒนาการและความเจริญงอกงามของบุคคล (Principle of the human growth and development) • การบรรจุวิชาต่าง ๆ เข้าไว้ในหลักสูตรจะต้องเน้นความสำคัญแห่งประสบการณ์ของผู้เรียน โดยถือว่า ประสบการณ์นั้นควรเป็นประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในปัจจุบันของสังคม และจะต้องให้เ ด็กมี ส่วนร่วมโดยตรงในประสบการณ์เหล่านั้น นั่นคือในการบรรจุวิชาต่าง ๆ เข้าไว้ในหลักสูตร จะ ต้อง คำนึงถึงพัฒนาการของผู้เรียนเป็นสำคัญโดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนมีพัฒนาการในด้านต่าง ๆ จนคร บทุก ด้าน และที่สำคัญที่สุดก็คือทำให้ผู้เรียนเข้าใจตนเอง เข้าใจสังคมของตน และมี ความสามารถที่จะ ประเมินประสบการณ์ของตน เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาในขั้นต่อ ๆ ไป

20

2. รูปแบบและเนื้อหาวิชาของหลักสูตร นักการศึกษาฝ่ายพิพัฒนาการนิยมมีความเชื่อดังนี้ • รู ป แบบของหลั ก สู ต ร ควรเป็ น หลั ก สู ต รแบบยึ ด ถื อ เด็ ก เป็ น ศู น ย์ ก ลาง (Child – centered curriculum) หรือหลักสูตรแบบกิจกรรม (Activity - centered curriculum) • เนื้อหาสำคัญของหลักสูตร คือการบรรจุวิชาการต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนมีความสนใจที่จะศึกษา ให้เข้าใจในสังคมของตน และเข้าใจตนอง ดังนั้น เนื้อหาสำคัญของหลักสูตร จึงควรแบ่งออกพิจารณา เป็น ๒ ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ ๑ : เนื้อหาของหลักสูตรที่จะช่วยให้เข้าใจในสังคมและตนเอง ได้แก่ วิชา สั งคมศึกษา และ ภาษา (หรือความรู้ที่เกี่ยวกับการสื่อความหมายเพื่อประโยชน์ในชีวิตประจำวั น) ทั้งสองวิชานี้ควรได้รับความ สนใจพิเศษ ส่วนที่ ๒ : เนื้อหาของหลักสูตรที่จะช่วยให้ค้นพบวิธีการ (Method) อันหมายถึงวิธีการทำงานแบบ นักวิทยาศาสตร์ (Scientific method) หรือวิธีการแก้ปัญหา (Problem – solving method) จำเป็นจะต้อง อาศัยการประกอบกิจกรรม หรือการให้โอกาสนักเรียนได้เลือกทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามที่เขาสนใจ หลักการสอน : ทฤษฎีการสอนของนักการศึกษาฝ่ายพิพัฒนาการนิยม มีดังนี้ • รูปแบบของการสอน หรือกระสวนของการสอน (Pattern of teaching) ได้แก่ กระสวนการสอนแบบ กลุ่มที่มีความร่วมมือกันแบบพลวัต (Dynamic Cooperative group Pattern) ซึ่งมุ่งฝึกให้ผู้เรียนได้ สร้างการเรียนรู้ด้วยการกระทำและมีโอกาสได้ฝึกการทำงาน การเล่น และการอยู่ร่วมกันในสังคมแบบ ประชาธิปไตย • ระเบียบวิธีการสอน (Method of Teaching) ที่ควรนำมาใช้ ได้แก่ วิธีสอนแบบแก้ปัญหา และวิธีการ สอนแบบโครงการ (Project method) • หลักการสอนที่ครูควรถือเป็นแนวปฏิบัติ มีดังนี้ 1) การเรียนการสอนเน้นที่ความสนใจและความถนัดของผู้เรียน 2) การเรียนการสอนควรให้เด็กมีส่วนร่วมในการวางแผน 3) ครูเป็นผู้จัดสิ่งแวดล้อมให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเอง 4) เด็กควรได้รับประสบการณ์ตรงในเรื่องที่ศึกษา 5) เด็กควรได้รับประสบการณ์ที่น่าสนใจ ชักจูงใจ เช่นการใช้ภาพยนตร์ สไลด์ เชิญวิทยากร 6) ผู้เรียนควรได้รับความช่วยเหลือให้รู้จักวิเคราะห์ปัญหา หาข้อมูล เพื่อแก้ปัญหาและ วิเคราะห์ ข้อมูลต่าง ๆ 7) ผู้เรียนควรได้รู้จักการวางโครงการ ดำเนินโครงการวิเคราะห์และประเมินโครงการต่าง ๆ ได้อย่าง เหมาะสม 8) ส่งเสริมประชาธิปไตยและความร่วมมือในการเรียนการสอน 9) การเรียนควรเป็นกระบวนการต่อเนื่องเกี่ยวพันกันตลอดเวลา ครูและบทบาทของครู : เมื่อพิจารณาจากหลักการสอนและหน้าที่ของโรงเรียนตามนัยแห่งแนวคิดทาง การศึกษา

21

ของฝ่ายพิพัฒนาการนิยมแล้ว ย่อมทำให้เข้าใจในบทบาทและหน้าที่สำคัญของครู ได้ดังนี้ • หน้าที่ของครู นักพิพัฒนาการนิยมเชื่อว่า หน้าที่สำคัญของครู ไม่ใช่การสอนหนังสือ และไม่ใช่ผู้ ถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรม แต่ครูเป็นผู้มีหน้าที่ในการจัดเตรียมประสบการณ์ที่เหมาะสมกับเด็ก การแนะแนวทาง และคอยให้คำปรึกษาแก่นักเรียน เกี่ยวกับการสร้างประสบการณ์ของเด็กด้วยตัว ของเขาเอง ในโอกาสอันสมควร หรืออาจกล่าวว่าจริงอยู่ ครูคือผู้มีความรู้กว้างขวาง แต่ไม่ใช่หน้าที่ ของครูที่จะบังคั บ หรือไม่ใช่ผู้กำหนดให้นักเรียนต้องเรียนรู้ตามที่ครูต้องการ หรือไม่ใช่ผู้ควบคุมให้ นักเรียนรู้ตามที่ครูเคยรู้มาก่อนแล้ว หน้าที่อันแท้จริงของครู คือการทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนให้เด็กได้ มีโอกาสสร้างประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง และประสบการณ์นั้นจะต้องช่ วยให้นักเรียนมี ความรู้ ความเข้าใจ และการหยั่งรู้อย่างแท้จริงด้วยตัวของนักเรียน • บทบาทของครู ในทรรศนะของนักการศึกษาฝ่ายพิพัฒนาการนิยมแล้ว ครูไม่ใช่ผู้มีบทบาทสำคัญใน การเรียนการสอน นักเรียนเท่านั้นคือผู้มีบทบาทสำคัญมากที่สุด สำหรับบทบาทของครูในการเรียน การสอน ได้แก่ บทบาทผู้คอยกระตุ้น ผู้คอยป้อนแรงเสริม และคอยเฝ้าดู หมายความว่า ในระยะแรก ครูคอยกระตุ้นให้นักเรียนมีความสนใจที่จะประกอบกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ในระยะต่อมา นักเรียนมีความสนใจที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองแล้ว บทบาทของครูคือการทำหน้าที่ในการส่งเสริ มและ คอยให้คำปรึ กษาในโอกาสอันควร จนกระทั่งแน่ใจว่านักเรียนได้ประกอบกิจกรรมตามแนวทางที่ เหมาะสมแล้วในระยะสุดท้ายครูจะต้องคอยสังเกตและคอยเฝ้าดูเท่านั้น ให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตัวของเขาเอง โดยปราศจากการรบกวนใด ๆ ทั้งสิ้น • คุณสมบัติของครู ครูที่ดีในทรรศนะของนักการศึกษาฝ่ายพิพัฒนาการนิยม ย่อมได้แก่ ครูที่สามารถ ปฏิบัติหน้าที่และบทบาทตามที่ได้กล่าวข้างต้น ซึ่งหมายความว่า 1) ครูจะต้องเป็นผู้มีความรู้ดี จนมีความสามารถเป็นผู้นำทางวิชาการ อันเหมาะสมแก่การ ประกอบอาชีพของตน 2) ครูจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของนักเรียน อันได้แก่ ทฤษฎีพัฒนาการและความเจริญ งอกงามของเด็ก 3) ครูจะต้องมีบุคลิกภาพที่ดี 4) ครูจะต้องมีความสามารถในการเป็นผู้นำที่ดี เป็นผู้ร่วมงานที่ดี และมีทักษะในการทำงาน ร่วมกันกับนักเรียนได้เป็นอย่างดี 5) ครูจะต้องมีทักษะในการสอน การจัดห้องเรียน การใช้อุปกรณ์ การสอน และการวัดผลเป็น อย่างดี 6) ครูจะต้องมีความสัมพันธภาพอันดีกับชุมนุมชน และสามารถนำเอาแหล่งความรู้ในชุมชนมา ใช้เพื่อช่วยให้นักเรียนได้รับความรู้เกี่ยวกับชุมนุมชนของตน

22

นักเรียน : นักการศึกษาฝ่ายพิพัฒนาการนิยม อาศัยทฤษฎีจิตวิทยาโดยเฉพาะอย่างยิ่งทฤษฎีพัฒนาและ ความเจริญงอกงามของมนุษย์ นักเรียน : นักการศึกษาฝ่ายพิพัฒนาการนิยม อาศัยทฤษฎีจิตวิทยาโดยเฉพาะอย่างยิ่งทฤษฎีพัฒนาการและ ความเจริญงอกงามของมนุษย์ เป็นหลักในการอธิบายเกี่ยวกับธรรมชาติของนักเรียนนั่นคือการยอมรับว่า นั ก เรี ย นคื อ องคาพยพ (Organism) หรื อ สิ ่ ง ที ่ม ี ช ี วิ ต ซึ ่ ง ย่ อ มจะดำเนิ น ไปตามขบวนวิ ธ ี แ ห่ ง ชี ว วิทยา (Biological process) ที ่ ส ำคั ญ ก็ ค ื อ นั ก การศึ ก ษาฝ่ า ยพิ พ ั ฒ นาการนิ ย มไม่ เ ชื ่ อ ในเรื ่ อ งบาปโดยกำเนิ ด (Original Sin) และไม่เชื่อว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับสิ่งที่ดี (ตามทรรศนะของรูซโซ) แต่เชื่อว่ามนุษย์เกิ ดมา พร้อมด้วยลักษณะที่ว่างเปล่า วินัย : ถึงแม้ว่านักการศึกษาฝ่ายพิพัฒนาการนิยมมุ่งส่งเสริมเสรีภาพของเอกัตบุคคล แต่ก็สนับสนุนการ เสริมสร้างวินัย เช่นกัน โดยถือว่าวินัยเป็นสิ่งจำเป็นต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมแบบประชาธิปไตย ดังนั้นวินัยตามนัยของฝ่าย พิพัฒนาการนิยม ย่อมได้แก่วินัยที่นักเรียนได้สร้างขึ้นเพื่อตนเอง สำหรับการอยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกัน และ เล่นร่วมกันอย่างเป็นสุขภายในโรงเรียน วินัยตามนัยดังกล่าวนี้ ไม่ใช่วินัยที่เกิดจากครูเป็นผู้สร้างให้แก่นักเรียน แต่เป็นวินัยที่นักเรียนแต่ละคน และทุกคนสร้างขึ้นสำหรับตนเองด้วยความเข้าใจในสิทธิและหน้าที่ร่วมกัน โดยถือว่านักเรียนทุกคนมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการสร้างวินัยให้แก่ตนเอง เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ค่านิยมทางการศึกษา (หรือค่านิยมทางสังคม) : นักการศึกษาฝ่ายพิพัฒนาการนิยมย่อมอาศัยหลักการดังนี้ 1. หลักแห่งความแตกต่างระหว่างเอกัตบุคคล 2. หลักแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างเห็นอกเห็นใจกัน 3. หลักแห่งพัฒนาการและความเจริญงอกงามของมนุษย์ 4. หลักแห่งการเรียนรู้ด้วยการกระทำจริง เป็นแนวติดในการกำหนดค่านิยมทางการศึกษา หรือค่านิยมทางสังคม เช่นเมื่อกล่าวว่าความมุ่งหมาย ของการศึกษา ย่อมได้แก่การสร้างสมาชิกที่ดีของสังคม คำว่า สมาชิกที่ดี ของสังคมตามนัยแห่งลัทธิพิพัฒนา การนิยมย่อมหมายถึงสมาชิกที่มีความคิดริเริ่ม มีความตื่นตัว มีความกล้าที่ จะแสดงตนด้วยความมั่นใจและมี ความสามารถในการร่วมมือและร่วมใจกับคนอื่น มีทักษะในการอภิปรายปัญหาร่วมกันและมีทัศนคติที่ดีต่อ ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่าง ๆ การนำลัทธิปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยมไปใช้กับการศึกษา:การจัดกระบวนเรียนรู้ที่ผู้เรียนสำคั ญ ที่สุด การจัดกระบวนเรียนรู้ที่ผู้เรียนสำคัญที่สุดควรคำนึงถึงประเด็นที่สำคัญ ดังต่อไปนี้ 1) สมองของมนุษย์มีศักยภาพในการเรียนรู้สูงสุด • สมองของมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์สมองประมาณหนึ่งแสนล้านเซลล์ เป็นโครงสร้างที่มหัศจรรย์ โดย ธรรมชาติสมองมีความพร้อมที่จะเรียนรู้ตั้งแต่แรกเกิด มีความต้องการที่จะเรียนรู้ สามารถเรียนรู้ให้ บรรลุอะไรก็ได้ มนุษย์ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับตนเอง ธรรมชาติ และทุกอย่างรอบตัว

23

• มนุษย์สามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ต้องอาศัยสมองและระบบประสาทสัมผัส ซึ่งเป็นพื้นฐานของการ รับรู้ ซึ่งรับความรู้สึกจาก อวัยวะรับความรู้สึก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระบวนการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพ ผู้สอนจะต้องสนใจ และให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสั มพันธ์ระหว่างสมอง (Head) จิตใจ (Heart) มือ (Hand) และสุขภาพองค์รวม (Health) 2) ความหลากหลายของสติปัญญา • คนแต่ละคนมีความสามารถ หรือความเก่ง แตกต่างกัน และมีรูปแบบการพัฒนาเฉพาะของแต่ละคน สิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ส่งผลต่อการพัฒนาเสริมสร้างความสามารถให้แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด • โอเวิร์ด การ์ดเนอร์ ได้ศึกษาเกี่ยวกับความหลากหลายของสติปัญญาและได้จำแนกความสามารถของ คนไว้ ๑๐ ประเภท คือ ด้านภาษา ดนตรี ตรรกและคณิตศาสตร์ การเคลื่อนไหว ศิลปะ / มิติสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล / การสื่อสารด้านความรู้สึก / ความลึกซึ้ งภายในจิตใจ ด้านความเข้าใจ สิ่งแวดล้อม ด้านจิตวิญญาณ และด้านจิตนิยม • การจั ด กระบวนการเรี ย นรู ้ ควรจั ด กิ จ กรรมที ่ ห ลากหลาย เพื ่ อ ส่ ง เสริ ม ศั ก ยภาพความเก่ ง / ความสามารถของผู้เรียนเป็นรายบุคคล เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพของแต่ละบุคคลซึ่ง สามารถเก่งได้หลานด้าน 3) การเรียนรู้เกิดจากประสบการณ์ตรง สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ได้ดำเนินการรวบรวมแนวคิดทางทฤษฎีการเรียนรู้ และ เสนอแนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้ได้ดังนี้ • จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความแตกต่างระหว่างบุคคลให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็ มตาม ความสามารถทั้งด้านความรู้ จิตใจ อารมณ์และทักษะต่าง ๆ • ลดการถ่ายทอดเนื้อหาวิชาลง ผู้เรียนกั บผู้สอนมีบทบาทร่วมกันใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใน การแสวงหาความรู้ ให้ผู้เรียนได้เรียนจากสถานการณ์จริงที่เป็นประโยชน์และสัมพันธ์กับชีวิตจริง เรียนรู้ความจริงในตัวเองและความจริงในสิ่งแวดล้อมจากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย • กระตุ้น ให้ผ ู้เรีย นได้เรีย นรู้อย่างมีประสิ ทธิภ าพโดยการทดลองปฏิบัติ ด้ว ยตนเอง ครูทำหน้า ที่ เตรียมการ จัดสิ่งเร้า ให้คำปรึกษา วางแนวกิจกรรม และประเมินผล วิเคราะห์ ข้อดี ข้อเสีย ของการนำปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม ไปใช้กับการศึกษา มีหลายท่านเข้าใจผิดคิดว่าหลักสูตรแบบพิพัฒนาการนิยมนั้นเป็นหลักสูตรแบบยึดตัวผู้เรียนเป็น ศูนย์กลาง (Child – centered curriculum ) กล่าวคือยึดถือความสนใจของผู้เรียนเป็นตัวกำหนดสิ่งที่จะให้ เรียนโดยไม่คำนึงถึงว่า สิ่งที่ผู้เรียนสนใจหรือต้องการเรียนนั้นจะมีความหมายหรือเป็นประโยชน์ใดๆ แก่การ สร้างสรรค์ทางสติปัญญาหรือการดำเนินชีวิตของผู้เรียนหรือไม่ เป็นการให้เสรีภาพ แก่ผู้เรียนอย่างเต็มที่ ซึ่ง ทัศนะดังกล่าวนี้ Dewey และนักการศึกษาประสบการณ์นิยมคนอื่นๆ ไม่เห็นด้วยและคั ดค้านอย่างเต็มที่ โดย กล่าวว่าการกระทำของนักการศึกษาที่ยึดตัวผู้เรียนเป็นศูนย์กลางดังกล่าวนั้นเป็นความผิดพลาดอย่างยิ่งใหญ่ การเรียนรู้จากประสบการณ์นั้น ควรเป็นประสบการณ์ที่ได้รับการพิจารณาเลือกสรร และควบคุมด้วยวิธีการ

24

ทางวิทยาศาสตร์ หรือผ่านการพิจารณาอย่างใคร่ครวญจากสัง คมแล้วเท่านั้น ไม่ใช่ประสบการณ์อะไรก็ได้ เพราะการเรียนรู้เช่นนั้นอาจนำไปสู่ความวุ่นวาย แทนที่จะนำไปสู่ความเจริญงอกงามและการพัฒนาบุคคล และสังคมโดยส่วนรวม ดังนั้นในการเลือกสรรเนื้อหาวิชาและกำหนดหลักสูตรตลอดจนดำเนินการจัดการศึกษา โดยทั่ว ๆ ไปตามทัศนะของประสบการณ์นิยมแล้ว จึงควรยึดหลัก ๒ ประการร่วมกันคือ หลักจิตวิทยาเพื่อ เรียนรู้ความสนใจและความสามารถของผู้เรียน และหลักสังคมวิทยาเพื่อกำหนดสิ่งที่มีความหมายทางสังคมแก่ ผู้เรียน ดังนั้น ลักษณะที่ ส ำคั ญของหลั กสูตรแบบประสบการณ์นิ ยมจึง เน้น ที่ กิ จกรรมที่ มี ความหมายการ ประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อการพัฒนาชีวิตของบุคคลและสังคม การใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อแสวงหาความรู้ ตลอดจนแก้ปัญหาของชีวิตและสังคม และการกำหนด เนื้อหาวิชาให้สัมพันธ์กับชีวิตจริ งของผู้เรียน หลักสูตร ของประสบการณ์นิยมจึงเป็นหลักสูตรที่ยืดหยุ่นได้ และเป็นหลักสูตรเชิงปฏิบัติมากกว่าจะเป็นหลักสูตรที่ให้แต่ ความรู้เพียงอย่างเดียว ข้อดีของการนำปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม ไปใช้กับการศึกษา 1) ด้วยกระบวนการเรียนการสอนที่ยึดถือเด็กเป็นศูนย์กลาง จะทำให้เด็กมีความตื่นตัว มีความสนใจและ ตั้งใจเรียนอยู่เสมอในการเรียนการสอน เพราะเป็นการสอนตามความต้องการและความสนใจของเด็ก 2) การเรียนการสอนที่เน้นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทำให้เด็กได้ฝึกกระบวนการคิดเป็นระบบ การคิดมี เหตุมีผล เด็กมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและการแก้ปัญหา ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ของเด็กในการอยู่ในสังคมต่อไป 3) เป็นการปูพื้นฐานการเรียนรู้ให้เด็กเกิดการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าอยู่ในเหตุการณ์ อย่างไร เด็กจะมีกระบวนการเรียนรู้ตลอดเวลา เมื่อเด็กอยู่ในสังคมก็สามารถมีการเรียนรู้ตลอดเวลา 4) เด็กจะมีความสุขและได้รับประโยชน์จากการทำงานเป็นกลุ่มมากกว่าการทำงานคนเดียว 5) การเรียนการสอนแบบแลกเปลี่ยนประสบการณ์ จะช่วยให้เกิดความสัมพันธ์กันทางความคิดและ บุคลิกภาพอย่างเสรี ส่งเสริมให้เด็กได้ปกครองกันเอง มีเสรีภาพในการอภิปรายและแลกเปลี่ยนความ คิดเห็น มีการวางแผนงานร่วมกันเป็นคณะ และมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนในรูปแบบต่างๆ ข้อเสีย ของการนำปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม ไปใช้กับการศึกษา 1) การเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง อาจจะทำให้เด็กขาดวินัย ไม่มีความรับผิดชอบ เพราะครูปล่อยให้เด็กทำอะไรเกินขอบเขต มีอิสระในการเลือกที่จะเรียนความความพอใจ 2) การจัดการเรียนการสอนที่เน้นความสนใจเด็กเป็นหลัก เมื่อเด็กเกิดการเปลี่ยนใจในหัวเรื่องที่จะสนใจ แล้วก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายการศึกษา หรือจุดประสงค์การเรียนรู้อยู่บ่อยตามความ สนใจของเด็กซึ่งจะทำให้การเรียนการสอนไม่ต่อเนื่อง 3) การเรียนการสอนแบบเน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง ครูจะต้องมีบทบาทเป็นผู้แนะแนวมากกว่าบังคับเด็ก ซึ่ง ครูจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้รอบด้านและมีการแสวงหาความรู้เพิ่มเติมเสมอ แต่ปัจจุบันครูส่วนใหญ่ยัง ขาดการเรียนรู้เพิ่มเติม และไม่มีแรงจูงใจในการเพิ่มเติมความรู้

25

การเสนอแนวทางแก้ปัญหา ประเด็นสำคัญและข้อเสนอแนะ การศึกษาตลอดชีวิตนั้น อาศัยหลักสำคัญ ๔ ประการ คือ การเรียนเพื่อรู้ การเรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้ จริง การเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่ร่วมกัน และ การเรียนรู้เพื่อชีวิต 1) การเรียนเพื่อรู้ โดยผสมผสานความรู้ทั่วไปที่กว้างขวางเพียงพอ เข้ากับโอกาสที่จะศึกษาบางวิชา อย่างละเอียดลึกซึ้ง การเรียนเพื่อรู้ หมายรวมถึงการฝึกฝนในวิธีเรียนรู้ เพื่อจะได้ตักตวงประโยชน์ จากการศึกษาไปจนตลอดชีวิต 2) การเรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้จริง เพื่อจะได้ ไม่เพียงแต่มีความชำนาญทางด้านวิชาชีพเท่านั้น แต่ที่กว้าง กว่านี้ คือ สามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ และปฏิบัติ งานเป็นหมู่คณะ เป็นการเรียนรู้โดย อาศัยประสบการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมและในการประกอบอาชีพ ซึ่งอาจเป็นการเรียนรู้นอกระบบ โรงเรียน ทั้งนี้สืบเนื่องจากสภาพในท้องถิ่น หรือประเทศนั้น ๆ หรืออาจเป็นการเรียนรู้ในระบบ โรงเรียนโดยใช้หลักสูตรซึ่งประกอบด้วยการเรียนในภาคทฤษฎีสลับกับการฝึกปฏิบัติงาน 3) การเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่ร่วมกัน ด้วยการสอนให้เข้าใจผู้อื่น และตระหนักดีว่ามนุษย์เราจะต้องพึ่งพา อาศัยกัน ดำเนินโครงการร่วมกัน และเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาข้อขัดแย้งต่าง ๆ โดยชี้ให้เห็นว่า ความ หลากหลาย ความเข้าใจอันดีต่อกัน และสันติภาพนั้นล้ำค่าและคู่ควรแก่การหวงแหน 4) การเรียนรู้เพื่อชีวิต เพื่อจะได้สามารถปรับปรุงบุคลิกภาพของตน ได้ดียิ่งขึ้นดำเนินงานต่าง ๆ โดย อิสรเสรียิ่งขึ้น มีดุลยพินิจ และความรับผิดชอบต่อตนเองมากขึ้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในการจัด การศึกษา เราจะต้องไม่ละเลยศักยภาพในด้านใดด้านหนึ่งเป็นอันขาด : ความจำ การใช้เหตุผล ความซาบซึ้งในสุนทรียภาพ สมรรถนะทางร่างกาย และทักษะในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น การศึกษาในระบบ มักจะเน้นเรื่องการได้รับความรู้ จึงเป็นผลเสียกับการเรียนรู้ประเภทอื่น ๆ ไป แต่บัดนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องมองการศึกษาในวงกว้างวิสัยทัศน์ดังกล่าวควรช่วยวางพื้นฐาน และให้ แนวทางในการดำเนินงานปฏิรูป และวางนโยบายการศึกษา ทั้งในส่วนที่เกี่ ยวกับเนื้อหาสาระของหลักสูตร และสื่อการเรียนการสอนอีกด้วย ข้อคิด ของการนำปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม ไปใช้กับการศึกษา เมื่อขึ้นยุค Computer Age แล้วจริง ๆ ทุก ๆ คนก็คงจะมี Computer ประจำตัวใช้กันโดยทั่วไป การสอนก็คงจะง่ายขึ้นมาก นักเรียนแต่ละคนก็จะเรียนจากเครื่อง Computer ของตนเอง ซึ่งได้ Program ไว้อย่างเหมาะสมกับลักษณะของเขาซึ่งย่อมจะแตกต่ างไปจากของผู้อื่น จึงทำให้เรียนได้เร็วขึ้น ทั้งนี้แปลว่า ครูได้แก้ปัญหาเรื่อง Individual differences หรือความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียนในชั้นของตนได้ สำเร็จ

26

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว แปลว่านักเรียนอาจจะอยู่บ้านได้มากขึ้น อาจจะมาโรงเรียนเฉพาะตอนที่ครูนัด หมายให้มารายงานผลงานหรือมาถกแถลงกับนักเรียนผู้อื่น หรือมาในตอนที่จำเป็นจะต้องมีทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันและอื่น ๆ บิดามารดาของนักเรียนนั้น ก็อาจจะอยู่บ้านได้มากขึ้นเช่นกัน เพราะว่าตามโรงงานต่าง ๆ นั้นตัวหุ่นยนต์ (Robot) ทำงานเป็นส่วนมากแล้ว บุคคลระดับบริหารจะประชุมกันก็อาจจะอยู่ที่บ้านของตน แต่ก็ประชุมโต้ตอบกันได้ทางจอโทรทัศน์ Computer ประดุจอยู่ในห้องประชุมด้วยกัน ในการสอบปากเปล่าระดับปริญญาโท หรือปริญญาเอกก็คงเช่นกัน ต่างคนต่างอยู่ที่บ้านแต่ก็ทำการ ถามและอธิบายกันได้ทางโทรทัศน์ Computer บางทีอาจจะอยู่คนละประเทศก็ยังทำได้เป็นแต่เพียงนัดเวลา ให้ตรงกันเท่านัน้ สิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ โดยเฉพาะเรื่องสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียน เป็นความฝัน ของครูมานานแล้ว ถ้าได้สอนรายตัวได้แล้วก็จะเป็นการสมดังที่ฝัน ไว้นั้น ในประเทศอื่น ๆ คงจะเริ่มคิดและ เริ่มทำไปบ้างแล้ว ทั้งนี้ตามที่อ่านพบในวารสารทางการศึกษา และในหนังสืออื่น ๆ ส่วนตัวครูเองนั้นก็คงจะ สอน อบรม แนะแนวได้ด้วยความสะดวกยิ่งขึ้น แต่ในประเทศไทยเรานั้นครูไทยเห็นจะต้องฝันไปอีกนาน กระมัง ถ้าเราไม่พยายามคิดและพยายามทำบ้าง ก็คงจะถูกทิ้งให้ล้าหลังไกลออกไปทุกที ๆ ถ้าถูกทิ้งให้ล้า หลัง ในคราวนี้แล้วก็คงยากที่จะตามได้ทัน, หรืออาจจะไม่ทันเลย อย่างไรก็ตาม เราก็คงจะต้องพยายามและจะต้องใฝ่ฝันเอาไว้ ดังที่กล่าวกันอยู่ทั่ว ๆ ไปว่า “You must have a dream. If you don’t have a dream, how can you say you have a dream-come-true ?” ปัญหา 1) 2) 3)

ของการนำปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม ไปใช้กับการศึกษา เด็กขาดระเบียบวินัย ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม เพราะครูปล่อยให้เด็กทำอะไรเกินขอบเขต เป้าหมายในการศึกษาไม่แน่นอน เพราะเด็กเกิดการเปลี่ยนใจง่ายในกระบวนการเรียนการสอน ในกระบวนการเรียนที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง ครูจะเป็นผู้ให้คำแนะนำซึ่งปัจจุบันครูยังไม่มีความรู้ รอบด้าน ขาดการอบรมสัมมนาหาความรู้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง

การเสนอแนวทางการแก้ปัญหา • กิจกรรมการเรียนการสอนควรเสริมในด้านจริยธรรม คุณธรรม โดยให้เด็กมีส่วนร่วมในการสร้างวินัย ให้แก่ตนเอง เช่นเรื่องความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย • ฝึกให้เด็กเรียนรู้โดยการทำงานเป็นกลุ่ม เพื่อเสริมสร้างความสามัคคี • มีระเบียบข้อบังคับของโรงเรียนที่เน้นประโยชน์ต่อการปฏิบัติตนให้อยู่ในกฎระเบียบ • ปลูกจิตสำนึกให้เด็กมีความรักในงานที่ทำ และให้เด็กรู้สึกสนุก ชอบในงานที่ทำ • ครูมอบหมายการทำงานให้เด็กโดยเหมาะสมกับวัย

27

ข้อ 2. • กำหนดเป้าหมายการศึกษาสำหรับการเรียนรู้ระยะสั้น เน้นให้แก่ปัญหาชีวิตใน ปัจจุบันอย่าง ต่อเนื่องจนชำนาญจะเป็นการเตรียมเพื่อชีวิตอนาคตที่มีประสิทธิภาพกว่า • เป้าหมายในการศึกษาต้องชัดเจน ไม่คลุมเครือหรือห่างไกลตัวเด็กเกินไป • ทำให้มองเห็นผลที่จะได้รับอย่างต่อเนื่องเป็นขั้น ๆ ไป ทำให้เกิดการเรียนรู้เป็นลำดับ ขั้นตอน ข้อ 3. • จัดอบรมพัฒนาบุคลากรในด้านต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่อง • สร้างแรงจูงใจในการแสวงหาความรู้ของบุคลากรทางการศึกษา • ครูต้องมีความเชื่อมั่นในตัวผู้เรียนว่าสามารถเรียนรู้ได้ • ครูต้องมีวิธีการสอนที่เน้นกระบวนการมากกว่าเนื้อหา • การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสำคัญที่สุ ด ครูผู้สอนต้องเตรียมศึกษาวิเคราะห์เนื้ อหาวิชาใน หลักสูตรและวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าหลักสูตรต้องการอะไร แค่ไหนและ ทำไมจึงต้องการอย่างนั้น ทั้งนี้ ครูผู้สอนต้องร่วมมือกันทำงานเป็นทีม เพื่อวางแผนจัดกระบวนการ เรียนรู้ให้มีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันอย่างมีความหมาย และบูรณาการสาระการเรียนรู้แต่ละวิชาที่ สัมพันธ์กันเข้าด้วยกัน เพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้สอดคล้องกับวิถีชีวิตจริง และให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ จากประสบการณ์จริงให้มากที่สุด โดยครูต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดกิจกรรม และลงมือปฏิบัติจริงทุกขั้นตอนสรุปความรู้ด้วยตนเองรวมทั้งให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกภายใน กลุ่มและระหว่างกลุ่ม เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการแสวงหาความรู้ ซึ่งผู้ที่มีส่วนช่วยให้กระบวนการ เรียนรู้นี้ประสบความสำเร็จได้ก็คือครูผู้สอน ที่ต้ องเตรียมแหล่งข้อมูล ทั้งในรูปของสื่อการเรียน เทคนิควิธีการเรียนรู้ ใบความรู้ และวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ตลอดจนชี้แนะแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเลือกศึกษาค้นคว้าตามความต้องการ บทสรุปหลักการสำคัญของลัทธิปรัชญาการศึกษาของพิพัฒนาการนิยม 1) การศึกษา คือ ชีวิต ไม่ใช่การเตรียมตัวเพื่อชีวิต 2) การเรียนรู้นั้นต้องสัมพันธ์โดยตรงกับความสนใจของเด็ก 3) โรงเรียนจะต้องส่งเสริมให้มีการร่วมมือกันมากกว่าการแข่งขัน 4) โรงเรียนจะต้องเป็นห้องปฏิบัติการที่เรียนรู้ชีวิตจริง และต้องเป็นต้นแบบของประชาธิปไตย 5) การเรียนรู้ด้วยการแก้ปัญหา 6) บทบาทของครู ต้องไม่ใช่ผู้น ำตลอดไป แต่ต้องเป็นผู้ให้คำแนะนำ แก่ผู้เรียนที่จะแก้ปัญหาและ โครงการของเขา ดังนั้นครูจึงต้องอดทน ยืดหยุ่น มีวินัย ความคิดก้าวหน้า และต้องฉลาด 7) ประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการทั้งในด้านความคิดและบุคลิกภาพที่ดีในสังคมที่ พัฒนา

28

ปรัชญาการศึกษาบูรณนิยม (Reconstructionism) ปรัชญาการศึกษาลัทธิบูรณนิยม มีชื่อเรียกเป็นภาษาไทยแตกต่างกันไป เช่น ปรัชญาการศึกษาบูรณา การนิยม ปฏิรูปนิยม บูรณกรรมวาท เป็นต้น ปรัชญาการศึกษาแบบนี้มีรากฐานความคิดส่วนหนึ่งมาจาก ปรัชญาปฏิบัตินิยม เช่นเดียวกับ ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม แต่เกิดขึ้นภายหลัง เนื่องจากหลักการและ การปฏิบัติทางการศึกษาของพิพัฒนาการนิยมที่เป็นอยู่ทั่ว ๆ ไป ในต้นศตวรรษที่ 20 นั้น มุ่งเน้นแต่จะ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้ามากเกินไป จนมองไม่เห็นแผนการในการสร้างสังคมที่ชัดเจน และแน่นอนพอ ดังนั้ น เมื่อประเทศสหรัฐ อเมริ ก าประสบกั บภาวะเศรษฐกิจ และการเมื องตกต่ ำประมาณปี ค.ศ. 1930 การศึกษาแบบพิพัฒนาการนิยมที่ปฏิบัติกันทั่วไปในโรงเรียน จึงไม่สามารถช่วยอะไรได้มากกว่าที่ทำหน้าที่ เสมือน "ผ้าพันแผลให้กับร่างกายที่หิว และอ่อนแอเท่านั้น" นั่นคือ หลักการและการปฏิบัติของพิพัฒนาการ นิยม ไม่สามารถจะช่วยขจัดปัญหาของสังคมได้ เพราะเมื่อหมดปัญหาหนึ่งปัญหาอื่น ๆ ก็ยังติดตามมาอย่างไม่ สิ้นสุด นักการศึกษาคนสำคัญ นักการศึกษาแบบบูรณนิยมที่สำคัญ ได้แก่ 1. ยอร์จ เคานทส์ (George Counts) 2. แฮโรลด์ รักก์ (Harold Rugg) 3. ธีโอดอร์ แบรมเมลด์ (Theodore Brameld) 4. ซิดนีย์ ฮุค (Sidney Hook) เป็นต้น การวิวัฒนาการ จอห์น ดิวอี้ เป็นคนแรกที่ใช้คำว่า "Reconstructionism"แปลตามตัวว่า การปฏิรูป การบูรณะ หรือ การสร้างขึ้นใหม่ ในแนวคิดปรัชญาของเขาตั้งแต่ทศวรรษ 1920 ต่อมาประมาณ ค.ศ. 1930 ยอร์จ เคานทส์ และแฮโรลด์ รักก์ คือ ผู้นำคนสำคัญของนักคิดกลุ่มแนวหน้า (Frontier Thinkers) ซึ่งเรียกร้องให้โรงเรียนมีบทบาทสำคัญที่จะสร้างสรรค์สังคมใหม่ ซึ่งเป็นสังคมที่มีความ ยุติธรรมยิ่งขึ้น จนกระทั่ง ปี ค.ศ. 1950 คืออีกประมาณ 20 ปี ธีโอดอร์ แบรมเมลด์ นักการศึกษาชั้นนำคนหนึ่งของ สหรัฐ อเมริกา ได้เสนอแนวคิดปรัช ญาการศึกษา เกี่ยวกับ "การศึกษาเพื่อปฏิรูปสังคม" พร้อมกับเสนอ รายละเอียดเกี่ยวกับการจัดการศึกษา ตามระบบบูรณาการนิยม(Reconstructionism) จึงกล่าวได้ว่า แบรม เมลด์ เป็นผู้นำในการวางรากฐานการศึกษาตามแบบบูรณาการนิยม ที่มีแนวปฏิบัติ ดังปรากฏอยู่ในทุกวันนี้ โดยเขียนหนังสือมากมาย และที่สำคัญ ๆ ก็ได้แก่ Patterns of Educational Philosophy (1950) Toward a Reconstructed Philosophy of Education (1956) และ Education as Power (1965) และสำหรับยุค นั้นเดิมมีทัศนะแบบประสบการณ์นิยม แต่ต่อมาภายหลังก็เห็นด้วยกับแนวคิดแบบบูรณนิยม

29

แนวคิดของปรัชญาการศึกษาบูรณนิยม แนวคิดของปรัชญาการศึกษาบูรณนิยม มีนักการศึกษาได้ให้แนวคิดไว้ดังนี้ 1. แนวคิดแบบหัวรุนแรง (Radicalism) แนวคิดโดยทั่ว ๆ ไป ของนักการศึกษาแบบบูรณนิยมนั้น เป็น แนวคิดแบบหัวรุนแรง ซึ่ง แพร็ท (Pratte) กล่าวว่าแนวคิดแบบหัวรุนแรงของบูรณนิยมนั้นเป็นแบบ กลาง ๆ ไม่ใช่หัวรุนแรงแบบสุดโต่ง เหมือนพวกคอมมิวนิสต์ กล่าวคือ นักบูรณนิยมนั้นเป็นพวกที่มอง การณ์ไกลไปในอนาคต และเห็นว่าปัจจุบันนั้นจะต้องสืบเนื่องต่อไปในอนาคต แต่เป็นอนาคตที่มนุษย์ สามารถจะกำหนดได้ จากความสามารถทางสติปัญญา และการทดลองร่วมกันของสมาชิกทั้งมวล 2. รากฐานความคิดทางมานุษยวิทยา (Anthropology) ถึงแม้ปรัชญาการศึกษาแบบบูรณนิย มจะมี รากฐานความคิดส่วนหนึ่งมาจากปรัชญาปฏิบัตินิย ม แต่ก็มีความคิด ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง โดยเฉพาะ ซึ่งได้มาจากผลของการค้นคว้าทางมานุษยวิทยาสมัยใหม่ ซึ่งเชื่อว่ามนุษย์เป็นผู้สร้างสรรค์ วัฒนธรรมและในทางกลับกันวัฒนธรรมก็ทำมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คน ในสังคมเดียวกันมักจะมีวัฒนธรรมเหมือนกันและคนต่างสังคมกันก็มักจะมีวัฒนธรรมต่างกันไป ความมุ่งหมายของการจัดการศึกษาแบบบูรณนิยม ปรัชญาการศึกษาบูรณนิยมนั้นมองเห็นข้อบกพร่องของปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยมว่า ไม่สามารถจะขจัดปัญหาสังคมที่ทับถมกันได้ อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีความเห็นอีกว่า วิธีการของพิพัฒนา การนิยมที่ใช้นั้นอาจจะเหมาะกับสังคมที่มีความเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก และไม่รวดเร็วนัก เช่น สังคมในยุคของ เสรีประชาธิปไตยแบบปล่อยไปตามบุญตามกรรม (Laissez-faire Liberalism) แต่เมื่อสังคมอยู่ในภาวะวิกฤติ (Crisis) เช่น ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาประสบราว ๆ ค.ศ. 1930-1950 นั้น มีปัญหาและความเปลี่ยนแปลง องค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญ 3 ประการ ตามแนวทัศนะของปรัชญาบูรณนิยม ที่จะทำให้การสร้างสรรค์สังคม ใหม่สำเร็จได้ จึงประกอบด้วย ความสามารถทางสติปัญญาของสมาชิกในสังคมที่จะเลือกคิด สืบเสาะ แสวงหา วิพากษ์วิจารณ์ และวางแผนการสำหรับสร้างสรรค์วัฒนธรรมให้แก่สังคมใหม่ อุดมการณ์ของประชาธิปไตย เพื่อเปิดโอกาสให้มวลสมาชิกในสังคมได้ร่วมกัน คิด สืบเสาะหา พิจารณา และตัดสินในการแสวงหาแนวทาง สำหรับสังคมใหม่ ซึ่งเป็นการตกลงร่วมกันของมวลสมาชิก ไม่ใช่การใช้อำนาจ ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือ กลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง ข้อมูลและหลักฐานการค้นพบของวิทยาศาสตร์ และศาสตร์สาขาต่าง ๆ เพื่อ เป็นพื้นฐาน ประกอบในการพิจารณา และตัดสินใจของสมาชิกในสังคม หลักสูตรการจัดการศึกษาตามแนวบูรณนิยม เมื่อความมุ่งหมายอันสูงสุดของบูรณนิยมนั้นอยู่ที่การใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือแสวงหา เป้าหมายและทิศทางของสังคมในอุดมคติ เพื่อจะได้ปฏิรูปสังคมปัจจุบันให้เป็นไปตาม "ภาพของสังคมในอุดม คติ" นั้น หลักสูตรสำหรับแนวปรัชญาลัทธิบูรณนิยม Reconstructionismจึงควรเป็นหลักสูตรที่ยึดอนาคตเป็น ศูนย์กลาง (Future-centered Curriculum)นั่นคือจัดเนื้อหาวิชาและแผนการเรียนการสอนให้เอื้อต่อการ แสวงหา เป้าหมายสำหรับอนาคต

30

วิธีการเรียนการสอนแบบบูรณนิยม นักปรัชญาแนวลัทธิบูรณนิยม Reconstructionism มีแนวคิดที่ต้องการปฏิรูปให้ไปสู่รูปแบบใหม่ หรือสร้างสรรค์วัฒนธรรมใหม่ในภาวะวิกฤติ เช่น นี้ วิธีการที่เหมาะสมควรจะเป็น "วิธีการสร้างสรรค์ และ วางแผน" (Method of Creating and Designing) มากกว่ า "ซึ ่ ง จะเป็ น วิ ธ ี ก ารในการแสวงหาความเป็ น ระเบียบและเป็นเอกภาพในสังคมที่สับสน ไม่เป็นระเบียบ และไม่มีเอกภาพ" นั่นคือ นอกจากจะเป็นวิธีการใน การแก้ปัญหาแล้ว ยังเป็นการมองไปข้างหน้าเพื่อแสวงหาแผนการที่เหมาะสมในอนาคตด้วย ดังนั้นวิธีการที่จะเอื้อต่อ "การสร้างสรรค์และวางแผน" ได้แก่ การพานักเรียนไปพบสภาพที่เป็นจริงในสังคม เช่น ในแหล่งชุมชนแออัด ในโรงงานอุตสาหกรรม อื่น ๆ เป็นต้น จากแนวคิดและทัศนะต่างๆของนักการศึกษาปรั ชญาลัทธิบูรณนิยม ได้สรุปไว้พอสรุปแนวคิดทั่วไปของ ลัทธิบูรณนิยม มีดังนี้ 1. สังคมทั่วไปในอนาคต ควรเป็นสังคมที่ปกครองโดยสามัญชน โลกอนาคตที่อาศัยวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี เพื่อเสริมสร้างสถานการณ์พูนสุขและสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้แก่มวลมนุษย์ สังคมในอนาคต ควรเป็นสังคมนานาชาติ และรวมความเชื่อทางศาสนาและประชาธิปไตยเข้าด้วยกัน และประสานเข้ากับ เทคโนโลยี และศิลปะสมัยใหม่เพื่อสร้างวัฒนธรรมใหม่ซึ่งมีมวลชนโดยรวมของโลกเป็นผู้ดูแลรักษา 2. มีความเห็นสอดคล้องกับกลุ่มนิรันตรนิยม ที่เชื่อว่าสังคมปัจจุบันมีความวิกฤติทางอารยธรรม แต่ไม่ เห็นด้วยว่า จะต้องย้อนสู่อดีต เพื่อนำวัฒนธรรมสมัยกลางมาเป็นแนวทางการดำรงชีวิต และไม่เห็นด้วยกับ กลุ่มสารัตถนิยม ที่มุ่งจะอนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิม ในขณะเดียวกันก็ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มพิพัฒนาการนิยม ที่มุ่ง เปลี่ยนแปลงแก้ไขปัญหาสังคม เฉพาะทีเ่ ป็นอยู่ในปัจจุบัน แนวทางที่ควรจะเป็นคือ การปฏิรูปอย่างจริงจัง เพื่อ สร้างวัฒนธรรมสำหรับอนาคตขึ้นมาใหม่ แนวคิดที่สำคัญ ๆ ทางการศึกษาของปรัชญาลัทธิบูรณนิยม อาจจะสรุปได้ดังนี้ 1.การศึกษาจะต้องรับภาระที่จะสร้างสรรค์ ระบบสังคมใหม่ขึ้นมา ซึ่ งเป็นสังคมที่บรรลุคุณค่าขั้น พื้นฐานของวัฒนธรรม และในขณะเดียวกันก็ให้สอดคล้องกับภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมของโลกใน ยุคใหม่ ด้วย 2. สังคมใหม่จะต้องเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งมีประชาชนในสังคมเป็นผู้ควบคุมสถาบัน ต่างๆ ตลอดจนทรัพยากรทั้งหลาย ตามแนวคิดของ แบรเมลด์ คือ ถ้าโลกเป็นประชาธิปไตยที่ แท้ จ ริ ง ประชาชนระดับผู้ใช้แรงงาน ควรเป็นผู้ควบคุม สถาบันและทรัพยากรต่าง ๆ การจัดการศึกษาจึงต้องเน้นความ เป็นประชาธิปไตย 3. ผู้เรียน โรงเรียน และการศึกษา เป็นไปตามหลักของสังคมและวัฒนธรรมโดยไม่มีการผ่อนผัน ดังนั้น การศึกษาจึงต้องสอนให้ผู้เรียนคำนึงถึงสังคม ไม่ใช่สอนให้ตระหนักในตัวเองเพียงอย่างเดียว โรงเรียนไม่ควรมุ่ง เพียงที่จะสร้างความเจริญเติบโตให้แก่ผู้เรียนตามธรรมชาติของแต่ละคน แต่จะต้องช่วยให้ได้เรียนรู้ วิธีการ ทำงานร่วมกันเพือ่ สังคมด้วย

31

4. ครูมีบทบาทในการหาทางช่วยให้ผู้เรียน มองเห็นความถูกต้อง และความจำเป็นที่จะสร้างสรรค์ สังคมใหม่ โดยใช้วิธีการประชาธิปไตย ให้เด็กได้รับหลักฐานข้อเท็จจริงต่าง ๆ และให้คิดวิเคราะห์ข้อเท็จจริง ต่าง ๆ อย่างเสรี เปิดเผย และหาข้อสรุปเป็นทาง เลือกได้โดยยุติธรรม 5. อาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ตามแบบพิพัฒนาการนิยม ในการค้นหาความรู้แต่ให้ความสนใจกับ "เรื่องที่จะคิด" (What to think) มากกว่ากระบวนการคิด (How to think) ตามแนวพิพัฒนาการนิยม โดย วิจารณ์ว่า ลัทธิพิพัฒนาการมีจุดอ่อนเพราะสนใจแต่เพียงวิธีคิด(Means) โดยไม่คำนึงว่าสิ่งที่คิดได้นั้นจะให้คุณ หรือให้โทษแก่สังคมอย่างไรบ้าง จุดมุ่งหมายของการศึกษาตามแนวบูรณนิยม 1. การศึกษาจะต้องช่วยแก้ปัญหาของสังคมที่เป็นอยู่ 2. การศึกษาจะต้องเป็นไปเพื่อส่งเสริมพัฒนาสังคมโดยตรง 3. การศึกษาอาศัยมุง่ สร้างระเบียบใหม่ของสังคม จากพื้นฐานเดิมที่มีอยู่ 4. ระเบียบใหม่ที่สร้างขึ้นจะต้องอยู่บนรากฐานของประชาธิปไตย 5. การศึกษาจะต้องให้เด็กเห็นความสำคัญของสังคมควบคู่ไปกับตนเอง เนื้อหาวิชา เนื้อหาวิชาจะเกี่ยวกับสภาพและปัญหาของสังคมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะเน้นอยู่ในหมวดสังคมศึกษา นอกจากนั้นก็จะเน้นเนื้อหาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ศิลปะ การศึกษา มนุษย์สัมพันธ์ และวิชาที่เกี่ยวกับเทคนิค และวิธีการต่างๆการจัดการเรียนการสอน มีลักษณะคล้ายกับปรัชญาพิพัฒนนิยม กล่าวคือ ให้เด็กได้เรียนรู้ด้วย ตนเอง ลงมือทำเอง มองเห็นปัญหา และเข้าใจเรื่องราวด้วยตนเอง ใช้วิธีการแก้ปัญหา วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาศัยวิธีการทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางปรัชญา มาประกอบด้วย และเป้าหมาย ปลายทางจะต้องเป็นไปเพื่อสังคมเป็นหลัก บทบาทของครูตามปรัชญานี้จะต้องเป็นนักบุกเบิ ก นักแก้ปัญหา และมีความรอบรู้เรื่องของสังคมและปัญหา ข้อดีการศึกษาของปรัชญาลัทธิบูรณนิยม 1) ยกย่องความเป็นปัจเจกบุคคล ให้ คนมีเสรีภาพในการศึกษา ทำให้เป็นการเปิดโอกาสให้คนปรับตัว เข้ากับสภาพแวดล้อม ให้เด็กได้มีโอกาสในการคิด วิเคราะห์ ถกเถียง ครูเป็นผู้ชี้แนะ ผู้ประสานให้เด็ก เป็นผู้แสดงความรู้ต่าง ๆ เพราะฉะนั้นจะทำให้ได้ความคิดที่หลากหลาย จากผู้แสดงความความรู้ต่าง ๆ 2) ทำให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ที่ได้ จากการปรัชญาที่ยกย่องมนุษย์ว่า "มนุษย์เป็นผู้มีความคิด" และ ยกย่องว่า "คนรู้จักเลือก แก้ปัญหาสังคมได้" แล้วนำมาตอบสนองความต้องการของสังคมได้ มิใช่เรียน แต่ในตำรา

32

3) ปลูกฝังค่านิยมของความเป็นประชาธิปไตย หรือเป็นการปกครองที่เลวน้อยที่สุด เสรีนิยม แบบสังคม นิยม การเมือง เคารพแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ โดยใช้วิธีการค้นหาความจริงด้วยเหตุผล และทดลอง ลงมือปฏิบัติจริง ข้อเสีย การศึกษาของปรัชญาลัทธิบูรณนิยม 1) เป็นอุดมคติมากเกินไป ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง 2) มองมนุษย์ในแง่ดีเกินไป 3) ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของการศึกษาในปัจจุบัน

33

ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับ ชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนา เศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี พอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัยความ รอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการ ดำเนินการทุกขั้นตอน หลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง การพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ การพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ ประมาท โดยคำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ความ รอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการกระทำ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบไปด้วย 5 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1. กรอบแนวคิด เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่ และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจาก วิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มี การเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้น การรอดพ้นจากภัย และวิกฤต เพื่อความมั่นคง และความยั่งยืนของการพัฒนา ส่วนที่ 2. คุณลักษณะ เศรษฐกิจพอเพียง สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ในทุกระดับ โดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน ส่วนที่ 3. คำนิยาม ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 คุณลักษณะ ดังนี้ 1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไป และไม่มากเกินไปโดยไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น เช่นการผลิต และการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ 2. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมี เหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ 3. การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และการเปลี่ยนแปลงด้าน ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้ และ ไกล

34

ส่วนที่ 4. เงือ่ นไข การตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้น ต้องอาศัยทั้งความรู้ และ คุณธรรม เป็นพื้นฐาน 2 เงื่อนไข ดังนี้ ➢ เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความ รอบคอบ ที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และความ ระมัดระวังในขั้นปฏิบัติ ➢ เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต ส่วนที่ 5. แนวทางปฏิบัติ / ผลที่คาดว่าจะได้รับ จากการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือ การพัฒนาที่สมดุล และยั่งยืน พร้อมรับ ต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้ และเทคโนโลยี

หลักของความมีภูมิคุ้มกัน 2 ประการ ภูมิปญ ั ญา : มีความรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง ภูมิธรรม : ซื่อสัตย์ สุจริต ขยันอดทนและแบ่งปัน พอเพียง คือ ไม่เบียดเบียน ความพอเพียงนี้ อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพพูดจาก็พอเพียง ทำไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง

35

โลภน้อย คือ พอเพียง คนเราถ้าพอในความต้องการก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย การปฏิบัติตนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง เราสามารถมีส่วนร่วมในการปฏิบัติตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงโดยร่วมปฏิบัติในสิ่งง่ายดังนี้ ➢ ยึดหลักประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในทุกด้าน ลด ละ ความฟุ่มเฟื่อยในการดำรงชีวิต ➢ ประกอบอาชีพด้วยความถูกต้อง สุจริต แม้จะตกอยู่ในภาวะขาดแคลนในการดำรงชีพ ➢ ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์ที่รุนแรงและไม่ถูกต้อง ➢ ไม่หยุดนิ่งที่จะหาทางให้ชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์ โดยขวนขวายหาความรู้ ให้เกิดรายได้เพิ่มพูน จนถึงขั้นพอเพียง ➢ ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดี ลดละสิ่งชั่วร้ายให้หมดสิ้นไป การนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ➢ ด้านเศรษฐกิจ ไม่ใช้จ่ายเกินตัว ไม่ลงทุนเกินขนาด คิดและวางแผนอย่างรอบคอบ มีภูมิคุ้มกันไม่ เสี่ยงเกินไป เช่น ทำบัญชีรายรับรายจ่ายเพื่อที่จะจัดการการใช้จ่ายเงินได้อย่างเป็นระบบ ➢ ด้านจิตใจ มีจิตใจเข้มแข็ง มีจิตสํานึกที่ดี เอื้ออาทร เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่า ประโยชน์ ส่วนตัว ➢ ด้านสังคมและวัฒนธรรม ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน รู้ รัก สามัคคี สร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัว และชุมชน รักษาเอกลักษณ์ ภาษา ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมไทย ➢ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รู้จักใช้และจัดการอย่างฉลาดและรอบคอบ ฟื้นฟู ทรัพยากรเพื่อให้เกิดความยั่งยืนและคงอยู่ ชั่วลูกหลาน เช่น การใช้น้ำอย่างประหยัด ปิดไฟเมื่อไม่ ใช้งาน ขึ้นลงชั้นเดียวใช้บันไดแทนลิฟท์ ➢ ด้านเทคโนโลยี รู้จักใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการและสภาพแวดล้อม พัฒนาเทคโนโลยีจากภูมิปัญญาชาวบ้าน การจัดการความรู้ (KM) หมายถึง การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคล หรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กร สามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้ง ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถเชิงแข่งขันสูงสุด การจัดการความรู้ คือเครื่องมือเพื่อการบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 4 ประการ ได้แก่ 1. การบรรลุเป้าหมายของงาน 2. การบรรลุเป้าหมายด้านการพัฒนาคน 3. การบรรลุเป้าหมายด้านการพัฒนาองค์กรไปเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ 4. การบรรลุเป้าหมายของการเป็นชุมชน หมู่คณะ ที่มีความเอื้ออาทรระหว่างกันในที่ทำงาน

36

ประเภทขององค์ความรู้ 1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (tacit knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์ หรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจ ในสิ่งต่าง ๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะใน การทำงาน งานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์ บางครั้ง จึงถูกเรียกว่าเป็นความรู้แบบนามธรรม 2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง (explicit knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่าง ๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี คู่มือต่าง ๆ และบางครั้งถูกเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม การจัดการความรู้ เป็นการดำเนินการอย่างน้อย 6 ประการต่อความรู้ 1. กำหนดความรู้หลักที่จำเป็นหรือสำคัญต่องานและองค์กร 2. เสาะหาความรู้ที่ต้องการ 3. ปรับปรุง ดัดแปลง หรือสร้างความรู้ให้เหมาะต่อการใช้งานของตน 4. ประยุกต์ใช้ความรู้กับงานของตน 5. นำประสบการณ์จากการทำงานและการประยุกต์ใช้ความรู้แล้วมาแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และ สกัด “ขุมความรู้” ออกมาบันทึกไว้ 6. จดบันทึก “ขุมความรู้” และ “แก่นความรู้” สำหรับไว้ใช้งานและปรับปรุงเป็นชุดความรู้ที่ ครบถ้วน ลุ่มลึก และเชื่อมโยง ให้เหมาะกับการใช้งานมากขึ้น เป้าหมาย คือ การบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินการตามที่กำหนดไว้ ที่เรียกว่า Operation Effectiveness และนิยามผลสัมฤทธิ์ ออกเป็น 4 ส่วน คือ 1) การสนองตอบ (Responsiveness) ซึ่งรวมทั้งการสนองตอบความต้องการของลูกค้า สนองตอบความต้องการของเจ้าของกิจการหรือผู้ถือหุ้น สนองตอบความต้องการของพนักงาน และสนองตอบ ความต้องการของสังคมส่วนรวม 2) การมีนวัตกรรม (Innovation) ทั้งที่เป็นนวัตกรรมในการทำงาน และนวัตกรรมด้าน ผลิตภัณฑ์หรือบริการ 3) ขีดความสามารถ (Competency) ขององค์กร และของบุคลากรที่พัฒนาขึ้น ซึ่งสะท้อน สภาพการเรียนรู้ขององค์กร 4) ประสิทธิภาพ (Efficiency) ซึง่ หมายถึงสัดส่วนระหว่างผลลัพธ์ กับต้นทุนที่ลงไป การ ทำงานที่ประสิทธิภาพสูง หมายถึง การทำงานที่ลงทุนลงแรงน้อย แต่ได้ผลมากหรือคุณภาพสูง เป้าหมาย สุดท้ายของการจัดการความรู้ คือ การที่กลุ่มคนที่ดำเนินการจัดการความรู้ร่วมกัน มีชุดความรู้ของตนเองที่

37

ร่วมกันสร้างเอง สำหรับใช้งานของตน คนเหล่านี้จะสร้างความรู้ขึ้นใช้เองอยู่ตลอดเวลา โดยที่การสร้างนั้นเป็น การสร้างเพียงบางส่วน เป็นการสร้างผ่านการทดลองเอาความรู้จากภายนอกมาปรับปรุงให้เหมาะต่อสภาพ ของตน และทดลองใช้งาน จัดการความรู้ไม่ใช่กิจกรรมที่ดำเนินการเฉพาะหรือเกี่ยวกับเรื่องความรู้ แต่เป็น กิจกรรมที่แทรก/แฝง หรือในภาษาวิชาการเรียกว่า บูรณาการอยู่กับทุกกิจกรรมของการทำงาน และที่สำคัญ ตัวการจัดการความรู้เองก็ต้องการการจัดการด้วย ตั้งเป้าหมายการจัดการความรู้เพื่อพัฒนา 3 ประเด็น - งาน พัฒนางาน - คน พัฒนาคน - องค์กร เป็นองค์กรการเรียนรู้ วิธีการจัดการความรู้ เมื่อพิจารณาจากข้อกำหนดต่าง ๆ ตามเกณฑ์ EdPEx พบว่ามีประเด็นพิจารณาต่อไปนี้ - การรวบรวมและถ่ายทอดความรู้ของบุคลากร - การผสมผสานและหาความสัมพันธ์ของข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ - การถ่ายทอดความรู้ที่เป็นประโยชน์ ระหว่างหน่วยงานกับผู้เรียน ลูกค้ากลุ่มอื่น ผู้ส่งมอบ คู่ความร่วมมือทั้งที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ - การรวบรวมความรู้และถ่ายทอดความรู้ที่เป็นประโยชน์ไปใช้ใน การสร้างนวัตกรรมและใน กระบวนการวางแผนเชิงกลยุทธ์ การจัดการความรู้ที่ดีเริ่มด้วย - สัมมาทิฐิ : ใช้การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุความสำเร็จและความมั่นคงในระยะยาว - การจัดทีมริเริ่มดำเนินการ - การฝึกอบรมโดยการปฏิบัติจริง และดำเนินการต่อเนื่อง - การจัดการระบบการจัดการความรู้ องค์ประกอบสำคัญของการจัดการความรู้ (Knowledge Process) ➢ “คน” เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดเพราะเป็นแหล่งความรู้ และเป็นผู้นำความรู้ไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ ➢ “เทคโนโลยี” เป็นเครื่องมือเพื่อให้คนสามารถค้นหา จัดเก็บ แลกเปลี่ยน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้อย่าง ง่าย และรวดเร็วขึ้น ➢ “กระบวนการความรู้” เป็นการบริหารจัดการ เพื่อนำความรู้จากแหล่งความรู้ไปให้ผู้ใช้ เพื่อทำให้เกิด การปรับปรุง และนวัตกรรม

38

กระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge Management) เป็นกระบวนการที่จะช่วยให้เกิดพัฒนาการของความรู้ มีทั้งหมด 7 ขั้นตอน 1.การบ่งชี้ความรู้ (Knowledge Identification) เป็นการพิจารณาว่าองค์กรมีวิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์ เป้าหมายคืออะไร เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ต้องใช้อะไร ปัจจุบันมีความรู้อะไรบ้าง อยู่ในรูปแบบใด และอยู่ที่ใคร 2.การสร้างและแสวงหาความรู้ (Knowledge Creation and Acquisition) เป็นการสร้าง แสวงหา รวบรวมความรู้ทั้งภายใน/ภายนอก รักษาความรู้เดิม แยกความรู้ที่ใช้ไม่ได้แล้วออกไป 3.การจัดความรู้ให้เป็นระบบ (Knowledge Organization) เป็นการกำหนดโครงสร้างความรู้ แบ่งชนิด ประเภท เพื่อให้สืบค้น เรียกคืน และใช้งานได้ง่าย 4.การประมวลและกลั่นกรองความรู้ (Knowledge Codification and Refinement) เป็นการปรับปรุง รูปแบบเอกสารให้เป็นมาตรฐาน ใช้ภาษาเดียวกัน ปรับปรุงเนื้อหาให้ครบถ้วนสมบูรณ์ 5.การเข้าถึงความรู้ (Knowledge Access) เป็นการทำให้ผู้ใช้ความรู้เข้าถึงความรู้ที่ต้องการได้ง่ายและ สะดวก เช่น ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) Web board บอร์ดประชาสัมพันธ์ เป็นต้น 6.การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ (Knowledge Sharing) เป็นการแบ่งปัน สามารถทำได้หลายวิธีการ โดยกรณีที่เป็นความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) อาจจัดทำเป็นเอกสาร ฐานความรู้ เทคโนโลยี สารสนเทศ หรือกรณีที่เป็นความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) จัดทำเป็นระบบทีมข้ามสายงาน กิจกรรมกลุ่ม คุณภาพและนวัตกรรม ชุมชนแห่งการเรียนรู้ ระบบพี่เลี้ยง การสับเปลี่ยนงาน เวทีแลกเปลี่ยนความรู้ เป็นต้น 7.การเรียนรู้ (Learning) เป็นการนำความรู้มาใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจ แก้ปัญหา และทำให้เป็น ส่วนหนึ่งของงาน เช่น เกิดระบบการเรียนรู้จากสร้างองค์ความรู้ การนำความรู้ในไปใช้ เกิดการเรียนรู้ และ ประสบการณ์ใหม่ และหมุนเวียนต่อไปอย่างต่อเนื่อง หัวใจของการจัดการความรู้ มีผู้รู้ได้กล่าวถึง KM หลายแง่หลายมุมที่อาจรวบรวมมาชี้ธงคำตอบว่า หัวใจของ KM อยู่ที่ไหนได้ โดยอาจกล่าวเป็นลำดับขั้นหัวใจของ KM เหมือนกับลำดับขั้นของความต้องการ ( Hierarchy of needs ) ของ Mcgregor ได้ โดยเริ่มจากข้อสมมุติฐานแรกที่เป็นสากลที่ยอมรับทั่วไปว่าความรู้คือพลัง (DOPA KM Team) 1. Knowledge is Power : ความรู้คือพลัง 2. ความสำเร็จของการถ่ายทอดความรู้ไม่ใช่อยู่ที่คอมพิวเตอร์หรือเอกสาร แต่อยู่ที่การมี ปฏิสัมพันธ์ ระหว่างคนด้วยกัน 3. จุดหมายปลายทางสำคัญของความรู้มิใช่ที่ตัวความรู้แต่อยู่ที่การนำไปปฏิบัติ 4. นิยามใหม่ของผู้จัดการ คือผู้ซึ่งทำให้ความรู้ผลิตดอกออกผล เครื่องมือในการจัดการความรู้ การจัดการความรู้ประกอบด้วย กระบวนการหลัก ๆ ได้แก่ การค้นหาความรู้ การสร้างและ แสวงหา ความรู้ใหม่ การจัดความรู้ให้เป็นระบบ การประมวลผลและกลั่นกรองความรู้ การแบ่งปันแลกเปลี่ยน ความรู้ สุดท้ายคือการเรียนรู้ และเพื่อให้มีการนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร เครื่องมือ

39

หลากหลายประเภทถูกสร้างขึ้นมาเพื่อนำไปใช้ในการถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความรู้ ซึ่งอาจแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ใหญ่ ๆ คือ 1.เครื่องมือที่ช่วยในการ “เข้าถึง” ความรู้ ซึ่งเหมาะสำหรับความรู้ประเภท Explicit มักเป็นแบบทาง เดียว 2.เครื่องมือที่ช่วยในการ “ถ่ายทอด” ความรู้ ซึ่งเหมาะสำหรับความรู้ประเภท อาศัยการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างบุคคลเป็นหลัก ในบรรดาเครื่องมือดังกล่าวที่มีผู้นิยมใช้กันมากประเภทหนึ่งคือ ชุมชนแห่งการเรียนรู้ หรือชุมชน นักปฏิบัติ Community of practice :cop ตัวอย่างเครื่องมือ 1.ชุมชนนักปฏิบัติ (Community of practice :cop) 2.การศึกษาดูงาน (Study tour) 3.การทบทวนหลังปฏิบัติการหรือการถอดบทเรียน (After action review : AAR) 4.การเรียนรู้ร่วมกันหลังงานสำเร็จ เรื่องเล่าเร้าพลัง (Retrospect) 5.เรื่องเล่าเร้าพลัง (Springboard Storytelling) ชุมชนนักปฏิบัติ (COP : Community of Practice) คือ ชุมชนที่มีการรวมตัวกัน หรือเชื่อมโยงกันอย่างไม่ เป็นทางการ โดยมีลักษณะดังนี้ 1. ประสบปัญหาลักษณะเดียวกัน 2. มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน ต้องการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากกันและกัน 3. มีเป้าหมายร่วมกัน มีความมุ่งมั่นร่วมกัน ที่จะพัฒนาวิธีการทำงานได้ดีขึ้น 4. วิธีปฏิบัติคล้ายกัน ใช้เครื่องมือ และภาษาเดียวกัน 5. มีความเชื่อและยึดถือคุณค่าเดียวกัน 6. มีบทบาทในการสร้าง และใช้ความรู้ 7. มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกันและกัน อาจจะพบกันด้วยตัวจริง หรือผ่านเทคโนโลยี 8. มีช่องทางเพื่อการไหลเวียนของความรู้ ทำให้ความรู้เข้าไปถึงผู้ที่ต้องการใช้ได้ง่าย 9. มีความร่วมมือช่วยเหลือ เพื่อพัฒนาและเรียนรู้จากสมาชิกด้วยกันเอง 10. มีปฏิสัมพันธ์ต่อเนื่อง มีวิธีการเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่สายในทางสังคม

40

ชุมชนนักปฏิบัติมีความสำคัญอย่างไร เครือข่ายความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการ เกิดจากความใกล้ชิด ความพอใจ และพื้นฐานที่ใกล้เคียงกัน ลักษณะที่ไม่เป็นทางการจะเอื้อต่อการเรียนรู้และการสร้างความรู้ใหม่ๆ มากกว่าโครงสร้างที่เป็นทางการ คำว่า ปฏิบัติ หรือ practice ใน CoP ชี้จุดเน้นที่ การเรียนรู้ซึ่งได้รับจากการทำงาน เป็นหลัก เป็นแง่มุมเชิงปฏิบัติ ปัญหาประจำวัน เครื่องมือใหม่ๆ พัฒนาการในเรื่องงาน วิธีการทำงานที่ได้ผล และไม่ได้ผล การมีปฏิสัมพันธ์ ระหว่างบุคคล ทำให้เกิดการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความรู้ฝังลึก สร้างความรู้ และความเข้าใจได้มากกว่าการ เรียนรู้ จากหนังสือ หรือการฝึกอบรมตามปกติ เครือข่ายที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งมีสมาชิกจากต่างหน่วยงาน ช่วยให้ องค์กรประสบความสำเร็จได้ดีกว่า การสื่อสารตามโครงสร้างที่เป็นทางการ ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับชุมชนนักปฏิบัติ โมเดลจัดการความรู้ โมเดลเซกิ (SECI Model) คือ แผนภาพแสดงความสัมพันธ์การหลอมรวมความรู้ในองค์กรระหว่างความรู้ฝัง ลึก (Tacit Knowledge) กับความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ใน 4 กระบวนการ เพื่อยกระดับความรู้ให้ สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นวัฎจักร เริ่มจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Socialization) การสกัดความรู้ออกจากตัวคน (Externalization) การควบรวมความรู้ (Combination) และการผนึกฝังความรู้ (Internalization) และวน กลับมาเริ่มต้นทำซ้ำที่กระบวนการแรกเพื่อพัฒนาการจัดการความรู้ให้เป็นงานประจำที่ยั่งยืน 1. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กระบวนการที่ 1 อธิบายความสัมพันธ์ทางสังคมในการส่งต่อระหว่างความรู้ฝังลึก 2. การสกัดความรู้ออกจากตัวคน กระบวนการที่ 2 อธิบายความสัมพันธ์กับภายนอกในการส่งต่อระหว่าง ความรู้ฝังลึก 3. การควบรวมความรู้ กระบวนการที่ 3 อธิบายความสัมพันธ์การรวมกันของความรู้ชัดแจ้งที่ผ่านการ จัดระบบ และบูรณาการความรู้ที่ต่างรูปแบบเข้าด้วยกัน 4. การผนึกฝังความรู้ กระบวนการที่ 4 อธิบายความสัมพันธ์ภายในที่มีการส่งต่อความรู้ชัดแจ้ง สู่ความรู้ฝัง ลึก แล้วมีการนำไปใช้ในระดับบุคคล ครอบคลุมการเรียนรู้และลงมือทำ โมเดลปลาทู (Tuna Model) เปรียบการจัดการความรู้ เหมือนกับปลาทูหนึ่งตัวที่มี 3 ส่วนสัมพันธ์กัน ส่วน “หัวปลา” (Knowledge Vision- KV) หมายถึง ส่วนที่เป็นเป้าหมาย วิสัยทัศน์ หรือทิศทางของ การจัดการความรู้ โดยก่อนที่จะทำจัดการความรู้ ต้องตอบให้ได้ว่า “เราจะทำ KM ไปเพื่ออะไร ?” โดย “หัว ปลา” นี้จะต้องเป็นของ “คุณกิจ” หรือ ผู้ดำเนินกิจกรรม KM ทั้งหมด โดยมี “คุณเอื้อ” และ “คุณอำนวย” คอยช่วยเหลือ ส่วน “ตัวปลา” (Knowledge Sharing-KS) หมายถึง ส่วนของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็น ส่วนสำคัญ ซึ่ง “คุณอำนวย” จะมีบทบาทมากในการช่วยกระตุ้นให้ “คุณกิจ” มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความรู้ โดยเฉพาะความรู้ซ่อนเร้นที่มีอยู่ในตัว “คุณกิจ” พร้อมอำนวยให้เกิดบรรยากาศในการเรียนรู้แบบเป็นทีม ให้ เกิดการหมุนเวียนความรู้ ยกระดับความรู้ และเกิดนวัตกรรม ส่วน “หางปลา” (Knowledge Assets-KA) หมายถึง ส่วนของ “คลังความรู้” หรือ “ขุมความรู้” ที่ ได้จากการเก็บสะสม “เกร็ดความรู้” ที่ได้จากกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “ตัวปลา” ซึ่งเราอาจเก็บส่วน

41

ของ “หางปลา” นี้ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น ICT ซึ่งเป็นการสกัดความรู้ที่ซ่อนเร้นให้เป็นความรู้ที่เด่นชัด นำไป เผยแพร่และแลกเปลี่ยนหมุนเวียนใช้ พร้อมยกระดับต่อไป

42

มาตรฐานวิชาชีพครูของคุรุสภา ประกอบด้วยมาตรฐาน ๓ ด้าน คือ มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ มาตรฐานการปฏิบัติงาน และ มาตรฐานการปฏิบัติตน (จรรยาบรรณของวิชาชีพ) โดยจรรยาบรรณของวิชาชีพได้มีการก าหนดแบบแผน พฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ เพื่อประมวล พฤติกรรมที่เป็นตัวอย่างของการประพฤติปฏิบัติ ประกอบด้วย พฤติกรรมที่พึงประสงค์ และพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์

• มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ มาตรฐานความรู้ มีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการศึกษา หรือ เทียบเท่า หรือคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภารับรอง โดยมี ความรู้ ดังต่อไปนี้ 1. ความเป็นครู 2. ปรัชญาการศึกษา 3. ภาษาและวัฒนธรรม 4. จิตวิทยาสำหรับครู 5. หลักสูตร 6. การจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน 7. การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ 8. นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทาง การศึกษา 9. การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ 10. การประกันคุณภาพการศึกษา 11. คุณธรรม จริยธรรม และ

มาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพ ผ่านการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาตามหลักสูตร ปริญญาทางการศึกษา เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี และผ่านเกณฑ์การประเมินปฏิบัติการสอนตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการคุรุ สภาก าหนด ดังต่อไปนี้ 1. การฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน 2. การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาใน สาขาวิชาเฉพาะ

43

1.1.มาตรฐานความรู้ มาตรฐานความรู้ 1. ความเป็นครู

2.ปรัชญาการศึกษา

3.ภาษาและวัฒนธรรม

4.จิตวิทยาสำหรับครู

5.หลักสูตร

สาระความรู้ 1. สภาพงานครู คุณลักษณะ และ มาตรฐาน วิชาชีพครู 2. การปลูกฝังจิตวิญญาณความเป็นครู 3. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับครูและวิชาชีพ ครู 4. การจัดการความรู้เกี่ยวกับวิชาชีพครู 5. การสร้างความก้าวหน้าและพัฒนา วิชาชีพ ครูอย่างต่อเนื่อง 1. ปรัชญา แนวคิด และทฤษฎีทางการ ศึกษา ศาสนา เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม 2. แนวคิด และกลวิธีการจัดการศึกษา เพื่อ เสริมสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืน 1. ภาษาและวัฒนธรรมไทยเพื่อการเป็นครู 2. ภาษาต่างประเทศเพื่อพัฒนาวิชาชีพครู

สมรรถนะ 1. รอบรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอนและกลยุทธ์ การสอน เพื่อให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้ 2.แสวงหาและเลือกใช้ข้อมูลข่าวสาร ความรู้เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง 3.ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้เรียนที่ ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพผู้เรียน 1. ประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาสถานศึกษา 2. วิเคราะห์เกี่ยวกับการศึกษาเพื่อการ พัฒนาที่ยั่งยืน

1. สามารถใช้ทักษะการฟัง การพูด การ อ่าน การเขียนภาษาไทย และ ภาษาต่างประเทศ เพื่อการสื่อความหมาย อย่างถูกต้อง 2. ใช้ภาษาและวัฒนธรรมเพื่อการอยู่ ร่วมกันอย่างสันติ 1. จิตวิทยาพื้นฐานและจิตวิทยาพัฒนาการ 1. สามารถให้คำแนะนำช่วยเหลือผู้เรียน ของมนุษย์ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 2. จิตวิทยาการเรียนรู้และจิตวิทยา 2. ใช้จิตวิทยาเพื่อความเข้าใจและ การศึกษา สนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียนให้เต็ม 3. จิตวิทยาการแนะแนวและการให้ ศักยภาพ คำปรึกษา 1. หลักการ แนวคิดในการจัดทำหลักสูตร 1. วิเคราะห์หลักสูตรและสามารถจัดทำ 2. การนำหลักสูตรไปใช้ หลักสูตรได้ 3. การพัฒนาหลักสูตร 2.ปฏิบัติการประเมินหลักสูตรและนำผล การประเมินไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตร

44

มาตรฐานความรู้ สาระความรู้ 6.การจัดการเรียนรู้และ 1. หลักการ แนวคิด แนวปฏิบัติเกี่ยวกับ การจัดการชั้นเรียน การ จัดทำแผนการเรียนรู้ การจัดการ เรียนรู้ และ สิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ 2.ทฤษฎีและรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อ ให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ และ แก้ปัญหาได้ 3. การบูรณาการการเรียนรู้แบบเรียนรวม 4. การจัดการชั้นเรียน 5. การพัฒนาศูนย์การเรียนในสถานศึกษา 7 . การวิจัยเพื่อ 1.หลักการ แนวคิด แนวปฏิบัติในการวิจัย พัฒนาการเรียนรู้ 2. การใช้และผลิตงานวิจัยเพื่อพัฒนาการ เรียนรู 8.นวัตกรรมและ เทคโนโลยีสารสนเทศ ทางการศึกษา 9.การวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้

สมรรถนะ 1. สามารถจัดทำแผนการเรียนรู้และ นำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลจริง 2. สามารถสร้างบรรยากาศการจัดการชั้น เรียนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้

1. สามารถนำผลการวิจัยไปใช้ในการ จัดการเรียนการสอน 2. สามารถทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียน การ สอนและพัฒนาผู้เรียน 1. หลักการ แนวคิด การออกแบบ การ 1.ประยุกต์ใช้ และประเมินสื่อ นวัตกรรม ประยุกต์ใช้ และการประเมินสื่อ นวัตกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ 2.สามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อ การ 2. เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสาร สื่อสาร 1. หลักการ แนวคิด และแนวปฏิบัติในการ 1. สามารถวัดและประเมินผลได้ วัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน 2. สามารถนำผลการประเมินไปใช้ในการ 2.ปฏิบัติการวัดและการประเมินผล พัฒนาผู้เรียน

10. การประกันคุณภาพ 1.หลักการ แนวคิด แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการ 1. สามารถจัดการคุณภาพการจัดกิจกรรม การศึกษา จัดการคุณภาพการศึกษา การเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ 2. การประกันคุณภาพการศึกษา อย่างต่อเนื่อง 2. สามารถด าเนินการจัดกิจกรรมประเมิน คุณภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้ 11. คุณธรรม จริยธรรม 1. หลักธรรมาภิบาล และความซื่อสัตย์ 1. ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี มีจิตสำนึก และจรรยาบรรณ สุจริต สาธารณะ และเสียสละให้สังคม 2.คุณธรรม และจริยธรรมของวิชาชีพครู 2. ปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ 3. จรรยาบรรณของวิชาชีพที่คุรุสภา กำหนด

45

1.2 มาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพครู มาตรฐานประสบการณ์วชิ าชีพครู สาระการฝึก 12.การฝึกปฏิบัติ วิชาชีพระหว่าง 1. การสังเกตการณ์จัดการเรียนรู้ เรียน 2.การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ ให้ผู้เรียน สร้างความรู้ด้วยตนเอง 3.การทดลองสอนในสถานการณ์ จำลอง และ สถานการณ์จริง 4.การออกแบบทดสอบ ข้อสอบ หรือเครื่องมือ วัดผล 5. การตรวจข้อสอบ การให้คะแนน และการ ตัดสินผลการเรียน 6. การสอบภาคปฏิบัติและการให้ คะแนน 7. การวิจัยแก้ปัญหาผู้เรียน 8. การพัฒนาความเป็นครูมืออาชีพ 13.การปฏิบัติการสอนใน สถานศึกษาในสาขาวิชาเฉพาะ

1. การปฏิบัติการสอนวิชาเอก 2. การวัดและประเมินผล และนำ ผลไปใช้ใน การพัฒนาผู้เรียน 3. การวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน 4. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือ แบ่งปัน ความรู้ในการสัมมนา การศึกษา

สมรรถนะ 1. สามารถจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อจุดประสงค์การสอนที่หลากหลาย 2.สามารถปฏิบัติการสอน ออกแบบ ทดสอบ วัดและประเมินผลผู้เรียน

1. สามารถจัดการเรียนรู้ในสาขาวิชาเอก 2. สามารถประเมิน ปรับปรุง และ ศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน 3. ปฏิบัติงานอื่นที่ได้รับมอบหมาย

1. มาตรฐานการปฏิบัติงาน มาตรฐานที่ ๑ ปฏิบัติกิจกรรมทางวิชาการเกี่ยวกับการพัฒนาวิชาชีพครูอยู่เสมอ หมายถึง การศึกษา ค้นคว้าเพื่อพัฒนาตนเอง การเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ และการเข้าร่วมกิจกรรมทางวิชาการที่ องค์การ หรือหน่วยงาน หรือสมาคมจัดขึ้น เช่น การประชุม การอบรม การสัมมนา และการประชุมปฏิบัติการ เป็น ต้น ทั้งนี้ต้องมีผลงานหรือรายงานที่ปรากฏชัดเจน มาตรฐานที่ ๒ ตัดสินใจปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ โดยคำนึงถึงผลที่จะเกิดแก่ผู้เรียน หมายถึง การเลือก อย่างชาญฉลาด ด้วยความรัก และหวังดีต่อผู้เรียน ดังนั้น ในการเลือกกิจกรรมการเรียนการสอน และ กิจกรรมอื่น ๆ ครูต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดแก่ผู้เรียนเป็นหลัก

46

มาตรฐานที่ ๓ มุ่งมั่นพัฒนาผู้เรียนได้เต็มตามศักยภาพ หมายถึง การใช้ความพยายามอย่างเต็ม ความสามารถของครูที่จะให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ให้มากที่สุด ตามความถนัด ความสนใจ ความต้องการ โดยวิเคราะห์วินิจฉัยปัญหาความต้องการที่แท้จริงของผู้เรียน ปรับเปลี่ยนวิธีการสอนที่จะให้ ได้ผลดี กว่าเดิม รวมทั้งการส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ ตามศักยภาพของผู้เรียนแต่ละคนอย่างเป็นระบบ มาตรฐานที่ ๔ พัฒนาแผนการสอนให้สามารถปฏิบัติได้เกิดผลจริง หมายถึง การเลือกใช้ ปรับปรุง หรือสร้างแผนการสอน บันทึกการสอน หรือเตรียมการสอนในลักษณะอื่น ๆ ที่สามารถนำไปใช้จัดกิจกรรม การเรียนการสอน ให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ มาตรฐานที่ ๕ พัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ หมายถึง การประดิษฐ์ คิดค้น ผลิต เลือกใช้ ปรับปรุงเครื่องมืออุปกรณ์ เอกสารสิ่งพิมพ์ เทคนิควิธีการต่างๆ เพื่อให้ ผู้เรียนบรรลุ จุดประสงค์ของการเรียนรู้ มาตรฐานที่ ๖ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยเน้นผลถาวรที่เกิดแก่ผู้เรียน หมายถึง การจัดการ เรียนการสอนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการแสวงหาความรู้ ตามสภาพความแตกต่าง ของ บุคคลด้วยการปฏิบัติจริง และสรุปความรู้ทั้งหลายได้ด้วยตนเองก่อให้เกิดค่านิยมและนิสัยในการปฏิบัติจน เป็น บุคลิกภาพถาวรติดตัวผู้เรียนตลอดไป มาตรฐานที่ ๗ รายงานผลการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนได้อย่างมีระบบ หมายถึง การรายงานผล การพัฒนาผู้เรียนที่เกิดจากการปฏิบัติการเรียนการสอนให้ครอบคลุมสาเหตุ ปัจจัย และการดำเนินงานที่ เกี่ยวข้อง โดยครูนำเสนอรายงานการปฏิบัติในรายละเอียด ดังนี้ ๑)ปัญหาความต้องการของผู้เรียนที่ต้องได้รับการพัฒนา และเป้าหมายของการพัฒนาผู้เรียน ๒)เทคนิค วิธีการ หรือนวัตกรรมการเรียนการสอนที่นำมาใช้เพื่อการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน และ ขั้นตอน วิธีการใช้เทคนิควิธีการหรือนวัตกรรมนั้น ๆ ๓)ผลการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามวิธีการที่กำหนด ที่เกิดกับผู้เรียน ๔)ข้อเสนอแนะแนวทางใหม่ ๆ ในการปรับปรุงและพัฒนาผู้เรียนให้ได้ผลดียิ่งขึ้น มาตรฐานที่ ๘ ปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้เรียน หมายถึง การแสดงออกการประพฤติและปฏิบัติใน ด้านบุคลิกภาพทั่วไป การแต่งกาย กิริยา วาจา และจริยธรรมที่ เหมาะสมกับความเป็นครูอย่างสม่ำสมอ ที่ ทำให้ผู้เรียนเลื่อมใสศรัทธา และถือเป็นแบบอย่าง มาตรฐานที่ ๙ ร่วมมือกับผู้อื่นในสถานศึกษาอย่างสร้างสรรค์ หมายถึง การตระหนักถึงความสำคัญ รับฟังความคิดเห็น ยอมรับในความรู้ความสามารถ ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติ กิจกรรมต่าง ๆ ของเพื่อน ร่วมงานด้วยความเต็มใจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของสถานศึกษา และร่วมรับผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้น มาตรฐานที่ ๑๐ ร่วมมือกับผู้อื่นในชุมชนอย่างสร้างสรรค์ หมายถึง การตระหนักถึงความสำคัญ รับ ฟังความคิดเห็น ยอมรับในความรู้ความสามารถ ของบุคคลอื่นในชุมชน และ ร่วมมือปฏิบัติงานเพื่อพัฒนา งานของสถานศึกษา ให้ชุมชนและสถานศึกษามีการยอมรับซึ่งกันและกัน และปฏิบัติงาน ร่วมกันด้วยความ เต็มใจ

47

มาตรฐานที่ ๑๑ แสวงหาและใช้ข้อมูลข่าวสารในการพัฒนา หมายถึง การค้นหา สังเกต จดจำ และรวบรวมข้อมูลข่าวสารตามสถานการณ์ของสังคมทุกด้าน โดยเฉพาะสารสนเทศ เกี่ยวกับวิชาชีพครู สามารถวิเคราะห์ วิจารณ์อย่างมีเหตุผล และใช้ข้อมูลประกอบการแก้ปัญหา พัฒนาตนเอง พัฒนางาน และ พัฒนาสังคมได้อย่างเหมาะสม มาตรฐานที่ ๑๒ สร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในทุกสถานการณ์ หมายถึง การสร้างกิจกรรมการ เรียนรู้โดยการนำเอาปัญหาหรือความจำเป็นในการพัฒนาต่างๆ ทีเ่ กิดขึ้นในการเรียน และการจัดกิจกรรม อื่นๆ ในโรงเรียนมากำหนดเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาของผู้เรียนที่ถาวร เป็น แนวทาง ในการแก้ปัญหาของครูอีกแบบหนึ่งที่จะนำเอาวิกฤติต่างๆ มาเป็นโอกาส ในการพัฒนา ครูจำเป็นต้องมอง มุม ต่างๆ ของปัญหาแล้วผันมุมของปัญหาไปในทางการพัฒนา กำหนดเป็นกิจกรรมในการพัฒนาของ ผู้เรียน ครูจึงต้อง เป็นผู้มองมุมบวกในสถานการณ์ต่างๆ ได้ กล้าที่จะเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ มีสติในการ แก้ปัญหา มิได้ตอบสนองปัญหา ต่างๆ ด้วยอารมณ์หรือแง่มุมแบบตรงตัว ครูสามารถมองหักมุมในทุกๆ โอกาส มองเห็นแนวทางที่นำสู่ผลก้าวหน้าของ ผู้เรียน 3.มาตรฐานการปฏิบัติตน (จรรยาบรรณของวิชาชีพ) จรรยาบรรณต่อตนเอง ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องมีวินัยในตนเอง พัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ บุคลิกภาพ และวิสัยทัศน์ ให้ทันต่อการพัฒนาทางวิทยาการ เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอยู่เสมอ จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องรัก ศรัทธา ซื่อสัตย์สุจริต รับผิดชอบต่อวิชาชีพ และเป็นสมาชิกที่ดี ขององค์กรวิชาชีพ จรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ 1. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริม ให้กำลังใจแก่ศิษย์และ ผู้รับบริการ ตามบทบาทหน้าที่โดยเสมอหน้า 2. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ ทักษะ และนิสัยที่ถูกต้องดีงามแก่ศิษย์ และผู้รับบริการ ตามบทบาทหน้าที่อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจ 3. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ 4. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์และผู้รับบริการ 5. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องให้บริการด้วยความจริงใจและเสมอภาค โดยไม่เรียกรับหรือ ยอมรับ ผลประโยชน์จากการใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ จรรยาบรรณต่อผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พึงช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน อย่างสร้างสรรค์ โดยยึดมั่นในระบบ คุณธรรม สร้างความสามัคคีในหมู่คณะ จรรยาบรรณต่อสังคม ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้นำในการอนุรักษ์และ พัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา สิ่งแวดล้อม รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมและ ยึดมั่นในการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

48

การจำแนกพฤติกรรมที่พึง/ไม่พึงประสงค์ จรรยาบรรณต่อตนเอง 1. ครูต้องมีวินัยในตนเอง พัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ บุคลิกภาพ และวิสัยทัศน์ ให้ทันต่อการพัฒนาทาง วิทยาการ เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอยู่เสมอ โดยต้องประพฤติและละเว้นการประพฤติตามแบบแผน พฤติกรรม ดังตัวอย่างต่อไปนี้ พฤติกรรมที่พึงประสงค์ พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ 1.)ประพฤติตนเหมาะสมกับสถานภาพและเป็น 1.เกี่ยวข้องกับอบายมุขหรือเสพสิ่งเสพติดจนขาดสติ แบบอย่างที่ดี หรือแสดงกิริยาไม่สุภาพเป็นที่น่ารังเกียจในสังคม 2.ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิตตาม 2.ประพฤติผิดทางชู้สาวหรือมีพฤติกรรมล่วงละเมิด ประเพณีและวัฒนธรรมไทย ทางเพศ 3.ปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จอย่าง 3.ขาดความรับผิดชอบ ความกระตือรือร้น ความเอา ใจ มีคุณภาพตามเป้าหมายที่กำหนด ใส่ จนเกิดความเสียหายในการปฏิบัติงานตามหน้าที่ 4.ศึกษาหาความรู้วางแผนพัฒนาตนเองพัฒนางาน 4.ไม่รับรู้หรือไม่แสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ในการ จัดการ และสะสมผลงานอย่างสม่ำเสมอ เรียนรู้ และการปฏิบัติหน้าที่ 5. ค้นคว้า แสวงหา และนำเทคนิคด้านวิชาชีพ ที่ พัฒนา 5.ขัดขวางการพัฒนาองค์การจนเกิดผลเสียหาย และก้าวหน้าเป็นที่ยอมรับมาใช้แก่ศิษย์และ ผู้รับบริการ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่พึงประสงค์ จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ 2. ครูต้องรัก ศรัทธา ซื่อสัตย์สุจริต รับผิดชอบต่อวิชาชีพ และเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรวิชาชีพ โดยต้อง ประพฤติและละเว้นการประพฤติตามแบบแผนพฤติกรรม ดังตัวอย่างต่อไปนี้ พฤติกรรมที่พึงประสงค์ พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ 1.แสดงความชื่นชมและศรัทธาในคุณค่าของวิชาชีพ 1.ไม่แสดงความภาคภูมิใจในการประกอบวิชาชีพ 2. รักษาชื่อเสียงและปกป้องศักดิ์ศรีแห่งวิชาชีพ 2.ดูหมิ่น เหยียดหยาม ให้ร้ายผู้ร่วมประกอบ 3.ยกย่องและเชิดชูเกียรติผู้มีผลงานในวิชาชีพให้ วิชาชีพ ศาสตร์ในวิชาชีพ หรือองค์กรวิชาชีพ สาธารณชนรับรู้ 3.ประกอบการงานอื่นที่ไม่เหมาะสมกับการเป็นผู้ 4.อุทิศตนเพื่อความก้าวหน้าของวิชาชีพ ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา 5.ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์สุจริต ตาม 4.ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่รับผิดชอบ หรือไม่ปฏิบัติตาม กฎ ระเบียบ และแบบแผนของทางราชการ กฎ ระเบียบ หรือแบบแผนของทางราชการจน 6.เลือกใช้หลักวิชาที่ถูกต้อง สร้างสรรค์ เทคนิค วิธีการ ก่อให้เกิดความเสียหาย ใหม่ เพื่อพัฒนาวิชาชีพ 5.คัดลอกหรือนำผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน 7.ใช้องค์ความรู้หลากหลายในการปฏิบัติหน้าที่และ 6.ใช้หลักวิชาการที่ไม่ถูกต้องในการปฏิบัติวิชาชีพ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสมาชิกในองค์การ ส่งผลให้ศิษย์หรือผู้รับบริการเกิดความเสียหาย

49

8.เข้าร่วมกิจกรรมของวิชาชีพหรือองค์กรวิชาชีพอย่าง 7.ใช้ความรู้ทางวิชาการ วิชาชีพ หรืออาศัย องค์กร สร้างสรรค์ วิชาชีพแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองหรือ ผู้อื่นโดย มิชอบ จรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ 8.ครูต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริม ให้ กำลังใจแก่ศิษย์และผู้รับบริการ ตามบทบาทหน้าที่ จรรยาบรรณต่อผูร้ ับบริการ 3.ครูต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริม ให้กำลังใจแก่ศิษย์และผู้รับบริการ ตามบทบาทหน้าที่โดย เสมอหน้า 4. ครูต้องส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ทักษะ และนิสัยที่ถูกต้องดีงามแก่ศิษย์และผู้รับบริการ ตามบทบาทหน้าที่ อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจ 5. ครูต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ 6. ครูต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์และ ผู้รับบริการ 7.ครูต้องให้บริการด้วยความจริงใจและเสมอภาค โดยไม่เรียกรับหรือยอมรับผลประโยชน์ จากการใช้ ตำแหน่ง หน้าที่โดยมิชอบ โดยต้องประพฤติและละเว้นการประพฤติตามแบบแผนพฤติกรรม ดังตัวอย่างต่อไปนี้ พฤติกรรมที่พึงประสงค์ พฤติกรรมทีไ่ ม่พึงประสงค์ 1.ให้คำปรึกษาหรือช่วยเหลือศิษย์และผู้รับบริการด้วย 1.ลงโทษศิษย์อย่างไม่เหมาะสม ความเมตตากรุณาอย่างเต็มกำลังความสามารถ และ 2.ไม่ใส่ใจหรือไม่รับรู้ปัญหาของศิษย์หรือผู้รับบริการ เสมอภาค จนเกิดผลเสียหายต่อศิษย์หรือผู้รับบริการ 2.สนับสนุนการดำเนินงานเพื่อปกป้องสิทธิเด็ก 3.ดูหมิ่นเหยียดหยามศิษย์หรือผู้รับบริการ เยาวชน และผู้ด้อยโอกาส 4.เปิดเผยความลับของศิษย์หรือผู้รับบริการเป็นผล 3.ตั้งใจ เสียสละ และอุทิศตนในการปฏิบัติ หน้าที่ ให้ ได้รับความอับอายหรือเสื่อมเสียชื่อเสียง เพื่อให้ศิษย์และผู้รับบริการได้รับการพัฒนาตาม 5.จูงใจ โน้มน้าว ยุยงส่งเสริมให้ศิษย์หรือผู้รับบริการ ความสามารถ ความถนัด และความสนใจของ แต่ละ ปฏิบัติขัดต่อศีลธรรมหรือกฎระเบียบ บุคคล 6.ชักชวนใช้จ้างวานศิษย์หรือผู้รับบริการให้จัดซื้อ 4.ส่งเสริมให้ศิษย์และผู้รับบริการสามารถแสวงหา จัดหา สิ่งเสพติดหรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับอบายมุข ความรู้ได้ด้วยตนเองจากสื่อ อุปกรณ์และ แหล่ง เรียนรู้ 7.เรียกร้องผลตอบแทนจากศิษย์หรือผู้รับบริการใน อย่างหลากหลาย งานตามหน้าที่ที่ต้องให้บริการ 5.ให้ศิษย์และผู้รับบริการมีส่วนร่วมวางแผนการ เรียนรู้ และเลือกวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสมกับตนเอง 6.เสริมสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ศิษย์และ ผู้รับบริการ ด้วยการรับฟังความคิดเห็น ยก ย่อง ชมเชย และให้

50

กำลังใจอย่างกัลยาณมิตร จรรยาบรรณต่อผูร้ ่วมประกอบวิชาชีพ 8. ครูพึงช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างสร้างสรรค์ โดยยึดมั่นในระบบคุณธรรม สร้างความสามัคคีในหมู่ คณะ โดยพึงประพฤติและละเว้นการประพฤติตามแบบแผนพฤติกรรม ดังตัวอย่างต่อไปนี้ พฤติกรรมที่พึงประสงค์ พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ 1.เสียสละ เอื้ออาทร และให้ความช่วยเหลือผู้ร่วม 1.ปิดบังข้อมูลข่าวสารในการปฏิบัติงานจนทำให้เกิด ประกอบวิชาชีพ ความเสียหายต่องานหรือผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ 2.มีความรัก ความสามัคคี และร่วมใจกันผนึกกำลัง 2.ปฏิเสธความรับผิดชอบโดยตำหนิให้ร้ายผู้อื่นใน ใน การพัฒนาการศึกษา ความบกพร่องที่เกิดขึ้น 3.สร้างกลุ่มอิทธิพลภายในองค์การหรือกลั่นแกล้ง ผู้ ร่วมประกอบวิชาชีพให้เกิดความเสียหาย 4.เจตนาให้ข้อมูลเท็จทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือ เกิดความเสียหายต่อผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ 5.วิพากษ์ วิจารณ์ผู้ร่วมประกอบวิชาชีพในเรื่องที่ ก่อให้เกิดความเสียหายหรือแตกความสามัคคี จรรยาบรรณต่อสังคม 9.ครูพึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้นำในการอนุรักษ์และพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิ ปัญญา สิ่งแวดล้อม รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมและยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยพึงประพฤติและละเว้นการประพฤติตามแบบแผนพฤติกรรม ดังตัวอย่าง ต่อไปนี้ พฤติกรรมที่พึงประสงค์ พฤติกรรมทีไ่ ม่พึงประสงค์ 1.ยึดมั่น สนับสนุน และส่งเสริมการปกครองระบอบ 1.ไม่ให้ความร่วมมือหรือสนับสนุนกิจกรรมของ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ชุมชนที่ จัดเพื่อประโยชน์ต่อการศึกษาทั้งทางตรง 2.นำภูมิปัญญาท้องถิ่นและศิลปวัฒนธรรมมาเป็น หรือ ทางอ้อม ปัจจัยในการจัดการศึกษาให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม 2.ไม่แสดงความเป็นผู้นำในการอนุรักษ์หรือพัฒนา 3.จัดกิจกรรมส่งเสริมให้ศิษย์เกิดการเรียนรู้และ เศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ศิลปวัฒนธรรมภูมิปัญญา สามารถดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง หรือสิ่งแวดล้อม 4.เป็นผู้นำในการวางแผนและดำเนินการเพื่ออนุรักษ์ 3.ไม่ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีในการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมพัฒนาเศรษฐกิจ ภูมิปัญญา ท้องถิ่น และ หรือ พัฒนาสิ่งแวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม 4.ปฏิบัติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อวัฒนธรรมอันดีงามของ ชุมชนหรือสังคม

51

52

53

54

55

56

แนวข้อสอบจำนวน 120 ข้อ เรื่อง ปรัชญาการศึกษา 1. ปรัชญาประสบการณ์ยมมีชื่อเรียกชื่อหนึ่งว่าอย่างไร ก. ปรัชญาวัตถุนิยม ข. ปรัชญาจิตนิยม ค. ปรัชญาปฏิบัตินิยม ง. ปรัชญาประสบการณ์นิยม 2. Essentialism หมายถึง แนวคิดปรัชญาการศึกษาใด ก. ปรัชญาการศึกษาสารัตตนิยม ข. ปรัชญาการศึกษาพิพิฒนาการนิยม ค. ปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม ง ปรัชญาการศึกษาบูรณาการนิยม 3. ผู้ให้กำเนิดปรัชญาจิตนิยม คือ ใคร ก. จอห์น ดิวอี๋ ข. พลาโต ค. วิลเลี่ยม เจมส์ ง. อริสโตเตี้ล 4. ข้อใดเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวิชาการศึกษา ก. วิทยาศาสตร์ ข. มนุษยศาสตร์ ค. สังคมศาสตร์ ง. คณิตศาสตร์ 5. Child Center เกี่ยวข้องกับปรัชญาการศึกษาไดมากที่สุด ก. ปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม ข. ปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม ค. ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม ง ปรัชญาการศึกษาอัตดีภาวนิยม 6. การเรียนการสอนให้เสรีภาพแก่ผู้เรียนในการเลือกทำกิจกรรมต่าง ๆ อรูปแบบปรัชญาการศึกษาใด ก. ปรัชญาจิตนิยม ข. ปรัชญาประสบการณ์นิยม ค. ปรัชญาวัตถุนิยม ง. ปรัชญาอัตนิยม

57

7. "ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ได้ด้วยการลงมือกระทำ" เป็นแนวคิดของนักการศึกษาผู้ใด ก. ศาสตราจารย์ ตร สาโรจน์ บัวศรี ข. จอห์น ดีวอี้ ค. อริสโตเติ้ล ง. มาสโลว์ 8. การเรียนการสอนขึ้นอยู่กับผู้สอนเป็นสำคัญ เป็นหลักของปริชญาการศึกษาใด ก. ปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม ข. ปรัชญาการศึกษาสาติตถนิยม ค. ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม ง. ปริชญาการศึกษาอัตติภาวนิยม 9. การจัดการศึกษาขึ้นพื้นฐาน ตามพระราชปัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 สถานศึกษาอาจจัด การศึกษาในรูปแบบใดได้บ้าง ก. จัดการศึกษาในระบบเท่านั้น ข. จัดการศึกษานอกระบบเท่านั้น ค. จัดการศึกษาตามอัธยาศัยเท่านั้น ง. จัดทั้ง การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบน การศึกษาตามอัธยาศัย 10. All for Education หมายถึงข้อใด ก. ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ข. การจัดการศึกษาเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ค. เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชน ง. การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง 11. ผู้ริเรีบนำแนวคิด หลักไตรสิกขา หรือ หลักการศึกษา 3 ประการ คือใคร ก. มาสไลว์ ข. อริสโตเตี้ล ค. จอห์น ดิวอี้ ง. ศาสตราจารย์ ตร สาโรจน์ บัวศรี 12. กระบวนการเรียนการสอนตามหลักพระพุทธศาสนา ก. อธิจิตตสิกขา ข. อธิปัญญาสิกขา ค. โตรสิกยา ง. สมาธิลกขา

58

13. ปรัชญาการศึกษาสารัตนิยม เน้นการสอนวิชาพื้นฐานใด เป็นความรู้ ก. ภาษา คณิตศาสตร์ ข. ภาษา คณิตศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ค. ภาษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ง. ภาษา สังคมศาสตร์ คณิตศาสตร์ 14. การสอนด้วยวิธีแก้ปัญหาแบบวิทยาศาสตร์ คือ แนวคิดของปรัชญาการศึกษาใด ก. ปรัชญาวัตถุนิยม ข. ปรัชญาจิตนิยม ค. ปรัชญาปฏิบัตินิยม ง. ปรัชญาประสบการณ์นิยม 15. ผู้ให้กำเนิดปรัชญาอัดนิยมคือใคร ก.คีร์เคเกอร์ด ข. จอห์น ไซล์ดส์ ค. วิลเลี่ยม คิลแพทริก ง. จอห์น ดิวอี้ เรื่อง ปรัชญาการศึกษากระทรวงศึกษาธิ การ 16. หลักสูตรประเภทใดต่อไปนี้เป็ นหลักสูตรทีย่ ดึ หลักปรัชญาปฏิรปู นิยม ก.หลักสูตรหมวดวิทยา ค.หลักสูตรเนื้อหาวิชา

ข.หลักสูตรสหสัมพันธ์ ง.หลักสูตรแบบแกนกลาง

17. การพัฒนาผูเ้ รียนให้เกิดความสมดุลตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พ.ศ.2551 ต้อง คานึงถึงสิง่ ใดต่อไปนี้ ก.หลักการพัฒนาทางสมองและพหุปัญญา ข.หลักความแต่กต่างระหว่างบุคคล ค.เน้นผูเ้ รียนเป็ นสาคัญ ง.เน้นการจัดการเรียนรูแ้ บบบูรณาการ 18. ปรัชญาการศึกษาใดต่อไปนี้ เชื่อว่าการศึกษาเป็ นเครื่องมือในการเปลีย่ นแปลงสังคม ก.พิพฒ ั นาการ ข.อัตถิภาวนิยม ค.ปฏิรูปนิยม ง.นิรนั ตรนิยม

59

19. ปรัชญาการศึกษานามาใช้ประโยชน์โดยตรงในข้อใด ? ก. กาหนดเนื้อหาสาระ ข. กาหนดวิธกี ารสอนและหลักการสอน ค. กาหนดการจัดกระบวนการเรียนการสอน ง. กาหนดเป้ าหมายและจุดมุ่งหมายของการศึกษา 20. หลักสูตรแบบใดทีไ่ ด้แนวคิดจากปรัชญาการศึกษาพิพฒ ั นาการ ? ก. หลักสูตรกิจกรรม ข. หลักสูตรแกนกลาง ค. หลักสูตรเพือ่ ชีวติ และสังคม ง. ถูกทัง้ ก. และ ข. 21. พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้บรรจุมาตราต่าง ๆ เพือ่ กาหนดเงือ่ นไขในการ เปลีย่ นแปลงไว้กแ่ี นวทาง ก.5 ข.10 ค.7 ง.8 22. โลกและชีวติ เป็ นอนิจจังไม่มอี ะไรแน่นอนเพราะประกอบด้วยสิง่ ต่างๆ อันเป็ นของไม่เทีย่ ง ข้อใดคือ ขันธ์ 5 ก.อนิจจัง ข.ทุกขัง ค.สังขาร ง.อนัตตา 23. ความมุ่งหมายของการศึกษาตามแนวพุทธปรัชญาของศาสตราจารย์สาโรช บัวศรี มี 4 ประการ ยกเว้นข้อใด ก.มุ่งพัฒนาโลภ โกรธ หลง ให้ลดลงและพัฒนาความรู้ ความจา นิสยั และอื่นๆ ในทางทีเ่ หมาะสม ข.พัฒนาสังคมให้ร่มเย็นเป็ นสุข เนื่องจากวังคมไทยเป็ นสังคมทีช่ ่วยเหลือเกือ้ กูลกัน และใช้ปัญญา ในการแก้ปัญหา ค.พัฒนาวิธคี ดิ และการใช้เหตุผลในตัวผูเ้ รียนเพื่อให้สามารถนาความรูไ้ ปแก้ไขปั ญหาต่างๆ ง.เพือ่ ดับทุกข์ทงั ้ ปวงให้หมดสิน้ 24. ข้อใดคือ ปรัชญาการศึกษาพุทธปรัชญา (Buddhism) ก.การสร้างคนให้เป็ นคนทีส่ มบูรณ์อย่างแท้จริง ข.การศึกษาจะต้องพัฒนาเด็กทุก ๆ ด้าน ค.เชื่อว่ามนุษย์มศี กั ยภาพในทางทีจ่ ะเป็ นตัวของตัวเองตลอดเวลา ง.ปรัชญาทีเ่ ชื่อว่า การศึกษาคือการพัฒนาบุคคลให้ถงึ พร้อมด้วยปั ญญา และดาเนินชีวติ อยู่ใน สังคมได้อย่างมีความสุขตลอดจนรู้จกั แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

60

25. จุดมุ่งหมายของปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม (essentialism) ก.เพือ่ ทะนุบารุง และถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมไปสูช่ นรุ่นหลัง มิให้สญ ู หาย หรือถูกทาลายไป ข.เพือ่ ให้การศึกษาในสิง่ ทีเ่ ป็ นเนื้อหาสาระอันได้จากมรดกทางวัฒนธรรม ค.เพือ่ ให้การศึกษาในรื่องของความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยมของสังคมในอดีต ง.ถูกทุกข้อ 26. ปรัชญาในข้อใดไม่ได้ถูกนามาศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบกับ พรบ.2542 ก. ปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม (Essentialism) ข. ปรัชญาการศึกษานิรนั ตรนิยม (Perennialism) ค. ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนิยม (Existentialism) ง. ปรัชญาการศึกษาลัทธิประสบการณ์นิยม (Experimentalism) 27. ปรัชญาการศึกษาใด ทีเ่ น้นเนื้อหาสาระและความสาคัญของมรดกทางวัฒนธรรมของสังคมทีไ่ ด้รบั การยอมรับและปฏิบตั กิ นั ในสังคมจนกลายเป็ นส่วนหนึ่งของแนวทางในการดาเนินชีวติ ของประชาชนใน สังคม ก. ปรัชญาการศึกษานิรนั ตรนิยม (perennialism) ข. ปรัชญาการศึกษารัตถนิยม (essentialism) ค. ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม (reconsteuctionism) ง. ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนิยม (existentialism) 28. ปรัชญาในข้อใดมุ่งให้ผเู้ รียนรูจ้ กั และทาความเข้าใจกับตนเองให้มากทีส่ ุด โดยเฉพาะในเรื่องเหตุผล และสติปัญญา ก. ปรัชญาการศึกษานิรนั ตรนิยม (perennialism) ข. ปรัชญาการศึกษารัตถนิยม (essentialism) ค. ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม (reconsteuctionism) ง. ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนิยม (existentialism) 29. ข้อคือรายละเอียดของปรัชญาการศึกษาปฏิรปู นิยม(reconsteuctionism) ก. การศึกษาจะต้องมุ่งสร้างระเบียบใหม่ของสังคมจากพืน้ ฐานเดิมทีม่ อี ยู่ ข. ระเบียบใหม่ทส่ี ร้างขึน้ รวมทัง้ วิธสี ร้างต้องอยู่บนพืน้ ฐานของประชาธิไตย ค.ถูกทัง้ ก และ ข ง.ผิดทุกข้อ 30. “การศึกษาจะต้องพัฒนาเด็กทุก ๆ ด้านไม่เฉพาะสติปัญญาเท่านัน้ ” ข้อความข้างต้นเป็ นปรัชญา อะไร ก. ปรัชญาการศึกษานิรนั ตรนิยม (perennialism) ข. ปรัชญาการศึกษารัตถนิยม (essentialism) ค. ปรัชญาการศึกษาพิพฒ ั นาการนิยม(progressivism) ง. ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนิยม (existentialism)

61

เรื่องปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม 31. ปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยมเป็นปรัชญาการศึกษาที่เกิดขึ้นในประเทศอะไร ก. ประเทศอังกฤษ ข. ประเทศไทย ค. ประเทศสหรัฐอเมริกา ง. ประเทศออสเตรเลีย 32. เจ้าของแนวคิดปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยมคือใคร ก. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ข. วิลเลียม ซี แบคลี(William C. Bagley ค. เพียซ (Pierce) ง. เจมส์ (James) 33. แนวคิดปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยมคืออะไร ก. ระเบียบวินัย ข. ประสบการณ์ ค. ความเป็นนิรันตร ง. พัฒนาการเรียนรู้ 34. ปรัชญาการศึกษาสารัตนิยมมาจากแนวคิดกี่ปรัชญา อะไรบ้าง ก. ปรัชญา คือ จิตนิยม ข. ปรัชญา คือ พัฒนานิยม ค. ปรัชญา คือ จิตนิยม พัฒนานิยม ง. ปรัชญา คือ จิตนิยม วัตถุนิยม 35. ข้อใดไม่ใช่หลักสูตรจะต้องสอดคล้องกับวุฒิภาวะของผู้เรียนกระบวนการเรียนการสอน ก. การเรียนการสอนจะเน้นการบรรยายเป็นหลัก โดยมีศิลปะของการ ถ่ายทอดความรู้เป็นสำคัญ ข. มีหลักการอบรมจิตใจ และถ่ายทอดค่านิยมเพื่อสร้างนิสัยที่ดีงามให้เกิดแก่ ผู้เรียน ค. กระบวนการเรียนการสอนจะมี “ครู” เป็นผู้มีบทบาทสำคัญเป็นศูนย์กลาง ง. การเรียนรู้ เกิดขึ้นได้จากการทำ งานหนักและนำ ไปประยุกต์ใช้ได้ ความมีระเบียบ วินัย เคร่งครัด เป็นสิ่งสำคัญ ปลูกฝั่งให้เด็กเกิดความมานะ พยายาม ต้องอุทิศ ตนเพื่อจุดหมายปลายทางในอนาคต 36. หลักสูตรการศึกษาปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยมยึดสิ่งใดเป็นหลักสำคัญ ก. เนื้อหาวิชา ข. กิจกรรม ค. การสร้างประสบการณ์ ง. ความเชื่อ ความศรัทธา

62

37. กระบวนการเรียนการสอนในปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยมขึ้นอยู่กับใครเป็นสำคัญ ก. ครู ข. นักเรียน ค. ผู้ปกครอง ง. คนในชุมชน 38. บุคคลใดมีหน้าที่รับฟัง ทำความเข้าใจในเนื้อหาและนำไปถ่ายทอดให้คนรุ่นหลัง ก. ครูหรือผู้สอน ข. ผู้นำชุมชน ค. นักเรียนหรือผู้เรียน ง. ผู้อำนวยการสถานศึกษา 39. กระบวนการเรียนการสอนตามปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม ครูเน้นการสอนแบบใด ก. แบบพรรณนา ข. แบบบูรณาการ ค. แบบบรรยาย ง. แบบลงมือปฎิบัติ 40. จุดมุ่งหมายของกระบวนการเรียนการสอนตามปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยมคืออะไร ก. ผู้เรียนสามารถแก้ไขปัญหาได้ ข. ผู้เรียนสามารถอ่านออกเขียนได้ ค. ผู้เรียนมีสติปัญญาที่ดีขึ้น ง. ผู้เรียนมีความเป็นผู้นำ มีระเบียบวินัย

เรื่องปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการ และปรัชญาการศึกษาบูรณนิยม 41. หลักสูตรแบบใดที่ได้แนวคิดจากปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการ ก. หลักสูตรกิจกรรม ข. หลักสูตรแกนกลาง ค. หลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคม ง. ถูกทั้ง ก. และ ข. 42. ปรัชญาใดเน้นการเรียนรู้ ก. ปรัชญาสารัตถนิยม ข. ปรัชญานิรันตรนิยม ค. ปรัชญาปฎิรูปนิยม ง. ปรัชญาพิพัฒนาการนิยม

63

43. ปรัชญาพิพัฒนาการนิยม มีแนวคิดเช่นเดียวกันกับปรัชญาการศึกษาใด ก. ปรัชญาปฏิบัตินิยม ข. ปรัชญานิรันตรนิยม ค. ปรัชญาสารัตถนิยม ง. ปรัชญาบูรณนิยม 44. ข้อใดต่อไปนี้กล่าวถูกต้องเกี่ยวกับปรัชญาพิพัฒนาการ ก. การเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง ข. ศึกษาเกี่ยวกับความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ค.การบูรณะหรือการสร้างขึ้นใหม่ ง. เนื้อหาที่เป็นหลักเป็นแก่น 45. ใครคือผู้ริเริ่มจัดตั้งสมาคมการศึกษาแบบพิพัฒนาการ ก. อริสโตเติ้ล ข. มาสโลว์ ค. จอห์น ดิวอี้ ง. สแตนวู๊ด คอบบ์ 46. ปรัชญาการศึกษาใดต่อไปนี้เชื่อว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของสังคม ก.ปรัชญาพิพัฒนาการนิยม ข. ปรัชญาอัตถิภาวนิยม ค. ปรัชญานิรันตรนิยม ง. ปรัชญาปฏิรูปนิยม 47. บุคคลสำคัญของปรัชญาการศึกษาบูรณนิยมที่สำคัญ ยกเว้น บุคคลใด ก. ยอร์จ เคานทส์ (George Counts) ข. แฮโรลด์ รักก์ (Harold Rugg) ค. ธีโอดอร์ แบรมเมลด์ (Theodore Brameld) ง. จอห์น ดิวอี้ John Dewey 48. ข้อใด ไม่ใช่ รากฐาน ของปรัชญาพิพัฒนาการ ก. พื้นฐานทางปรัชญา ข.พื้นฐานทางจิตวิทยา ค.พื้นฐานทางสังคมวิทยา ง.พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ 49. บทบาทของผู้สอนไม่ใช่เป็นผู้ใช้อำนาจหรือออกคำสั่ง แต่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะแนวทางให้กับผู้เรียน ตรงกับปรัชญาการศึกษาใด ก. Existentialism ข. Reconstructivism

64

ค. Progressivism ง. Essentialism 50. ใครคือผู้ทำให้ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ก. โอดอร์ บราเมลด์ ข. จอห์น ดิวอี้ ค. สแตนวู๊ด คอบบ์ ง. ฮาโรลด์ รักก์ 51. Reconstruct หมายถึง ก. การเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง ข. ศึกษาเกี่ยวกับความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ค. การบูรณะหรือการสร้างขึ้นใหม่ ง. เนื้อหาที่เป็นหลักเป็นแก่น 52. บิดาของปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมคือใคร ก. John Dewey ข. Stanwood Cobb ค. Theodore Brameld ง. Maslow 53.ข้อใดต่อไปนี้กล่าวถึงปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมได้ถูกต้อง ก. เชื่อว่าชีวิตเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอตามกาลเวลาและสิ่งแวดล้อม ข. เชื่อว่ามนุษย์มีความสามารถที่จะใช้ความคิดและเหตุผลอยู่ตลอดเวลา ค. เชื่อว่าการศึกษาคือชีวิตไม่ใช่เป็นการเตรียมตัวเพื่อชีวิต ง. มุ่งการปฏิรูปสังคม ขึ้นมาใหม่ 54. ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม มีหลักการให้ผู้เรียนมีกระบวนการเรียนรู้อย่างไร ก. ผู้เรียนเป็นผู้รับ ผูฟ้ ัง และทำความเข้าใจในเนื้อหาต่าง ๆ ที่ครูกำหนด ข. ผู้เรียนต้องเป็นผู้ที่มีความพยายาม อดทน และเป็นผู้มีระเบียบวินัย ค. ผู้เรียนได้มีประสบการณ์ตรง หรือลงมือกระทำด้วยตนเอง (Learning by Doing) ง. ผู้เรียนมีความสนใจใคร่เรียนรู้

65

55. การนิยมเกิดขึ้นเพื่อต่อต้านแนวคิดและวิธีการศึกษาแบบเดิมที่เน้นแต่เนื้อหา สอนแต่ท่องจำ ไม่คำนึงถึง ความสนใจของเด็ก เป็นแนวคิดของปรัชญาการศึกษาใด ก. ปฏิรูปนิยม ข. อัตถิภาวนิยม ค. พิพัฒนาการนิยม ง. นิรันตรนิยม เรื่อง ปรัชญาของเศรษฐกิ จพอเพียง 56. เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึงอะไร ก. การทาเกษตรกรรม ข. การดารงชีวติ อยู่อย่างพออยู่พอกิน ค. การค้าขายให้ได้เงินเพียงพอสาหรับครอบครัว ง. การปลูกพืชและเลีย้ งสัตว์เพือ่ ให้ครอบครัวพออยู่พอกิน 57. เป้ าหมายของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคือข้อใด ก. มุ่งแก้ไขปั ญหาวิกฤตเศรษฐกิจชาติ ข. เพือ่ ให้สามารถดารงอยู่ได้อย่างมันคง ่ ค. เพือ่ ให้กา้ วทันต่อโลกในยุคโลกภิวฒ ั น์ ง. มุ่งให้เกิดความสมดุลพร้อมรับต่อการเปลีย่ นแปลง 58. การปฏิบตั ติ นตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจะก่อให้เกิดผลดีต่อตนเองและ ครอบครัว ยกเว้น ข้อใด ก. มีความรับผิดชอบต่อสังคม ข. มีความพอประมาณในการใช้จ่าย ค. มีการวางแผนการบริหารจัดการประเทศ ง. ทาให้รจู้ กั ใช้เหตุผลในการวางแผนและการปฏิบตั ติ น 59. ดินชนิดใดเหมาะในการเพาะปลูกมากทีส่ ุด ก. ดินเหนียว ข. ดินเหนียวปนตะกอน ค. ดินร่วน ง. ดินร่วนปนตะกอน 60. ทีด่ นิ เป็ นกรดควรแก้ไขอย่างไร ก. ใช้ปนู ขาวหว่าน ข. ระบายน้าเข้าทีด่ นิ

66

ค. การใส่ปยพื ุ๋ ชสด ง. การปลูกพืชหมุนเวียน 61. แนวทฤษฎีใหม่ให้ความสาคัญกับการจัดทรัพยากรให้มากทีส่ ุด ก. มนุษย์ ข. ทรัพยากรน้ า ค. ทรัพยากรดิน ง. ทรัพยากรป่ าไม้ 62. แนวพระราชดาริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเริม่ ต้นเมื่อใด ก. พ.ศ. 2507 ข. พ.ศ. 2517 ค. พ.ศ. 2527 ง. พ.ศ. 2537 63. หลักคิดในการนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดาเนินชีวติ ยกเว้นข้อใด ก. ความมีเหตุผล ข. การมีภูมคิ ุม้ กันทีด่ ใี นตัว ค. ความขยันหมันเพี ่ ยร ง. ใช้คุณธรรมนาความรู้ 64. การนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือ การพัฒนาทีส่ มดุลและยังยื ่ น พร้อมรับต่อ การเปลีย่ นแปลงในทุกด้าน ยกเว้น ด้านใด ก. สังคม ข. สิง่ แวดล้อม ค. วัฒนธรรม ง. พัฒนาประเทศ 65. การดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนัน้ ต้องอาศัยสิง่ ใดเป็ นพืน้ ฐาน ก. ความซื่อสัตย์และความรู้ ข. ความรูแ้ ละคุณธรรม ค. คุณธรรมและความเพียร ง. ความเพียรและสติปัญญา 66. ข้อใดเป็ นการปฏิบตั ติ นตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ก. รูจ้ กั ประหยัด ข. ยืมเงินเพือ่ นและผ่อนใช้ทหี ลัง ค. อดอาหารกลางวันเพือ่ เก็บเงินใส่ออมสิน ง. ทางานหลังเลิกเรียนเพือ่ เก็บเงินไว้ซอ้ื สิง่ ของทีอ่ ยากได้ 67. ข้อใดคือความหมายของการพึง่ ตนเอง ก. มีความมันใจว่ ่ าตนเองเก่ง ข. มีความเอือ้ เฟื้ อเผื่อแผ่ ค. ขอความช่วยเหลือเมื่อทาสิง่ นัน้ ไม่ได้ ง. พยายามทาทุกอย่างด้วยตนเองแม้จะทาไม่ได้ดี

67

68. เกษตรทฤษฎีใหม่แบ่งพืน้ ทากินทีอ่ ย่างไร ก. ขุดสระน้ า / ปลูกข้าว / ปลูกอ้อย / ที่อยู่ ข. ปลูกข้าว / ปลูกอ้อย / ปลูกข้าวโพด / ทีอ่ ยู่ ค. ปลูกข้าว / เลีย้ งปลา / ปลูกอ้อย / ทีอ่ ยู่ ง. ขุดสระน้า / ปลูกพืช / ปลูกข้าว / ทีอ่ ยู่ 69. ข้อใดเป็ นการปรับเปลีย่ นพฤติกรรมเพือ่ ปลูกฝังแนวคิดหลักเศรษฐกิจพอเพียงต่อตนเอง ก. การนาน้ าล้างจานไปรดต้นไม้ ข. เปลีย่ นหลอดไฟเป็ นแบบหลอดประหยัดไฟฟ้ า ค. ไม่ทง้ิ ขยะในทีส่ าธารณะและแหล่งน้าในชุมชน ง. ใช้ถุงผ้าแทนถุงกระดาษแทนและถุงพลาสติกในการซื้อของ 70. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 ได้อญ ั เชิญปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบตั ใิ น การพัฒนาแบบบูรณาการเป็ นองค์รวม ยกเว้นข้อใด ก. คนเป็ นศูนย์การพัฒนา ข. การปฏิบตั บิ นทางสายกลาง ค. การพัฒนาอย่างเป็ นขัน้ ตอน ง. การแก้ปัญหาความยากจน 71. สถานะภาพของประเทศทีส่ าคัญตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 ยกเว้นข้อ ใด ก. สถานะด้านธรรมาภิบาล ข. สถานด้านเศรษฐกิจของประเทศ ค. สถานะด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ง. สถานะด้านการพัฒนาบนรากฐานความหลากหลายทางสังคม 72. โครงการใดต่อไปนี้ไม่ใช่โครงการพัฒนาประเทศตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ก. โครงการอนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ข. โครงการอนุรกั ษ์ภูมปิ ั ญญาท้องถิน่ ค. โครงการส่งเสริมสินค้า OTOP ง. โครงการส่งเสริมประเพณี วัฒนธรรม 73. โครงการเสริมสร้างการเรียนรูต้ ลอดชีวติ มีประโยชน์และความสาคัญอย่างไร ก. สร้างโอกาสทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ข. สนับสนุนการศึกษา การจัดทาหลักสูตร ค. พัฒนาคุณภาพบุคลากรทางการศึกษา ง. ส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้าใจและตระหนักในการเรียนรู้

68

74. การกระจายอานาจการบริหารจัดการประเทศสูภ่ ูมภิ าค ท้องถิน่ และชุมชนมีความสาคัญอย่างไร ก. ส่งเสริมภาคเอกชนให้มคี วามเข้มแข็ง ข. สร้างความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคม ค. เสริมสร้างความเข้มแข็งภาคประชาชน ง. เสริมสร้างศักยภาพของชุมชนในการอยู่ร่วมกัน 75. คุณธรรมด้านใดทีม่ คี วามสาคัญกับหลักเศรษฐกิจ พอเพียงมากทีส่ ุด ก. เป็ นคนมีศลี ธรรม ข. มีความละอายต่อบาป ค. เป็ นผูม้ คี วามโอบอ้อมอารี ง. มีความซื่อสัตย์ ขยันหมันเพี ่ ยร เรื่อง การจัดการความรู้ 76. การจัดการความรูเ้ รียกสัน้ ๆ ว่าอะไร ก. MK ข. KM ค. LO ง. QA 77. เป้ าหมายของการจัดการความรูค้ อื อะไร ก. พัฒนาคน ข. พัฒนางาน ค. พัฒนาองค์กร ง. ถูกทุกข้อ 78. ขัน้ สูงสุดของการเรียนรูค้ อื อะไร ก. ปั ญญา ข. สารสนเทศ ค. ข้อมูล ง. ความรู้ 79. ข้อใดถูกต้องมากทีส่ ุด ก. การจัดการความรูห้ ากไม่ทา จะไม่รู้ ข. การจัดการความรูค้ อื การจัดการความรูข้ องผูเ้ ชีย่ วชาญ ค. การจัดการความรูถ้ อื เป็ นเป้ าหมายของการทางาน ง. การจัดการความรูค้ อื การจัดการความรูท้ ม่ี ใี นเอกสาร ตารา มาจัดให้เป็ นระบบ

69

80.ความหมายของการจัดการความรูต้ รงกับข้อใดมากทีส่ ุด ก. กระบวนการการจัดการความรูท้ ม่ี อี ยู่หรือเรียนรูน้ ามาใช้ให้เกิดประโยชน์สงู สุดต่อองค์กร ข. กลยุทธ์การบริหารจัดการข้อมูลทีเ่ ป็ นความรูใ้ ห้เป็ นระเบียบ ค. วิธกี ารจัดการข้อมูลทีต่ อ้ งเกีย่ วข้องกับบุคลากรในองค์กรทุกคน ง. การยกระดับความรูข้ ององค์กร 81. องค์ประกอบสาคัญของการจัดการความรูต้ รงกับข้อใด ก. เทคโนโลยี กระบวนการจัดการความรู้ การแบ่งปั นและแลกเปลีย่ นความรู้ ข. กระบวนการจัดการความรู้ การแบ่งปั นและแลกเปลีย่ นความรู้ คน ค. การแบ่งปั นและแลกเปลีย่ นความรู้ คน เทคโนโลยี ง. คน เทคโนโลยี กระบวนการจัดการความรู้ 82. ความรูท้ ช่ี ดั แจ้ง (Explicit Knowledge) ตรงกับข้อใด ก. การใช้การบริหารจัดการทีเ่ น้นการมีสว่ นร่วม ข. ทฤษฎีการบริหารจัดการทีเ่ น้นการมีสว่ นร่วม ค. ประสบการณ์การบริหารจัดการทีเ่ น้นการมีสว่ นร่วม ง. การปฏิบตั จิ ริงในการบริหารจัดการทีเ่ น้นการมีสว่ นร่วม 83. ความรูใ้ นข้อใดทีเ่ ป็ นความทีฝ่ ังลึกในตัวบุคคล (tacit Knowledge) ก. ทฤษฎีการประเมินผูเ้ รียนทีเ่ น้นการประเมินตามสภาพจริง ข. หลักการการประเมินผูเ้ รียนทีเ่ น้นการประเมินตามสภาพจริง ค. แนวทางการประเมินผูเ้ รียนทีเ่ น้นการประเมินตามสภาพจริง ง. ประสบการณ์ในการประเมินผูเ้ รียนทีเ่ น้นการประเมินตามสภาพจริง 84. กระบวนการจัดการความรูม้ ขี นั ้ ตอนทีส่ าคัญกีข่ นั ้ ตอน ก. 6 ขัน้ ตอน ข. 7 ขัน้ ตอน ค. 8 ขัน้ ตอน ง. 9 ขัน้ ตอน 85. กระบวนการใดทีเ่ ป็ นการใช้ความรูใ้ หเกิดประโยชน์กบั องค์กรมากทีส่ ุด ก. การแบ่งปั นและแลกเปลีย่ นเรียนรู้ ข. การสร้างและแสวงหาความรู้ ค. การเข้าถึงความรู้ ง. การเรียนรู้ 86. ส่วนใดของโมเดลปลาทู เทียบได้กบั ส่วนแลกเปลีย่ นความรู้ ก.ส่วนหัวปลา ข.ส่วนกลางลาตัว ค.ส่วนหางปลา ง.ส่วนตาปลา 87. ข้อใดเป็ นวัตถุประสงค์หลักของการจัดการความรู้ ? ก.ทาให้องค์กรมาความก้าวหน้าและทันสมัย ข.เพือ่ ให้องค์กรมีความเข้มแข็งและมีจุดเด่นในการทีจ่ ะแข่งขันกับองค์กรอื่นๆ ค. เพือ่ ตอบสนองความต้องการของผูบ้ ริหาร ง.ถูกทัง้ A และ B

70

88. การแลกเปลีย่ นเรียนรูจ้ ากวิธกี ารทางานแบบ Practice มีขอ้ ดีอย่างไร ก. มีประสิทธิภาพสู ์ ง ข.มีการร่วมมือร่วมใจทีด่ ใี นการทางาน ค. มีมาตรฐานในทางปฏิบตั งิ าน ง.ทาให้สะดวกในการแลกเปลีย่ นความรูข้ องพนักงาน 89.Tacit Knowledge เป็ นการแลกเปลีย่ นเรียนรูด้ ว้ ยวิธกี ารใด ก.ระบบพีเ่ ลีย้ ง ข.เอกสารความรู้ ค.เทคโนโลยี ง.ไม่มขี อ้ ถูก 90.ข้อใดเป็ นปั ญหาของการจัดการความรู้? ก.ปั ญหาการอยู่ร่วมกัน ข.ปั ญหาทางโภชนาการ ค.ปั ญหาการถ่ายทอดความรูร้ ะหว่างบุคคล ง.ปั ญหาการเดินทาง

เรื่องหลักการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี 91. เป้าหมายสูงสุดของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีคือ ก. เกิดประโยชน์สุขของประชาชน ข. เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ ค. มีประสิทธิภาพและเกิดความคุมค่าเชิงภารกิจของรัฐ ง. ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เกินความจำเป็น 92. หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการกำหนดแนวดำเนินการทั่วไปให้กับส่วนราชการเพื่อให้เกิดการบริหารจัด การที่ดี ก. ค.ป.ร. ข. ค.พ.ร. ค. ป.ป.ร. ง. ก.พ.ร. 93. พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ให้ไว้ ณ วันที่เท่าใด ก. 2545 ข. 2546 ค. 2547 ง. 2548

71

94. ประสิทธิภาพ .(Efficiency) อยู่ในหลักการสำคัญใด ก. การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ข. ค่านิยมประชาธิปไตย (Democratic Value) ค. ประชารัฐ (Participatory State) ง. ความรับผิดชอบทางการบริหาร (Administrative Responsibility) 95. ภาระรับผิดชอบ/สามารถตรวจสอบได้ (Accountability) อยู่ในหลักการสำคัญใด ก. การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ข. ค่านิยมประชาธิปไตย (Democratic Value) ค. ประชารัฐ (Participatory State) ง. ความรับผิดชอบทางการบริหาร (Administrative Responsibility) 96. ความเสมอภาค (Equity) อยู่ในหลักการสำคัญใด ก. การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ข. ค่านิยมประชาธิปไตย (Democratic Value) ค. ประชารัฐ (Participatory State) ง. ความรับผิดชอบทางการบริหาร (Administrative Responsibility) 97. การตอบสนอง (Responsiveness) อยู่ในหลักการสำคัญใด ก. การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ข. ค่านิยมประชาธิปไตย (Democratic Value) ค. ประชารัฐ (Participatory State) ง. ความรับผิดชอบทางการบริหาร (Administrative Responsibility) 98. การมีส่วนร่วม/การพยายามแสวงหาฉันทามติ(Participation/Consensus Oriented ) อยู่ในหลักการ สำคัญใด ก. การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ข. ค่านิยมประชาธิปไตย (Democratic Value) ค. ประชารัฐ (Participatory State) ง. ความรับผิดชอบทางการบริหาร (Administrative Responsibility) 99. ประสิทธิผล (Effectiveness)อยู่ในหลักการสำคัญใด ก. การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ข. ค่านิยมประชาธิปไตย (Democratic Value) ค. ประชารัฐ (Participatory State) ง. ความรับผิดชอบทางการบริหาร (Administrative Responsibility)

72

100. เปิดเผย/โปร่งใส (Transparency) อยู่ในหลักการสำคัญใด ก. การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ข. ค่านิยมประชาธิปไตย (Democratic Value) ค. ประชารัฐ (Participatory State) ง. ความรับผิดชอบทางการบริหาร (Administrative Responsibility) 101. คุณธรรม/จริยธรรม (Morality/Ethics)อยู่ในหลักการสำคัญใด ก. การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ข. ค่านิยมประชาธิปไตย (Democratic Value) ค. ประชารัฐ (Participatory State) ง. ความรับผิดชอบทางการบริหาร (Administrative Responsibility) 102. หลักนิติธรรม (Rule of Law) อยู่ในหลักการสำคัญใด ก. การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ข. ค่านิยมประชาธิปไตย (Democratic Value) ค. ประชารัฐ (Participatory State) ง. ความรับผิดชอบทางการบริหาร (Administrative Responsibility) 103. การกระจายอำนาจ (Decentralization) อยู่ในหลักการสำคัญใด ก. การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ข. ค่านิยมประชาธิปไตย (Democratic Value) ค. ประชารัฐ (Participatory State) ง. ความรับผิดชอบทางการบริหาร (Administrative Responsibility) 104. ความหมายของหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (GG Framework) มีหมดกี่ หลักการสำคัญ และ กี่หลักการย่อย ก. 4 หลักการสำคัญ 10 หลักการย่อย ข. 4 หลักการสำคัญ 11 หลักการย่อย ค. 5 หลักการสำคัญ 10 หลักการย่อย ง. 5 หลักการสำคัญ 11 หลักการย่อย 105. หลักการบริหาร กิจการบ้านเมืองที่ดี มาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อประโยชน์สุขของ ประเทศชาติและประชาชน ตามเจตนารมณ์ของมาตราใด ก. ๓/๑ ข. ๓/๒ ค. ๓/๓ ง. ๓/๔

73

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง คุณธรรม จริยธรรมความเป็นครู 106. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ค่านิยม 12 ประการตามประกาศของนายกรัฐมนตรี ก. ปฏิบัติตามพระราชดำรัสของในหลวง ข. มีความสามัคคีในหมู่คณะ ค. รักษาวัฒนธรรมและประเพณีของชาติ ง. ยึดมั่นในศีลธรรมของศาสนา 107. ครูพิมพร สามารถอธิบายเรื่องยุ่งยาก ซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่าย และช่วยให้ศิษย์เรียนรู้ได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เป็นคุณธรรมของกัลยาณมิตรข้อใด ก. วจนักขโม ข. คัมภีรัญจะ กถัง กัตตา ค. โน จัฏฐาเน นิโยชเย ง. วัตตา 108. ผู้ปกครองนักเรียนคาดหวังในตัวครูสูงมาก นอกจากความรู้ความสามารถในการสอนแล้ว ครูจะต้องเป็น แบบอย่างที่ดีให้กับเด็ก ดังนั้นครูจะต้องไม่ประพฤติ ไปในทางเสื่อมเสียใด ๆ ท่านมีความคิดเห็นต่อข้อความนี้ อย่างไร ก. การเป็นครูลำบากกว่าที่คิด ข. อาชีพครูอยู่ภายใต้ความกดดันของสังคม ค. สังคมยังเห็นคุณค่าของครู ง. ครูเป็นมนุษย์ปุถุชน อาจกระทำผิดได้ 109. สังคมไทยไม่ชอบการกระทำของครูตามข้อใดมากที่สุด ก. ขาดความรับผิดชอบ ข. เป็นคนเข้าอารมณ์ ค. ประสบสอพลอ ง. ขาดความยุติธรรม 110. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสแก่พสกนิกรชาวไทยว่า “ให้รู้จักข่มใจ” ซึ่งหมายถึงข้อ ใด ก. ความจริงใจต่อตนเอง ข. การรู้จักฝึกใจตนเอง ค. การประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ง. รู้จักเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม

74

111. ผอ.สุเทพ เป็นบุคคลที่มีนิสัยสุภาพอ่อนโยน มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับครูในโรงเรียน ลักษณะดังกล่าวตรงกับ หลักทศพิธราชธรรมข้อใด ก. อาชวะ ข. มัทวะ ค. ตะบะ ง. อวิหิงสา 112. ตำแหน่งครูในสถานศึกษาถูกลงโทษทางวินัยร้ายแรงต้องขออุทธรณ์ต่อผู้ใด ก. ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ข. เลขาธิการ สพฐ. ค. อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา ง. ก.ค.ศ. 113. ถ้าท่านเห็นว่าการปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่สั่งโดยชอบด้วยกฎหมายจะทำให้เสียหายแก่ ราชการ หรือจะเป็นการไม่รักษาประโยชน์ของทางราชการ ท่านจะดำเนินการตามข้อใด ก. ไม่ปฏิบัติตาม เพราะต้องรักษาผลประโยชน์ของชาติ ข. ต้องปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ค. เสนอความเห็นเป็นหนังสือภายในเจ็ดวัน เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาทบทวนคำสั่ง ง. เสนอความเห็นด้วยวาจา แล้วทำเป็นหนังสือภายในเจ็ดวัน เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาทบทวน 114. ข้าราชการครูตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ ผู้ใดถูกสั่งโทษปลดออก ไล่ออก ให้มีสิทธิตาม ข้อใด ก. ร้องทุกข์ ข. ร้องเรียน ค. อุทธรณ์ ง. มีสิทธิ์ท าได้ทุกกรณีที่กล่าวมา 115. คุรุสภา มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอะไร ก. สภาครู ข. องค์กรวิชาชีพครู ค. สมาคมวิชาชีพครู ง. สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา 116. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษามีกี่ประเภท ก. 2 ประเภท ข. 3 ประเภท ค. 4 ประเภท ง. 5 ประเภท

75

117. มาตรฐานวิชาชีพครูในข้อใดที่กำหนดให้เป็นจรรยาบรรณของวิชาชีพ ก. มาตรฐานการปฏิบัติตน ข. มาตรฐานการปฏิบัติงาน ค. มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ง. มาตรฐานการสอน 118.มาตรฐานความรู้ของผู้ประกอบวิชาชีพครู ต้องมีคุณวุฒิตามข้อใด ก. ปริญญาทางการศึกษาหรือเทียบเท่า หรือคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภารับรอง ข. ปริญญาตรีทางการศึกษาหรือเทียบเท่า หรือคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภารับรอง ค. ไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีทางการศึกษาหรือเทียบเท่า หรือคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภารับรอง ง. ถูกทุกข้อที่กล่าวมา 119.ข้อใดกล่าวถึงพฤติกรรมของครูที่ดีที่สุดตามาตรฐานการปฏิบัติงาน ประเด็นกิจกรรมทางวิชาการเพื่อ พัฒนา วิชาชีพครูให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ ก. มีบทบาทในการพัฒนาวิชาชีพครู ข. เป็นผู้นำในการพัฒนาวิชาชีพครู ค. แสวงหาความรู้เกี่ยวกับวิชาชีพครูอยู่เสมอ ง. เป็นผู้ดำเนินการหรือการมีส่วนร่วมในการดำเนินการขององค์กรวิชาชีพครู 120. ข้อใดกล่าวถึงพฤติกรรมของครูได้ดีที่สุดตามมาตรฐานการปฏิบัติงาน มุ่งมั่นพัฒนาผู้เรียนให้เติบโตเต็ม ศักยภาพ ก. มีการแก้ไขข้อบกพร่องของผู้เรียน ข. มีการแก้ไขข้อบกพร่องของผู้เรียน และพัฒนาความสามารถของผู้เรียน ค. พัฒนาความสามารถของผู้เรียนให้สูงขึ้นเต็มขีดความสามารถของแต่ละคนอย่างเป็นระบบ ง. ถูกทุกข้อที่กล่าวมา

76

เฉลยข้อสอบ 1. ค 2. ก 3. ข 4. ค 5. ค 6. ง 7. ข 8. ข 9. ง 10. ก 11. ง 12. ค 13. ข 14. ค 15. ก

16. ง 17. ก 18. ค 19. ง 20. ง 21. ก 22. ค 23. ง 24. ง 25. ง 26. ง 27. ข 28. ก 29. ค 30 .ค

31. ค 32. ข 33. ก 34. ง 35. ง 36. ก 37. ก 38. ค 39. ค 40. ค 41.ง 42.ก 43.ก 44. ก 45.ง

46.ง 47.ง 48.ง 49.ค 50.ก 51.ค 52.ค 53.ง 54.ค 55.ค 56.ข 57.ข 58.ค 59.ค 60.ก

61.ข 62.ข 63.ค 64.ค 65.ข 66.ก 67.ง 68.ง 69.ง 70.ง 71.ง 72.ค 73.ก 74.ง 75.ค

76. ข 77. ง 78. ง 79.ค 80. ก 81. ก 82.ง 83. ง 84.ข 85. ก 86. ข 87. ข 88. ก 89. ก 90. ค

91.ก 92.ง 93.ข 94.ก 95.ข 96.ข 97.ก 98.ค 99.ก 100.ข 101.ง 102.ข 103.ค 104.ก 105.ก

106.ข 107.ข 108.ค 109.ก 110.ข 111.ข 112.ง 113.ค 114.ค 115.ก 116.ข 117.ก 118.ค 119.ค 120.ง

77

อ้างอิง ปรัชญาการศึกษา = Philosophy of Education.กรงุเทพฯ: คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ บ้านสมเด็จเจ้าพระยา, 2563.พิมพครั้งที่ 1 ธันวาคม 2561 ราชบัณฑิตยสถาน, ศัพท์ศึกษาศาสตร์, กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2555, หน้า 401 ปรัชญาการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ ค้นหาเมื่อ 19 ธันวาคม 2565, จาก http://supervisnited.blogspot.com/2008/07/blog-post.html ปรัชญาสารัตถนิยม ค้นหาเมื่อ 19 ธันวาคม 2565 , จาก https://www.gotoknow.org/posts/677116 https://www.baanjomyut.com/library_2/educational_philosoph/02.html ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม ค้นหาเมื่อ 19 ธันวาคม 2565 , จากhttps://www.baanjomyut.com/library_2/educational_philosoph/05.html ปรัชญาการศึกษาบูรณนิยม 19 ธันวาคม 2565 ,จาก https://www.gotoknow.org/posts/200904 ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ค้นหาเมื่อ 19 ธันวาคม 2565, จากhttps://www.chaipat.or.th/site_content/item/3579-2010-10-08-05-24-39.html ประกาศคณะกรรมการคุรุสภา ฉบับที่ 4 ค้นหาเมื่อ 19 ธันวาคม 2565, จาก https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/E/109/T_0010.PDF

Get in touch

Social

© Copyright 2013 - 2024 MYDOKUMENT.COM - All rights reserved.