หลักการและเเนวคิดการพยาบาลทารกแรกเกิด เด Flipbook PDF

หลักการและเเนวคิดการพยาบาลทารกแรกเกิด เด

7 downloads 100 Views 4MB Size

Recommend Stories


Porque. PDF Created with deskpdf PDF Writer - Trial ::
Porque tu hogar empieza desde adentro. www.avilainteriores.com PDF Created with deskPDF PDF Writer - Trial :: http://www.docudesk.com Avila Interi

EMPRESAS HEADHUNTERS CHILE PDF
Get Instant Access to eBook Empresas Headhunters Chile PDF at Our Huge Library EMPRESAS HEADHUNTERS CHILE PDF ==> Download: EMPRESAS HEADHUNTERS CHIL

Story Transcript

ห ลั ก ก า ร แ ล ะ เ เ น ว คิ ด ก า ร พ ย า บ า ล ท า ร ก แ ร ก เ กิ ด เ ด็ ก แ ล ะ วั ย รุ่ น & ก า ร พ ย า บ า ล เ ด็ ก ที มี ป ญ ห า ท า ง โ ล หิ ต วิ ท ย า แ ล ะ ม ะ เ ร็ ง

น า ง ส า ว จั น สุ ด า วั ฒ น า อุ ด ม ร หั ส นั ก ศึ ก ษ า 6 3 1 2 4 3 0 1 0 0 3 น า ง ส า ว ช น ก า น ต์ สิ ง ห์ ชั ย ร หั ส นั ก ศึ ก ษ า 6 3 1 2 4 3 0 1 0 0 9 น า ย ธ น บ ดี ย้ อ ย ส นิ ท ร หั ส นั ก ศึ ก ษ า 6 3 1 2 4 3 0 1 0 1 6 น า ง ส า ว ธิ ด า รั ต น์ ม ณี รั ต น์ ร หั ส นั ก ศึ ก ษ า 6 3 1 2 4 3 0 1 0 2 4 นางสาวนรมน ปนทอง ร หั ส นั ก ศึ ก ษ า 6 3 1 2 4 3 0 1 0 2 8 น า ง ส า ว ป ย ว ร ร ณ อุ่ น ต า ดี ร หั ส นั ก ศึ ก ษ า 6 3 1 2 4 3 0 1 0 3 9 น า ง ส า ว พ ร ร ณ ภ ษ า ซุ ย แ ป ร หั ส นั ก ศึ ก ษ า 6 3 1 2 4 3 0 1 0 4 2 น า ย ภู มิ ป ฏิ ภ า ณ เ ผื อ ก พั น ธ์ มุ ข ร หั ส นั ก ศึ ก ษ า 6 3 1 2 4 3 0 1 0 5 3 น า ง ส า ว ร ภิ ญ ญ า ผิ ว ช ะ อุ่ ม ร หั ส นั ก ศึ ก ษ า 6 3 1 2 4 3 0 1 0 5 9 น า ย วุ ฒิ ย า อ ยู่ ค ง ร หั ส นั ก ศึ ก ษ า 6 3 1 2 4 3 0 1 0 6 7 น า ง ส า ว ส า ย ฝ น ลั น ท น ร หั ส นั ก ศึ ก ษ า 6 3 1 2 4 3 0 1 0 7 5 น า ง ส า ว ส า ย ไ ห ม วั ด อั ก ษ ร ร หั ส นั ก ศึ ก ษ า 6 3 1 2 4 3 0 1 0 7 6 น า ง ส า ว สุ นิ ส า ป น ทุ ส า ร หั ส นั ก ศึ ก ษ า 6 3 1 2 4 3 0 1 0 8 3 น า ง ส า ว กั ญ ญ า รั ต น์ ยี สุ่ น ร หั ส นั ก ศึ ก ษ า 6 3 1 2 4 3 0 1 0 9 3

นั ก ศึ ก ษ า พ ย า บ า ล ศ า ส ต ร์ ชั น ป ที 3 รุ่ น ที 2 6

หลักการเเละเเนวคิดการพยาบาล ทารกเเรกเกิดเด็ก เเละวัยรุ่น "เด็ก" หมายถึง บุคคลทีมีอายุเกิน7ปบริบูรณ์ แต่ยัง ไม่เกิน14ปบริบรูณ์ "เยาวชน" หมายถึง บุคคลทีมี อายุเกิน14ปบริบูรณ์ แต่ยังไม่ถึง18ปบริบูรณ์

ภาวะสุขภาพของเด็ก หมายถึง พัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปญญา ภาวะ โภชนาการและปญหาสุขภาพ ซึงมีอิทธิพลผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก 2.1 โรคติดเชือ เด็กเล็กตังแต่แรกเกิด - 5 ป เปนวัยทีเด็กเจ็บปวยได้ง่าย เนื องจากมีภูมิคุ้มกัน โรคตํากว่าผู้ใหญ่ 2.2 การบาตเจ็บทีเกิดขึนโดยไม่ได้ตังใจ คือสาเหตุสําคัญของการตายในประชากรวัยรุ่น โดย เฉพาะอย่างยิงการตาย เนื องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ 2.3 การสูบบุหรีมวนแรกโดยทัวไปจะเริมจากวัยรุ่น และครึงหนึ งของผู้ทีหัดสูบบุหรีเมือยังเปนวัย รุ่นและสูบต่อเนื องมาจนตลอดชีวิตมักจะตายจากบุหรี 2.4 ภาวการณ์เจริญเติบโตทีผิดปกติ ปญหาการเติบโตในเด็กพบบ่อยทังภาวะตัวเตียและตัวสูง 2.5 ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กจากการเฝาระวังและควบคุมปองกันโรคโลหิตจาง โดย การเสริมยาเม็ดธาตุเหล็กสัปดาห์ละ 1 เม็ด Day 1 : Destination 2.6ปญหายาเสพติ ด ปจจุบันเด็1กและเยาวชนเริมใช้ยาเสพติดเมืออายุนอ้ ยลงวัยรุ่นคือกลุ่มเสียง ทีสุด พบสาเหตุ ส่วนใหญ่อยากลองและเพือนชวน 2.7 ภาวะทันตสุขภาพเด็กก่อนวัยเรียน เปนกลุ่มช่วงอายุทีมีความสําคัญในการดูแลทันตสุขภาพ เปนอย่างยิง เนื องจากเปนวัยทีเริมมีฟนนํ านมขึน 2.8 ภาวะพฤติกรรมเสียงในวัยรุ่นอุบัติเหตุ ในปหนึ ง ๆ มีวัยรุ่นตายด้วยอุบัติเหตุต่าง ๆ 2.9 ปญหาสุขภาพจิต จะเห็นว่าจากกระแสโลกภิวัฒน์ เนื องมาจากการเจริญก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีและการสือสาร เปนปจจัยสําคัญส่งผลต่อสภาพสังคมและสิงแวดล้อม ทําให้วิถีชีวิต ของเด็กวัยเรียนและเยาวชนเปลียนแปลงไปอย่างมากมาย

การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ในวัยต่าง ๆ 1. วัยทารก 1.1 พัฒนาการด้านร่างกาย ในระยะแรกคลอดทารกจะมี นํ าหนักตัวลเลง แต่มือปรับตัวได้ดีขึนนํ าหนักจะเพิม ขึนอย่างรวดเร็วในระยะแรกเกิดถึง 6 เดือน 1.2 พัฒนาการทางอารมณ์ ในระยะแรกคลอดทารกจะมี อาการตืนเต้น ไม่แจ่มใสและชืนบานสลับกันไป ซึงแยก ได้ลําบาก 1.3 พัฒนาการทางสังคม หลังจากทีทารกคลอดได้ 2-3 สัปดาห์ จะเริมมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงทีคุ้นหู เช่น เสียงของแม่หรือ คนเลียง 1.4 พัฒนาการทางสติปญญา พัฒนาการทางสติปญญา ของทารกมีความสัมพันธ์กับคุณภาพของประสาทสัมผัส กับการรับรู้และการเคลือนไหว 2. วัยก่อนเรียน 2.1 พัฒนาการทางร่างกาย วัยนี อัตราการเจริญเติบโต ลดลงอย่างเห็นได้ชัด สัดส่วนของร่างกายจะเปลียนจาก ลักษณะของทารกอย่างเห็นได้ชัด ส่วนแขนและขาจะ ยาวออกไป ศีรษะจะได้ขนาดกับลําตัว ไหล่กว้าง 2.2 พัฒนาการทางอารมณ์ เด็กวัยนี มักจะเปนคนเจ้า อารมณ์ หงุดหงิดโมโหง่าย โมโหร้ายอย่างไม่มีเหตุผล มักขัดขืนและดือรันอยู่เสมอ เมือเด็กได้คบค้าสมาคม กับเพือนๆ

2.3 พัฒนาการด้านสังคม เด็กวัยนี เริม รู้จักคบเพือนและเล่นกับเพือนได้ดีขึน 2.4 พัฒนาการทางสติปญญา ในวัยนี เด็กจะรู้คําศัพท์ใหม่ๆ เพิมขึนมาก

3.วัยเรียน 3.1 พัฒนาด้านร่างกาย เด็กวัยนี มีพลังมาก จึงไม่อยู่นิง ชอบทํากิจกรรมและชอบทํา อย่างรวดเร็ว ไม่ค่อยมีความระมัดระวังมาก นัก ทําให้ประสบอุบัติเหตุบ่อย ๆ 3.2 พัฒนาการทางอารมณ์ เด็กวัยนี จะมี การเปลียนแปลงทางอารมณ์มาก เพราะ เด็กจะปรับตัวจากสภาพแวดล้อมเดิมทีบ้าน ไปสู่สภาพแวดล้อมใหม่ 3.3 พัฒนาการด้านสังคม เมือเด็กเริมต้น ไปโรงเรียน อาจมีปญหาในการคบเพือน บ้าง ทังนี ขึนอยู่กับประสบการณ์ของเด็ก แต่เมือได้อยู่ร่วมและเล่นกีฬากับเพือนๆ เด็กจะค่อยๆ ยอมรับฟงและยอมทําตาม ความคิด 3.4 พัฒนาการทางสติปญญา ในระหว่างวัย 7 ป พัฒนาการทางภาษาของเด็กเจริญเร็ว ขึนรวดเร็ว รู้คําศัพท์เพิมมากขึน ใช้ภาษา พูดแสดงความคิดความรู้สึกได้อย่างดี

หลักการเเละเเนวคิดการพยาบาล ทารกเเรกเกิดเด็ก เเละวัยรุ่น

4. วัยรุ่น 4.1 พัฒนาการด้านร่างกาย วัยรุ่นจะมีอัตราการเจริญเติบโตของร่างกายอย่างรวดเร็วมาก อวัยวะเพศ ทังภายนอกและภายในเจริญเติบโตเกือบเต็มทีแล้ว มีการเจริญเติบโตและพัฒนาเข้าสู่วุฒิภาวะทาง เพศ 4.2 พัฒนาการทางร่างกาย วัยรุ่นเปนช่วงทีมีอารมณ์รุนแรงและแปรเปลียนได้ง่าย เช่น ในขณะทีมี อารมณ์ร่าเริงอยู่ จู่ๆก็อาจซึมเศร้าหรือหงุดหงิด โกรธง่ายเมือถูกชัดใจ 4.3 พัฒนาการทางสังคม เด็กมักจะชอบแยกตัวอยู่ตามลําพังเมืออยู่ในครอบครัวเพราะต้องการความ อิสระส่วนสังคมภายนอกเดีกจะมีเพอนทังสองเพศและกลุ่มเพือนจะเล็กลง การคบเพือนของวัยรุ่นจะมี เหตุผลมากขึน ชอบทําตัวเลียนแบบบุคคลอืนทีตนเองชืนชอบ บางครังชอบทําตัวแปลกๆ 4.4 พัฒนาการทางสติปญญา วัยรุ่นเปนวัยทีมีความคิดเปนนามธรรมมากขึน รู้จักสังเกตและปรับปรุง

5. วัยรุ่นตอนปลาย 5.1 พัฒนาการทางร่างกาย บุคคลในวัยวัยรุ่นตอนปลายมีการพัฒนาทางร่างกายอย่างเต็มที Day 1 :าDestination 5.2 พัฒนาการด้ นอารมณ์ วัยวัย1รุ่นตอนปลายจะมีการควบคุมอารมณ์ได้ดีขึน มีความมันคงทาง จิตใจดีกว่าวัยรุ่น คํานึ งถึงความรู้สึกของผู้อืน รู้สึกยอมรับผู้อืนได้ดีขึน มีพัฒนาการด้านอารมณ์รัก 5.3 พัฒนาการด้านสังคม สังคมของบุคคลวัยนี คือ เพือนรัก คู่ครอง บุคคลจะพัฒนาความรัก ความผูกพัน แสวงหามิตรภาพทีสนิ ทสนม หากสามารถสร้างมิตรภาพได้มันคง 5.4 พัฒนาการทางสติปญญา มีความสามารถทางสติปญญาสมบูรณ์ทีสุดคือคุณภาพของความ คิดจะเปนระบบ ผู้ใหญ่จะมีความคิดเปดกว้าง ยืดหยุ่นมากขึน และรู้จักจดจํา

2. ภาวะสุขภาพของเด็กและเยาชนไทยในปจจุบัน ดังนี 1. ภาวะการเจริญเติบโตบกพร่อง 2. ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก 3. ภาวะการขาดสารไอโอดีนแสดงออกด้วยอาการคอพอก 4. ปญหายาเสพติด 5. ภาวะทันตสุขภาพ 6. ความผิดปกติทีพบเสมอในเด็กนักเรียน 7. ภาวะการเจ็บปวย 8. ภาวะพฤติกรรมเสียงในวัยรุ่น 9. เรืองเพศและโรคติตต่อทางเพศสัมพันธ์ /HIV/ เอตส์ 3. นโยบายและแนวโน้ม เกียวกับการสร้างเสริมสุขภาพเด็ก การส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion) โดนาเทลและเตวิส (Donatelle and Davis, 1993) ทีช่วยสนับสนุนพฤติกรรมของบุคคลทีนํ าไปสู่การมีสุขภาพดีรวมถึงวิทยาศาสตร์และศิลป ของการปรับเปลียนลักษณะการดํารงชีวิต ตลอดจนด้านสิงแวดล้อมทังทางด้านเศรษฐกิจ และสังคมให้เอือต่อการเกิดสภาวะสุขภาพสมบูรณ์ 4. ทิศทางการพัฒนาเด็ก และเยาวชนแห่งชาติ กําหนดยุทธศาสตรไว้ 5 ด้าน ได้แก่ 1.การพัฒนาศักยภาพและสร้างภูมิคุมกันใหเด็กและเยาวชน เด็กและเยาวชนทุกกลุ่มตอง ได้รับการ พัฒนาทักษะการเรียนรูตามชวงวัยทีเต็มศักยภาพ เพือเติบโตเปนพลเมืองทีสร้างสรรค์ 2. การสร้างความเข้มแข็งของกลไกสภาพแวดลอมใหเอือโดยได้รับความรวมมือจาก ครอบครัว โรงเรียน ศาสนสถาน ขุมชน สือทีปลอดภัยและสือสรางสรรค์ 3. การสงเสริมการมีสวนรวมของเด็กและเยาวชน โดยเด็กและเยาวชนควรมีจิตสํานึ กการมี สวนรวม ในฐานะผู้ดูแลชุมชนและสังคม ซึงเกิดจากการพัฒนาอย่างเปนระบบ ทําไหมีคุณ คาและมีความทันสมัย 4. การส่งเสริมบทบาทและระดมความรวมมือของทุกภาคสวนในการพัฒนาเด็กและเยาวชน จะขับเคลือน

หลักการเเละเเนวคิดการพยาบาล ทารกเเรกเกิดเด็ก เเละวัยรุ่น 5. สิทธิเด็กและกฎหมายทีเกียวข้อง ในประเทศไทยมี 2 ประการ +ประการแรก จะเปนการดําเนิ นการในส่วนของเด็กและเยาวชนทีไม่มีปญหา +ประการทีสอง จะเปนการดําเนิ นการในส่วนของเด็กและเยาวชนทีมีปญหาในด้านต่าง ๆ ทังทาง ด้านร่างกาย ครอบครัว เศรษฐกิจ หรือสังคม 6. คุณสมบัติบทบาทความรับผิดชอบในการดูแลเด็กและครอบครัว เน้นครอบครัวเปนศูนย์กลางการดูแล 2 ประเด็นหลัก 1.การช่วยให้ครอบครัวมีความสามารถenableและการเสริมพลังอํานาจ empower ให้ครอบครัว 2.ความสามารถของครอบครัวในการดูแลเด็ก เปดโอกาสให้และ/หรือ หาช่องทาง ให้ครอบครัวทุกคนได้แสดงความสามารถของตนเองทีมีอยู่ -ลักษณะของผู้ปวยวิกฤต คือผู้ปวยทีมีภาวะเสียงหรือมีปญหาวิกฤตด้านร่างกายทีคุกคามกับชีวิต (Life threatening ต้องการการดูแล สังเกตให้การรักษาพยาบาลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื อง ทังนี เพือให้มีชีวิตอยู่ และปองกัน ภาวะแทรกซ้อนทีอาจจะเกิดขึน การตอบสนองของผู้ปวยต่อภาวะ -เจ็บปวยวิกฤตทีพบบ่อย ความเครียด (Stress) ความกลัวและวิตกกังวล (Fear & anxiety) ภาวะซึมเศร้า (Depression) การนอนไม่หลับ (Sleep deprivation) การสูญเสียพลังอํานาจ (Powerlessness) เปนต้น 7. บทบาทพยาบาลในการดูแลเด็กปวย มี 3ระยะ 1. ระยะประท้วง จะปฏิเสธทุกอย่างร้องไห้นานและรุนแรงการพยาบาลคือไม่ดุเด็กให้เด็กร้องไห้ เพือระบายให้แสดงความก้าวร้าวโดยการเล่น 2. ระยะสินหวัง เมือมารดาไม่กลับ มาเด็กจะแยกตัวอยู่เงียบๆ ร้องไห้นอ้ ยลงไม่ยอมรับประทาน อาหารพฤติกรรมถดถอยเมือมารดามาเยียมจะร้องไห้โกรธ การพยาบาล คือทําหน้าทีแทนมารดา ให้มารดามาเยียมอย่างสมําเสมอ 3. ระยะปฏิเสธจะหันมาสนใจสิงแวดล้อมเหมือนปรับตัวได้ไม่สนใจเมือบิดามารดามาเยียม แสดงอาการโกรธน้อยใจ การพยาบาล คือสร้างความไว้ใจ หมันสร้างปฏิสัมพันธ์บ่อยๆ ให้มารดาเยียมสมําเสมอ -วัยก่อนเรียน ผลกระทบถูกจํากัดการเคลือนไหว กลัวถูกตัดอวัยวะจินตนาการค่อนข้างรุนแรง เข้าใจเกียวกับโรงพยาบาลผิด การพยาบาลคือไม่พูดคําว่า "ผ่าตัด" อธิบายตรงไปตรงมา -วัยเรียน ผลกระทบ กลัวการแยกจากเพือน/โรงเรียน กลัวร่างกายเปลียนแปลงแล้วเพือนไม่ ยอมรับถูกลดอํานาจเครียด การพยาบาล คือ ส่งเสริมให้ดูแลตนเองเพือสร้างความมันใจกระตุ้นให้แสดงความรู้สึก -วัยรุ่น ผลกระทบ สิงทีถูกคุกคามมากคือการสูญเสียภาพลักษณ์ กลัวถูกแยกจากเพือน ปฏิเสธ ไม่ให้ความร่วมมือ การพยาบาลคือเอาใจใส่สมําเสมอยืดหยุ่น กระตุ้นให้ช่วยเหลือตนเอง ให้กําลังใจ ชมเชยภาพ ลักษณ์ทีเหมาะสม สิทธิเด็กตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก 1.เมือเจ็บปวยได้รับการดูแลตามมาตรฐานสาธารณสุขทีดี 2. บทบาทของพยาบาลในการพิทักษ์สิทธิเด็กข้อใดเหมาะสม 3. ปฏิบัติการพยาบาลด้วยการติดตามอาการอยู่เสมอ 4. การพยาบาลโดยใช้ครอบครัวเปนศูนย์กลาง 5. ให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการวางแผนการรักษาและดูแลผู้ปวยเด็ก 6. เด็กหญิง อายุ4 ปรับไว้ในโรงพยาบาล พบว่านังซุกตัวอยู่มุมเตียง ร้องไห้ครางเสียงเบา ชอบ ดูดนิ วและกอดตุ๊กตาแสดงว่าอยู่ในภาวะSeparation anxiety บทสรุป การเจ็บปวยของเด็กและวัยรุ่นไม่ว่าจะเปนการเจ็บปวยเฉี ยบพลัน หรือเรือรัง จัดว่า เปนภาวะวิกฤต ทังต่อตัวผู้ปวยและครอบครัวยิงพยาบาลจึงต้องมีความรู้ และเข้าใจภาวะดังกล่าวเพือใช้ในการพยาบาลให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ

โลหิตวิทยาและนี โอพลาสม การพยาบาลเด็กทีมีปญหาทางโลหิตวิทยา ได้แก่ Anemia Thalassemia และ Hemophilia Anemia ภาวะโลหิตจาง/ภาวะชัด -> อ่อนเพลีย เหนื อย ชัก การพยาบาล: ให้ ferrous sulfate แนะนํ าทานรวมกับVit.c หรือท้องมีสภาพเปนกรด เพือเพิมการดูดได้ดี แนะนํ าทานอาหารธาตุเหล็ก ผักใบเขียว เครืองใน เนื อแดง 2 เดือน - 6 ป>> Hct Hct ให้PRC,LPB.1 Folic acid ให้ยาขับเหล็ก Desfeeral ห้ามให้Fe เลียงอาหารหรือยาทีมีธาตุ เหล็กหากตัดม้าม->ระวัง inf.ได้ง่าย การวินิจฉัย ประวัติครอบครัวมีอาการซีดเหลืองใน ครอบครัว และประวัติเลือดออกผิดปกติ ในครอบครัว เช่น โรค hemophilia และ thrombasthemia การตรวจ CBC การตรวจดูรูปร่างและ ขนาดของเม็ดเลือดแดง (Red Blood Celt Morphiology) เม็ดเลือดแดงทีมี รูปร่าง ขนาด และการติดสีย้อมปกติ จะเรียกว่า Normocytic และ Normochromic ส่วนเม็ดเลือดแดงทีมี ลักษณะผิดปกติ

โรคฮีโมฟเลีย (Hemophilia) สาเหตุ เกิดจากความผิดปกติของยีนทีควบคุมการสร้างปจจัยการแข็งตัวของเลือด ทําให้ ร่างกายไม่สามารถสร้างลิมเลือดได้ เมือมีการฉี กขาดของหลอดเลือด เปนโรคทีมี การถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ X-Linked Recessive จึงพบในเด็กชายเท่านัน ส่วนหญิงทีมียีนผิดปกติจะเปนพาหะของโรค

อาการและอาการแสดง ผู้ปวยโรคฮีโมฟเลียส่วนใหญ่จะแสดง อาการตังแต่อายุตํากว่า 6 เดือน ทังนี อาการและอาการแสดงจะ แตกต่างกัน ขึนกับความรุนแรงของโรค 1. จําเลือดใหญ่ ๆ ตามลําตัวและแขน ขา (Large Ecchymosis) 2. เลือดออกในข้อและในกล้ามเนื อ บริเวณข้อทีมีเลือดออก ทําให้ผู้ปวยมี อาการปวด รุนแรง และมักไม่ยอม เคลือนไหวข้อ ทําให้เกิดภาวะพิการ เนื องจากการติดแข็งของข้อ 3. เลือดออกเมือฟนนํ านมหลุด 4. เลือดออกทีอวัยวะอืน ๆ เช่น ในทาง เดินอาหาร สมอง ภาวะแทรกซ้อน 1. ภาวะช็อคจากการเสียเลือด 2. การมีเลือดออกในอวัยวะภายในสําคัญ 3. ในเด็กเล็กหากมีเลือดออกทีคออาจ กดทางเดินหายใจ (Trachea) ทําให้มี การอุดกันทางเดินหายใจ 4. การมีเลือดออกในข้อ อาจทําให้เกิด ภาวะข้อพิการเนื องจากข้อติดแข็ง และ ส่งผลให้กล้าม เนื อลีบ 5. การได้รับเชือจุลชีพจากส่วนแยกของ เลือดทีนํ ามาให้แก่ผู้ปวย

การวินิจฉัย การวินิจฉัยโรคฮีโมฟเลียทําได้ทังจากการ ซักประวัติ การตรวจร่างกาย และการตรวจ ทาง ห้องปฏิบัติการ เพือระบุชนิ ดของโรค โดยการวัดหาระดับปจจัยการแข็งตัวของ เลือด การรักษา 1. การให้ส่วนแยกของเลือดซึงมีปจจัยการ แข็งตัวของเลือด เมือผู้ปวยมีอาการเลือดออก หรือเมือผู้ปวยจําเปนต้องได้รับหัตถการบาง อย่างทีจําเปน เช่น การผ่าตัด การถอนฟน เปนต้น 2. การรักษาด้วยฮอร์โมนสังเคราะห์ (G-Desamino 8D-Arginine Vasopressin และ Desmopressin: DDAVP) ซึงเปน เพือ ใช้ในการรักษาโรคเบาจืด 3. การให้คําแนะนํ าเกียวกับโรคและการ ปฏิบัติตนของผู้ปวย 4. การให้พลาสม่าสดผง (Fresh Dry Plasma : FDP) การพยาบาล 1.ประคบเย็น เพือหยุดเลือดออกและลดความ เจ็บปวดใน 24 ชัวโมงแรก 2.รีบให้แฟกเตอร์ทันที เพือช่วยหยุดเลือด ใน ผู้ปวยฮีโมฟเลีย เอ ควรได้รับแฟกเตอร์ 8 และฮีโมฟเลีย 3.ภาวะเร่งด่วนทีผู้ปวยหรือผู้ปกครองต้องรีบ ไปโรงพยาบาล ได้แก่ อุบัติเหตุทีศีรษะ คอ ช่องท้อง หรือเลือดออกทีกล้ามเนื อใหญ่ 4.ฉี ดวัคซีนเหมือนเด็กทัวไปและควรกดห้าม เลือดภายหลังการฉี ดวัคซีนอย่างน้อย 10 นาที 5.ตรวจฟนเปนประจําทุก 6 เดือน และแปรง ฟนวันละ 2 ครัง เพือปองกันฟนผุ 6.หลีกเลียงการเล่นกีฬาทีรุนแรง เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล ชกมวย สเกตบอร์ด

CANCER

มะเร็งร้าย ภัยใกล้ตัว Neoplasm 2 ชนิ ด Benign tumor เนื องอก

Malignant neoplasm เนื อร้าย/มะเร็ง

สัญญาณอันตราย

การแพร่กระจาย ของเซลล์มะเร็ง

• เปนแผลเรือรัง • คลําพบก้อนเนื อผิดปกติ • มีการเปลียนแปลงของหูด ไฝ ปาน หรือตุ่มใต้ผิวหนัง • มีเลือด นํ าเหลือง หรือหนองออก จากทวารต่างๆ

• ทางกระแสเลือด • ทางระบบต่อมนํ าเหลือง • การฝงตัวของเซลล์มะเร็ง • การแทรกตัวไปตามพืน ผิวภายในอวยัวะทีเปนมะเร็ง และอวัยวะหรือเนื อเยือทีอยู่ ข้างเคียง

ระยะของโรค

ระยะที 1 : โรคมะเร็งจะอยู่ทีอวัยวทีเปน โรคเท่านัน ไม่มีการลุกลามหรือแพร่ กระจายออกไป

ระยะที 2 :โรคมะเร็งจะยังคงอยู่ทีอวัยวะทีเปน โรค แต่มข ี นาดโตขึน และเริมมีการรบกวน หน้าทีของอวัยวะนัน ๆ และ/หรือมีการลุกลาม ไปทีต่อมนํ าเหลืองบริเวณใกล้เคียงเล็กน้อย

ระยะที 3 : โรคมะเร็งมีการลุกลามมากขึน อวัยวะทีเปนโรคมักจะถูกทําลายจนผิด สภาพ และทําหน้าทีผิดปรกติไป และมีนํา เหลืองบริเวณใกล้เคียงโตขึนชัดเจน ระยะที 4 : โรคมะเร็งมีการลุกลามออกไป ยังอวัยวะใกล้เคียงและแพร่กระจายที อวัยวะอืน ๆ ทีอยู่ห่างจากต้นกําเนิ ดโรค

Management for Chemotherapy & Management for Radiation ความหมายของเคมีบําบัด การใช้ยาเพือลดจํานวนเซลล์มะเร็ง โดยการขัดขวางการแบ่งตัวของเซลล์ หรือทําลาย DNA ซึงเปนส่วนสําคัญในการแบ่งตัวของเซลล์ทําให้เซลล์ตายทันที หรือเปนผลให้เซลล์มีการตาย ในเวลาต่อมา ยาเคมีบําบัด แบ่งตามจลนศาสตร์ของเซลล์ 1. Cell cyele non-specific(CCNS) เปนยาทีทําลายได้ทังเซลล์ทีอยู่ในระยะพักและระยะเจริญ เติบโต เท่า ๆ กัน 2. Cell cycle -spccific(CCS) เปนยาทีทําลายเซลล์ทีอยู่ในระยะเจริญเติบโตทังหมด มีผลต่อ เซลล์ทีพักอยู่นอ้ ยกว่ามาก แบ่งกลุ่มยาเคมีบําบัดทางเคมี 1. Akylating agents ออกฤทธิต่อเซลล์ทุกระยะของวงจรโดยรวมตัวกับ DNA ทําให้เกิดความ ผิดปกติด้าน cross - linging ของ DNA 2. Antimetabolites ออกฤทธิต่อระยะหนึ งของวงจรชีวิตของเซลล์ หรือ S phase ทีกําลังสร้าง DNA ได้แก่Folic anatagonists: Methotrexate Vincristine ,Etooposide Placitacel 4. Anticancer Antibiotics ยากลุ่มนี จะแทรกเข้าไปอยู่ระหว่าง DNA base pairs ยับยังการ สร้าง RNA และ DNA ได้แก่ Daunorubicin Doxorubicin,Idarubicin ,Ddactinomycin ,Bleomycine ,Mitomycine 5. Enzyme เช่น L- aspiraginase ออกฤทธิย่อยสล่ายกรดอะมิโน aspiragine เซลล์มะเร็งที ขาดกรดอะมิโนนี จะตายไป 6. Hormones มีหลายชนิ ด แต่ทีใช้กันมากในการรักษา โรคมะเร็งในเด็กคือ Glucocorticoids ออกฤทธิทําให้เซลล์ Lymphocyte แตกทําลาย พิษของยา 1. พิษต่อกระเพาะปสสาวะ ทําให้เกิดกระเพาะปสสาวะอักเสบ มีเลือดออก มีแผลในกระเพาะ ปสสาวะ และเปนสารก่อมะเร็งของปสสาวะ ได้แก่ยา Cyclophosphamide, Ifosphamide 2. พิษต่อไต ทําให้มีการทําลายต่อเนื อไต เกิดภาวะไตวาย ได้แก่ยา Cisplatinum, Methotrexate ขนาดสูง 3. พิษต่อหัวใจ ทําให้เกิดเนื อหัวใจตาย หัวใจจะเต้นไม่สมําเสมอ เกิดหัวใจวาย ได้แก่ยา Adriamycin, Doxorubicin 4. พิษต่อตับ ทําให้เกิดการผิดปกติของเอ็นไซมั ตับแข็ง เนื อตับตาย ได้แก่ยา Methotrexate, Doxorubicin, Vincristine 5. พิษต่อปอด เกิดปอดอักเสบ เนื อปอดเปนพังผืด ได้แก่ยา Bleomycin 6. พิษต่อตา เกิดต้อกระจก ( Cataract ) ได้แก่ยา Busulphan เห็นภาพไม่ชัด 7. พิษต่อหู เกิดหูอือ หูหนวก ได้แก่ยา Cisplatinum .8. พิษต่อระบบอวัยวะสืบพันธุ์ ผู้หญิง อาจทําให้ประจําเดือนมาไม่ปกติหรือขาดประจําเดือน หรือมีเลือดออกระหว่างมีรอบเดือน การเปลียนแปลงของฮอร์โมนจากผลของ RADIATION SKIN REACTION การดูแลรักษาพยาบาล: - คําแนะนํ าการดูแลผิวหนังเพือลดการระคายเคืองเปนสิงสําคัญ - ติดตามความก้าวหน้าของอาการทุกวันในเรืองขนาด สี ความไม่สุขสบาย และแผลแฉะ - ในกรณี Moist Desquamation งดการถูกนํ าบริเวณฉายแสง โดยเด็ดขาด ทําแผลด้วยนํ ายา ฆ่าเชือตามคําสังแพทย์ ในกรณี ไม่มีการสังยาจากแพทย์ให้ทําแผลด้วย 0.9 % NSS โดย พยายามนํ าสารคัดหลังจากแผลออกให้มากทีสุด แต่ต้องใช้ความ ระมัดระวังการกระทบ กระเทือนกันเนื อเยือทีกําลังเจริญใหม่

Get in touch

Social

© Copyright 2013 - 2024 MYDOKUMENT.COM - All rights reserved.