SSS028~1 Flipbook PDF

SSS028~1

64 downloads 113 Views

Recommend Stories


Porque. PDF Created with deskpdf PDF Writer - Trial ::
Porque tu hogar empieza desde adentro. www.avilainteriores.com PDF Created with deskPDF PDF Writer - Trial :: http://www.docudesk.com Avila Interi

EMPRESAS HEADHUNTERS CHILE PDF
Get Instant Access to eBook Empresas Headhunters Chile PDF at Our Huge Library EMPRESAS HEADHUNTERS CHILE PDF ==> Download: EMPRESAS HEADHUNTERS CHIL

Story Transcript

\ไ

11า6 131 [^306-11า6 510161' 6|'0แา61'0^■[■[า© 0ฬท696 0โ. ^/^1แ!ล๓ 01|(1'0ท 000)01

(ภฒ์เหฒหาส ห.จ. ด271ทส ฉ. 2

วไแฟิา1ข้30 กรกภาฒ \อ(^๑๑ พ เมรวดเกหเกราวาส่ 1

4,

I

#

9

V. *; ^

-'

. ■-

-

4 '

1 #

* 4

4

.V

4

4

* 4

*

4

\ 4

ร I

# 4*

\ 4

9

/

,1*.1

'

*

1

4^

9 4

4



11า6 131 ??ล06-1^6□๘61" 6โ0แา61"01^1"[า601า!ท6ร6

01". พแแลทา 01!^[0ท จ066

เ&ขห^ **

01 วิ-3\

•ห)1)ทเ?เอียน

1380^

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระ ราชอนุสรณ์ลง นายสุรเทิน บนนาค ว่า เบนผู้ทได้ร่บราชการสนอง พระเดชพระคณในส่วนพระองค์ด’วยความซอสัตย์สุจริตประกอบ ด*วยวิริยอุตสาหะอย่างยิงตลอดมาช’านาน

เบนเหตุให้ทรงไว้วาง

พระราชหฤสัยใช้สอยในกิจต่าง ๆ เบนสันมาก และได้ทรงยกย่อง ชุบเลยงโดยใกล้ชิด สัดน นายสุรเทิน บนนาค

ได้ลงแก'อนิจกรรมล่วงไป และ

ลงวาระทสุดทจะได้ร่บพระราชทานเพลิงศพแล’ว จงทรงพระกรุณา โปรดเกล’าโปรดกระหม่อมให้พิมพ์หสังสอเรองอุตสาหกรรมคร่ง และเริองบานราม สันเบนเริองทนายสุรเทิน บนนาค ได้เขยนไว้ กไ)หสังสอเรอง ไทย ของนายแพทย์ริลเลิยม

คลิฟสัน

ดอดด์

พระราชทานเพิอเบนอนุสรณ์ ทรงหวังพระราชหฤสัยว่า พระราช กศลสักทิณานุปทานม'ยทได้ทรงพระราชอุทิศแก่นายสุรเทิน บนนาค สับท^งประโยชน์สันจะพิงได้แต่หน'งสอท^งน จะเบนประโยคสมบ”ฅ สันดาลอิฎฐคุณมนุญผลแก่นายสุรเทิน บนนาค

ในสัมปรายภพ

ตลอดกาลทุกเมิอไป. พระตำหนกจิตรลดารโพฐาน วนท ๑ กรกฎาคม พุทธสักราช ๒,ะ6,®

ะ*-'!■ก:๗ฟ่^: ■ -' -:.ชิย้:.ข้■■ะ ''.• ..เ^!]^,*3*.

^'- ■VII .-!^'®*,

-■^-:’:ะฒเ1ดี*''.;,;

:V ^

1:' "1^

•1?ฒ30 --1*^

เ^’,,'^ ^'' '^'■: ^

-!^

เ^..^^''

^||1 •ไ

ภ8



1

|||11|^11กไ10

•'''^!^'11๘4-ฒ

ทรงพระกรุณาโปรดเกลา ฯ ให้ฉายพระบรมฉายาลกษณ์นที่พระราช-)โ!ๆลฦ หำหิน

วไเท ๒ เมษายน ๒๕๑๑ เบ็นผมอฉายพระบรมฉายาลักษณ์คร*โด)ๅำ^ ของ สรเทแ บนนาค

1*'



เ*‘1

เ^

,■^’®5 ^^

๙^ร^

‘ะ:ต:

เ&!.

.^.

ไ*?เ-..'

■''''"ะะ.

/!. 1 เ

■ะ

เ^-ฟ่..

1^1’'



^ซี^*^ **^^1

1^,

เ-

ซี*: ' *}

■‘

ส้'

-

สื^ดื^!': "!^ ':1^ ■ฒเ^ซี!ฒเ^!!๒^^

-

6 ^วแ' ■-’ซิ! 111 ^

/

^V

*

;ะตย้ฒ- *

ชิ^^'ซ?^- ซิ.'^‘

ด้ค้'

■‘♦' ^

(-~ (•-^

71 ©© (เ:เ (7ะ^

5ะ ^ :3

1 5 ®5 V^

©

ะ5 *า?'^ ^5 ?—

เ^

(โ;5 (/-0 (โ;2 ๆ

^1 —0 (ะะ ^— 7^ ^^โ7ะ

(1—

2 * (53

I/^ V^

5

1^

3อ

า2^

'I

I '

-V ‘ '•0.

.ด้^!

สรเทน บนนาค 1



ภาทเขยนสนำมน ผมอ บาซกิ อ"บดลลำใใจิตรกรชาวอใเโดน็เซย

ชาตะ

๑๑ ตสาคม

มฅะ



พ.ศ. 163๔๕ลิ่

ถนายน พ.ศ.

๑๑

,| -I เ/-0

©

3ว (โ

^

V^ 1/-0

ะส (1^

•ษ•เ^

ชเแแ)แ&โแก3แV^ 1* เ&ก'เกดิแ#เ5^1ก]เ? ษแเ

จ ก;เ ณษ้เกก]ชIข้เ;แษ^กเแโกเแส,แดึแเกเ ษเกกก กแแ]ช

บระาก นายสุรเทน บนนาค ท.จ. นายสุรเท้น บนนาก ท.จ.

เกิคที่ตำบลบางใบไม้ อำเภอเมือง

จงหวิดสุราษฎร์ธานี เมื่อวนพุธที่ ๑๑ ฅลาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ ฅรงกํบ วนขน ๑๕ คา เดือน ๑๑ บมะโรง เวลา ๒©.๒๗ นาฬิกา เบนบุฅร ของ อำมาฅย์ฅรี พระพิศาลสุริยศกค (เทิน บนนาค) กบคุณผน สินธุสาร มีพี่ฬิอง รวมท^งสั้น ๙ คน คือ นางสาว พิศพรรณ บนนาค นางสาว ประไพ บนนาค นายสุรเท้น บุนนาค นางประภา คละฬิมพะ นายประธาน บนนาก นายแพทย์ มณเฑียร บนนาก พนตรี เฅิ บนนาก นางบุณฑริก สกุลเอี่ยม นางตาบทิพย์ บุนนาค

ลำดับสกุลวงศ์ ของนายสุรเทิน บนนาค ชนที่ ๑

เจำพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) กไ]เจำกุณนวล พระ นองนางของสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี ในฑีชกาลที่ ๑

ชนที ๒

สมเค็จเห้พระยาบรมมหาประยรวงศ์ (คิศ) ก’บหม่อมหร

ชนที ๓

เข์าพระยาสุรพนธ์พิสทธ (เทศ) หม่อมลำภู

ชนที่ ๔

พระยามหานุภาพ (ไทย)

ชนที่ ๕ ช’นที่ ๖

พระพิศาลสุริยศกที่ (เพิใเ)

นายสรเทิน บนนาค

สมเด็จพระเจ็าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาช”ยนาทนเรนทร และ เจา จอมมารคาอ่อน ในร’ชกาลที่ ๕ ไค้ทรงจ’ดการสมรส นายสุรเทิน บุนนาค

ก’บ หม่อมหลวง มณีร’ฅน์ สนิทวงศ์ ธิดา พล.อ. เจทีพระยาวงษานุปร

พ’ทธ์ (ม.ร.ว. สททีน สนิทวงศ์) ก’บ ททีววนิดาพิจาริณี (บาง ณ อยุธยา) เมื่อว’นที่ ๒๘ สิงหากม พ.ศ. ๒๔๙๑ มีบุฅรสองกน กือ ๘

นกเรยนนายรอย ศูล บนนาก 0^'

^

เด็กชาย สุรช้ช บนนาก นายสรเทิน บนนาค



อายุ ๑๙ บ อาย ๑๑ ปี

ไค้เขทีศึกษาในโรงเรียน และมหาวิทยาล’ย

ฅามลาคบคงน (I/

^

พ.ศ. ๒๔๗๐— ๒๔๗๒

โรงเรียนม’ธยมว’คประยรวงศาวาส

พ.ศ. ๒๔๗๓— ๒๔๗๙

โรงเรียนเซ็นศ์กาเบรียล

พ.ศ. ๒๔๘๓— ๒๔๘๕

มหาวิทยาล’ยพิลปปีนส์ (ฃ.?.)

พ.ศ. ๒๔๘๙— ๒๔๙๑

มหาวิทยาล’ยมิชิแกน สหร’ฐอเมริกาเดรวิ] VI

9^

(เ/'

ปริญญา ธ.ร. (]VI1^11183I1)

เมื่อจบการศึกษาที่มหาวิทยาลโ)มิชิแกนแลว ไค้คงานฅามสถาบ การเกษตรที่สำคโ!) ฯ ของสหร3อเมริกาหลายแวิ/น่วิ เช่วิเที่

(ต)

เกษฅร

สถานีทคลองกินคฑ้ที่ 66แ5V111^

ทคลองกินกวาเกี่ยวกไ]ข็าวที่

01-0^165^

กนกว"าเกี่ยวกไ]ผลไม้เมืองรอนที่

มลร’^ มลรํ^

มอษรเอฉ

สถานี 1.0111813113

มลร*'^

16X38

สถานีทคลอง เบนคน

ประวฅิการร'บราชการ ๑๕ กนยายน ๒๔๘๒

เข์ารไ]ราชการในแผนกบำรุงพนธุขิาวทอง กี่น กองข่าว กรมเกษตร และการประมง

*

(ชื่อในขณะนน) กระทรวงเกษตร ๗ มถนายน ๒๔๘๓

ลาราชการไปศึกษาที่มหาวิทยาลไพิลปบี่นส์ ประเทศพี่ลิปบี่นส์

๑ มกราคม ๒๔๘๖

เขำรบราชการในแผนกปราบศไไรูพืช กอง พืชพนธ์

กรมเกษตร

(ชื่อในขณะนน)

กระทรวงเกษตร ๒๖ มิถุนายน ๒๔๘๙

ลาราชการไปศึกษาฅ่อที่มหาวิทยาลไ)พี่ลิปบ'นส์

๑๕ ธนวาคม ๒๔๘๙

ยำยไปศึกษาฅ่อที่มหาวิทยาลไเมิชิแกน สหรวอเมริกา

๑ มกราคม ๒๔๙๒

เขำรไ]ราชการในกองการทคลองคนควำ กรมเกษตร

(ชือในขณะนไเ)

กระทรวง

เกษตร ๙ กมภาพนธ ๒๔๙๒

ลาออกจากราชการ

ไปทำงานกไ]องค์การ

อาหาร และเกษตรแห่งสหประชาชาติ (ซึ่ง มีชื่อย่อว่า

นอกจา?าราซการ และหน"าที่ฅามอาชีพแลว นายสรเทิน บุนนาก เบ็๋นผู้ที่สนใจในงานกุศลสาธารณประโยชน์ฅ่าง ‘กุ

และมีฅำแหน'งใน

องค์การ สมาคม และมูลนิธิฅ่าง‘กุ คํงน์ ๑. เบ็นประธานประชาสไเพนธ์ของไสออนส์สา?!ลภาค ๓๑0 เวียฅนาม) บ พ.ศ. ๒๕๐๙-๑0, ๒๕©0-๑๑ ๒. เบนอดีฅนายกสโมสรไสออนส์กรงเทพ ๆ ในพระบรมราชูปฒัภ์ บื่ ๒๕0๓-๕

และเบ็นสมาชิก?าอ?■เงสโมสร ๆ ควย

๓. เบ็๋นที่ปรึกษาของคณะกรรมการชุมนุมวิทยาศาสฅร์แห่งประเทศ ไทย %^

สมาคมวิทยาศาสฅร์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชุปถ้มภ์ 1^1

ฅงแฅบ ๒๕๐๙— ๑๐, ๒๕๑๐— ๑๑, ๒๕๑๑ — ๑๒ ๔. เบ็่นที่ปรึกษาของคณะกรรมการอำนวยการสมาคมต่อฅ่านยาเสพคิด ให้โทษแห่งประเทศไทย

และเบ็่นกรรมการกลางของสมาคม ๆ

แห่งนิ ตงแต่ฅไเจนถึงบัจจบน ๕. เบนกรรมการและเลขานุการสาขาเกษตรศาสตร์

ของมูลนิธ

อานนทมหิคล ในพระบรมราชุปถมภ์ ๖. เบนกรรมการกลางของมูลนิธิช่วยนำเรียนที่ขาดแคลน ในพระบรม ราชินปถมภ์

นายสุรเทิน บุนนาค ได้รไเพระราชทานเกรองราชอิสริยาภรณ์ เหรียญบรมราชาภิเษกเงิน รำกาลที่ ๙ เหรียญรำนาภรณ์ รำกาลที่ ๙ ฅคิยจลจอมเกลที่วิเศษ

พ.ศ. ๒๔๙๓

ชนที่ ๔

พ.ศ. ๒๔

พ.ศ. ๒๕ ๐ ๐

เหรยญกาชาดสมนากุณ ชนท ๒

พ.ศ. ๒๕๐๘

ทุติยจลจอมเกล๎า

พ.ศ. ๒๕®©

เครองราชอิสริยาภรณ์เดนมาร์ค 7110

01:05!) 01 1116 711:51 068106

พ.ศ. ๒๕๐๕

01 1116 /\11010111 01(161 01 1116 03ย1161|108

นายสุรเทิน ทุนนาค ได้มีโอกาสเข่าเผ้าใกล้ชิดเบองพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระเจทิอยู่หำ และ สมเด็จพระนางเจทิ ๆ พระบรมราชินี นาถ ฅํ้งแฅ่ท"งสองพระองค์เสด็จกลบจากด่างประเทศ และทรงเขาพระ-

ราชพิธีราชาภิเษกสมรสแลำเบ็๋นฅนมา ไม่ว่าจะมีกิจการสี่งใคที่สามารถ รบสนองพระมหากรุณาธิคุณได้

นายสุรเทิน ก็ไม่ว่างเวนที่จะกระทำ

ถวาย โดยเฉพาะงานในคที่นที่เกี่ยวกบการเกษตร

และองค์การอาหาร

และเกษตรแห่งสหประชาชาติ (7.1\.0.) พระบาทสมเด็จพระเจกิอย่หำ ได้ทรงพบปะกำเผู้เชี่ยวชาญสาขาด่าง ๆ ของ 7.4.0. ประมง

เช่นในด่านการ

ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกลกิ ๆ ให้เพาะพนธ์ปลานาจืดที่เลยง

และเจริญง่าย คือ ปลาหมอเทศ ภายในสระนา ในพระที่นีงอำพรสถาน พระราชวำดุสิต แลำพระราชทานพนธ์ปลานแก่ประชาชนที่สนใจทวไป ในบ พ.ศ. ๒๔๙๙

พระบาทสมเด็จพระเจภิอยู่หำเสด็จออกทวง

ผนวชฅามพระราชประเพณี ณ วำบวรนิเวศวิหาร

เบ็่นเวลา ๒ สำดาห์

ประทำจำพรรษา

ได้มีพระบรมวงศานุวงศ์ และขทิราชการผู้ใหญ่

บวชตามเสด็จ เรียกว่าพระสหจร รวม ๕ รูป

นายสุรเท้นได้เบ็๋นผ้หนึ่ง

เมอสมเคจพระนางเจา ๆ พระบรมราชนนาถ องกสภานายกาสภา กาชาดไทย พระราชทานการแสดงระบำบ'ลเล่ฅ์กร^งใหญ่ แก่งานกาชาด ในบี่ พ.ศ. ๒๕๐๕

ได้แก่เรื่องมโนห์รา

ประกอบดนฅรี ซึ่งเบ็๋นบ

พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ่าอย่หำ ไค้รไ]เลือกให้แสดงเบ็๋นตำ พรานบุญ

นายสุรเทิน บุนนาค

ได้แสดง ๓ วํน คือวนที่ ๕

และ ๗ มกราคม ทำรายไค้ให้แก่สภากาชาด ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจำอยู่หำ

ทรงสนพระราชหฤทใ]

ในการพไมนาที่ดิน ที่ฅำบลเชาเต่า จำหวไไประจวบกีรีชํนธ์ ในระหว่ ที่เสด็จแปรพระราชฐานไปประทไ]ที่พระราชวำไกลกำวล

นายสรเทิน

บนนาค ไค้นำเจไหนำที่ผู้เชี่ยวชาญการสำรวจดินของ ?.7^ 0. ไปตรว สถานที่

เจไหนไที่ได้แนะนำให้ถมดิน่ที่แอ่งหนไวดเขาเต่าใ

เสมอกไเ ซึ่งคาดว่าจะทำการเพาะปลูกไค้ ริมทะเลหนำวดมาถมรอง'พั้น

โดยให้นำทรายจากสนทราย

แลำนำดินแดงที่ขไงถนนเพชรเกษมม

ทไ]หนไ ๑0 เซนติเมตร ในการ'น นายสุรเทิน บุนนาค

ไค้ชำชวนมิตรสหาย'ต่อกไ

จำ

ใเวใเ ๖ นาย ร่วมกไเบริจาคเงินโดยเสด็จพระราชกุศล บรณ,ะถมที่ บริเวณเขาเต่า

เบนจำนวนเงิน ๗๘๐,๐๐๐ บาท

โรงเรียนประชาบาลขํ้นใน'ที่นที่นนอีก บาท

และสรไงอากา

เบ็่นเงินประมาณ ๒๗๐,๐๐๐

นอกจากนไเ ยำไค้ติดต่อเจไหนไที่ประมงกลองวาล ให้เบ็๋นธระ

ในการเลยงปลานวลจนทร์ทะเลในอ่างเก็บนาใหญ่ที่ตำบลน เบนอาหารแก'ชาวบไนที่ขดสน

เพื

() ๘!

(เ/

^

^

นายสุรเทิน เบ๊นนกคนกิคริเรึมอย่ฅลอดเวลา ผลงานที่จะเบ็นประโยชน์แก'ประเทศ

อยากจะสราง

แด่โครงการส่วนมากมํกเบน

โครงการใหญ่ จึงไม่สำเร็จลุล่วงไปได้ฅามที่ปรารถนาท*งหมด เช่น การ สทิางโรงงานทำแบงมนสำปะหล"งที่ทไเสมโ] งานฟอกหนำฯลฯ

โรงงานอบขำวโพด

แด่มีขอเสนอแนะบางอย่างที่สมฤทธึ๋ผล

โรง กือก1ร

ทำอาหารผง สำหร"บใช้เบนเสบียงยำชีพ (ร^1IV1V&! 1^311011) สำหรบ ทหารและตำรวจ ซึ่งทางการได้ทำอยุ่ แลว แด่ยำอยุ่ในข*นทดลอง เมื่อ ได้กำแนะนำที่เบ็นหล"ก^านม”นคงเขำก็ทำให้เบ็๋นผลดีขน ได้ใช้ก"บทหารและตำรวจ

ออกไปปฏิบ การรบฅามชายแคนแลว

ที่

นายสุรเทิน บุนนาค ?\.0. ชื่อ 01-. ประเทศ

บีจจุบ"นนั้

'ฅิ

ได้ชักนำผู้เชี่ยวชาญการสำรวจที่ดินขอ

1เ1001:1ท31111 ให้เขำช่วยในการสำรวจที่ดินท’วท*ง

ซึ่งน"บว่าเบ็๋นประโยชน์ยี่ง

เพราะทำให้ผู้ทำการเพาะปลก

สามารถรู้ว่าที่ดินฅรงไหน ดอนไหน ของจำหว"ค และตำบลไหนดี อย่างไร

เหมาะแก่การปลูกพืชชนิดใด จึงทำให้มีแผนที่การสำรวจดิ

(ร011 1^1315) ขนเบึนคร*งแรก ในดำนเกี่ยวก"บการศึกษา ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งด*ง นายสรเทิน

เบื่นกรรมการและเลขานุการ

สาขาเกษตร

ของมลนิธิ

อาน"นทมหิดล นายสรเทิน ไค้ปฏิบ*ฅหนำที่ดวยความเรียบล้อย ทำการ ติดต่อช่วยเหลือน"กเรียนทนเกษตรทุกกนอย่างใกล้ชิด

เอาใจใส่ใาเ

ความเบนอยู่ของนกเรียนดลอดเวลาที่อย่ในด่างประเทศ สำเร็จกฌั]มา

จใเกระล้ง

นายสุรเทิน บนนาก

เรึมบวยควยโรคฅ้บ เมื่อ พ.ศ. ๒๕0๙

ชนแรกมีอาการบวมที่เท็า และอ่อนเพลียเบนคร^งกราว ศาสฅราจา

นายแพทย์วีกิจ วีรานุวฅฅ ไค้เบึนผ้ฅรวจรกษามาฅํ้งแฅ่ตน และแนะน ให้■นายสุรเทิใเพกผ่อนมาก ที่มีรสเค็ม

รบประทานอาหารจืด

กบให้งดการเดินทางไกล

นายสุรเทินไม่ค่อยได้ปฏิบตฅามโดยเก■ร่งกรด คนรกหนำที่

และงดอาหาร

แต่กำแนะนำประการหล"งน เพราะนายสุรเทินเบ็'น

ฉะนน จึงมกจะผนคำแนะนำของแพทย์ และเดินทางไป

ต่างจำหวดบำง ต่างประเทศบำง อยู่เสมอ ‘ๅ ก่อนถงอนิจกรรมประมาณหาเดือน นายสุรเทิน บนนาก เดินทาง

เขำไปในอำเภอกุยบุรี จำหวดประจวบคีรีขนธ์ หลายกร"ง เพื่อป งานระหว่างเจำหนำที่ผู้เชี่ยวชาญของ ?'./\.0.

และเจำหนำที่ของกร

พ"ฌนาที่ดิน ในการพ"ฌนาอำเภอกุยบุรี ตามพระราชดำริของพระบาท

สมเด็จพระเจำอยู่ห"ว ในระหว่างที่อยู่ในอำเภอกุยบุรี ไข้รากสาดใหญ่

จนกระทำเมื่อว"นที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕®®

เจ็บหน"ก มีไข้สูง หนาวส*แ ตำและตาเหลีอง พิษจากไข้นึ่ได้แผ่เขำไ ทำลายฅํบจนฅ"บวาย และนายสุรเทิน บนนาก จึงถึงอนิจกรรม ว"นศุกร์ที่ ๗ มิถุนายน ๒๕®® ๘ เดือน.

เวลา ๏๔.๑๕ น.

เมื่อ

รวมอาย ๕® บ

1^16 โลเ 8806-11า6 [เง่6โ 6|'0แา6โ11า601า|ท6ร6

วเ: พแเ๒๓ 01(๒ งอง่ง่

คำนำ

หนังสือเล่มนั้ หมอวิลเลียม กลิฟตน คอคค์

หมอสอนศาสนา

ชาวอเมริกน

ไค้แต่งขนไว้เมื่อประมาณนัาสิบบี่เศษมาแลวเบ็่นภาษา

องกฤษ

'11า0 1'2เ[ ^^06—ฒ01: 6]โ01;1า61: 0^ 1116 011111656

ชอวา

ต่อมาหลวงนิเพทย์นิติสรรค์ (ชิวดหล็ หฅะโกวิท)

ไค้ตดฅอนแปลลง

พิมพ์ในหนังสือวิทยาจารย์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลไ จึงไค้รวบรวมพิมพ์เบนเล่มขั้น

แจกในงานกเนพระราชทาน ณ วด

เขมาภิรตาราม

และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกลา ๆ

นังหวดนนทบุรี

ให้พิมพ์ขั้นในกร"งนอีกกร*งหนึ่ง

เพื่อแจกในงานพระราชทานเพลิงศ

นายสุรเทิน บนนาก ท.จ. หมอดอดด์ไค้เขามาทำหนัาที่เผยแพร่ศาสนากริสค์อยู่ในประเทศ ไทยที่จำหว"ดเชียงรายเบ็่นเวลาถึง ๓๓ บื่

ในระหว่างนไเ ก็ได้เดินทาง

ไปยำภาคต่าง จ ของประเทศ .ทยเท่าที่เวลาและโอกาสจะอำนวยให้ หมอดอดด์จึงเบนผ้ที่รู้จ"กก"บคนไทยและรู้ภาษาไทยดี ไทยในภาคเหนือนน

โดยเฉพาะภาษา

อาจกล่าวไค้ว่าเบ็นภาษาที่สองของท่าน

ส"มพ"นธ์อน.ยาวนานระหว่างหมอดอดด์ก"บคนไทยได้ทำให้ท่านเดิดกวาม รกประเทศไทยและคนไทยเบึนอย่างยี่ง

และความรกในคนไทยนึ่ไค้ทำ

ให้หมอดอดค็มีความอุตสาหะและความอดทนต่อความยากลำบากต่าง ^ ออกเดินทางจากประเทศไทยไปเยี่ยมเยือนทำความร้จ"กกไ]คนไทยที่อย่ ๘เ^

^

ในประเทศอื่น ฯ นอกประเทศไทยเบ็นระยะทางประมาณ ๒,000 ไมล์ คำปรากฏรายละเอียดอยู่ในหนังสือเล่มนึ่แลว

ความ



หน์งสีอของหมอคอคด์เล่มนํ้ นํบว่าเบ็'นเอกสารที่สำก้ญ ทางค๎านความรู้สึกของกนไทยในประเทศไทย ฅื่นฅำในกวามร้ที่ว่า

เพราะ ไค้ทำให้คนไทย

ชนชาติไทยนนเบ็่นชนชาฅิที่อยู่ในเนอ

ไพศาล ฅํ้งแต่แกวนอสสไเในประเทศอินเดีย ประเทศพม่า ประเทศไทย ประเทศจีนภาคใต้ในมณฑลยูนนาน มณฑลกวางฅ้ง

และเกาะไหหลำ

มณฑลกวางซี

ประเทศลาว

มณฑลไกวเจา

และแควนฅ้งเกียใน

ประเทศเวียตนามเหนือ ความรู้ที่หมอคอดด์ไค้ทำให้ปรากฏขนน เบ็่ ความรู้อไแกิดจากความอุตสาหะที่ได้เดินทางไปพบปะมาควยฅนเองแลำ บนทึกไว้อย่างมีหลำ;ฐาน

จึงเบ็นความรู้ที่ไม่มีผู้ใดจะขดแยำหรื

ถกเถียงไค้ หมอดอดค์ไค้ประมาณจำนวนคนไทยซึ่งอยู่ในประเท รวมท^งประเทศไทยในสมไ)นน (ซึ่งมีพลเมืองเพียง ©0 ลำนกน) ไว้ว่า

มีประมาณ ๒0 ลำนกน ถำจะคิดถึงเวลาที่ผ่านมาแลว ๕๐ บื่เศษจนถึง สมไบจรุบนน ก็น่าจะอนุมานเอาไค้ว่า คนไทยท^งหมดในโลกนํ้ มีจำนวนมากมายเพียงใด นอกจากความจริงที่ไค้ประสบมาควยฅนเองแลว หมอคอดค์ยำไค้ ศึกษาหนำสึอและเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกไ)ชนชาติไทย ไค้คนควำเอามาจากเอกสารทางประวตศาสตร์ของจีน

ซึ่งผู้รู้ในสมไ^

แลำไค้เสนอไว้

ในหนำสือเล่มนว่า ชนชาติไทยเกยเบึนชาติใหญ่อยู่ในประเทศจี

มีความเก่าแก่กว่าชนชาติจีนตลอดวิ'แชนชาติอืน "] ทึถือกไว่าเก่าแก่ โลกนอีกหลายชาติ

ชนชาติไทยไค้อพยพจากภาคเหนือของประเทศจี

ลงมาสู่ภาคใต้ของประเทศจีนเมื่อหลาย'ทึน่บี่มาแลว มาต*งราชอาณาจำไร

ค ขํ้นในมณฑลยูนนาน

เรียกว่าน่านเจา มีหลก^านปรากฏอยู่ในเอกสาร

ทางประวฅกีาสฅร์ของจีน

แลวได้อพยพลงมาทางทิศใต้ในเวลาฅ่อมา

จนได้มาฅํ้งราชอาณาจ*กรขนในประเทศไทยบจจุบน น ประว*ฅศาสฅร์ของชนชาฅิไทยฅามแนวที่ปรากฏอยู่ในหน*งสือของ หมอดอดด์

และในบทน่พนธ์ชองนกปราชญ์และผู้ร้อื่น ฑ ในสมไเนไเ

ได้เบนเบึนที่เชื่อถือกนในบรรดานกศึกษาประว*ฅศาสตร์ของชนชาติไทย ฅลอดลงมาจนถึงในบจจุบน

และเท่าที่สอนกไเอยู่ในสถานศึกษาด่าง

ในประเทศไทยก็ย*งกงอย่ในแนวน

เพราะข่อเท็จจริงต่าง

ที่กล่าวไว้

ในประว*ตศาสฅร์แนวน ดออกจะมีเหตุผลร*บกนทำให้ผู้ศึกษาเห็นจริงได้ ย็่งได้น่าขอเท็จจริงเหล่านนมาปร*บเข*าก’บประวฅิศาสตร์ของชาติไทย เท่าที่รู้ก*นแน่นอน

ก็ยี่งเห็นจริงขนไปอีก

ยกตำอย่างเช่นยคลุโขท

ยำเบนราชธานีนน ปรากฏว่าคนไทยเรามีความเจริญอย่างสงในทางการ ปกครอง ทางศิลปว*ฒนธรรม ตลอดจนการอุตสาหกรรม จนมีหลายท่าน เรียกยคสโขท*ยว่า ยุคทองแห่งประว*ฅศาสตร์ของชาติไทย ปรากฏการณ์ เช่นนจะเกิดขนลอย ๆ ไม่ได้

จำดองมีเหตุสืบเนื่องมาจากอดีต

ชาติไทยจะถือกำเนิดแบบโอปปาติกะ ความเจริญเต็มดำในท*นทีท่นใดน^น น่าจะตำงกิดไปว่า

คือเกิดพลุ่งโพลงขนมาโดยมี ดูออกจะไม่มีทางที่จะเบ็่นไปได้

ก่อนที่คนไทยจะมาด^งราชอาณาจำรสุโขทำขนนน

คนไทยได้เคยมีประสพการณ์ทางการปกกรอง ทางศิลป ทางว”ฌนธรรม และในบจจำอี่น ๆ แห่งความเจริญรุ่งเรืองมาแลวเบ็๋นอย่างดีและเบ็๋น เวลานาน

ชน

ยคทองนนจะทำให้เกิดขนไนเวลาบีสองบหรือแม้แด่รำยบ

ง สองริอฒี่เห็นจะไม่ไค้

ชนชาติไทยน่าจะไค้มีประสพการณ์แห่

ธรรมและว้ฒนธรรมอไแบ็่นของฅนมานานกว่านนมาก คนไทยเคยมีบระเทศอนเบึนเอกราชเบ็'นของตนเอง เบ็๋นของตนเอง

ความเชือถือว่า มีการปกครอง

ตลอดจนมีอำนาจของตนเองที่จะร'กษาความเม่นไทย

ของตนไว้ โนที่อื่นก่อนที่จะมาสณ์างอาณาจ'กรสุโขท'ยขน จึงเบนเหฅุผ ที่อธบายความเบ็่นยุคทองของยุคสโขท'ยไค้โดยแจ่มแจ'งที่สุด ที่นนมิใช่อาณาจ'กรน่านเจ'าแลว



ก็ย'งไม่ปรากฏว่ามีที่อื่นที่ผู้โดรู้จ'กหรือ

ค'น่พบ ไนระยะสองสามบี่ที่แล'วมาน

ไค้มิผู้สนใจศึกษาก้นคว'าเกี่ยวก'บ

สม'ยก่อนประว'ตศาสตร์ของไทยมากยี่งชน

ผ้ที่สนโจนนปรากฏว

ส่วนมากเบ็่นชาวต่างประเทศที่มิได้เคยมีความก้มพ'นธ์ก้บคนไทยเ

เวลายาวนานเช่นหมอดอดด์ แหล่งที่ก้นคว'านไเก็กือเอกสารทางประว'ฅ ศาสตร์ของจึนเช่นเดียวก'บที่เกยทำก้นมาแต่ก่อน

ชนชาติจีนเบ็นชนชาติที่มีเอกสารทางประวฅศาสตร์มากที่สุดใน โลก

จะหาชนชาติโดเสมอเหมือนมิได้ และเอกสารต่าง‘กเหล่านน มี

มากมายเก็นที่จะประมาณได้ เมื่อเบ็นเช่นนแก้ว การก้นกก้าจากเอ

ก้นมากมายของจีนก็ย่อมจะไค้ผลเบนข'อเท็จจริงหรือความเห็นที่ข'ค

ก้อเท็จจริงและความเห็นที่เคยเชื่อถือก้นมาแต่ก่อนเบ็นธรรมคา ผา จะควรเชือถือได้เพียงโคหรือไม่กอยู่ทีผู้ศึกษาน'นเอง มีความเห็นเก็ดขนในบางแห่งว่า

ในบจจบ

อาณาจ'กรน่านเจ'าน*นมิใช่ของ

จ และคนไทยไม่เค?.เม็ส่วนสำคํญในอาณาช้ารนนเลย ท^งนโดยมีหล”ก^าน จากเอกสารชองจีนที่แฅกฅ่างใปจากเอกสารที่ได้เคยศึกษาก”นมาแต่ก่อน หนังสือของหมอคอคด์ที่พิมพ์ขนคร^งน

จึงน่าจะเบึนประโยชน์

มากสำหร”บผ้ที่สนใจศึกษาประวตศาสตร์ของชนชาฅไทย

ในอ”นที่จะ

ได้ใช๎ศึกษาเท้ยบเศึยงกับนัอเท็จจริงใหม่และควา มเห็นใหม่ที่

ความแดกต่างระหว่างทฤษฎีเก่ากับทฤษฎีใหม่นน พอจะประมวลไว้ไ กังต่อไปน์

ทฤษฎีใหม่นนข”ดแย”งกับความเชื่อถือที่ว่า น่านเช้าเคยเบ จ”กรกันสำกัญของไทยโดยสนเชิง เคยอยู่ที่ไหน

แต่ก็มีได้เสนอใว้เลยว่า

มีประสพการณ์อย่างใรนัาง

คนไทย

พูดง่าย ‘ๅ ก็คือ คน

ไม่เคยมีหวนธนปลายตีนมาก่อน จนถึงยุคสุโขนัยจึงได้มีกัวฅนขํ้น หรือ อย่างนอยหำนอนปลายตีนของคนไทยนนก็ย”งหาไม่พบ ผู้ที่ต*งทฤษฎีใหม่ น์ขนก็ยอมร”บว่า

การละฑงกวามเห็นเก่า ‘ๆ บางอย่างเสียนัางนน

ทำ

ให้เราฅกอยู่ในความไม่รู้กันมืดมนมากกว่าที่จะทำให้เกิดความรู้กระจ่ ขน แต่ความมีดมนเช่นน์ซี่งมีทางที่พบความจริงได้เบ็นบางส่วนกัวยการ ศึกษาฅ่อไปนน

เบ็'นเครื่องกระตุ้นและนัานัายบญญาได้มากกว่าความ ร ข

ทางประว”ตศาสตร์ที่ผิดพลาด ส่วนทฤษฎีเก่าที่ปรากฏอยู่ในหนังสือของหมอคอคค์นไเ เบ็!นหกัก

ความรู้ที่ได้เชื่อถือกันมาช้านานโดยที่ย”งใม่มีผู้ใดหาหกัก จริงมาหกกัางได้โดยสนเชิง

ทฤษฎี'น อาจไม่เบนเครื่องกระต้นหรือ

ฉ ทาทาย “บญญา” ไค้มากนก สำนึกในความเบ็่นไทยไค้มาก

แฅ่ณ็บ็่นเครื่องกระต้นให้เกิดความรู้สึก

รึงน่าจะเบ็'นประโยชน์ไค้อีกหลายท

นอกจากที่ไต้กล่าวถึงมาแลว.

๒๖ มถนายน ๒๕๑๑

สารบาญ หน็า 1

บททึ

ซิ

ไทยในมณฑลเสฉวนและมณฑลไกวเจา

บทที่



ในแควนเชียงตุง

ซิ๕

บทที่



ที่ถือพุทธศาสนาในยูนนาน

๒๔

บทที่



ที่ไม'มีหน"งสือในยนนาน

๔๔

บทที่



ในมณฑลกวางซี

๖๗

บทที่



แถบแม่นายางสี

๘๕

บทที่



เคินทางในยนนาน พ.ศ. ๒๔๖®

ซิ ๐๒

บทที่



ในฅํงเกี๋ย

ซิ ซิ ถา

บทที่



ไทยจีน

ซิ ๓๓

บทที่ ๑ ๐

ที่ว่างในแผนที่

ซิ๕๓

บทที่ ® ซิ

ไทยเหนือ

ซิ๕๘

บทที่ ๑๒

ไทยลอในสิบสองพนนา

ซิ ๖๓

บทที่ ซิ ๓

ไทยเขิน

ซิ๗๗

บทที่ ซิ๔

ไทยฅะวนฅก

ซิ ๙๐

บทที่ ซิ๕

ไทยลาว

๒๐๒

บทที่ ซิ ๖

ไทยญวน

๒ซิ๔

บทที่ ๑๗

สรุป

๒๒ 0



* #

แเ*' V•,^. '

-

. ' .♦.

1''

*

ะ:.. ,2:.' 1’..- ' ^,?-

-

ซี®- .ะ'^ V^



''

.'. 5

เ^

^2

2 V 01- -]

.*♦,7 ♦*

^ ^' %

.1

1

1 ^. 31:^..' ■ะ^ ; .

-1. ^

*

เ^:

;

.ร^'

๒^

' • '' ■■^

"ชิ* V•*'■‘๙^^^

;ะ-;■๘ '' '' ^^' ^ .■-แ^ไ,*.',••ร^-.-7****^

. ^เ^^^--',*;"^-* :,:. :-^'*,-

โ^-:':{‘

‘.\\;.,7''.■'‘■■.•.^ .

-•

-

.

'/ ไ'๗*4''

.^-

-’?ป;

' 4ฟ้-

\

I -''

'2

1

บทท ๏ ไทยในมณฑลเสฉวนแล2!มณฑลไกวเปีา ชนชาติไทยในถี่นเดิมซึ่งลลับอยู่ในเวลานึ่

ถพะนำม

ก็กงเบ็่นเรื่องน่าร้เรื่องหนึ่ง ชนเหล่านึ่มีภูมิลำเนาอยู่ในถี่นซึ่ ภูมิศาสฅร์เรียกว่า ขนไป

มณฑลที่ต่อพรมแคนผืายเหนือของประเทศไท

คือมณฑลเสฉวนฅอนใต้และมณฑลไกวเจาฅอนฅะว”นออก

เฉียงใต้แห่งประเทศจีน

ที่จริงชนชาติไทยซึ่งถ็านับฅามภูมิศา

แลวมีภูมิลำเนาอยู่กวที่งใหญ่มาก ร”ฐบาลถึง ๔ ร”"^บาล และอินเดีย

และอยู่ในเขฅฅ์ความปกครองของ

คือร”"^บาลไทย

ร”"^บาลอ”งกฤษในเขฅฅ์พะม่า

ร”"^บาลจีนในเขฅต์มณฑลผืายใต้

และร”"^บาลฝร”งเศสใน

เขตฅ์แควนลาวและตังเกี๋ย ชนชาติไทยในถึนเดิมนึ่ ต\เต่นานมา ไต้อพยพลงมาทางใต้ประดุจลูกคลื่นที่ค่อย ๆ เคลื่อนไปอย่างชต้ 'ภู โดย เหฅุที่มีภูเขาสูงกีดกนเสีย . มณฑลเสฉวนและไกวเจา

บางพวกจึงต^งภูมิลำเนาอยู่ตามลุ่มแม่นาใน

ถึงแม้ชนชาติไทยจะแยกออกเบ็่นหลายพวก

หลายหม่ต่าง'ภูตันก็ตาม ชนชาติเดียวตันท"งนน

แต่หาใช่เบ็๋นมนุษย์ต่างชาติตันไม่

คือเบน

แต่ตงภูมิลำเนากระตัดกระจายท”วไป บางทีจะ

เบึนตัวยมีภูเขาสูงซึ่งยากที่จะตัามไปข"ามมาไต้อย่างสะดวกนี่เอ พวกต่างอย่

และนานเข"าก็แยกออกไปหลายพวก และมีสำเนียงภาษา

แตกต่างตันออกไป

อีกประการหนึ่งเมื่อชนพวกนึ่ไต้อพยพจากถี่นเด

มณฑลของจีนมีเนั๊อที่กวำงขวางกว่าที่เกยเรียกแสะเขาใจกนในประเทศไทย มณฑลใหญ่กว่าประเทศไทย กวรคแผนที่ประกอบคํวย

บาง

1®)

ปสู่ทีฅ่างในสมโ]ฅ่างก'นนน

มโ]ไม่ใคร่เอาใจใส่ไปม'เหา

หรือนำเรื่องราวในถี่นใหม่ไปบอกเล่ากโ]พวกพองที่อยู่ในถิ

.นหนโสือเรื่องมณฑลยูนนานที่ นายพโตรี คาวีส แต่งกล่ ขาพเจโประหลาดใจมากที่ไค้พบหม่บโนอย่างนอยสองสามตำบล

ใม

ดินแคนลุ่มแม่นาน คือแม่นาปูฅ (?11-ณ110) มีพวกชาน (ร!!3ก) ฅงภูมิลำเนาอย่ ปานนึ

ขโพเจโไม่นึกเลยว่าจะมีพวกชานอยู่ทางเหนื

พวกชานในตำบลนนเองกล่าวว่า

อโวะประมาณหลายรโยบี!มาแลว

พวกเขาได้อพยพมาจา

ซึ่งน่าสงสโอย่มาก

แต่บางทีเด

พวกนึกงอพยพ มาจากอาณาจโร ชาน ซึ่ง ในสมโนน อย่ในอำนาจพะม่าก็

เบ็นไค้ พวกที่อพยพมานึคงไม่มีพระสงฆ์มาดิวย เพราะฉะนน ที่ใช้และการถือพุทธศาสนาจึงสาบสูญไป เบ็่นภาษาชาน

แต่ภาษาที'เขาใช้พดกโนน

จึงควรเบ็!นเรื่องที่น่าเอาใจใส่ว่าชนเหล่านึแตกพวก

อย่างผิคปกติมาอยู่ในตำบลนึไค้อย่างไร

และคูเหมือนพวกเขาเอง

ไม่ไค้นึกว่าทำไมตนจึงมาอยู่ที่นี่ หรือเดิมมาจากไหน ไม่มีจดหมายเหตุหรือหลโ;ฐานที่กล่าวโดยแน่นอนพอจะเบ็่นทาง สนนิษ^านไค้ว่า

ชนชาวไทยในมณฑลเสฉวนแผ่ภูมิลำเนาไปกวโง

ขวางเพียงไร และมีจำนวนมากนัอยเท่าไร ไปว่ายโไค้พบหมู่บโนของชนพวกนึ

นายพโตรีดาวีสกล่าวต

ฅใกระจดกระจายทโไปทางเหนืถ

ของมณฑลยูนนานและมณฑลเสฉวนที่ติดต่อกโประเทศธิเบด *

ชาน หรือ ฉาน หรือไทขใหญ่ ซึ่งอยู่ในแดนขะม่1 อังกฤษเรืยก ชานดะอัน?!ฦ แ?,ะ ทื่เรๅเรืยกว่าเงยว ชาน หรือ ฉาน นั้ เบ็นคำพะม่าใช้เรืยกไทยทำไาเ



เซิงอรรถของหนังสือนายพํนฅรีคาวีสนนกล่าวว่า

นายการฺเน็ยสฺย

พรรณนาถึงพวกชานที่อย่ทางฅำบลแม่นายาลุง (V31^108) นับแม่นา ยางสี (V3I18เ26) ต่อกน (อยู่ในมณฑลเสฉวน) ไว้ควยว่า

นัาพเจา

เชือว่าคงมีตำบลนัานของพวกนฅงกระนัคกระจุายอย่ในดินแคนแถบลุ่ม

แม่นายางสีอีกเบ็เนอนมาก บางทีจะเบ็่นพวกที่ฅกนัางอยู่ เพราะไม่ อพยพไปพรอมนับพวกก่อนเบ็๋นแน่

แต่อย่างไรก็คี นี่เบนเรื่องที่กล่าวไว้เมื่อ ๒๐ บี่มาแนัว แต่นัคนี

เพื่อนของนัาพเจวีที่อยู่ในมณฑลยูนนานได้เล่าว่า เขาได้เดิ แม่นํ้ายางสีทางทิศใด้เบ็๋นระยะทาง ๘ วน

ได้พบหมู่บ้านชนชาฅ

หลายแห่ง แต่เขาไม่ทราบว่า

ต่อลงไปอีกนนจะมีหมู่บ้านชนชาฅิ

อีกหรือไม่

เขาเล่าว่า

เพราะเขาไม่ไค้ไปต่อไป

หมู่บ้านไทยค^งเรี่ยรายห่าง ‘ลุ กนไป

ในถี่นที่ผ่านไปน

แต่ทางแถบของแม่นายางสีฅอน

นมณฑลเสฉวนมีหมู่บ้านไทยหนาแน่น แม่นานี่มีสาขาหลายสาย และ ในดินแดนแถบสาขาของแม่นานี่

บ้าในตำบลใคมีนาขั้นเอิบอาบบน

ราบพอจะทำนาได้แลว ย่อมมีหมู่บ้านชนชาติไทยค*งอยู่ในที่ราบเหล่ เพราะชนชาติไทยไม่ชอบต*งภูมิลำเนาอยู่บนภูเขา เขายืนยไเว่า

พวกชนชาติไทยที่ตงภูมิลำเนาอยู่ท”วไปในมณฑล

เสฉวนนน เรียกคำเขาเองว่า ไทย

เช่นเดียวนับพวกไทยในแถบนี่

เขาไม่ชอบให้เรียกเบ็่นอย่างอื่นนอกจากว่า ไทย ฅลิ (73-11) หรอ ฅุเรน (73-1:60) กฅาม.

แม้จีนจะเรียกเขาว่า

ซนชาฅิไทยในมณฑลไกวเจานน

คูเหมือนไม่ได้เรียกทวเขาเอง

ว่าไทย และฅามที่นาย เอส. อารุ คลารุก ผู้แต่งหน'งสือเรืองชนชาติที

อยู่ในประเทศจีนผายใต้ว่าชนชาติไทยในมณฑลไกวเจาน"นเรีย

ท”วไปว่ า จงเจีย (01111ท8 01113) หรือบางทีเรียกว่า ตุเยน (711หรือตุเรน

ในหน'งสือปทานุกรมของผู้สอนศาสนาโรม'นคาธอลิคใน

มณฑลไกวเจา เรียกว่าไคออย (0101) ซึ่งขาพเจทีได้ยินเขาสะกดอย่ ภาษาเสปญว่ายอย (V0I)

ใน พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้พบกนที่ทำการใน

สถานที่ของที^บาลในเมืองกวางนาน ( I^\V3ฑ8I1สI1 หรือ ^ฬ3020311โไ1 อยู่ในมณฑลยูนนานตอนคะว'นออกเฉียงเหนือ )

หลายคนเรียกต่

เองว่าไทยยอย (731 701) สำเนียงและภาษาไทยยอยในเมืองกวางนาน นนก็อย่างเดียวก'บไทยอื่น ๆ มาก

เมื่อขทีพเจทีได้ยินคร*งแรกก็เขท

กร*งเมื่อขทีพเจทีได้เดินทางจากยางสีในเส ฉวน

('/73แ080110^)

ไปย'งวูติงเจา

ซึ่งอยู่ในมณฑลยูนนานตอนเหนือ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑

ว'นหนึ่งมืผู้บอกขทีพเจทีว่า

มีหมู่บทีนของชนชาติจุงเจียอยู่ใกล้ ฑ ที่พ'ก

ขทีพเจทีจึงหาโอกาสไปหาและสนทนาก'บเขาโดยใช้ภาษาที่ชทีพเจทีรู้ จากแดนเหนือของประเทศไทย ก็พอพูดเขทีใจก'น มีติดข'ดิบทีงก็เล็กนที)ย ใเายกลารุกประมาณว่า ทีสด ๒ ลานคน

มีชนชาติไทยในมณฑลไกวเจาอย่างใ-ล้อย

นายพนตรีดาวีสได้ขีดในแผนทีมณฑลยนนาน

เบ็่นเขฅฅ์แดนที่ชนชาติไทย ฅะว'นตก

ตงภูมิลำเนาอยู่ตลอดดินแคนล

หรือที่เรียกว่าแม่นาสิเกียง

ซึ่งผ่านไปในมณฑ

เบ็'นเขฅฅ์กวทีงใหญ่เท่ากีบเขตต์ของชนชาติที่อยู่ในมณฑลยน

หใ!งสือปทานุกรมฝรํ่งเศส-ย’อย (?ฒ00-0100 กล่าวไว้ในฅอนคำนำ ว่า

ชนชาฅิที่ฅํ้งภูมิลำเนาอย่ในดินแดนลุ่มแม่'แาฅะวนตกท^งในมณฑล

ยูนนานและมณฑลไกวเจานนเบึนชนชาติไทย

แต่เรียกกนในถ็่นนนว่า

ไดออย ข็าพเจ’าไค้สอบสวนโดยไค้ไปควยตนเอง

เ'ทียงดินแดนตะวน

ออกเฉียงใต้ของมณฑลยูนนาน ไค้พบชนชาติไทยต*งภูมิลำเนาอยู่ท”วไป เหตุฉะนนจึงเบ็่นอนเชื่อแน่ว่า

ทางดินแดนตอนตะวนตกเฉียงใต้

ของมณฑลไกวเจาอนติดต่อกบมณฑลยูนนานนน คงมีชนชาติไทยเบ็่น อ"น่มาก สมจริงดำคำ'กี่เขากล่าว ในขณะ'กี่นายคลารุกไค้ไปอยู่ในมณฑลนนช”วกราวและเอาใจใส่ ในเรื่องชนชาติไทย

หรือที่เรียกก”น่ในมณฑลนนว่า

ชาติจงเจีย'แม

จนถึงเขาไค้แปลก"มภีร์ศาสนากริสตฺอ"น่ชื่อว่า คัมภีร์ม"ทธิว นนออกเบน ภาษาจุงเจียและพิมพ์ควยอ"กษรโรม"น่แคัวนำไปส”งสอนชนพวก'น

คร^ง

ที่ขำพเจำไปนน ขำพเจำตองเสียเวลามากในการที่จะอ่านหนำสือที่พิมพ์ เบนภาษาจุงเจีย

เบ็่นการยากที่จะเทียบเสียงคำ'ตูดของภาษาจุงเ

ภาษาลื่นเหนือของประเทศไทยใ'ห้ตรงคันไค้ เว่น่แต่ไค้พ์งเสี ปากชาวซุงเจียเอง

เพราะคักษรโรม"น่ที่เขียนเบนภาษาซุงเจียจะให้ตรง

เสียงตูดทีเดียวโดยไม่มีเครื่องหมายพิเศษนนย่อมไม่ไค้ ในหนำสือที่ นายคลารุก แต่ง ว่าควยชนชาติต่าง ตุ ในแถบน โดยฉะเพาะชาติจงเจียหรือชานนนเขากล่าวว่า

คัด'นเราควรจะแยก

ซนซาติไทยหรือชานที่มีจำนวนมากในมณฑลไกวเจานออกเบ็่นพวกหนึ่ง ต่างหาก

เชำใจว่าซนซาตินึ่กงจะไค้อพยพจากดินแดนทางลุ่มแม่'แา

ไว

สิเกียงมาอยู่ในมณฑลไกวเจาเมื่อประมาณพนบี'ล่วงมาแลวภายในเขฅ ระยะทางสิบไมล์จากเมืองไกวยาง

ซึ่งเบ็่นเมืองสำคํญฅํ้ง์

ทีว่าการมณฑลไกวเจา มีหม่บบีนชนชาฅิเมื่ยว (]VII30) หรือแมว จีนพวกหนึ่ง

อย่ราวสองรไ)ยหม่บบีน

และมืบไนชนชาฅิจุงเจียปะป

อยู่ไม่ตากว่าสองรอยครำเรือน.

เมื่อประมาณสิบบี่มาแลำ นายเอ็ด การฺเบ็ตฅฺสฺได้เดิน เมืองตุชน (1115๒11) ในมณฑลไกวเจา ไปยำเมืองซิงยิฟู (ร1118}'1๒) ซึงอยู่ในมณฑลไกวเจาตอนใต้ริมพรมแดนมณฑลกวางซี ประมาณสองรอยไมล์ตามทางนกบิน

ระยะทาง

เสียเวลาเดินทางอยู่เจ็ดวน



ระยะทางที่ผ่านไปนนได้พบหมู่บไนชาวจุงเจียโดยมากตลอดไป



ที่เขาผ่านไปนนไม่มืถนนหนทางที่ดี

และไม่มีโรงขายอาหาร

ที่อยู่ในตำบลเหล่านนมีอธยาศำดี ช่วยเหลืออย่างใด

แต่ชน

เมื่อชาวต่างประเทศไปขอค

ขณะเดินทางสนลงในเวลาเย็น

ก็มำได้รไ]ความ

เออเหํ้เอเสมอ. ภาษาที่ชนเหล่านึ่ใช้พูดกไเ เสียงไม่คลไยภาษาจีนเลย ไปขไงภาษาชานและไทย

แม้แต่ลำษณะรูปพรรณของชนเหล่านึ่ก

ไม่ทำให้เชื่อแน่ยี่งกว่าเปรียบเทียบเสียงภาษาและกำ

ผู้ชายโดยมากและผู้หญิงจุงเจียบางคนใช้ภาษาจีนพูดจากน ผู้หญิ

ม่ได้รดเทไเหมือนหญิงเมื่ยว แต่การแต่งกายนนใช้เสํ้อคไ]และน การแต่งกายชะนิดนึ่ยำใช้กนอยู่ท'วไปตามนอก ๆ เมือง ไกวยางนน

แต่ใน

ผู้หญิงทีแต่งกายทนสมยเช่นหญิงรุ่นสาวก็แต่งกาย

หญิงจีน

คือใส่เสอหลวมและนุ่งกางเกง

ของหญิงจีน

ซึ่งเบ็่นธรรมเนียมแต่งก

และโคยเหตุที่ผู้หญิงไม่ไค้รดเท๎าเหมือนหญิงจี

แลเห็นหญิงจงเจียไปทำการงานในไร่นามากกว่าหญิงจีน

แต่ผู้ชายชาฅิ

จงเจียโคยมากเบนชาวนาและแต่งกายอย่างเคียวกโาชาวนาจีนและชาว ตำบลนน ต่อเมื่อถึงคราวมีงานออกหนำออกฅา เขาจึงแต่งกายใช้เสือ ยาวอย่างจีน

ชาวจงเจียบางคนไค้พยายามเล่าเรียน

ราชการจนถึงไค้รบตำแหน่งสูงในมณฑลที่เขาอย่ก็มี อุปราชของมณฑลยูนนานและไกวเจา ก็เบึนชนชาฅิจุงเจีย

และ ไค้เขำทำ

เช่นเจนกุ

ซึ่งเพี่งถึงแก่กรรมเมื่อเร็ว ‘ตุ นี

ถึงแม้ว่าชนชาฅินีจะอยู่ในส่วนต่าง ‘ตุ ของมณฑล

ผายใฅ้และเรียกชื่อต่างกนออกไปหลายอย่างก็คี แต่หาไค้เบ็นคนต่างชาติ กนไม่ ในจำหวำอนชนฟู

อยู่ใฅ้เมืองไกวยางในมณฑล

ไกวเจา) นนมีแยกออกเบ็น๒ พวกคือ ปละสี

(?11-121-เ51)

พวกหนึ่ง

มกตงภูมิลำเนาฅามที่ราบ อีกพวกหนึ่งเรียกว่า ปุลุงสี (?เ1-111ฑ8

ชื่อนึ่ไค้มาจากชื่อของหำหน้าที่มีอำนาจแฅ่คร"งโบราณคนหนึ่ง ลุง (บนกธึ) สำเนียงภาษาของพวกท^งสองนึ่ฅ่างกนบำง แต่ไม่ต่างกนจน ถึงน้บพูคไม่เขำใจกนอย่างชาติเมื่ยว

และไม่มีหน้งสือของตำเอง

แต่

ใช้หนำสือจีนอย่างเคียวกบชาติเมื่ยว

ชายหนุ่มและหญิงสาวมีเพ

เกยวก'นอย่างไทยในภาคพายพ การนบถือศาสนาของชนชาตินึ่

เขำใจว่ากงเบ็่นล"ทธิเต๋า

(คือ

ศาสนาที่ศาสดาจารย์เหลาจั๊อชาวจึนเบนผู้ต*ง์โคยยึดหล"กความคีความช่ว) ยงกว่าจะเบ็'นศาสนาพุทธ

แต่ว่าพิธีและขนมธรรมเนียมกวามประพฤติ



ของเขาน”น แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ลํทธิเฅ๋าหรือศาสนาพุทธท่งสอง

ชนในฃ์งหวํคอไเชํนฟนนเชื่อถือว่ามีพระเจาอยู่สององก คือพระเจาแห่ง ความดีและพระเจ”าแห่งกวามช”ว (1เ11-11816ถ)

สถิฅอย่ในสวรรค์

พระเจิาแห่งกวามดีมีนามว่าฅุย

บ”นดาลให้ฝนตกเกิดพายุและแดดออก

และบ”นดาลกวามดีด่าง พุ ให้ อีกอย่างหนึ่ง คือพระเจ”าแห่งความช เขามีความเกรงกลำมาก

เพราะฉะนไแขาจึงทำการทกสื่งทุกอย่

ที่เขากิคว่าจะเบนที่พอใจแก่พระเจำ เช่นเซ่นไหว้หรือบวงสรวงที่ฅ ใหญ่เรียกว่า

ต”นไม้เจ”า

มกจะเบ็๋นต”นไม้สูงโตและมีอายมาก

มิฉะนนก็บูชาควยวิธีซึ่งเขาคาดว่าจะให้รู้ถึงพระเจำได้

ข”าพเจำขอถือโอกาสนึ่อ”างถึงหนำสือของนายคลารุกอีกกรงหนึ

ไม่ใช่ฉะเพาะจะเบนเรื่องจ'บใจผู้อ่านและมีหลกฐานดีในเรื่องที่

ชนชาฅิไทยในถื่นเหล่านึ่ซึ่งดำเขาเองได้เขำไปอยู่และทำก เทานน

แด่เพราะชนเหล่านนมีลกษณะคลำยกลึงและใกล้ชิดที่ส

1

ชนชาติไทยพาย”พ ^VI

ขำพเจำไค้พบคำสำรวจของมิสเฅอรฺ ที.เอส.เอ.เบิรฺน (7.8 ธอนเ-ฑอ)

กงสุลอำกฤษประจำประเทคจีนตอนใต้

พิมพ์ในรายงาน

พ.ค. ๒๔๔๑ กล่าวถึงชนชาติไทยในมณทลไกวเจาว่า

ที่กล่าวกำเ

ชนชาติจีนที่อพยพไปต^งถืนฐาน ณ กลางมณฑลไกวเจาแต่ศตวรรษที่

แห'งกริสฅศักราชนน ขำพเจำเชื่อว่าชนชาติจีนก็ยำไม่สามารถเขำไ

แทนที่หรือผะสมศับชาติเจำของถึนไค้มากกว่าครึ่งหนึ่งของส .นคืนนน

ส่วนทางตะวนตกเฉียงเหนือของมณฑลโเ”11มีชาติโลโล

๙ (1010) ฅงภูมิลำเนๆอยู่มาก ซนชาติโลโลเบ็๋นชาติใกล้ชิดหรือสืบเนื่อง มาจากชาติธิเบฅ และบางท้จะสืบเนื่องมาจากชาติพม่าดวย ทิศใฅ้นนมีพวกชานอพยพมาจากมณฑลกวางสีและยูนนานฅอนใต้

ส่วนทาง มา

ฅงถี่น^านมนกงลงอย่างใหญ่โตที่จ'งหวดฅ ชนเจา (XII-811311-0?10ห') และตามตำบลที่ใกล้เคียง มาจากเหนือ จากเลียงชไเ

แต่ชาติโลโลที่ต^งลื่น;ฐานอยู่ในที่นื่เบ

(บ13118

ซึ่งอยู่ทางลุ่มแม่นายางสี

ร๒ธ)

ตอนคุ้งใหญ่ซึ่งเบ็นลื่นเติม และพวกชานมาจากทางทิศใต้และตะวนตก แต่ชาติเมยวนนเบ็นเจ’าของลื่นอยู่แต่เติม

ในรายงานการเดินทางผ่าน

พรมแดนต'งเกี๋ย

(011103 1^0. 1 ธ!" 1888)

เมื่อ ค.ศ. ๑๘๘๕-๖

ข'าพเจ’าได้แบ่งชนชาติต่าง ‘ๆ ในประเทศจีนตอนใต้

ซึ่งชาวจีนเรียก

ต่างกไเต"งร’อยชื่อนนออกเบ็่น ๓ ชาติคือ โลโล ชาน และเมื่ยว การที่ ข’าพเจ’าแบ่งเช่นนื่ออกจะกล’าไปสํกหน่อย

แม้เพียงเท่าที่ช’าพเจ’าได้

สำรวจมาแล’วนื่ย"งไม่พอที่จะลงความเห็นเชื่อเบึนจริงไค้ทีเคียวก็ตาม แต่ข’าพเจ’ามีความยินดีที่ไค้ทราบว่าการไปสืบก’นโดยอาศ"ยหลักวิชาของ หมอเดเบลนเน ผ้เบ็่นมิสช"นรี ก"บการสืบค’นของหมอ เอ. เฮนรี เจ’า พนกงานโรงภาษีสินค’าต่างประเทศที่เมืองม่งสู (1VI008■^2น) นน

ก็ไค

ผลสน"บสนุนความเห็นของข’าพเจ’า พลเมืองของมณฑลเสฉวนตะว"นตก

ยูนนาน

ไกวเจา

สูนาน

ตอนตะว"นฅก กวางซี และกวางคุ้งที่ไม่ใช่ชาติจีน เพียงเท่าที่ ได้รู้จ"กค้นเคยมาเบึนเวลานานนน เบ็นคนร"กสงบ และเบ็่นชาวนาอย่าง คีเลีศ

ที่จริงเขาไม่ใช่กนบาเถื่อนเลย แฅ่มีคุณสมบฅเบี่นมนุษย์ทรหฅ

๑0

ยี่งกว่าพวกจีนที่เห็นการไล่ยิงส็ฅๅ และกีฬาฟุตบอลล์ เบ ฅนบาเถื่อนเสียอีก

แต่อย่างไรก็คีชนพวกนมีนิส่ยไม่ใคร่กระฅ

ในการงานหรือถือว่าการงานเบ็นของสำคัญและจำเบนอย่างเรา เพราะ

เขาพอใจแต่ในความเบึนอย่อย่างบำนนอก และเครื่องนุ่งห่มก็ท เมือพูฅท'วไปแลัวเขายำไม่เกยลั้มรสความพมเพึอยอย่างอารยชน มิสเฅอรฺเบิรฺน

กงสุลอำกฤษยำไค้เขียนรายงานของเขาถึ

ที่เขาไค้เคยเห็นการรื่นเริงของชนพวกน ซึ่งน่าจะเอามาเบ็๋นหลักย ได้อีกอย่างหนึ่ง ทำควยไม้ไผ่

เช่นเขาไค้เคยเห็นเครื่องดนตรีของชนพวก

รูปเหมือนลำกลองและเบืาควยปากอย่างเดียวกับเครื่อง

คนฅรีที่ชนชาติไทยในแควนลาวของฝร’งเศสใชักนอยู่ ว่า

ที่เมืองบี่งไม (?1118-1ท61)

ซึ่งอยู่ห่างจากมณฑลไกวเจ

ชายแคนมณฑลกวางซี ราว ๒-๓ ไมล์ ควยเรือไปตามแม่นา

ใจควา

ขณะที่พวกเราไค้เดินทาง

พอตกเวลาเย็นก็จอคเรือนอน

ขณะนนไค้ย

เสียงและเห็นหมู่คนเดินมาเหมือนกระบวนแห่ตามทางอีกผืงหนึ่งขอ

แม่นา มีผู้หญิงประมาณ ๓0 คน แต่งคัวสวมเสั้อสน‘สุ เดินเบ็นแถว เรียงหนึ่งมาขำงหนำ

กัคไปก็ถึงพวกผู้ชายเบนคันมากเดินเบี่นแ

ตามหลังพวกผู้หญิง ท"งสองพวกนึ่มีเครื่องคนตรีคัวยรูปเหมือนกระบอ ไม้ไผ่

เวลาเบาปลายยื่นพนศีรษะขนไปลักสองสามฟุต

คัวยปาก เสียงที่เบานนไพเราะน่าพง ไป

แลวกระบวนแห่นนก็ขำมแม

ขำพเจำมาทราบภายหลังว่าพวกที่เดินเบนกระบวนแห่พ

ตนฅรีนนเบ็๋นชาวจุงเจีย (ชาน)

ซึงอยู่ตามตำบลที่ใกล้‘สุ น

ไค้เดินทางไปในระหว่างภูเขา^เงแฅ่เชำเพื่อไปดูการเล่นชนกวาย เพ็งกล"บมา

พวกนชอบเลยงกวายไว้สำหร"บชนกไเ

ของเขาส่วนหนึ่ง พัน ‘ดู คน

ถำมีงานนักชนกวายกันที่ไหน

เบ็่นการรืนเริง

ก็พากันไปดูนั

ฤดูที่เล่นชนกวายกักเบื่นฤดูแกังหรือในโอกาสรื่นเริงอื่น ‘ดู

พวกจีนไค้เล่าให้นัาพเนัาพื่งว่า ลำบากในการเล่นชนกวายกันนึ่

พวกจงเจียฅองเอาเบ็๋นธุ

เพราะเขาเชื่อถือว่า

พัาบี่ใดไม่มีการ

ชนกวายกันแลว การเพาะปลูกของเขาในบี่นนจะไม่ได้ผลดี กวามเชื่อ ถือนึ่กพัายกับชนชาวบาบางพวก

ที่ถือเอาการกีท'าเบนธรรมเนียม

เสี่ยงทายโชค ใน พ.ศ. ๒๔๕๘

พัาพเพัาได้ร"บจดหมายจากมิสช"นรืที่อย่ใน

มณฑลไกวเจาฉบ*บหนึ่ง

เรื่องขอกวามช่วยเหลือให้สืบพันหาวิธี

เขียนหนังสือและออกเสียงภาษาของชนชาดิด่าง ‘ดู ในก็นซึ่งเขากำกั พยายามทำอย่

เพื่อส"งสอนพวกนึ่ให้กังเกดและอ่านเครื่องหมายเ

ภาษากันไค้ ขำพเจาร"บจะช่วยแกัวส่งแบบหนังสือไทยเหนือไปให้ แด่ วิธีการที่ทำอยู่นนทำสำหร"บชาติเมยว เพราะฉะนน ที่ส่งไปให้นึ่กงไม่มี ประโยชน์แก่เขามากนัก

แด่อย่างไรก็ดี การที่จะหาเครื่องหมายสำหร

ให้ชนเหล่านึ่ใช้นน

เห็นว่าทางที่ดีที่สคกวรใช้อักขรวิธีชองโปลลาร

([•งแสณ์ 801:11)15) แด่ในเวลานนแม้ขำพเจำเองก็หารู้อักใช้ไม่

การที่ขำพเจำไค้นำเรื่องนึ่มากล่าวก็เพื่อแสดงขอสำค"ญแห่ ด่างกันระหว่างชาติชาวเขาคือมอญ-เขมรรวมท*งเชอสายกับชนชาติไทย พวกด่าง‘ดู และจะแสดงให้เห็นว่า ถืนที่ฅงภูมิลำเนาของชนชาติไทยนน

ไค้เหยียคแผ่ออกไปไกลก้นเพียงไร แม้แต่พวกมิสชนรีทีเขาไป

ศาสนาอย่ในระหว่างชนชาติเหล่าน ทงในพรมแคนผ่ายเหนือและผ ก็ยไ3มีความร้เรื่องชนชาติไทยเหล่านืนอยนัก การไปเที่ยวสืบคนก็คี การต่าง‘ๆ ติดต่อถึงนันก็ดี

การมีจคหมายไปมาถึงกนก็ดี



เช่นไปฅํ้งํ้สอนศาสนาเบ็นฅน สามาร

ให้ชนชาติไทยในทองที่ต่าง "I ได้รู้จกกนและทำความใกล้ชิดนันมากเข ประโยชน์ของการทำเช่นนืมีเพียงไรนัน ว่า

เบนความปรารถนายื่ง

ขำพเจำขอร”บรองอย่างจริ

และเบ็่นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงท

ที่จะทำให้ชนชาติไทยซึ่งอย่ต่างดินแดนห่างไกลก”น ติดต่อรู้จ”กก”นนน มาหาส่ถึงก”น

อะไรไม่สำค”ญเท่าการคมนาคมและทำการติดต่อไป นับแต่สม”ยที่มีผู้เรี่มประดิษฐ์รถไฟชนแลว ไค้นำความ

เจริญมาสู่โลกเบ็่นอ”นมาก

ขำพเจำยำมีความหวำอยู่ว่า หนังสือสัญญ

สรำงทางรถไฟเขำไปสู่มณฑลไกวเจาและมณฑลที่ใกล้เคียง ซึ่งร”ฐ์บ จีนอนุญาตให้ฝร”งเศสเบี่นผู้ทำนไเ

คงจะเบึนผลให้ชนชาติไทยใน

ดินแคนทีกล่าวน์ได้ประสบอารยธรวมโดยเร็ว คำมีข่าวปรากฏในหนังสือ พิมพ์ลอนคอนไตมฺส เมือ ค.ศ. ๑๙๑๓ ว่า

“ร”ฐ์บาลจีนได้เตรียมการจะทำสัญญาก”บลอรฺคเฟรนช 1^'1-6ก011)

ผู้แทนบริษ”ทปอแลงสุ (^6881-8. ?&ฒฆ88)

ฝร”งเศส

อนุญาตให้บริษ’ท'แสรำงทางรถไฟจากจำหว”คชาสี (811281)

ในมณฑลยูเป (ผแก610 ถึงจงหวดชิงยิ

'ฟู

ซึ่งเบ็นบริษ”ท

ในมณฑลไกวเจาไปต่อสั

1

ทางรถไฟสายยูนนานก้บขึานอยของฝรํ่งเศส ยูนนาน

.,

งยิฟู-นานนิง โคยฝร'งเศสเบ็นผ้พัการตลอค”' ฅอมาอีก

ฟู-ซิ

สัปคาห์หนึ่งก็มีข่าวปรากฏอีกว่า

“สัญญาระหว่างบริษทปอแลงสุกบ

สั3บาลจีนสำหสับสร*างทางรถไฟคามที่กำหนดนนไค้เซ็นสันเสร็วิแล เมื่อเย็นวานนึ่”

ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามหาสงครามคราวนึ่จะไม่เบืนเหฅุโห้ก ทางรถไฟต้องหยุคชะสักไปชํวคราว

และต้งการที่จะดำเนินคามสั

ก็ฅิคสัคไปควย แค่อย่างไรก็คี ฝสังเศสไค้วางแปลนและระเบียบการไว้ เสร็จแสัว

และฝสังเศสก็ไค้ทำทางรถไฟเสัาในเขฅแดนจีนถึงสังหสั

ยูนนานฟู

ในมณฑลยูนนานแสัว ซึ่งเบ็๋นขนที่จะทำค่อจากกิจการที่

เร็มไว้ให้สำเร็จคลอคไปไค้เบ็๋นแน่ สัาพเจำประสงค์จะชให้เห็นว่า

สี่งที่จะเปลี่ยน;ฐานะของมนุ

ให้เจริญสัาวหนำ เช่นรถไฟนึ่ จะเบ็๋นสัอพิสูจน์สันเพียง ไทยเบ็่นจำนวนมากอยู่ในประเทศจีน

คือในมณฑลไกวเจาประมาณ

มากกว่า ๒ สัานคน ในมณฑลกวางซีไม่นอยกว่า ๒ ล้านคน

ในคอน

คะวนออกของมณฑลยูนนานกว่าต้านคน หวังว่าชนชาติไทยที่อย่ในถี่ ด*ง์เคิมและอยู่กระสัคกระจายห่าง "] สันซึ่งมีจำนวนหลายต้านน*นคงจะใช้ ทางรถไฟสายยูนนานฟู-ซิงยิฟู-นานนิง เบี่นแน่

แค่มีบญหาว่า

ไปมาถึงสันและรู้

การคมนาคมชนิดนึ่จะทำให้ชนชาติไท

ประเทศจีนไค้สับผลดีหรือรำย

แท้จริงแม้ว่ารถไฟสันเบนสื่อคมนาคม

อย่างดีสามารถนำอารยธรรมมาสู่ชนชาติไทยไค้เร็วก็จริง

แค่ว่

๑๔

อารยธรรมอย่างเดียวเท่านนย์งไม่พอที่จุะทำให้มนุษย์

บาเถื่อนและฅํ้งั้ตนอย่โดยสงบในระหว่างชาติท"งหลายที่เจริญแลว ไค้

มนุษย์เหล่านนจะฅิองไค้รบการศึกษาที่ถูกแท้ประกอบ

เฅ็มที่ และโดยไม่ลท้หล"งสมไ] เพราะการศึกษามีอำนาจที่ทำให้กนฅ"งฅน อยู่ในตำแหน่งอ"นสมควรแก่ความเบึนมนุษย์น!งในส่วนชาติและส่วน บุคคลโดยแท้.

บท■ท ๒ ในแควนเชียงตง

การประชุมในกิจศาสนาคริสต์ เมื่อตน ค.ศ.®๙®0 หมอบริกสุ ( □เำ Vผ้เบ็่นเพื่อนสนิทของขำพเจ*า เดินทางเข’าไปในประเทศจีนตอนใต้ เหนือขนไปอีก

เพื่อไปสืบคนชนชาติไทยที

ข*าพเจ*ารู้สึกตื่นเตนและยินดีมาก

ขาพเจ*าคือสอนประจำชนชาติไทย

ได้เร*าให้ขํต์พเจ'า

เพราะหน*าที่ของ

และอีกประการหนึ่งกิจการทาง

มิสชนรียำไกลจากความสำเร็จอนควรพอใจอยู่มาก

เรารู้จำแต่ชนชาติ

ไทยตอนเหนือประเทศไทยและทางตะวไเออกของพม่าเท่านน

เพื่อ

ประโยชน์แก่กิจการนึ่ จึงมีโรงพิมพ์สำหรไ]พิมพ์กำสอนในศาสนาคริ โดยใช้ภาษาและหนังสือไทยเหนือสำหรบสำสอนชนชาติไทย อย่างน*อยที่สุด

ก็ใช้ไต้ถึงแคว*นลาวของฝรำเศสและทางฅะนันออก

ตลอดจนดินแคนตอนใฅ้ฃองประเทศจีน กลำพอที่จะผาอไเฅราย ก'บหนำที่เบ็่นมิสชนรี

ฉะนน

แต่อย่างไรก็ดี ถำชำพเจำไม่

ขำพเจำก็ยำไม่มีกวามชอบในศาสนาและไม่สม

อีกประการหนึ่งเรารู้ไม่ไต้ว่าพลเมืองที่เบ

ซนชาติไทยในประเทศจีนนนแผ่ภูมิลำเนาไปกวำงขวางเพียงไร ค VI 2^

อพยพไปหรือคงอยู่ในถี่นเดิมอย่างไร

ที่อพยพมาตำภูมิลำเนาทาง

ตะวนออก เช่นในประเทศญวน จะกลายเบนชาติอานไเโดยทางแต่งงาน และ๓หลานจะกลายเบนอานมไปอย่างไร

ถำยํงกงเบนไทยอยู่ในจีใเ

๑ไ?

และในอานํม จุะแผ่ภมิลำเนาไปกวางขวางคลายกบไทยทางผ่ายใต้หรือ ไม่

และมีกวามสไ)พไเธ์ติคฅ่อก’นอย่างไร

ทไนี เรารู้ไม่ไต้แทบท

แม้พวกมิสชํนรีในประเทศจีนที่วางแผนการสอนสำหรบชนชาติ แคนจีน

ก็ย’งร้เรื่องนนอยเฅ็มที

น่าประหลาคมากทีพวกมิสชนรไต้

ทำการสอนมาเบนเวลานานถึง ๔๓ บี่

ย’งมีผลไปไม่ไกลเท่าไรนก

แผ่นตินของชนชาติไทยนนฅํ้งอย่ฅรงกไที่ปรากฏในแผนทีของ สำหรไชนชาติจีนฅอนใต้ก็ว่าไต้ ผ่ายเหนือและแควนเงั้ยว ของขำราชการอำกฤษหลายคน

แม้ในหนำสือทางราชการของพม่า

และสถิติพยากรณ์และรายงานการเดิน ก็ยำกล่าวแค่เล็กนอย ถึงชนชาติไทย

และถี่นที่เบ็๋นภูมิลำเนาของชนชาติไทยในดินแคนที่อยู่เหนือ ขํ้นไป

เวนแค่พวกมิสชนรีที่ไปสำรวจควยฅนเอง

และเขียนเบ

รายงานไว้เท่านน เพราะฉะนนถี่นนืจีงนไว่าซ่อนเรนอย่

โคยธรรมชาติเบ็๋นอนมาก เช่น แร่ทอง เงิน เหล็ก ดีบุก ถ่านห เพชรพลอย

อ’สพ้ลที่

เกลือ

นํ้ามไเปโฅรเลียม

และแร่อื่

กบมีพืชของบา เช่น ไม้สัก ไม้มะชิอกก่านื ไม้แคง และไม้ ค่าง‘ภู

นอกจากนืพนดินก็อุดมโคยธรรมชาติ เช่น เบึนบาไม้ เบนท

เบ็๋นที่เลยงสัฅว์

เบ็นไร่นาเหมาะที่พืชพนธ์จะขํ้นไต้

แค่พนที'และทรพย์โดยธรรมชาติเห ล่านํ้ ส่วนมากยำหามีใครทำใ

เบนผลฃึนฅามสมควรไม่ คงปล่อยให้เบนไปคามธรรมชาติจึงไต้เจริญข อย่างชำ ๆ ทงในดินแคนเหล่านั้ก็มีแม่นาใหญ่‘ภูหลายสาย

และสา

ชองแม่นาเหล่านก็มีเบ็๋นอนมาก แค่ยำมีการเดินเรือนอยเค็มที

0(2^

การขออนุญาฅและหนังสือเคินทางสำหร!)เขำไปในประเทศจีน ฅอนใฅ้จุะนัองมีหรือ นัามีจะนัองเสือกเดินทางสะดวกที่สุค ทางสะดวก จะมีหรือไม่ และทางที่จะผ่านไปนนจะปลอดนัยสำหรบชาวด่างประเทศ หรือไม่

นักเกยไค้ยินบ่อย นุ ว่าชาวด่างประเทศที่เดินผ่านจ่งหวดของ

ประเทศจีนนักถูกฆ่าฅาย

และบางทีก็ถูกผู้รำยแย่งชิงตามทาง

พนักงานปกครองทองที่ของจีนกงไม่ไค้จดการบองกนพอเพียง

หรือ

มิฉะนนหนังสือเดินทางก็ไม่ศกคี้สิทธพอที่จะก้มครองชาวด่างประเทศได ขอลำบากของขำพเจำโดยตรง ก็กือขำพเจำเองไม่รู้จ*กภาษาจีน

รู้แด่

ภาษาสาม*ญสำหนับพูดนับคนจีนชไเฅํ่าเพียงเล็กนัอยเท่านไเ

เว

ภาษาไทยเหนือ ควรจะตองหาล่ามจีนหรือกนที่รู้ภาษาจีนไปดวยหรือไม่ แน่นอน เราจะตองมีคนทำนับขำว คนนับเกวียน และคนใช้ไปควย การเดินทางผ่านันฅราย

ไปกระทำกิจเพื่อความชอบในศาสนา

ศร"งนืเบ็เนเวลานานและเบ็๋นการเสี่ยงโชคมากอยู่ ผ่ารก

และเดินทางที่ไม่เรียบรอย

เพราะจะฅองบุกบ่

ประกอบควยนัยในฤคูฝน

มิฉะนนฝนจะตกหนักเสียก่อนที่จะเดินทางไปตลอดก็ได้ นอยคนนักที่จะกลำถึงเพียงน ธนาคาร

ไม่มีธนบ*ดรใช้แทนเงิน

หรือ

คริสเตียน

นอกจากนในประเทศจีนผ่ายใฅ้ก็ไม่ม

หำงรำนของชาวด่างประเทศหรือ

คนังจ*งิหนัดของจีนจะออกต'วใช้แทนเงินเพื่อไปขํ้นเอาเงินในที่ ก่อนถึงมณฑลกวางตุ้ง

จะมีหรือไม่

หรือว่าจะตองมีเงินตราติดตัวไป

ใช้ตามทางตลอดการเดินทาง อุปสรรคเหล่านึ่เบ่นความหนักใจมิใช่นัอย แต่อย่างไรก็ดี

เราไม่ควรปล่อยโอกาสนึ่ให้พนไปเสีย

ควรเรี่มตัน

ซิ ?^

เฅรียมฅำเดินทางทีเคียว สี่งทีจะเฅรียมไปกคอของต่าง‘ๅ เพอ

แก่ศาสนา เช่น หนังสือคำสอน หนังสืออืนรูปภาพรายงาน จคหม เหตุ หีบเสียง เครื่องยาต่าง‘ตุ เสบียงอาหาร

ของใช้ในระหว่

กนครำ คนใช้ นัา เกวียน นับเครืองนุ่งห่ม และสิงของที สืงเหล่านํ้นัองฅระเฅรืยมเบนการใหญ่นานอยู่ คร^น

นอกจากนนใน

ข'าพเจทีมีคนใช้อย่างสนิทชิคเชือซึงเบนคนไทยชาวเชียงราย

ไปควยอีกคนหนึ่ง ชึ่อฟู เวลาเช่านันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๒

พวกเราได้ฤกษยก

กองเดินทางจากนัานของช่าพเจ’าที่นังหนัดเชียงรายซึ่ ประเทศไทย

ในระหว่างเดินทางคลอคเวลาสองเดือนครึ่ง

นัาพเจ’า

ได้ไปเยี่ยมสถานมิสชนรีต่าง‘ตุที่ฅํ้งอยู่ในดินแดนทางฅะนันออก ความมุ่งหมายขอแรกก็คือจะไปที่จำหวดเชียงตุง อนเบ็๋นเมืองหลวงและมีชี่ออย่างเดียวนับมณฑลหรีอแคว’นนน แกว’นเชียงตุง

ชื่อเมืองและคนพํ้นเมืองนน

คือ

หาใช่พม่าไม่

เบ

ไทย คนพนเมืองก็เบึนไทย ภาษาและขนบธรรมเนียมก็เบี่นไทย เบ็น

เชอสายของชนที่พูดภาษาเคียวกนนับชนที่อยู่ทางผายเหนือข ไทย

ถึงแม้ชนที่อยู่ในเขฅแขวงเชียงตุง

พม่าไม่

ผ้ที่ไม่ใช่ไทยก็ห

แต่เบ็๋นชาวเขาที่ไม่มืหนังสือของคำเอง

แผนที่ก

ที่ประเทศมหาอำนาจได้ทำขํ้นในระยะ ๒0-๓0 บี! ที่ล่วงมานึ่ ก็ทำ อย่างรู้สึกว่าคนเบ็นมหาอำนาจ

เพราะเห็นได้นัดว่าการรวมเอาแควน

เชียงตุงเนัาเบนดินแดนพม่าควยนน

หาได้คิดถึงเชื่อสายของชาดิ

'งำฌั’าอาณ,ๆเขฅที่เบนเจ้าของฃองคนพนเมืองไม่

แม้พวกมิสชนร์

ที่ประงำอย่ทางฅะวํนออกในพม่ากไม่ใช่สำหรบส้งสอ'แชน'ชา^'^ แต่สำหร”บสอนชนชาฅิไทยในพม่า

ซึ่งเม่นชนชาติเดียวกนกบชาว

เหนือในประเทศไทย งํงหว*ดเชียงตงซึ่งเบนเมืองหลวงของแกวนเชียงคุง

ฅงอยู่เยอง

ไปทางตะว”นฅก๒-๓ ไมล์เบ็่นเสนตรงเหนือชึนไปจากจงหวดเชียงราย แต่หนทางที่จะไปน”นตองออมไปทางตะวนออกก่อน มาทางตะว”นฅก

เหฅุฉะนนถาเตินทางจากจงหวดเชียงรายจะเสียเวลา

๑๐ หรือ ๑๑ ว”น จึงจะถึงจ”งหว”งำเชียงตุง ทางน”น

แลวจึงวกกลบ

ตาม'กีคนทางแถบนืใช้กน

ดวยไมล์หรือเมตรอย่างองกฤษ ระหว่างหม่บที่น

การวดหรือกำหนดระยะ

กำหนดควยเวลา

แต่ถาเบ็่นทางสน ๆ

ไม่ใช่กำหนด เช่นระยะทาง

เขากำหนดกนัแบ็๋นช”วหมอขที่วเดือดกี่หมอ

เบนระ ยะทางไกล ๆ กำหนดเบ็่นว”น ๆ ไป

แต่ถที่

แต่การเดินทางตไ)งเดิน

ควยเทำไปตามทางที่ไม่ใช่ภูเขาและดามกำลํงของกาา'ธง'™^าวิะเติ'แได้

เพราะฉะนนระยะทางจากเชียงรายไปเชียงตุงซึ่งกำห'แดดวยกำลังข กนเดินก็เบ็่นจำนวน ๑® วน แต่คร^งก่อน

การเดินทางไปเชียงตุงมือยู่สองทาง

ฦเขาทำนน เมื่อสองสามบที่ล่วงมาแลว เชียงตุง

ซึ่งฅไเงขำม

สอบวา (ร3^๖พ&)

เจำพา

ผู้เบนใหญ่ในแกวนอยู่ใต้อำนาจของผู้กำกับราชการอังกฤษ

ไค้ทำทางขนใหม่เบน'กางที่สาม

และทางนทางเดียวเท่านั้นที่ไม่

1ค)๐

ขามภูเขา ภูมิประเทศเหล่านือย่ด็านฅะวํนอยิกของแม่นำส \V^6ถ

)

พนที่ส่วนมากเบ็่นเนินและเบ็นพืดเขาซึงต่อเนืองมาจากภู!.ข'

หิมาลไเในอินเดีย จึงทำให้เกิดเบ็่นแม่นาลำธารเบ็่นอไ!.มาก ในดินแ

บนลุ่มแม่นํ้าลำธารเหล่านื มีชนชาติไทยตํ้งบำนเรือนอยู่

เนินเขามีชนชาวเขาอาศัยอยู่เบ็นแห่ง ‘ภู ที่จริงชนชาติไทยมี กว่าชนชาวเขามากนัก พืนที่ราบก็ดี

แม้ภูมิประเทศในแถบนืจะเบ็่นเนินเขามากกว่า

ซึ่งประมาณว่าเบนภูเขาเสีย ๑๕ ส่วน

ส่วนเดียวเท่านน เขาหรือขำมเขาเลย

เบึนที่ราบแต

ถึงกระนนในพืนที่เหล่านืย'งมีหนทางยาวที่ไม หนทางชนิดนืถำจะสรำงทางรถไฟแลว

ก็สรำง

ตามทางเกวียนหรือทางต่างนนเอง

คือจากจำหว'คลำปางถึงเชียงร

และจากเชียงรายถึงเชียงตุง

ถำสรำงทางรถไฟต่อจากจำหว'ดลำ

ผ่านจากจำหว'คเชียงราย

เมื่อเขำเขตเชียงตุงจึงสรำงตามทางที่

ได้ทำขนใหม่ ระยะทางเพียง ๓๐๐ ไมลเศษเท่าน็น และการก่อสรท่ง ก็กงสะดวก

เพราะไม่ตองขำมเขา

แต่ตองสรำงเลียบตามลำธารซึ่งม

ภูเขาขวางอยู ถารถไฟไทยได้ขยายออกไปถึงจำหว'ดเชียงตุง

คงทำให้

ของประเทศจีนซึ่งบรรทุกมาโดยทางเกวียนเจริญขนมาก เพรา เชียงตุงเบนที่ประชุมการกำขายแห่งหนึ่ง

และเบ็่นศูนย์กลาง

เกวียนทีมาจากภากต่าง‘ภูโดยรอบ เช่นจากมณฑลยนนาน ผ่านเชี

ไปเชียงรายและลำปางไปยำมละแหม่ง นันดะเล และจำหว'คร่างด้ง พม่า

ในบจจุบนนึ่สินกำในแถบนึ่ยำไม่เจริญแพร่ห เพราะทาง

1๑3๑

คมนาคมยิงไม่ดี ถิามีทางรถไฟแลว คงทำให้พํ้นที่ในแถบนนเวิริญขั้น

และทห้พย์โคยธรรมชาฅิที่ยิงไม่เบ็่นประโยชน์ก็จุะกลายเบ็๋นสินคำแพร หลายมากขั้น

เช่นเหมืองแร่ค่าง ‘ๆ

ไม้สิก นามนคิน ยาง เบนตน

ทำพนที่ในลุ่มแม่นาค่าง‘ๆ ก็กวำงใหญ่ประกอบดีวยคินอำเอุฅมดี พืชพนธุขั้นไค้งอกงาม

ก็จะมีผู้ทำให้เบนประโยชน์มากขั้น

เนินเขาก็จะเบ็่นที่เลยงสิตว์ได้ดีดวย

ถำทางคมนาคมสะควกแลว

ตลาดใหญ่เกิดขั้นและสามารถไปฅิคค่อกไ]ตลาดของโลกไค้

และตาม

คงมี

เหตุฉะน๚.

กุศโลบายที่คิคสรำงทางรถไฟจึงเบนเครื่องเพืมพูนความสมบูรณ์ของ

ทำ]งที่ไค้อย่างดี และรถไฟไม่ใช่จะเบ็๋นประโยชน์แก่ชนชาติไทยในท เหล่านนเท่านน ยำเบนประโยชน์แก่ทองที่อื่นพูค่อไปอีกมาก รถไฟคงไม่หยดแค่เพียงจำหว*ดเชียงตุง ประเทศจีน

ซึ่งคงจะตำ)งสรำงค่อไป

เพราะ

คงจะไปติดค่อกไ]รถไฟใน

และทางเกวียนค่าง พูก็จะมาส่

ทางรถไฟน์ และคนชาติไทยในประเทศจีนก็กงจะรู้จำาติดค่อกไ]ชาติไทย ทางผ่ำยใต้ผู้เบนเชอชาติเดียวกไเ ขำพเจำไค้มาถึงจำหวดเชียงตง

เมื่อวน,ที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ.

๒๔๕๒ รวมเบ็๋นเวลา ๑® วนนไ)แต่ออกจากจำหวไแชียงรายในประเทศ

ไทย ค่อนนไปขำพเจำได้พกอยู่ที่จำหวไ)เชียงตุงแล ะจไทำกิจการค่าง พู ให้เรียบรอย มกราคม

และไค้สมาคมกไ]ขำราชการในจำหวไนน วไที่ ๒๐

ชำพเจำไค้ไปหาและเยี่ยมเยือนขำราชการที่เบนคนพืนเมือง

ในจำหวไนนหลายคน ความค้นเคยต่อไป

โดยความชกนำของชาวอำกฤษในเมืองนนเพื่อ เขาเหล่านนไค้ตอนรบขำพเจำโดยฉันมิตรและ

ขวยเหลือข์าพเร่าฅามแฅ่วิะได้ ส่วนขิาราชการท๊เบนซาวองทฤษ

ได้แสดงความกรุณาและช่วยเหลือขิาพเาก้มาก เพือนของชาพเจาทีเบ ชาวอ'งกฤษได้กะยใ4คะยอให้ขทีพเร่าร'บหนไ3สือจากเขา คือ หนงสือเรือง มณฑลยูนนานของจีน หล'งที่สด

ซึ่งทางราชการผายอ'งกฤษได้พิมพขึนเบนฉ

หน*งสือเล่มนั้มีแผนที่แสดงภูมิประเทศและแผนทีแ

ชนชาติที่อยู่ในทองที่นนดำย ผู้แต่งหนังสือเล่มนคือนายพนฅรี คาวีส. (ส.!I.

03V1^8)

แห่งกองทหารบกราบที่ ๕๒ อ็อกษฺฟอรุดเชอรุ

ผู้ที่ได้พยายามหากวามรู้และเก็บสถิติต่าง ทุ และเรื่องราวในมณฑล ยูนนานเบนเวลานาน ให้ชื่อว่า ยางส

นนาน, คือลูกโซ่ระหว่างอินเดียน

“ยู

๒(113 30(1 11)6 ร('308120)

('^'11110311,

ภายหนังเมื่อได้พ'กอย่ในจ”งหนัดเชียงฅุงเบื่นเวลานาน

แล

ตระเฅรืยมจะเดินทางต่อไป หาคนใช้ใหม่ และจ"ดแลกเงินรูบี่เบน เหรียญฝร”งเศส

แลวก็เรีมออกเดินทางจากจ”งิหว'ดเชียงตุง

๏๖ ทุมภาพ*นธ์ พ.ศ. ๒๔๕๒

เมื่อว*นท

และพ*กรอนแรมมาในแควนเชียงตุง

แลแวะเยี่ยมเยือนดามหมู่นัานชนชาติไทยที่กนับใจมาถ หลายแห่ง จึงได้ช*กนัาอยู่ เวลาบ่ายว”นพฤห'สบดีที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๒

มานักอย่ที

ปลายเขตแดนของแควนัเชียงตุงเพื่อรอนับหนังสือเดินทาง หนังสือเดินทางแนัว เชฅจีน

วนรุ่งขนณ็ฅรียมการจะนัามพรมแ

การขอหนังสือเดินทางนน

หนัาที่ผายปกครองในแควนเชียงตุง

นัาพเนัาได้ยื่นเรื่อง

ผ่านสำนักงานของเส

ใดุ!)๓

สกอฅฅฺ

ผู้สำเร็จราชการภาคใฅ้แห่งแควนเงยว

มณฑลของพม่าที่จำหวำร่างกุ้ง สำนกงานทงสามนนแลำ

ถึงสำนํกงานปลค

เมื่อถกฅํองฅามระเบียบราชกา

ผู้ว่าราชการจำหวำร่างก้งจึงโทรเลขถึงกงสุล

อังกฤษที่จำหวำยูนนานฟูให้ออกหนำสือเดินทางให้

เขาไค้ส่งหนำลือ

น”นมาโคยทางไปรษณีย์จากจำหวำยนนานฟูถึงเจำพนำงานผายปกครอง ในจำหวำเชียงตุง

แลำเขาจึงไค้ให้บรษไปรษณีย์พิเศษถือมาส

ขำพเจำซึ๋งคอยอยู่ที่พรมแคนระหว่างพม่าอับจีน

หนำลือเดินทางที

ออกให้ขำพเจำนก็เช่นเคียวอับที่ออกให้แก่คนในบำอับของอัง และการที่เขาออกให้แก่คนของร"^บาลอื่นซึ่งเบ็'นคนขาวอัวยอันนน ก็แสดงให้เห็นความเอื่อเ^ออย่างสูงซึ่งขำพเจำรู้สึกขอบคุณเขาเบ็่น อันมาก แบบฟอร์มหนำสือเดินทางนนเบึนหนำลือจีน แค่ล่ามไค้แปล ให้ขำพเจำพ้งว่า อนุญาฅให้ขำพเจำเดินทางไปในที่ใค ฯ ไค้โดยสะดวก ในเวลา ๑ บี่

ฅลอคมณฑลท^งสามของจีน คือ ยูนนาน กวางซี และ

กวางค้ง เจำพนกงานจีนไม่มีอำนาจจะขำขืนหรือหน่วงเหนี่ยวให้ชกชำ คำยประการใด ๆ อาจซอลืงของเครื่องใช้และทำกิจการค่าง ตุ ไค้ท"งสน

นอกจากนี่เจำพนกงานจีนจะขำขวางหรือหน่วงเหนี่ยวคนใช้หรือคนท ไปอับขำพเจำนนก็ไม่ไค้

เวลาบ่ายแห่งว”นรุ่งขํ้น คืออันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๒ พ เราไค้พาก'นขำมพรมแดนที่หลำเลข ๕๗ ซึ่งเบนหลักบกบนอาณาเขฅ ระหว่างพม่าอับจีน ประเทศจีใเต่อไป,

และเขำไปพำแรมคืนในแคนมณฑลยุนนานแห่ง

เ31อขำพเจิาขิามพรมแดใเพม่าเข๎าไปในแดนจีนเ31อเวลา วนที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๒ นน

นึกกระหยี่มใจทีเขามาในแคน

ย์ใ.แบ็นที่อย่ ของชนชาติไทยที่ขำพเจ่ที่ไค้ฅํ้งใจไว้

ที่จริงแม้

ฑีเ ก็ยที่ห่างจากแดนที่ชใเชาติจีนตงภูมิลำเนาอยู่เบ็่นอโเมาก

บที่นลาว (65111.30) เบ็นถี่นแรกที่ไค้พว้าแรมคืนในแด‘แจีนเบ หมู่บที่นเล็ก ^ ชนในหม่บที่นนาามีชื่อว่าสามทวน (ร!ถ! 1ขิ3ถ) หมู่บที่น ในตำบลนึมีลกษณะอย่างเดียวกบหมู่บที่นของพวกชาวเขา ทางหลวงไม่สู้ไกลนว้า เขมร

อยู่ห่างจาก

ชนชาติสามทวนสืบเชอสายมาจากชาติมอญ

การที่ไค้ชื่อเบ็๋นครึ่งชาติเช่นนก็เพราะเชอสายของช

สองนนผสมกน

คือชาติมอญที่อยู่ในตอนใต้ของพม่าหรือฅะ

ของประเทศไทย ผสมกบชาติเขมรในอินโคจีนของฝรำเศส ท่านเสอรฺ

ยอรชสคอฅฅฺไค้กล่าวถึงชนพวกนว่า เมื่อนายฟอรฺเบสและนายกาเ ไค้สืบสวนหลก5านฅ่าง ฯ แลำ

มีความเห็นร่วมกนว่า

เขมรนนตำถี่น3านอยู่ทางประเทศนทวไป

คือ?ำแต่คินแคนลุ่มแม่นา

อิรวดีในพม่าตลอดไปจนกระทำตกทะเลจีนและอ่าวไทย หลำดินแคนของชนชาตินั้

ตนชาติมอฌ

ต่อมาภา

ไค้ถูกตดขาคออกจากกนให้เบ็่นคนละ

โคยมีชนชาติไทยที่ยกรุกลงมาจากเหนือและมาถือเอาเบ็นที่อย่เสี ส่วนภาษาของชนชาติเหล่าน เขากล่าวว่าพูคสำเนียงกลที่ยกที่เ

ไปเชยงร'ง

ตลาดในเชยงฅุง

■1

ใ'

'

เ5*ะ/4'■|'

IV-.'.

■'

"ฐ

.4

1๑)

แท้จริง {V/&

ชนชาติสามทวนนนสืบเชอสายมาจากชาติวาปะลอง

?31311ถ8) ซึ่งเบนมอญ-เขมรพวกหนึ่ง

ขท้พเจท้เองย่งได้เกยพบ

ชนชาตินึ่ในแดนจีนบ่อย"าเช่นเคียวก”บที่พบในพม่า ในไทย และแกว ลาวของฝร”งเศส

ชนเหล่านึ่โดยมากไม่มีหน”งสือของตวเอง

จึงไม่มี

การศึกษาอย่างเคียวก”บชนชาติขมใน แกวนลาว ของฝร”งเกสและชนชาติ ว’าชาวบ่าในพม่าเบ็๋นต้น

แต่ชาติว’าปะลองบางพวกมีการศึกษาอยู่ต้

ก็กือร้จ”กหนังสือ เช่นพวกเสนจน (ร011 สามทวน

ที่กล่าวนึ่

011แ11)

สามนัาว (ร3111

'โฮอ)

และ

แต่เดิมทีเคียวพวกเหล่านึ่เบ็๋นชาติว’าที่

แต่เพี่งมาพบพุทธศาสนา

และถือพุทธศาสนาเมื่อประมาณ ๖๐๐ บ่

หรือกว่ามาแล’วฅามที่พุทธศาสนาได้แผ่ไปถืง ชนชาติสามทวนนนอยู่ปะปนก”บชนชาติลอ (บซ) พวกหนึ่งใช้หนังสือไทยทางเหนือ เชียงใหม่

ซึ่งเบ่นไทย

และถือพุทธศาสนาแบบญวนคือ

พุทธศาสนาแบบญวนมีล’กษณะต่างก”บพวกพม่าอย่างหนึ

และอีกอย่างหนึ่งต่างนับแบบไทย-เขมร

นอกจากนึ่ย”งพูดภ

ได้ดี เพราะกล’ายนับภาษาว’าซึ่งเบ่นภาษาของฅนเอง

แต่เสียงพุดของ

ภาษาลั้อต่างนันนับเสียงของชาวเชียงใหม่และลำปาง สูงตํ่าอย่างหนึ่ง

การออกเสียง

ก”บประเพณีที่เขาประพฤตินันในต้องท

เฉพาะสองอย่างนึ่เท่านนที่ต่างต้น

นอกจากนนไม่มีอะไรจะต่าง

เพราะฉะนน ชนชาติสามทวนนึ่จึงเหมือนนับชนญวนซึ่งถือพุทธศาสนาที ข’าพเจ’าได้พบแทบทุกแห่ง ตลอดคืน

การที่พวกเราเข’าไปอยู่ในตำบลต้านลาวนึ่

ก็ได้ร”บกวามสะดวกเท่านับเข’าไปต้กอยู่ในระหว่างชนชาติ

ไทยโคยกำเนิดเหมือนกนกนที่เบ็่นหำหน”าหมู่บท้นนนเบนกนแค กล่องไค้เออเา^อรไ]รองฅามสมควร

ขท้พเจท้ได้สนทนากบเขาเบนอนค

และมอบหนังสือศาสนาไว้ให้เขาสองสามเล่ม บท้นลาวนฅงอย่ในแขวงของแควนหลวง {บ0ก2 011:016) ซึงรวม อย่ในสิบสองพไ],นา (รเ? ร&Vเ'I12 ?31103)

บท้น หมายความว่า ตำบล

หม่นท้น ลาว เบนชื่อของตำบลโดยเฉพาะ

แควนหลวงตรงกบคำว่า

เมองหลวง (1V^0ถ8 1,0118) นวยิ (^11308 บฃ3ถ8) เมองหลวงหรอแควน หลวงนมืเนั้อที่กวท้งขวางมาก ๘๖ จงหวำดำยกไ],

แยกเบ็๋นจำหวดและตำบลอีกท

อย่างเดียวกบแควนเชียงตุงซึ่งได้ผ

เมืองหลวงเบ็๋นจำหว"ดสำคำ]ของ ©๒ พำเนา

(สิบสองพนนาคือหมื่น

สองพำเ นา คือทุ่งขำว)

เหตุใดถี่น^านเดิมของซาฅิลอซึ่งเบนไทยสาขาหนึ่ (]^1 บ30)

อำแบนชาติใหญ่โตนไเจึงมืชื่อว่าสิบสองพ

ไม่ทราบ แฅ่มืความเห็นว่า แต่ครท้โบราณอาณาเขฅเหล่านึ่

คงแบ

ออกเบน ©๒ มณฑล และมณฑลหนึง ^ มืเนึ่อที่นาพำเหนึ่ง เที่ยงวนรุ่งชื่น

ขท้พเจท้เขท้ไปในเมือง

มืผู้ว่าราชการส

ประจำอยู่เรียกว่าเจาเมือง (01130 ^10338) ซึงหมายความว่าเบ็๋นเ ของของจำหวดนน

นอกจากตำแหน่งเจาเมืองซึงเบนตำแหน่งสงสุด

ของจำหวดยำมีตำแหน่งสูงตํ่าเบ็นลำดำ]กำแรียกว่า ผู้หมื่น ผู้แสน

เจท้พระยา แต่เจท้เมีองของจำหวดนาเมืชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเจุท้พ เพราะเบ็่นจำหวดใหญ่จึงตองมีชื่อให้สมเกียรติของเขา

ดินแคน

1ซี)0^

ทุกจ่งหวํดมีเจ็าหน้าที่เบ็๋นพน์กงานสำหรบช่วยเหลือผู้เดินทางชาว ประเทศนอกจากไทยน้วยน้นน้วย (?&พ

ภาษาลอเรียกตำแหน่งนืว่าพ่อเมือง

เมื่อเวลาที่น้าพเจน่เน้าไปในเมืองนนแลำ กนน้บเกวียน

ซึงเบ็๋นลูกจน่งของน้าพเจที่ได้นำให้หลงผิดโดยไปพ่ก และแก้ลาออกพก ที่ขางตลาดแลำไปเที่ยวซออาหารน้บประทาน ขอความช่วยเหลือก่อน

แทนที่จะไปหาพ่อเมือง

เลยทำให้พวกเราไม่ได้น้บความช่วยเหลืออไเ

เบ็นหน้าที่ของเขา ดวยเหตุนจึงได้ออกเดินทางต่อไปโดยไม่ได้รบค ช่วย เหลือแนะนำตามสมควรจนกระท'งมา ถึงนครสิบสองพน นา อีกหลาย วน คราวนขที่พเจที่หาได้ลืมไม่

ได้ไปหาพ่อเมือง

แลวพ่อเมืองก็พา

ไปหาเจที่พระยาซึ่งท่านน้องรไ]ประทานอาหารเสียก่อนแลำจึงออกมา ตอนรบขที่พเจที่ เจที่พระยาผ้เบนเจที่เมืองนมืน้ธยาน้ยคี รบจะช่วยเหลือ พวกเราตามปรารถนา เจที่พระยาและผู้อื่นในจำหวดนย่งคงจำได้ว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖

หมอน้คกิลวารีและเรเวอเรนดฺ เออรฺวิน มิสน้นรี ชาวอเมริน้นได้เก มาที่จำหวำนกร*งหนึ่ง เทศน์สำสอนชาวเมือง

เจที่พระยามืใจดีมากได้เชิญให้ขที่พเจที่พก

น้าพเจที่ได้แจกหนำสือกำสอนที่เบนภาษาไทย

๓๐0 เล่มซึ่งออกจะมากสกหน่อย

แต่ขที่พเจที่หาได้หยดพกคที่งคืน

ณ ที่นึ่ไม่ เพราะระยะทางที่จะไปต่อนนยำไกลมาก และไม่ทราบว่าจะ ไกลอีกเท่าได

และจะถึงฤคูฝนเสียก่อนเดินทางตลอด

เพราะฉะนน

เมื่อรบประทานอาหารเสร็จแลวจึงเดินทางต่อไป แกวนหลวงนึ่ก็เหมือนกบจำหวำของไทยอื่น ๆ

กือฅํ้งอย่ในที่

ราบ แฅ่ก็ได้พบหมู่บที่นชาวเขาที่ไม่ใช่ไทยหลายแห่ง พนที่เบนทุ่งรา

โ29(;/

กวางยาวประมาณ ๒0 ไมล์

และเบ็่นพนที่สมบูรณยี่งสมคงทีหมอ

ม”คกิลวารีไค้กล่าวไว้ในรายงานของเขา แห่งหนึ่งในจุงหว”ดนน

เรามาถึงสถานอนก่อควยหิ

และตามระยะทางที่ผ่านก็มีหมู่บานงาม

หล

แห่ง ชนชาฅิลอในทุ่งราบนึ่มีรูปร่างสูงใหญ่และสะอาคฅา ขาพเจาท ว่าพวกนึ่ไม่ใคร่สูบผน สบายมาก

รูปร่างและที่อยู่ของเขาแสคงให้เห็นว่า

ข”าราชการในจ”งหว”คนนบอกขทีพเจ’าว่า

จ”งหว”คนึ่ ๗0 ตำบล หมู่บ”านอะข่า

มีหมู่บ”านลอใน หรือก”อ

๒0 ตำ

และมีหม่บ”านสามทวน หม่บ”านมูเซอ ([V[แ80) หรือลายึ (บส!!ธ) หมู่บ”าน เย”า (V30) และหมู่บ”ๅนเมยวหรือแมำ

ชาติละสามสี่แห่ง

เราพ”กแรมคืนในว”ดของตำบลบ”านยางกวง (ธสิ!! Vสิฑ8Xธส08) ซึ่งแปล ว่า บำนหนอง ใหญ่ จน รุ่ง ขนว”น อาทีฅย์

ว”คนึ่ก่อ สรำง เบ็นแบ

อย่างเดียวก”บว”ดของชนชาติลอที่เจริญแลว ณ ทุ่งราบของแกว”นหล เวลาเชำขำพ เจำไปหาสมภารของว”ด นนและรบ เรำให้ท่านสมภารเอา หนำสือของว”ดเบ็๋นภาษาไทยทางเหนือจารในใบลานมาให้ขำพเจำ และ

เมื่ออ่านให้พ้งแลำ ท่านสมภารรู้สึกพิศวงและดูเพี่มกวามเลื่อมใสขำ ยื่งขนมาก

ขำพเจำได้ยินท่านสมภารพูดก”บพระลูกว”ดว่า

นำชาวต่างประเทศไม่ใช่แต่พูดภาษาลื่อไค้เท่านน

น่าประหลาด

ยำอ่านหนำล

ออกดำย ไม่ชำท่านสมภารก็ส่งภาษาลื่อถามขำพเจำต่าง พู แลำขำพเจำ ไค้ให้หนังสือไทยทางเหนือแก่สมภาร ๓ เล่ม เล่มสำหร”บแจกชาวบำน

และแถมให้อีกสองส

ขำพเจำขยายรูปภาพงามพู ให้ดู

หีบเสียงที่ขำพเจำมีไปคำยนนให้พง

และเบี่ค

มีสมภารพร ะลูกวำและชาวบำน

มาล*อมคูก”นแน่น สองช”วโมง

ขำพเจาเห็นไค้โอกาสจึงประกาศส”งสอนอยู่ประมาณ

นอกจากนนก็มีหำหน*าของฅำบลนนมาหา

และสนทนา

ก”บข๎าพเจำบิาง ขำพเจำไค้ออกเค้นทางมาพกที่ตำบลบำนขำสูง (1^05 รษิฉ8) ไน คืนว”นที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๒

บำนขำสูง หมายความว่า บำน

สะพานสูง ไค้พบปะสนทนาก”บพวกลอในหมู่บำนนน ก็พ*นเขฅของแควนหลวง

พอฅกกลางว”น

เขำไปในเขฅเมีองหลวงของสิบสองพ”นนา

ชื่อว่าเชียงรุ้ง แฅ่ฅามแผนที่อำกฤษว่า ^008111108 พวกเราตํองข พำในว”ดอีก

คนชาค้ลอในตำบลขำสูงเกือบทำหมดไม่ว่าชายหญิงหรือ

เด็กผู้ใหญ่ไค้พาก”น่มาพงหีบเสียงซึ่งเขาไม่เคยไค้ยิน จนกระท ฅองหนี

ชาวบำนแถบนีหลายคนยำจำไค้ถึงกรำที่หมอมกกิลวารีก”บ

เรเวอเรนดฺเออรวินไค้มาที่นี่เมื่อ ๗ บมาแลำ

ขำพเจำไม่เคยนึกว่า

พวกนีจะมีความฅื่นเตํน่ที่มีชาวต่างประเทศมาที่นี่ หนำลือให้พอสมควร

ขำพเจำไค้แจก

ต่อรุ่งขนว”นที่ ๒๙ มีนาคม ขำพเจำจึงไค้ออก

เวลาก่อนเที่ยง คราวนีคนข”บเกวียนของ เค้นทางมาถึงจำหวดเชียงรุ้ง ครำที่เขำไปในเมืองหลวง ขำพเจำได้รู้สึกผิดมาแลำ สำค”ญ่'ของสิบสองพ”นนาที่แลำมา แต่เผอิญพ่อเมืองไม่อยู่ อยู่แต่ภรรยา

ซึ่งเบ็นจำหวำ

จึงตรงเขำไปยำบำนพ่อเมืองทีเคียว ในขณะนนภรรยาของพ่อเมือง

ไค้แสดงตำว่า เขาจะจำการให้ขำพเจำไค้ร”บกวามสะดวกฅามที่ขำพเจำ ตองการ พ่อเมืองมีตำแหน่งเบ็๋นพระยา ส่วนผู้เบึนใหญ่ในสิบสองพ”นนานน มีตำแหน่งเบนเท้พ้า คือ เจำแห่งพา

ซึ่งเทียบเท่ากับตำแหน่งข

๓0

เบนใหญ่ในสวรรค์ ตำแหน่งเฑ้พ้าน ใน

มี

อื่นอีก

ที่

ทํงหมด

คือสอบวาของเชียงตุง

นอกจากใช้ในสิบสองพ

สอบวาของจงหวดเงียวเล

และในแกวนเงยวผายฅะวไเตกของพม่าทางแม่นำสาลวี

ก็เรียก ‘เจค์พ้า’ ท*งนน

เจที่พระยาพ่อเมืองได้เรียกล่ามมาให้อ่านหนก็3สือเดินทางเบ จีนให้เขาพง

คูเขากระตือรีอรนรีบพาไปหาเจที่พนักงานให้เตรียม

รไ]รองพวกเรา และพาขที่พเจที่ไปหาเจที่พ้า

เจที่พนักงานได้ออกหนังสือเบ็'นภาษาไทยให้ฉบไ]หนึ่ ขอความอย่างเดียวกไ]ภาษาจีน

ตามหนังสือนนบอกให้ทางราชกา

ช่วยเหลือ

และให้กนใช้ตามส่งนัวย ๔ คนจนกระท'งถึงนังหน

(ร211ฑว&0)

และ ให้พกอานัยได้โดยไม่นัองเสียเงินค่าอะไร น

เจที่พนักงานยก็3อนุญาตให้ขที่พเจที่ลอกชื่อนังหนัดต่าง ‘ตุ ที่จะผ่าน

๒๘ จก็3หนัด ซึ่งมีนังหนัดเชียงรุ้งเบนเมืองหลวง นังหว'ดที่ พนนาเดี๋ยวนึ่

อยู่ทางดินแดนฟากตะวไเตกของแม่น่าโขง ©๕

อยู่ทางฟากตะวนออก ๑๓ จงหวด จ่งหวด

แต่เดิมฟากตะนันออกนึ่มี ๑๕

ภายหลไฝร'งเกสได้นัดเอาไปเบ็นของตนเสีย ๒ จไหนัด แต

ชนชาติลอหาได้อยู่ในเฉพาะ ๓0 จไหนัดนึ่ไม่ นแกวนเชียงตุงก็มี ลั้ออย่หลายจไหนัดเหมือนนัน เช่น ยอง เลน (บ61)) และอืน‘ตุ

ลูเอีย (บธ16) ยู (

และในเวลานีฝรไเกสยงได้กไแอาไปเบนอาณๅ

เขตชองตนเสียอีกหลายจงหวดรวมนังจงหนัดท*งสองของสิบสองพ่ นังกล่าวแลวนนนัวย

๓๑

ในวนนนเจำพ้าเชียงร้งได้มาหาขิาพเจ็าเบนกร*งแรก และรอง ขอให้เบี่ดหีบเสียงให้พง

ขห้พเจด้ก็กระทำตาม

ดูบานเมืองเท่าไรนักจนเวลาเย็น ซ่อนเรนัอยู่ก็ได้

ขำพเจำไม่ได้ไปเทียว

จำหนัคเชียงรุ้งนจะว่าเบ็๋นจำห

เพราะอย่กลางบืาและมีภูเขาลอมเกือบรอบ

ชำพเจำ

ได้เห็นบำนใหญ่แห่งหนึ่งเบนชนิดหลำคามุงกระเบั้อง คือเบ็ เจำพ้า

แต่ในเวลานนมุงดำยจาก

ซึ่งแต่เดิมก่อดำยอิ^ ลา (บ3)

วำนึ่เบ็!นวำรำง

และได้ถูกพวกลํ้อเมืองพง (ผ?008) และเมือง

เอาไฟเผาเสียโดยเกิดต่อส้รบกนขน

เบนผ่ายมีชำ จาก

รวใช้ไม้ไผ่ลอม

ซึ่งผ่ายสิบสองพนนา

ซากสถานที่เหลืออยู่นึ่จึงได้เบนเมืองที่ตองใช้ม

จำหวำนึ่'?น)อยู่บนด้งใหญ่แห่งแม่นาโขง ’ และมีลำธารไห

บรรจบที่ฅรงนึ่จากทางทิศเหนือและทิศตะนันออก ธรรมชาติของสถานที่นนจึงดูงามยื่งนัก ติดใจคนที่อยู่นนมาก

เพราะฉะนนภา

และเบ็๋นแห่งหนึ่งซึ่

ถึงแม้จะติดใจมากปานใดก็คงไม่ติดใจได้ยืดยาว

เท่านับผี่นที่ติดใจชาวเชียงรุ้งอย่างแน่นหนา เชียงร้งประมาณสามในสี่ที่ฅกเบ็่นเหยื่อของำน

มีผ้บอกขำพเจำว่า



คนติดำนในจำหนัดนึ

เมื่อเทียบตามส่วนแลำมากกว่าจำหนัดอื่นๆ ในจำพวกชนชาติลอดำยนัน ถึงกระนนชาวเมืองนึ่ยำสำแดงความเบ็่นมิตรแก่พวกเรา

และอยาก

พงเรื่องราวแปลก ๆ ยี่งกว่าชนชาติลอแห่งอื่นๆ จำหวัดเชียงร้งซึ่งเบ็น เมืองหลวงของชนชาติลอนึ่ แห่งหนึ่ง

ขำพเจำเห็นว่าสำคัญทางยทธศาสตร์

เพราะเบ็๋นทำเลที่มืภเขาลอมเกือบรอบ

เพียงคืนเคียวที่วิะพกอยู่ในที่นึ่

แต่ขำพเจำมีเวลา

และขำพเจำตั้งใจว่าเมื่อออกจากน

จะไปยิงตำบลที่พวกมิสชํนรีแต่ก่อนไม่เคยไป ต่อไปถึงจไ3หวไาเมิงยาง (^0ถ8 'ทฬิ2) เบ่นกรีงแรก

จึงได้ยกกองเดินท

ซึงจะกอเอาเบนทีหยุดพ

และเบี่นสกานทีอีกแห่งเดียวทีมีวดไทยและพระสงฆไทย

อยู่ พวกเราได้ไปขออากียินอนในวด

พ่อเมืองของจงหว” คนได้เอา

ดูแลขทีพเจที แต่ขทีพเจทีไม่มืเวลาไปทำความคุ้นเคยได้เท่าไร พ่อเมือง นนบอกขทีพเจที ท่

ในแถบนเบ็่นหม่บทีนชนชาติไทยเกือบทงหมด

คือมีมากกว่าสามสิบหมู่บทีน

และมีหมู่บทีนที'เบนชาวเขาเพียงแปดหมู

เท่านน เบนจงัหว’ดที่อย่ขทีงจะสนุกและสะอาดควย

ในว’นรุ่งขนได้ออกเดินทางต่อไปจนฅลอดว”น พีนที่ในแถบน มากไม่ใคร่มีภูเขาจึงรู้สึกว่าไปได้สบาย จากการเสียเวลาและความลำบากเมื่อถึงที่พ’ก

เพื่อประสงค์ ในเรื่องอาหารและ

หญทีมทีนน ขทีพเจทีได้ส่งคนใช้สองกนไปก’บหนำสือที่เบ็นภาษาลํ

หนทีไปหาที่และเฅรียมการที่จำเบนไว้ก่อนที่จะไปถึง จึงได้ป การขลุกขล’กต่าง‘นุ ได้มาก

ตำบลที่เราไปถึงนั้เบ็นตำบลเล็ก ‘นุ

เมืองลาขนแก่จำหว’คเชียงรุ้ง กนในตำบลนเบนชนชาติลี่อใจรที)น ฅรง ไปฅรงมา และร’บแขกดี แต่บางโอกาสดูไม่เอาใจใส่ต่อคนแปลกหนที และไม่ใคร่จะอยากรู้ส็่งแปลกประหลาดต่าง ‘นุ

เมื่อเราได้เขทีไปในว’ดิ

และได้เอารูปภาพต่าง ๆ แขวนไว้ในศาลาพวกลั้อชาวท่าแถบนนพ แตกตื่นมาคูก’นเบนอ’นมาก

ตำบลทีชือว่าเมืองลานี อยู่ทางทีศเหนือของจำหว’ดเชียง ทางสองว’น

ตำบลนืแม้จะไม่เคยมีหมอสอนศาสนาไปถึงก็ดี

สอนศาสนาก็สำเร็จได้บทีง โดยมีคนกล’บใจมาถือศาสนาคริสต์

แต่ก

๓๓

วไแสาร์ที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๓ ของชนชาฅิลํ้อ

พวกเรามาถึงจํงหวคที่สุ

ซึ่งเบนข์งหวดที่ ๒๘ ในสิบสองพ”นนา

เมืองหรีง (^00811๓8)

เรียกชื่อว

หนทางที่มาน*นมืภูมิประเทศเบ็'นที่สูงและ

ระยะไกลมากกว่าที่ชที่พเจ๎าได้เกยเดินมาแลวในประเทศจีน

ตํ้งแต่

ออกจากที่พ*กในเมืองนนแล’^าต่องบนขนเขาช”นเบ็๋นครงแรก แล”วจ็งถึง ถนนที่อยู่บนเทือกเขายืดไป

และทางก็สูง ‘ๆ ตํ่า ‘ภู

จนกระท”งเย็นว”น

ที่ ๒ ของการเดินทางจึงไค้มาถึงทุ่งราบในจ”งหว”ดเมืองหรีง

ทุ่งราบ

ของเมืองหรี่งนํ้เบึนทุ่งราบที่อย่บนภุเขาคล”ายบืาหญ็าอ”นกว”างใ ฅ”นไม้ใหญ่ขนอยู่บ”าง

แต่สูงโดดเคี่ยวต่างก”นก*บฅ”นไม้ที่ข

ราบฅํ่า แสดงให้เห็นว่า พนที่นได้เคยถูกห”กร”างถางพงสำหร”บทำการ เพาะปลูกมาแล”ว และที่งร”างไว้จึงกลายเบ็นเนินสูง ‘ภู ตา ‘ภู มีแต่พงหญ่า ขนอย่เต็มไป

ข”าพเจ่าไค้เห็นหญิงจีนที่เบ็นชาวเขาในที่รา

ร”ดเท”าให้เล็กอย่างหญิงจีนในเมีองใหญ่ ‘ภู ของจีน และเห็นเขาออกไป ทำงานหน”กอย่กลางแจ”งอย่างพวกกุลี

ในตำบลบำนพวกจีนที่ขำพเจำ

ได้ผ่านไปนน ที่อยู่ของเขาปลูกเบึนโรงอยู่ก”บพนดิน แยกก”นอยู่ห่าง‘ภู ไม่ไค้รวมเบ็นหมู่ใกล้ ‘ภู ก”นเหมือนพวกลั้อหรือพวกที่อยู่ขำงใฅ้ลงไป ในเมืองหรี่งน

ได้พ”กอยู่ในเรือนที่ปลูกใหม่ของพระยาเจำเมือง

ซึ่งขำพเจำร้สึกขอบคุณในความเออเ^อเบนอ”นมาก

พระยาเจำเมือง

บอกแก'ขำพเจ่ำว่า มีหมู่บำนของชนชาวเขา ®๕ หมู่ ในจำนวนนเบ็๋น หม่บำนไทย ๗ หม่ หม่บำนลอ ๔ หมู่

และหมู่บำนไทยนอ

หรืออีกน”ยหนึ่งเรียกว่าไทยเหนือ (^“2)

๓ หมู่

ไทยนือมีลกษณะอย่างเคี

๓๔

กํบไทยที่อย่ในประเทศไทยฅอนเหนือ

แต่ผิดกนทีไทยพวกนี

หน*งสือของฅำเอง และเบ็่นพวกที่อย่คอนเหนือในประเทศลอซึงต จะเรียกว่า ไทยเหนือ เมืองบ่อ ((^16118 ธ3VV)

พวกไทยเหนือ

ทีอยู่ในเมืองหรี่

ซึ่งเบ็๋นเมืองของคนข*บเกวียนที่ข่าพเจ"าจ’า

ที่จ*งหว*ดสูเม"า (ร2ษฌ30) พระยาและเพื่อนของเขาไค้บอกข"าพเจ"าว่า ซึ่งคร^งก่อนเบนเมืองลาหลวง {\16118 1-31.0118) จ*งหว*ดปูเออ (?ข-ธ!'เ!) และเมืองแมน (^008

) นนมืชนชาดิไทยอย่แทนคนจีนที่อยู่

111611

เกือบท"งหมด บางตำบลที่อย่เหนือขนไปย*งมืชาฅิไทยผสม มาไค้หญิงไทยเบ็่นภรรยา

คือค

ลูกที่เกิดมากลายเบ็นจีนไปดำยเหฅุชนชา

ไทยในเมืองจีนนับค*ง์ล้านๆ คนจึงกลายเบ็!นจีนไปเสีย

แต่

นืเวลานนจีนที่จะมากลืนกนไทยให้กลายเบ็๋นจีนไปนน คูเหมือนไม มากเท่านับคนไทยที่อพยพไป

แม้การสงครามกลางเมืองของจีน

จะทำให้ทหารจีนที่ยำไม่แต่งงานนับค^งพ*น ๆ นัองหยุดผสมนั

ก็ดี แค่หาทำให้จำนวนชนชาติไทยลดน้อยลงไม่ กล*บจะทวีขนเส ว'น,รุ่งขน เมื่อพ่กเล็กน้อยแลำก็ไค้แวะไปยำเมืองราน 1133)

ซึ่งเบ็่นตำบลที่สุดของชาติล็อในทางนื

(

และเบ็นตำบลเล็กแห่

หนึ่งในเมืองลา ตำบลเมืองรานนึ่เบนทุ่งราบ มีหมู่บำนลอ ๓ หมี แ มีหมีบำนชาวเขาล้อมอยู่โดยรอบทุกคำน เมื่อออกจากหมู่บำนลอนนแล้ว

ก็ออกเดินทางไปยำเมือง

ลาหลวง ซึ่งจีนเรียกบ*คนว่าเสเมำ (826๓30) เบ็นจำหนัคที่ค*งอย่

ดอนสุงกว่าระนับนาทะเล ๔,๗00 ฟุต จำหนัคนึ่ชนชาติจีนไค้

และฅามทุ่งราบที่อยู่รอบ

^านถือเอาเบึนที่เกิดของฅนเสียนานแล็ว

จงหว้ดนมีหมู่บ’านชนชาติไทยเหลืออย่ ๓ หมู่เท่านน

ชนชาติไทยชอบ

อยู่ในที่ราบซึ่งตากว่าระคบนาทะเล ๔,0๐0 ฟุต ท"งนน และมกอยู่กน เบ๊นหมู่ไม่ใคร่แฅกพวกกนออกไป นายพไเตรี ดาวีส

และผู้เขียนเรื่องชนชาติไทยที่เบ็'นชาวอ"งกฤ

และฝร'งเศส

ได้ชแจงทางเดินของสินค"าในจ"งหว"คต่าง ‘ๆ ของมณฑล

ยูนนานไว้

ซึ่งให้ความรู้ในการเดินทางแก่ข"าพเจ"มาก

ข"าพเจ"าฅ"องขอขอบคณนายค"งจู ชาวฝร"งเศส

(๐’^!!]011)

ก"บนายบาโฅลินิ

นอกจากน

เจ"าพน"กงานด่านภาษี

(031-1011111)

ชาวอิตาลีที่ได้มีความ

เออเพอร"บรองข"าพเจ"เบนอย่างดีเบนเวลาเกือบสองเดือนข"าพเจ"าเพี่ง ได้ยินภาษาอ"งกฤษอ"นเบนภาษาของต"วเอง

ท่านสภาพบุรุษท^งสองน

พูดภาษาอ"งกฤษดีพอใช้ คร*งนเบี่นโอกาสของข"าพเจ"าที่จะส่งข่าวถึงกรอบคร"วข"าพเจ"าโคย ทางโทรเลข

ตณเต่ออกจากจ"งหวดเชียงฅุงมาแล"วเบ็นเวลา ๒ เดือน

ตามที่น"ดก"นไว้นนว่า ไทย

แหม่มดอดดฺจะอยู่ที่จ"งหว"ดเพชรบุรีในประเทศ

และส่งข่าวไปถึงลูกสาวข"าพเจ"า

ครอบคร"วของเขา

และถึงเรเวอเรนดฺ

เอกินก"บ

จ"งหว"คเสเม"านก็อย่างเดียวก"บจ"งหวดอื่น ฑ ของจีน

มีที่ทำการโทรเลข■ซึ่งเจ"พน"กงานเบ็'นจีนและอ่านภาษาอ"งกฤษได้บ"าง เสียค่าโทรเลขกำละเกือบ ๑ เหรียญฝร'งเศส

เนั้อความในโทรเลขมีกำ

เดียวว่า สบายดี ภายหล"งช"าพเจ" ทราบว่าแหม่มดอดดฺไม่ได้อย่ที่จ"งห เพชรบุรี

แต่โทรเลขนนได้ส่งไปย"งเพื่อนของข่าพเจ"าซึ่งอยู่ที่นน

จึงส่งไปย"งแหม่มดอดคฺซึ่งอยู่ที่จํงหวํต่ลำปาง

๓อ

นๆย'?ไงจได้กรุณาแนะนำขาพเจาถึงการทีขาพเซาจะ!.^นท'เง เขาว่าทางที่สะดวกและดีที่สุดนน

คือเมือออกจากจงหวด

จไ3หว”ด ปูเออ ฟ (?ธ ธ!-!!-ณ) แลำ จากที่น”นก็แยกออกจากทางหลวง เขทีทางล”ดไปยไ3เมืองบ่อ

แลทีไปยงจทีหว”ดเม่งสู (1^16ถ8(2;11) แลวขึน

รถไฟจากที่นทีเไปยทีจทีหว”คยูนนานฟู มณฑลยูนนาน

อ”นเบ็๋นเมืองสำค”'ญฅทีทีว่าการ

แลวขั้นเกวียนไปย่งท่าเรือที่แม่นาสิเกีย

ฅะว”นฅกที่จทีหว”ดปายแส (ธ31ร6) แลทีลงเรือสำเภาไปอีกสองสามว”น

ก็ถึงจทีหว”คนานนิง-ฟู (1^3001ถธึ-('11) ในมณฑลกวางซี แลำจึง กลไฟต่อไปยทีจทีหว”ด แคนดอน

ซึ่งเบ็๋นเมืองสำก”ญฅํ้งที่ว่ากไรมณฑล

กวางตุ้ง ระยะทางที่เขากะให้ขทีพเจทีน

ในส่วนสำค”ญนนถูกฅํ

มาก เวนแต่รายละเอียดนนต่างจากที่กะน้ไป ขาพเจาไม่มีล่าม

นอกจากคนไทยเหนือชาวเมืองลอ

และเบ็่น

หวหนานำต่าง (แร {(.031) ทีขาพเจาจางมา นอกจากนืมีดำรวจจีนด มาส่งควย

พวกเราเรืมออกเดินทางเวลาเชทีว”นอ”งการที่ ๗ เมษา

พ.ศ. ๒๔๕๓ ไปยำจทีหว”ดปูเออ-ฟ ดอนไปเราเดนทางผานเขดทีไมมหมบานไทย|,ลย กา-3ทีกะไว้แต่

เดมวาจะไปทากจการแผกาสนาเฉพาะแดจงทวดทีมขนขๅดํใทยเ^ทนืฎ

ให้เสร็จภายใน ๑ เดือน แต่โดยเหตุที่ด”องร”บหนำสือเดินทางบทีง และ เหตุอื่น ๆ ที่ทำให้ออกเดินทางชำบาง 1ปแลว แม่นาโขง

บัดนบญหาต่าง ^ ได้ท

เรา 'มสามาวถจ®^เดนทางผานดนแดนทางฟาดดะขาเ^ดท ดอนที่อยู่ในประเทศจีน

แต่เพราะมีเหตุทำให้เ

๓0^

ปเมืองบ่อนนเดินทางคินแดนทางฟากฅะวไเออกของแม่นาโขงสะตวท กว่า นอกจากนยํงมืบ่านที่ก้นเกยกนฅามทางที่พอจะอาศไเได้อย่างสบาย เมืองบ่อเบนแกวนที่ใหญ่ที่สคและสำบ่ญที่สุดใน ๔ แกวน, ซึ่งเบ็๋นไทย เหนือดำยกน

ฅํ้งอยู่ทางดินแคนฟากฅะวนออกชองแม่นาโขง

เบ็น

โชกคีที่พวกเราได้เดินทางโดยสว'สดิภาพจากจำหบ่ดปูเออ-ฟู ฅ่อไปนน จะฅ้องเดินทางล'คซึ่งเบ็นทางเกวียน

เบ็๋นเวลา ๙ ว'น,ไม่หยดเลย

ถารวมท"งหยุดพำที่เมืองบ่อดำยแลวจะเบ็่นเวลา ๑๓ ว'น,ได้พบหมู่บำน ชนชาติไทยเหนือ

ฅงกระจำกระจายทำไปก่อนถึงทุ่งราบของเมืองบ่อ

กว่าสองว'นในหมู่บว้นแห่งหนึ่งชื่อว่าเมือง-เมืองลาย (1VI0I181VI0ถ8 บ31)

มีวำพุทธศาสนาวำหนึ่ง เท่าที่ขำพเจำรู้แน่นน,หมู่บำนนึ่เบ็นหมู่บ ฅํ้งอย่ทางตะวไเออกมากที่สุดในแกวไเไทยเหนือ

คือดำอยู่เยอง {สุ) 0 ®

องศาแวงตะว'น่ฅกเล็กนอย และใต้องศาของฅรอบี่กออฟก'นเศรฺเล็กนอย

อย่ทางตะวนออกเฉียงใต้ของทุ่งราบแห่งเมืองบ่อระยะทาง ๒ ว'น ถ หม่บำนนึ่ไปทางตะว'นออก มีอีกหลายหมู่บำนซึ่งพุดภาษาไทยเขำใจก'น แต่ไม่รู้หนำลือ

ในหมู่บำนหนึ่งซึ่งมืชื่อออกเสียงเบ็่นไทยว่ามานกู

สิ0 1^นิ)

พวกเราได้สนทนาก'บชนในหมู่บำนนนและเบี่ดหีบเลีย

ให้พำ การเดินทางไปเมืองบ่อนนไม่ได้หยุดพกอาศำเลยนอกจากที่ตำบล เมืองลาย

พ.ศ. ๒๔๕๓ ที่น

พวกเราได้มาถึงเมืองบ่อก่อนเที่ยงว'น่พุธที่ ๑๔ เมษาย ภูมิประเทศที่ได้เดินมาจากทางตะวนออกเฉียงใต้จนถึง

เบนทางลาดยาวยืดอยู่บนลุ่มแม่นา

ทงภูมิประเทศก็งคงามและ

ตไเ^

น่าค และทางที่เคินก็สะควก ในหนงสือของนายพนฅร ดาวส กลาววา ทุ่งนยาว ๑๒ ไมล์ กว'าง ๓ ไมล์ เรียก วอ แม่นา

พ)



บ่อ แปลว่าหลุมใหญ่

พืนเมอง

การที่เรียกเช่นนีเพราะมีบ่อเกลือมากในดิน

เกลือน่เบ่นสินค็าส่งไปขายตามตำบลและจงหวดทีอยู

เมืองบ่อนํ้ผิดกโาเมืองลาหลวงซึงกลายเบ่นเมืองจีนไปแลว แต่เม

มีชนชาติไทยเบ่นส่วนมาก มีกนจีนน'อ์ยที่สุด นีเป่นสี่งหนึง

สงสำว่าเหฅุใดชนชาติจีนจึงไม่พากไเมาตํงภูมิลำเนาอยู่ในแ

หรือบางทีจะเบ่นเพราะในท'องที่น่สูงกว่าระดบนำทะเล ๓,ว00 ฟุฅ และประกอบคํวยความไข้และอย่ไม่เบ่นสุข

แม้ในตำบลท้มีชนชาติจีน

อยู่นนก็เบ่นคนจีนทีมาอย่เก่าแก่ ในท'องที่น่ ขำพเจำทราบว่ อยู่หลายว"ด

บางว"คก็สรำงเบ่นที'ระลึกของผู้ที่ยำมีชีวิตอยู่

มีว"ดรวม

คำยก"น ๓๒ ว"ติ แม้ในตำบลน่จะมืคนน'อยโคยเหฅุที่อพยพไปอยู เชียงตุงมาก

ก็ยำไม่แสดงให้เห็นว'ามีขนบธรรมเนียมใกล้ไปขำง

เมืองกา (1^สิ) และเมืองบน (?&ถ) ของแม่'แาโขงนไเ

เบ่นท'องที่คอน

สูงกว่าระค"บใ!าทะเล ๔,000 ฟุต คำนไเ เราจึงมาอย่ในระหว่างชนชาต ไทย ซึ่งต่อไปขำงหนำก็คงเบ่นไทยอยู่ตามเติม การเดินทางมาจนกระท"งมาพ"กในทีนี

ขำพเจำฅ'องขอขอบไจุ

อย่างล'น่เหลือที'ไค้ร"บความสุขที่เขำไปอาศยพ"กในว"ติไม่มีความเคื

อย่างใค เจาวดเรียกกนว่า อาจารย ไม่ยอมให้พวกเราพำในโบสถ์ แค

ยอมให้พกนอนที่ศาลาของวดซึ่งกับแคบไม่ใคร่พอก*นเราก็หาป กอนทจะเคนทางออกจากคาบลน

ขาพเจาไฅจคถอยกํๅข!]งชๅๅ!]ล

๓สิ่

ได้กว่าสองรํอยคำ

เลือกเอาแต่คำที่เบนแบบที่ริ"^บาลอำกฤษได้เทียบ

เกียงภาษาและเสียงต่าง ‘ภ ไว้

และเลือกเอาคำสามโบที่ใช้กนโดยมาก

ยี่งกว่าที่จะเอาคำใช้ในศาสนา

ถอยคำเหล่า'แจะต่างก”นประมาณหน

ในสิบสี่จากภาษาที่พวกไทยที่อย่ถดไปทางใฅ้พูคกไเซึ่งขำพเจำคุ้นเค มาแลว แต่ถ’อยคำที่ได้ใช้ในศาสนามีคลำย‘ๆกบที'ใช้ในศาสนาแ'เง่งอื่น ในประเทศ'น

เพราะมีผู้บอกขำพเจำว่าพุทธศาสนาในตำบล'นมาจาก

แกวนเชียงฅง เมื่อประมาณ ๒๗๐ หรือ ๒๘๐ บื่มาแลำ ฅามตำนาน ของแควนเชียงฅุงที่ขำพเจำมีนนว่า เชียงใหม่เมื่อประมาณ๖๖๐บี'มาแลว ทางศาสนาคลำยคลึงกบของแควนไทย ชานของอำกฤษ

พุทธศาสนาในเชียงตุงได้มาจาก

หรือราวพ.ศ.®๗๙๖ หนำลือ

แกวนลาวของฝรำเศส แควน

และแควนไทยจีน

พฤหำเบคี ที่ ©๔ เมษายน

ในว”นนมีผ้มาบอกเล่าขำพเจำไม่ฅา

กว่า ๑๒คนว่ามีว”ดพุทธศาสนาฅามแบบญวนและหนำลือญวนแพร่หลาย ทำไป วีนนน

ฅํ้งแต่ตำบลนลงไปจนถึงดินแดนทางคะว”นออกชองแม่นาสาล พุทธศาสนาเบ็นแบบอย่างพม่า

และภาษาเงยวทวไป ไปว่า

และทำชนก็พุดภาษาพม่า

ผู้บอกขำพเจำนนคือท่านอาจารย์ยำได้กล่าวต่อ

แม่'นาสาลวีนเบึนเสนแบ่งระหว่างพุทธศาสนาทำสองแบบ

แบบพม่าก”บแบบญวน

นอกจาก'นั้ยำยอมร”บก”นทวไปว่า

คือ

เสียงภาษา

และคำพุดของชนที'อยู่ในดินแคนระหว่างแม่นาโขงก”บแม่นาสาลวี คลำยก”บ่ของญวน

แม้ในถึนนนคำพุดก”นคามธรรมคาในสิบสี่คำจะต่าง

โศัแ'พียงกำเคียวเท่านน

รวมทงคำพุคทีใช้ในศาสนาคำย

ที่เขาเชื่อ

๔ด

ก็มีเหตุผลคงนี

คือ

ในถนนํ้ไม่ใคร่มีชนชาติจีน

และความเคย

เกยไค้ยินภาษาจีนและการเรียนภาษาจีนก็ไม่ใคร่มี ความส"งเกฅชองข์าพเจที

ค็วยเหตุนจึงเบ็๋นโชคดีของชนชาติไทยเ

ท้ฅงภูมิลำเนาอย่นับแฅ่เชียงตุงฅลอดไปจนถึงดินแคนฟากฅะว

ของแม่นาโขง ทำให้กิจการทางศาสนาที่เราได้กระทำก"นไปใ

ชนชาติไทยเหนือนสะดวกมากเพราะพูดภาษารู้ก"นไค้ฅลอด และหวทีว่

การทำกิจเพื่อประโยชน์แก่ชนชาติไทยเหนือที่อยู่ทาง สาลวีนก็กงสะดวกเช่นเดียวก"น วนที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๓ เบ็นว"นขนบใหม่ในจลศ"กราช ๑๒๗๒

ขทีพเจทีได้เห็นชนในถี่นนนขนทรายมากองไว้แลวเอานาพรม

เพื่อจะ ได้ทำรูปให้เบนจอมได้ส ะดวกแต่ว"นวานน์แลว มีฝนฅกลง

ถึงวนนนพวกเหล่าน์จึงพาก“นก่อเจดีย์ทราย

อย่างใหญ่ตุนน๕องค์

และทำกำแพงลอมมีประตูควย

ก่อเจดีย์ทรายจะเหมือนเด็กเล่นก็ดี เคารพกราบไหว้บูชา สดงดงาม

เวล

ที่เขาก่อ ถึงแม้การ

แต่เขาได้ฅํ้งใจทำและกระทำ

เจดีย์ทราย ๕ องค์น์ประด"บดทียธงและคอกไม้

นอกจากน์ฝูงชนเหล่านนย"งพาก"นฅีฆ้องกลองประโคมแล

สวดสทีเวยสี่งศ"กด็สิทธท*งเบองบนและล่างท"งไค้เจริญพระพุทธต ธรรมคณและพระสทีฆคุณ

แลำมีการสมโภชเลยงตูก"นเอิกเกริก ท่าใเ

อาจารย์ผู้เบ็่นเจทีว"คซึ่งในเวลานนคุ้นเกยก"บขทีพเจทีก็เออเใ^อขทีพเจที มาก ได้ชวนขทีพเจทีให้มีส่วนในการเลยงนดวย

๔๑ ในวไเนนข๎าพเร็าสํงเกฅเห็นว่า

พระลูกวดและท่านอาจารย์ไ

สวดมนต์ และสวดเบนไทยมากกว่าบาลีด^งครึ่ง ในขณะที่กนมาประช กนในงานน ข‘าพเจำมีโอกาสแจกหนังสือให้ เท่าใด

และเบีดหีบเสียงให้พงดวย

เปรียบเทียบกบจีนแลว

แด่จำไม่ได้ว่าได้แจกไป

กวามเชื่อถือในศาสนานนเมื่อ

ชนชาติไทยเหนือดเคร่งกรดและเลื่อมใสใ

ศาสนามากกว่า

นัาพเจทีได้เอาหีบเสียงไปที่นังของพ้าหลวงจูม (?3 บ5118 013ษิ

ซึ่งเขาเรียกกนว่าสอบวา ณ ที่นน แด่ท่านไม่อยู่ไปธุระเสียที่เมืองกื (IV!008 &แ08 )\43) ซึ่งเบ็๋นจทีหนัดสำนัญที่สดของชนชาติไทยเหนือ ฅงอย่ระหว่างแม่นาโขงนับแม่นำสาลวีน

(ขอให้นังเกฅว่า แกนั

เหนือมีทองที่เชื่อมตลอดถึงนัน)

แด่ภรรยาของท่านนับนั

เชิญให้ขทีพเจทีพ”กและขอให้เบิเดหีบเสียงให้พง มาก

นังเกฅดูเบึนที่พอใ

นองสะใภ้ของท่านนนเบนนางในสำนักเจทีเมืองบ่อ

ขทีพเจทีเมื่อไปเชียงตง

ซึ่งร้จ”กนั

พูดท”วไปแลวชนชาติไทยไม่ใคร่จะยอมละที่ง

ศาสนาขนบธรรมเนียมเชื่อถือและแบบแต่งกายของตนได้ง่าย ‘ๆ เลย อาทิฅย์ที่ ®๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๓

เมือกืนนีขทีพเจทีเบ็๋นไข้

แด่ว”นนค่อยทุเลาแลว

มีขทีราชการจีนมาหาขทีพเจทีหลายคนขทีพเจที

เบี่คหีบเสียงให้พง

การสนทนานับขุนนางจีนเรื่องศาสนาก็เบ

บทีง

ต่อไปนนข์าพเจทีได้เบี่คหีบเสียงให้กนในแถบบ่อเกลือซึ่

ทิศใต้ของทุ่งราบนนให้พ้งอีก ขทีพเจทีเหน็ดเหนื่อยมากนันน

๔!®

นายพ'นฅรีคาวีสไค้กล่าวไว้ในหนํงสือของเขาว่า

จงหวคขอ

ซนชาติไทยเหนือที่อย่ในค้นแดนระหว่างแม่นำโขงกบแม่นำ ๒๔ จ*งหว'ค รวมท^งที่อย่ทางฅะว'นออกควยอีก ๔ เม่น ๒๘ จงหวดควย กน

ซึ่งมีจำนวนเท่าก'บจ'งหว'ดของชนชาติลอสิบสองพ'นนา

นนที่จำหว'ดของเมืองบ่อนน

ในเวลา

ขำพเจำจำชือและล'กษณะไค้แแฅ่เฉพาะ

จำหว'ดของชนชาติไทยเหนือแห่งมณฑลยูนนานทางฅะว'นออกของแม นาสาลวีนเท่านน

แต่อีก ๗ จำหว'ดบางทีจะเบ็๋นจำหว'ดเล็ก ‘ๅ อยู่ท

ค้นแคนของแม่นาโขงขำพเจำหาทราบไม่

นายพ'นฅรีคาวีสกำหนดว่า

อาณาเขฅของชนชาติไทยที่ถือพุทธศาสนาฅามแบบญวนนน

ฅํ้งแต

มุมฅะว'นฅกเฉียงเหนือก'บ ๒๕ องศารุ้งเหนือฅ'ดก'นขนาดก*บแม่น วีนมาจนจดอาณาเขตทางดะว'น,ออกที่เมืองลายใกล้เสนค'ดของฅรอบกออฟค'นเศรฺก*บ ๑๐๑ องศาแวงและมีแม่นาสาลวีนเบี่นเสำแขฅ ทางคำนฅะว'นฅก

แต่ส่วนเขตทางคำนใฅ้นนไม่มีกำหนคแน่

พวก

ไทยเหนือก'บพวกลํ้อเบนเชอชาติเคียวก'นก'บไทยที่ถือศาสนาแบบญ แต่ชนทงสองพวกนอยู่ใฅ้อำนาจจีน

เพราะฉะนน เสนพรมแคนซึ

เบนภูมิลำเนาของชนชาติท^งสองนจีงเอากำหนคแน่ไม่ไค้ - (^0ถ8บ6ถว)

ที่เมืองเล็ม

ชนชาติไทยเหนือได้แผ่ภูมิลำเนาออกไปทางใต้ไกล

ถึง ๒๒ องศา ๒๐ สิบดารุ้งเหนือ ประมาณ ๒๒,๕00 ตารางไมล ลุ่มนาเกือบท"งหมดอาณาเขคน ซาติอื่นซึ่งมีหลายพวกเหมือนกน

รวมอาณาเขตของชนชาติไทยเหนื

ซึงพวกไทยตำภูมิลำเนาอย่ในที่รา!] แต่พวกที่อยู่บนภูเขานนม'กเบ็๋นชน ตามที่นายพนฅรีดาวีสประมาณนน

๔๓ ซนชาติไทยผู้มีหน์งสือของฅำเองอย่ทางฅะวนฅกเฉียงใต้ในมณฑล?^น-

นานนนว่ามีกว่ากรึ่งล๎านคน และอย่ในเนอที่รวมไม่นอยกว่า ๓๒,00 ฅารางไมล์ มีสำเนียงภาษาและศาสนาเบี่นอย่างเคียวกนกบพี่นองคนไทย ในผายเหนือแห่งประเทศไทย ลาวของฝรํงเศส

ในฅะวนออกของพม่า

และในแควน

จิฅใจของขำพเจำวิดจ่ออย่กไ]ชนชาติไทยเหล่าน

ควยความปรารถนาอนแรงย็งว่า

เมื่อไรหนอชนชาติไทยเหล่านีใน

ทุกท้ศทุกทางและทุก ทุ ละแวกบำนวิะถึงซึ่ง

ความเบนอนหนงอน

เดยวกน ซึ่งเขาท*ง์หลายคงยำรอกอยอยู่คำยความกระหายเบ็นอย่างยี่ง พวกเราคริสเตียนไต้เคยประสบเรื่องเช่นนีหลายศควรรษมาแลำ กลบสภาพวิากชาวเยิงกลายเบึนชาวเวียง สงวนตำเองอย่างหอยอยู่ในเปลือก

แค่แล้ว ก็พยายามเก็บคำ

และทอคที่งให้ชนชาติไทยเหล่านี

รุ่นแล้วก็รุ่นเล่าตกอยู่ในความมีด ในเรามีประมาณเพียงไหนหนอ

เราไต้

วิญญาณของพระครสโคเล้าที่ส

พวกอำกฤษเราเคยเบ็๋นชาวเยิงมาแล้ว

และก็ได้รไ]แสงสว่างแล้ววิงกลายมาเบ็่นชาวเวียง ณ บ”ดนีซึ่งเบ็นความ เสมอภาคที่ควรภูมีใวิ แล้วละหรือ.

แค่ชนชาติไทยเหล่านีเล่า

ไต้ภาคอันเสมอกน

บทที่ ๔

เชิาวํนจํนทร์ที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๓ ขาพเจาได้ออกเดิน

จากเมืองบ่อซึ่งข'าพเจ"าได้พ"กอย่ ๔ ว'น ผู้ที่ไปควยในครํงนี น พวกเราแต่เดิมก'บกนที่จะฅามไปส่งด้วยสองกนนน

ยงมืชาวไทยเ

หำหน"านำต่างกนนไเ ทำหนำที่ล่ามภาษาจีนไปด้วย ชาวไทยเหน ไม่รู้ภาษาจีนเท่าไรนำ จะได้ใช้สกกรำ เจำพนำงานจีนก็ได้ ก'นมำมื ๒ อย่าง

แต่จำเบนด้องใช้ชำคราว

ที่จริงล่ามนน

ผู้ที่ไม่รู้ภาษาจีนพอเพียงอาจได้ร'บกวามคูหมื ในประเทศทางทิศตะวนออก

ภาษาในชาติเคีย

คือภาษาราชการ หรือราชสำนำอย่างหนึ่ง

ธรรมคาอีกอย่นหนึ่ง

ในระหว่างชนชาติไทยก็มีแบบแผนภา

อย่าง เหมือนกน คือภาษาราชการหรือภาษาหน'งสือ และภาษาที่ใช้พฅ

กนฅามธรรมดาหรือภาษาชาวฅลาด ภาษาไทยที่ใช้ในราชการเบนภาษา

หน'งสือและมีที่ส'งเกตต่างก'นก'บ่ภาษาชาวบำน หรือที่เรียกว่

เพราะภาษาตลาดแม้จะมืกวามหมายอย่างเคียวก'น ก็มำพคเพียนไปจ คำเดิม

เพราะฉะนนพวกมิสช'นรีที่รู้ภาษาไทยเบนภาษาหนำลือจึง

สามารถพูดก'บ่ขำราชการไทยได้เกือบทุกแห่ง เช่นในเชียงใหม ราย เชียงตุง เชียงรุ้ง หรือเมืองบ่อ ภาษาหนังสือและภาษาตลาดเช่นเคียวกืน

ในส่วนขำราชการจี

ขำพเจำเกรงว่าล่ามข



ข์าพเจ็าคงไม่รู้หนังสือจีนดี พูคภาษาจีนไดีก็อย่างภาษาฅลาดซึ่งคงไม

กว่ากุลีจีนไปไม่เท่าไรนัก ผู้ที่เบนล่ามอย่างดีรีะตองร้หนังสือมากที

หนทางที่จะเดินไปย'งจุงหวดปู-เออ-ฟู นนจะฅองใช้เวลามากกว่ ๔วันจึงจะถึง เราฅองเดินนัดขามภูเขา ภูเขาเหล่านเบนภูเขางามสมกบ

เบนภูเขาในถึนน อยู่ติดนับทางหลวงที่จะไปย'งจ'งหว'คเม่งสูใกล โมไขึ ((^0-1161) ศุกร์ที่ ๒๒ เมษายน ข่าพเจวัหยุดพ'กวับประทานอาหารกลางวัน ตำบลน วังหว'ดนแฅ่ก่อนเบนเมืองไทย เรียกว่าเมืองโฮ

ที่

([^0ถ8 1-10)

แลวจีนมาเรียกผิดไปว่าโมไส วัาพเจวัสงสัยว่า กงมีหมู่นัานไทยอ ไม่าเอย

แต่วัาพเจทีหรือล่ามหาไค้ออกไปกนหาหมู่นัานเหล่านนไม่

ต่อในว'นรุ่งขนจึงไค้พบชนชาติไทยมาก เหนือ

จีนเรียกว่าปะเบียน

พวกเรามาถึงแม่นํ้าดำฅอน

เมื่อเวลาเที่ยงวันเสาร์ที่

เมษายน ไค้พ'กที่ตำบลหนึ่งซึ่งจีนเรียกว่า เสียปะเบื่ยน แต่ไทยเรียกว่าเมืองโท้

(IV10ถ8 ไ'0)

ขทีพเจทีรู้สึกเสียใจอยู่บทีงที่จะพ

อย่ในหม่ชนชาติไทยแถบแม่นาดำนึ่ให้นานนักไม่ไค้ ฤดูฝน

(1-1ร1ส

และระยะทางที่จะไปย'งไกลมาก

เพราะจวนจะถ

เพราะฉะนน เมื่อหยุดพ'ก

ร'บประทานอาหารกลางว'น,แลวก็ออกเดินทางต่อไป พอเวลาบ่ายได้ฃทีม สะพานเหล็ก

เบี่นสะพานแขวนขทีมแม่นาคำและไม่สู้แน่นหนาน่าไว้ใจ

นัก แต่พวกเราก็ขทีมไปได้โคยสว'สติภาพซึ่งขทีพเจทีรู้สึกยินดีมาก พบ ผู้หญิงไทยนำกลวยมาชาย

แสัวเรามาหยุดพกนอนที่ตำบลหนึ่งซึ่

เรียกว่าเซาไผ (ร1130 111531) ขทีพเจทีไค้ขอพกในโรงขายอาหารของจีน

๔๖

ซึงออกรีะเดือ?'าร๎อ์นพอใช้

แล็วชาพเจ็าได้ใช้ให้ล่ามของขาพเ

เทียวคนหาหม่บิานไทย เพราะการที่ชทีพเจ'าจ'างล่ามมาดวยน ก็ม จะให้ล่ามไปเที่ยวฅิคฅ่อและสืบถามหากนไทย ในบริเวณตำบลเชาไผ

เขา ก็ได้ออกไปคน

ซึ่งมีลำธารแยกออกเบนสาขาจากแม่'นาคำและ

ตำบลแถบแม่นาคำใฅ้ลงไป

ไม่ช๎าเท่าไรล่ามก็กลบมาบอกข'า

มีชนชาติไทยฅํ้งบ'านเรือนอยู่ในตำบลที่เขาไปค'นหานนเบ ข'าพเจ'าติคว่าจะออกไปเยี่ยมฅามหมู่บ'านแต่ไม่ฅ'องไป

เพราะคนไทย

เหล่านนพากนมาที่โรงขายอาหารจีนที่ข'าพเจ'าพก ข'าพเจ'าเบื่คหีบ ให้พ้งและได้สนทนากบเขาบ'าง

แตํดูเหมือนเขาจะไม่สู้เข'าใจความที่

ข'าพเจ'า'พุดนก เพราะชนชาติไทยพวกนํ้ไม่มีหนังสือ ไม่มีคำทางศาสนามาใช้ในภาษาควย

และดเหมือน

แค่สำเ'แยงของเขาใกล้ขำงไทย

เห'นือ ล่ามที่เบ็่นชาวไทยเหนือจึงส่งภาษากบเขาได้ดีกว่าขำพเจำ

ออกเสียงของเขาคลำยภาษาลอ ขำพเจำได้ยินคนห'นึ่งในพวกนนพุค

'นิดห'แอย ซึ่งเบนเสียงที่ขำพเจำไม่เคยได้ยินที่ไหนเล ประเทศไทย พวกนึ่ได้บอกขำพเจำว่า เนย8

เขาได้อพยพจากเชียงฅุงติง

าาย^) มาอยู่ที่นี่ได้ประมาณ ๒0 หรือ ๓0 ช'วคนมาแลว ซึ่งค่อ

นนขนไปเกือบครึ่งหนึ่งของระยะทางนึ่ก็ซะถึงเมืองฅาลิ-'ฟู

บางทีชนซาติไทยพวกนึ่จะอยู่ในภาคหนึ่งของอาณาจ'กรน่ ได้

และทณขาก็ได้อพยพมาเมื่อคร*งอาณาจ่กรน่านเจำได้ถกกุไบ

กนัดริยี่มองโคลยกท'พมาตีได้เมือ พ.ศ. ®๗๗๗

อย่างเดียวท'บชน

๔ฟ่

ล่อ อนมีบำนเมืองอย่ในภาคหนึ๋งเรียกว่าปา ซึ่งติดต่อกบอ่าณาจกรน่

เจำ แต่จีนเรียกว่า ปายี่ ลกษณะเฉพาะของชนชาติไทยแถบแม่นาดำน

คือเบ็นชนที่ตํ้งภูมืลำเนาอยู่บนภูเขาซึ่งแปลกกว่าชนชาติไทยพวกอื่

คงเบนเพราะสี่งที่อยู่ลอมรอบและภูมิประเทศก็เบ็๋นพืดเขา จีงทำให้ไ พวกน่กลายเบ็่นชาวเขาไป ชาวเมืองเชาไผได้บอกขำพเจีาว่า ธารน่ไปทางใต้มืชนชาติไทยปลูกไร่ขำวอยู่ฅามเชิงเขา เวลาบ่ายขำพเจำได้พบชนชาติไทยหมู่หนึ่ง

ในว่นรุ่งขน

เขาบอกว่าเขาอยู่ที่เชิ

เหนือหนทางนนขนไปมืหมู่บำนอยู่ ๕ หมู่ดวยกน ไทยฺเสีย ๔ หมู่

รภ้มลำ

แต่เบึนของชนชาติ

เขาบอกว่าบูย่าตายายของเขาอพยพมาจากเชีย

แต่จะเบ็นเวลากี่ชำอายกนมาแลวเขาหาทราบไม่

ขำพเจำได้ส่งภาษา

ก*บ่เขาดูเขำใจกนง่ายกว่าที่พูคกบคนในเมืองเชาไผ

สำเกตได้ว่ากำพค

ของเขามีสำเนียงเบนไทยแท้ มีกำจีนปนอยู่นอยที่สุค เหมือนก”บ่ชนชาติไทยเหนือ

แต่กำพูดที่เกี่ยวในทางศาสนานนไม่ม

เพราะเมื่อขำพเจำพูดก*บ่เขาถึงเรื่องที่เกี่ยวดำยศาสนา เขาบอกว่าเขาน*บ่ถือผี

สำเนียงข

และเซ่นไหว้ผีพูย่าตายาย

เขาก็ไม่เข

ชนชาติไทยแถบ

แม่นาดำนึ่เท่านนที่ขำพเจำได้เกยพบและเกยได้ย่นว่าเบนชา

คอย เบนที่น่าเสียใจอยู่บำงที่ไทยพวกนึ่ซึ่งน*บ่ว่าเบ็นสาขาของชาติใ ชาติหนึ่งอ*นมีชือว่า

ชาติอิสระ (?1-66 1^360)

มากลายเบึนชาวเขา

ไม่มีหนำลือไป เพราะตามปกติ ชนชาติไทยแม้บางพวกจะไม่มืหนังสือ

ก็ย่อมมี^านะและล*กษณะสูงกว่าชน''ชาติชาวเขาอื่น ๆ ในอินโดจี

แท้จริงไทยพวกนึ่ไม่นัองสงส*ยเลยว่าวิะไม่พูตภาษาไทยแท้ ก

ร้สึกเช่นนเท่าที่ไค้พบภาษาคำพคของเขามาแลว เกือบจะว่าเหมือนภาษาลาว

(ไม่รวมกำ

ซึ่งมีลำษณะที่ส้งเกฅไค้ว่าเพยนก้บภาษา

ในประเทศไทยหรือภาษาเงั้ยวฅอนฅะวนฅกในพม่าไม่กีมากนอย มีเสี

อย่อย่างเคียวคือไม่ใคร่มืคำในทางศาสนาซึงชนชาฅิไทยนบฅํง ® ๑๓ ลำนคนที่นำเถือพุทธศาสนาใช้พดกน

และผู้สอนศาสนากรืสเคีย

ก็จำเบ็นฅองใช้คำศาสนาที่เบึนภาษาของชนที่จะฅองสอนนนควย ตํ้งแฅ่เวลาเชำ ๒๕ เมษายน ถึง ๓๐ เมษายน รวมเวลา ๖ วไเ พวกเรา?'เองเคินทางบนภูเขาชนซึ่งเคยรู้รสมาแลว ที่เบ็๋นเขฅกั่นระหว่างแม่นาแคงกบแม่นาคำ บนพืคเขาหลายแห่ง

และเดินข

แฅ่เคราะห์คีที่มี

แม้ส่วนมากจะเบืนเนินเขาสง พุ ฅา พุ ก็ฅาม

แต่ที่จริงหนทางนนเบ็นทางเรียบรอยตามพืดเขาไป นนงดงามน่าคหลายแห่ง

ทงอากาศก็โปร่ง

ภูมิประเทศที

แต่ว่าโรงขายอาหารก

เลวเต็มที ชนที่อยู่ในแถบภูเขาเหล่าน สายชาติธิเบต-พม่า แต่งว่า

โดยมากเบนชาวเขาซึ่งเ

ตามที่นายพนฅรีดาวีสไค้กล่าวไว้ในหนำสือที

ถึงแม้ความมุ่งหมายของขำพเจำจะไปตรวจเฉพาะชนชาติ

แฅ่ก็ควรเอาใจใส่ในชาติเพื่อนบำนของไทยควย ฦาตู (^ยิเธ)

(/^1เ3)

ปตู (?ขิ1ธ)

พวกอะกาน

เรียกว่ากอ ((^3VV) เมืองหลวงที่แลำมา

บี่โอ (?16)

เช่นชาติโลโล

มะไขึ (1^131101)

และอะกา

ขำพเจำทราบว่ามีอยู่ในประเทศพม่าตำยแต่

ขาพเจำไค้พบและพูดถึงพวกนั้เมื่อเดิ

ชาติมะไชินนพวกเราไค้พบที่จำหวดเสเม้

๔ลิ่

ชือชนชาติที่นายพนฅรีดาวีสแยกไว้เบึน กาฅ ปูฅ บโอ มะไส และ อะกานี

เวนแฅ่โลโลเท่านนจีนไค้รวมเรียกเบ็่นชื่อเคียวว่าโวนี (V7

เขากล่าวว่า ฅอนใต้

ชื่อนเบ็่นชื่อที่จีนเรียกกนหลายชาติที่อย่ใน

และพูดเบ็นสำเนียงโลโล

ชนชาติเหล่านํ้ไค้โดยภาษา กว่าชาติโลโล

ชื่อนีที่จริงก็เหมาะแก'การสำเกฅ

แด่ส่วนรูปร่างและลกษณะแลวนบว่าค

นายพไเฅรีดาวีสกส่าวว่า

ชาติโลโลมีรูปร่างสูงสง่

หนำฅาคี และผิวเนีองามกว่าชาติเหล่านน ในจำหวดฅูงกวน ซึ่งพวกเราได้ผ่านมาเมื่อวไเจนทร์นน ชาติจีนนอยที่สุด

แด่มีชาติโลโล โวนี และไทยเบนอนมาก

ถะลางติง (1’3-13ถ8 7๒8)

มีชน

และที่

ซึ่งขำพเจำไค้หยดพํกแรมคืนเมื่อวนพุธ

นน นายพนฅรีคาวีสไค้กล่าวว่า เบนหล”กแหล่งของชนชาติโวนี และ มีชนชาติโวนีอย่เบ็นส่วนมาก

คูก็สมจริงคำนนควย

นอกจากนี

นายพไเฅรีคาวีสยำไค้จดหมายเหฅุไว้ว่า ไค้พบชาติโลโลและพวกด่าง พุ ในชนชาติโวนีอย่ในมณฑลเสฉวนและมณฑลยูนนานเบ็'นอนมาก เรื่อง ที่เขากล่าวนนมีหล”ก^านค,วรเชื่อไค้ จึงกดบางดอนมากล่าวบำงคำน มีชาติสามชาติที่อย่ในจำหว”ดถะลางติง คือปตู บี่โอ และกาดู ชาติท*งสามนมีสำเนียงภาษาคลำยกนและพูดเขำใจก”นคี

การที่จะรู้ว่า

ชาติท*ง์สามนํ้ด่างกนอย่างไร สำเกฅไค้จากธรรมเนียมแต่งกายของผู้หญิง หญิงปูดูและบี่โอแ.ด่งกายงามน่าดู ขำงหนำดลอดและมีผำผืนหนึ่งรดอกอีกด่างหาก

สวมเสํ้อสีคลํ้ายาวเกือบถึงเข่ ผำร”คอกนึ่ทำให้เบน

ที่สำเกดผิดก”น่ในระหว่างผู้หญิงของชาติทํ้งสอง

กือถำเบ็นชนชาติบ่ดู

๕ว

ช้ลูกดมฅิคทาบเสํ้อเลย ถ็าเบ็่นหญิงบิ'โอก็ใช้ผ่ารครอบแต่อยู่ต

ส่วนผ่านุ่งของหญิงท^งสองชาตินํ้เบนผ่าผืนเคียวพน เหน็บไว้แน่นมิให้หลด ชายหอยไปอย่ข“างหล‘ง

มีผ่าพนศีรษะเบ็นสี่เหลี่ยมยาวเมื่อพ

เครื่องประคบกายนนใส่ตุ้มหูใหเไ]ทำคว

สีของเสี่อและผ่าคาดเอวทำให้เบนที่สำเกดไค้อีกอย่างหนึ่ง หญิงบี่โอมกจะแต่งเครื่องขาว

แต่หญิงปูฅูใช้เครื่องสีนึ

ส่วนหญิงสาว‘ๆที่แต่งงานแลวมกจะสวมหมวกสีนาเงินแทนผ่

ผมก็ม“กจะไว้ยาวราวฟุตหนึ่ง ผู้หญิงชาติกาฅูนนแต่งกายต่

ชาติท"งสองคือนุ่งกางเกงและที่ผำพ”นศีรษะมีระยำทำดวยโลหะหอย ขำงหนำ ออกจะง่ายแก่ขำพเจำมาก ที่นายพ”นฅรีคาวีสได้แยกชนชาติโวน็

ออกเบ็เนพวกคือ ละฮ (บ3-11ปิ) และลีซู (บ!-8งิ) แลวรวมพวกเหล่

เขำเบนชาติไลซู (บ61-8นิ) - คือชาติโลโลอ”นเบ็๋นเชอสายธิเบด-พ ชาติโวนีคลำยก”นมากก"บชาติโลโลตามที่ขำพเจำไค้พบ ซึ่งไทยและพม่าเรียกว่ามูเซอ

(\1เ1-ร0)

แต

ซึ่งมีจำนวนมากอย่ทา

เหนือประเทศไทยและแควนเชียงตุงนนมีรูปร่างสูงและผิวพร พวกลีซ ซึ่งกนไทยเราเรียกว่าลีซอ(บ!-83\V)ก็มีรูปร่างกลำยมเซอ

ขำพเจำไค้พบมากในแควนเชียงตุงและพนเขฅ เชียงตุงไปทางฅะว”น่ ของแมนาสาลวีน

และทางแถบแม่นายางสีก็มีอยู่หลายช้อย



เลอรฺฅ"นไค้จครายงานไว้ว่ามีพวกลีซูหลายรอยกนสม”กรเขำรี

คริสต์เมื่อเบี่คสถานสอนศาสนาที่เสเมำในมณฑลยนนาน ส่วนพว

หรือที่เราเรียกว่าพวกกอก็นํบเชิาอยู่ในชาฅิโลโลควย กอเบ็ พวกหนึง มีอย่ในแกวน,เชียงฅงมากกว่าชนชาวเขาชาติอืนถาหาก ภาษาของพวกก'อจะมีทางแสคงให้เห็นว่าใกล้เกียงกบของชาติโลโลแลว จากรูปร่างท่าทางและการแฅ่งกายของพวกก'!]

ข'าพเจท่รู้สึกว่าภาษา

โลโลนน ชนชาติก'อกงได้รไ)มาใช้ภายหล”งชาติโลโล และชาติพวกพไง

กไอึ่น‘ๆ ในประเทศจีนนน อนึ่ง พวกมิสชไรีที่ไปฅ^งสอนศาสนาอยู ระหว่างพวกโลโลก็ได้ทำการสำเร็จไปได้มากแล'ว

แม้ในเวลานึ่ชนชาติไทยที่อยู่บนภูเขา ซึ่งเบนภูเขาอยู่ใน แม่นาแดงกํบแม่นาดำจะมีจำนวนนอย

แด่เชื่อว่ากร"งก่อนคงมีจำนวน

มากกว่านึ่มาก เมืองสำค"ญสองเมีองซึ่งขำพเจำได้ผ่านมาในสไคาห์ก่อน นนอยู่บนภูเขามีชื่อเบ็นไทย ขำพเจำผ่านมาเมื่อว"นจ"นทร์

นอกนนมีชื่อเบ็'นจีน เบ็'นภาษาจีน

เมืองฅูงกวนซึ

มีผู้บอกขำพเจำว่าแปลมา

จากภาษาไทยซึ่งเบ็นชื่อเดิมว่า เบนเมืองงามอยู่ในภูมิประเทศอ"นเหมาะ

กนไทยย"งคงเรียกชื่อนึ่ว่าเมืองสูง (1^16ปิ8 รงิถ8) ฅงอย่บนที่ราบ อุดมและงคงาม สูงจากระด"บนาทะเล ๕,๒0๐ ฟุต เมืองถะลางติงนน คนชาวเมืองเชาไผในเขตเมืองเท้ (\16ก8 10) อนเบนของไทยได้บอก ขำพเจาว่า ชีอทีแท้ของเมองนีวา ฅะลอง (1313^08)

ขาพเจำมีธระ

มากเลยไม่อาจไปเที่ยวดูเมืองนึ่ได้ และทขำพเจำก็ไม่มีเวลาพอที่ คนหาหมู่บำนไทย

เพราะจะดองบี่นภูเขาซึ่งเบ็่นพืคยืคยาว ทำให้รู้สึก

เบื่อมาก ขำพเจำจึงจำเบื่นตไงหยุคพก แด่ถึงกระนนก็ดี ขำพเจำก็ได้ ให้ล่ามของขำพเจำออกไปเที่ยวสืบหาหมู่บำนไทยแทนขำพเจำ เขากล"บ

มาบอทว่าไ?าพบบ^เง เขายิงไ?ไบอกอีกว่า ที่เมืองเ?านกง (■1’60 1^ ซึงอยู่ห่างจากที่นี่ระยะทางสองวนมีวดไทยอยู่วดหนึ่ง

ในดินแดนลุ่มแม่นาแดงนึ่เฅ็มไปควยชนชาติไทยแพร่หลาย

ไปทางเหนือฅามลำแม่นาไกลมากจนเลยพนทางเกวียนที่ฅคชที่ เวลาบ่ายวนเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน

ขที่พเจที่ได้ลงจากที่ดอน

นาถึงเมือง^ หนึ่ง ซึ่งจีนเรียกว่า เยือนเชียงโจว (\'แ3ก-0111308

แต่ไทยเรียกว่าเมืองจูง (013ธถ8) ทุ่งราบนึ่เฅ็มไปควยพืชสี มีระยะยาวซึ่งถที่จะเดินให้ฅลอดราวสองวน

ถึงแม้ฤคูนึ่ใ

และพม่าไม่ใช่ฤดูทำนาแต่ในถี่นนึ่มืการทำนาปลกขาวมา บ*ดนึ่ขที่วกำลำขีนงอกงาม

จึงทำให้ทุ่งราบนึ่แลดูเขียวไปหม

ขที่พเจที่เห็นก็ทำให้ปร ะหลาดใจมาก วนหาได้พบเช่นนึ่ไม่

เพราะเดินทางมาบนพืดเขาหลาย

ขที่พเจที่รู้สึกยินดีและปลมใจมากว่าไม่ชำพ

คงจะได้มาอยู่ในแผ่นดินของชนชาติไทยอีก

ทุ่งราบนึ่อย่ส

นาทะเล ๑,๕00 ฟุฅ ขที่พเจที่ได้พบสวนหมากใหญ่โค และพบคนผาย ที่เขาปลูกไว้ในที่ต่าง ‘ดู

พวกเราได้คุ้นเคยต่อความลำบากต่

มากแล้ว มาในถี่นนึ่เพื่อนเก่าขที่พเจที่กือยง ส่วนความเ

อากาศรอนและอืน ๆ นำ)ว่าเกือบไม่มี เพราะมีบที่นจุนนอย นอกนน เบ่นไทย เขาบอกว่ามีหมู่บที่นไทยอยู่ ๓๒ หม่ดำยกน ชนชาติไทยในดินแดนลุ่มแม่นานึ่มีต่างกนสองพๅฤ ภาษาจีนว่า สุยปายี่ (8๒16 ?3-พํ) พวกหนึ่ง

เรียกเ

ล้อปายี่

พวกหนึ่ง เขาแปลให้ขที่พเจที่พื่งว่าหมายถึงกนบ่านาพวก

(^ดา

บ่าลายพว?าหนึง

ที่ไค้ชือว่าคนบ่าลายใณก็เพราะผู้หญิงชาฅินีนุ่งผาถุ

เม่นลายขวางอย่างเคียวกไ]หญิงไทยที่อย่ชค้งใค้ลงมา

หญิงไทยใ

แม่นาแคงนนุ่งผที่ถุงสํ้น 'ถุ และจะเคินไค้คล่องแคล่วไม่ชดขวาง เพร

ขำพเจที่ไม่ไค้อย่ในที่นํ้นานจึงร้ไม่ได้แน่ว่าเหตฺใคจึงเรียกชนผ้นว่ ที่ สื, ,,,าาาภจ*เาภ บานา แฅวา โ.!,.0 เคยหลก^านชอของพวกคนปาทงสองน คงสบมาจากพวก

ปาซึ่งเบนชาติโบราณนานทีเคียวนานกว่าสมที่อบราฮาม เสียอีก ชาติ ทที่สอง นํ้คง อพยพ มาต่าง สมที่กไเบที่ง เล็ก นอย .I

บาง

ไม่ ใช่ แต่ชื่อ และ

1'เ/

... แม้สำเนียงภาษาก็ต่างกน เกรียงแต่งกายของผ้หผิงจะคางกนเทานน คที่ย

เวลาบ่ายวไแสาร์ขที่พเจที่กบล่ามไค้ไปเที่ยวคามหมู่บที่นไทยนา

ซึ่งจึนเรียกว่าคนป่านา

‘พงเสียงที่เชาพคกนในพวกเขา ไม่เขที่ใจ

แม้คำนามทที่หมคและคำกิริยาโคยมากจะคลที่ยกนก็จริง

แต่คำต่อและ

คำกิริยาช่วย ทำให้ขที่พเจที่ลำบากมาก สำนวนคำพูคนนแสคงให้เห็นว่า เบ็'นภาษาไทยที่เพยนไป

ถที่สที่เกฅและเทียบเกียงกบกำไทยที่ขที

ร้มาบที่งแลว ก็พอจะพูดกนเขที่ใจไค้ เขาบอกว่า

ในถึนที่เขาอย่ไม่มี

วดพุทธศาสนาเลย รุ่งชื่นขที่พเจที่ไค้ไปเที่ยวคามหมู่บที่นไทยลาย บาลาย บที่ง

ซึ่งจีนเรียกว่

ขที่พเจที่และล่ามไค้สนทนากไ]เขาก็พอเขที่ใจกนได้แต่มีลำบาก ไมเฉพาะแต่คำนามแม้คำกิริยาและสำนวนพูดจาก็คลายไทย

พวกก่อนโดยมาก

กนห'แงในพวกนนพูคว่า

สำสองสามเดือนคงพูดเขที่ ใจกนเม่นอย่างคี ไทยลายก็เม่นไทยด^งเดิม

ถที่เขามาอยู่กไ]ขที่พเจที่ นี่เม่นความจริงเพราะ

แค่ไทยพวกนี่ก็คูเหมือนไม่มีศาสนาเช่นเคียว

กบพวกไทยนำ เพราะฉะนนวึงไม่มีถอยกำในทางศาสนา เขาไม่มีการ

เกียวของฅิดฅ่อก'บกวามเชื่อถือคงเคิมเหมือนกบพวกพี่นองไทย พุทธศาสนาซึ่งมีกำที่ใช้ในศาสนาเบนบาลีและส'นสกฤฅ

แม้แต่กำว่

ศาสนา เขาก็ไม่เขำใวิว่าอะไร ขำพเจำถามเขาว่าไหว้อะไร เขาฅอบว่

ไหว้ผู้ปกกรอง ขำพเจำพดว่า ไม่ใช่ ขำพเจำหมายถึงผู้มีอำนาจเห

ผู้ปกกรองอีกทีหนึ่งต่างหาก แลวขำพเจำชไปบนพ้า เขาตอบว่าไม่ทร ขำพเจำถามว่า

เมื่อตกใจอะไรขั้นมาเคยรอง พทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ

หรือเปล่า เขาตอบว่ากำเหล่านนไม่เกยได้ยินเลย

หมู่บำนไทยลายนึ่ฅ่างก'บหมู่บำนไทยนึ่าที่ขำพเจำไปเ เพราะกนไทยลายไม่ร้จ'กภาษาจีนหรือภาษาอื่น พุ นอกจากภาษาของตน เอง

แต่ถึงกระนนคูเขาก็มีกวามคิดตามธรรมดาอยู่

เขาสนทนาคลำย

ก'บกนที่มีการเล่าเรียน หมู่บำนของเขามีอากาศดี ถำผู้สอนศาสนาเบ ชนไทยเหนือแลวก็คงได้ประโยชน์ดี

เพราะภาษาของเขาคลำยภาษา

ไทยเหนือที่อยู่ในแถบตะว'นออกของแม่นาสาลวีนในพม่า จดถอยกำในภาษานึ่ได้มากและตรวจดูเห็นว่า

การออกเสีย

อย่างเดียวก'บภาษาลอ ภาษาลั้อหรือภาษาไทยใด พุ ที่มีหนำลือควรจะ

รู้ไว้บำงไม่มากก็นอยทุกภาษา เพี่อจะได้สนทนาก'บคนไทยที่ไม นนได้สะดวก

ในแควนเมืองจงนึ่

พวกไทยนามีจำนวนมากกว่

ไทยลาย มีผู้บอกขำพเจำว่า ที่โมชะ {IV108113) ระยะทางขั้นไปตามแม่ จากที่นี่ว'นหนึ่งเต็ม พุ มีแฅ่หมู่บำนไทยลายท^งนน อื่น พุ อย่ถ'ดขั้นไปอีก

และมีหม่บำนไทย

๕๕ .ทยที่ถือพุทธศาสนา (131 \'^) มีเรื่องเล่าก’ใามาว่า

ส’งสอนไทยพวกนึ่

เรียกไทยที่ไม่มีหน’งสือพวกนํ้ว่ กรํ้ง์หนึ่งพระพุทธเจ่าได้ทรงพยายามจะ

แต่ทรงเห็นว่าเบ็'นคนมีกิเลสหนาแน่นน’กหใเา จึง

ห?เดไม่สอนต่อไป เพราะฉะนนไทยพวกนึ่จึงไม่มีศาสนา ในส’ปดาห็ต่อมา พวกเราได้เดินมาถึงจ’งหว’ดลินอานฟู (00 35 (■ขิ) เมื่อออกจากตำบลเยือนเจียง (V03ท 0513ก8) แลวจึงได้ข๎ามแม่นา แดงฅรงที่ตน

และตองบี่นขํ้นพืดเขาสูง

และเดินทางบนพืดเขานน

ตลอดเวลาสองว’น จนถึงเวลาเย็นว’นที่สามจึงออกถึงพุ่งกว่างซึ่ ตะว’นออกเฉียงใต้ในมณฑลยนนาน

และจะฅด้]งเดินขปมพุ่งนึ่เบ็๋นเว

หลายว’น พุ่งนึ่เรียบมากและเดินสบาย

เพราะมีแฅ่หญิาสน พุ ไม่ต’อง

บนเขาอาจใช้จ’กรยานไปได้คี ก่อนที่จะถึงจ่งหว’ดบนพุ่งราบนึ่ ข ไค้พบผลไม้ที่กินไค้หลายชนิด เช่นท’บท้ม ลูกพล’บ สาลี่ องุ่น ผลไม้อื่น พุ อีกหลายอย่าง

ว’นหนึ่งเมื่อเดินทางลงจากภูเขาช’นนน ได้พบเกวียนหม่หนึ่งมีล ประมาณ ๘0 ตำ บรรทุกบี่บนาม’นก๊าดยี่หอแสตนดารุดออยลทำให้นึก ว่า

สินคำอเมริก’นแพร่หลายเขำมาในแดนจีนลึกถึงเพืยงนึ่

ว’นรุ่งขน

ต่อมาใน

ก็ไค้พบหมู่เกวียนบรรทุกนาม’นก๊าดเบนบี่บ พุ มากกว่

ก่อน และทงได้พบคนในบำนเรือนใช้ตะเกียงเหล็กวิลาฅตามดำยนาม’น ก๊าด

และใช้หลอดตะเกียงแกำ

ทิศตะว’นออกนึ่มาก พม่า และจีน

สินคำอเมริก’นแพร่หลายในประเทศ

เช่นจกรเย็บผำอเมริก’นก็มีท’วไปในดินแดนไทย

เฉพาะในจ่งหว’ดเชียงใหม่เท่านนฅามที่ราชทฅอเมร

๕!๖

ด้บ่ระมาณไว้ว่ามีจกรยานอเมริกนมากกวา ๔๐๐ คํน

ทางรถไฟและ

ฅวรถไฟที่ส่งจากอเมริกาก็มีมากในประเทศทิศฅะว'นออกเหมือน ฅอนฅนส'!เดาห์ขำพเจที่ก'บเกวียนติองเดินในทางแคบและค่อย

และได้ยินว่ามืหม่บที่นชนชาฅิไทยตํ้งอย่ไม่สู้ห่างจากทางหลว

เสมอ ^ แค่ไม่ได้พบคนไทย จนกระท'งถึงว'นพธจึงได้มาถึงฅลา ในตำบลชิงผิง (รเ1๒8

มีคนไทยมาประชุมกที่ขายก”นมาก แค่เบ

พวกไทยลายปายี่ ซึ่งเย้นพวกเดียวก'บไทยแถบแม่นาแดงที่

แค่ขที่พเจที่หาได้สนทนาก'บพวกไทยในตะว'นออกแห'งยูนนานเหล่า เมื่อว'นเสาร์มาใกล้จะถึงจที่หว'ดลินอานฟู

จึงได้ยินว่ามืชนชาติ

อยู่มาก ในแถบลุ่มแม่นํ้าแดงก็น'บว่ามีชนชาติไทยลายมากอยู่แ ทุ่งราบสูงถึงเพียงนก็มืจำนวนไม่นอยเหมือนก'น เสาร์ ที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ดินอานฟู

พวกเราพ'กอย่ที่

จ'งหว'คนต*งอยู่ในที่ราบอ'นกวที่งใหญ่ระหว่า

สงจากระค'บนาทะเล ๔,๙๐๐ ฟูต ธรรมชาติรอบ‘ชุ ภูมิประเทศทำให้

เย้นทำเลน่าอยู่มาก มีตลาดอย่างดีเช่นเดียวเฒัจำหว'คใหญ่ ‘ช หลวงที่ผ่านมาแลว

มีที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขซึ่งเจ

หนังสืออำกฤษออกและพูดได้บที่ง

บริเวณของเมืองนมีลำนาหลาย

ซึ่งทำให้ย่นระยะทางที่จะไปยำจำหว''คเม่งสู

และทางรถไฟขอ

ที่สรที่งใหม่จากผงทะเลตำเกี๋ยไปยำยูนนานฟู ซึ่งเบนทางสะค ในเขตน

มืผู้กล่าวว่าชนในจำหวดดินอานฟูม'กแอ'แฅชาวค่างป

แค่เรื่องนนังไม่มีหลกเานพอ

เพราะสิใเค้าค่างประเทศมีแพร่

ทงฅวขาพเจ็าเองผู้เบนชาวต่างประเทศก็ไค้พบการติยินร

^ลาคมาก

เบ็นยินดี ซึงกล”บจะเบึนพยานว่าเขานิยมชาวต่างประเทศเสียอีก

ติงแต่ว”นพธที่ ๑® พฤษภาคม ถ็งว”นยิ”งการที่ ๑๗ เดียินเดียว

ขาพเจ็าพ”กอย่ในเม่งสูอ”นเบนจุงหว”ดีสำคญแห่งหนึ่งในมณฑลยูนนาน ติงอยู่ห่างจากทางรถไฟของฝร’งเศสเล็กน”อย และกำล”งเจริญ และสนุก น่าอยู่

ที่ราบลุ่มนาซึ่งจ”งหว”ดีเม่งสติงอย่นึ่มีบริเวณกว่าง

ขาพเจที่ไค้เคยพบในมณฑลยนนานและเบนแห่งหนึ่งซึ่งมีท่าทางจะเจริ มากที่สคในมณฑลนึ่ติวย

แต่ขที่พเจที่ย่งไม่ไค้พบชนชาติไทยใน

นึ่เลย ฅามรายงานของนายเบิรฺน กงสุลอ”งกฤษที่เมืองจงติง พิมพ์เม พ.ศ. ๒๔๓๑

นนกล่าวไว้ว่า

ชนที่อยู่ในจ่งหว”ดีเม่งสูนึ่ส่วน

ชนชาติไทย นอกจากว”น่อาพิฅย์แลว ขที่พเจที่ติองทำธุระต่าง 'ฤ ที่จำเบ็๋นและ ไปพบปะสนทนาเพื่อส”งสอนตามหนที่ที่ พวกลูกจที่งที่จที่งมาก็ลากล”บฅาม ที่ส”ญญาไว้

เหลือแต่ที่พื่ฟ (-^1 ?ขิ) ก”บล่ามที่เบ็่นชาวไทยเหนือผ

หัวหนที่ต่างเท่านน หนึ่งนน

พื่ฟูนนเต็มใจจะไปก’บขที่พเจที่ให้ถึงก”งฅั๋งแต่อีกกน

ถที่จะให้ไปถึงท่าเรือเขาตองการจะให้ขนค่าจที่งให้อีก

เดินทางต่อไปนึ่ยที่เบนบญหาที่จะตองหัตสินอยู่ ให้ถึงก*งหังเร็วเขที่ ริมทะเลในประเทศหังเติ*ย

การ

ถที่จะย่นเวลาเ

จะหัองขํ้นรถไฟฝร”งเกสจากที่นึ่ลงไปทางใต้ถ แลวยอนขนทางเหนือโคยทางรถไฟเหมือน

หันไปย่งจ”งหว'ดนานนิงฟูโคยทางถนนสงย‘เ^นึ่งพื่พรมแตนมณฑลกวาง ซี และจากที่นนหัองเดินทางบกอีกสองสามวนถึงแม่นำ

ทางนึ่นายฟรื

'แมน มิสชนรีในพวกเราได้เคยเดินมาแลวก่อนหน‘าข่าพเฑ้ไม่

แต่ความมุ่งหมายอไเสำค"ญของขำพเจ่านนอยากจะกนหาถ็นใหม่

ชาดิไทยฅงภูมิสำเนาอยู่และเบ็นถี่นที่ไม่เคยไปให้มากท

เพราะฉะนไเ จึงต่องผนคำแนะนำของเพื่อนข"าพเจ‘าที่จ"งหว"ด้เ หว’งว่าจะเดินทางบกต่อไปให้ถึงจ"งหวดเปอเสอ (?0 ร0)

หรือ

ลิง

“ก"งฅใ1

( ?31-86

มิถนายน ๒0

)

แลวโทรเลขถึงแหม่มดอดดฺว่า

9 9

ข"าพเจ"าเสียใจที่ไม่ได้ทราบข่าวภรรยาของข"าพเจ"าที่นี่ กร'งท้ข"าพเจ"ามาถึงจ’งหว"คเสเม"านน ภรรยาซึ่งอย่ในประเทศไทย ดอน ใต้

แต

ข"าพเจ่าได้โทรเลขถึงน

ให้ส่งไปอีกทอดหน

ดอดดฺที่ลำปาง ซึ่งกว่าโทรเลขจะฅอบถึง เรากงออกจากจ่งหว’ดเ แล"ว

มีความเสียใจอีกอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถจะไปย’งยนน

มิตรสหายที่เบ็'นมิสช’นรีค"วยก’นได้

เพราะจะต"องเสียเวลาอย

๕ ว"นซึ่งจะต"องช"าเกินไปไม่ท'นพ"นฤดฝน ทำให้เดินทางลำบาก เหฅุที่จะช่วยข"าพเจ่าได้ไปโดยทางบกต่อไปนน

ก็เพ

ต่างประเทศที่อยู่ในจ’งหว'ดต่าง ‘สุ เออเพื่อช่วยเหลือข"าพเจ"ามาก

ท*งั้การแลกเงินใช้ก็ได้อาศ’ยกวามเอั้อเพื่อของห"างฝร”งเศสที่ ทำการเดินเรือ ณ ทีนน

ออกต่วให้ไปขนเอาเงินที่ห"างซึ่งต*งอย

ในบริษ’ทเดียวก’นได้ ถึงแม้ข"าพเจ"าจะไม่ได้โดยสารในเรือขอ ข’าพเจ่าขอบคุณเขาเบ็๋นอนมาก

๕๙ ข์าพเพ้เดินทางคามสบายเบีนเวลา ๕ วนได้ทางราว ๕๐ ไมล์ถึงทุ่ง ใหญ่แห่งหนึ่งชื่อว่าไขหว

ทุ่งนึ่มีลกษณะเบ็'นที่

(1^31 11เ15)

ยาวไปประกอบควยลำนาเล็ก "I เบ็๋นอนมากคูบริบูรณ์คีทุกแห่งคามทา ที่เดินมานนได้พบคนไทยบ“าง

เพราะฉะนน จึงไม่คองสงสโ)ว่าจะไม่มี

หมู่บโนไทยเบ็๋นอนมากค*งอย่ไม่ห่างจากทางหลวงน”ก ไขหำนึ่มีหมู่บโนไทยมาก

แค่เบ็นการยากซึ่งเมื่อได้พุดกำ)เขาแลวจะ

ถอยคำให้รู้เรื่องราวกนได้

แม้จะได้จดถอยคำค่าง

สำหรบสืบคนหรือเทียบเกียงไว้แลำ ไทยทางลุ่มแม่นาแดงและแม่นาคำ

เมื่อมาในทุ่งราบ

ในเวลาอนนอย

ดำยภาษาของพวกนึ่ค่างกำภาษา

ไทยพวกนึ่มีภาษาจีนเจือปนอยุ่มาก

ท*งการนำถือ การใช้หนำสือก็เบนไปขโงจีน การที่เบนไปได้ถึงเช่นนึ่ก็ อาจเบ็นเฉพาะหมู่บโนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้เมือง

กร*งแรกขโพเจโได้จดพวก

ไทยทุ่งไขหำนึ่ลงในสมุดรายงานในแผนกสงสำคือสงสโ)ว่ามิสช่นรืที่ไป พวกจีนจะมาพบพวกไทยทุ่งไขหำนึ่แลำหรือยำ

แค่เขาเบ็๋นคนไทยและ

ผ้หญิงไทยพวกนั้ยำนุ่งผโถุงอนเบึนธรรมเนียมของไทยไม่ใช่กางเกงจีน ถนนมีจากไขหำนึ่ไปจนถึงจำหวดกวางนานฟูเบนถนนดีและเรียบรอย ระยะทาง ๗๕ ไมล์ใช้เวลา ๕ วน ที่จริงถนนคงแค่จำหวดเม่งสูถึงจำหวด กวางนานฟู ซึ่งมีระยะทาง ©๓๐ ไมล เบนถนนดีคลอด

ขโพเจโค*งใจ

จะสืบหากนไทยในขณะที่เดินทางนนเสมอแค่บโนไทยนนมกจะต*งอยู่ห่าง จากทางหลวงเสียโดยมาก

เมื่อพวกเราได้เขโมาในเขฅจำหวำ กวาง

นานฟเมื่อวนพุธที่ ๒0 พฤษภาคมนนฝนกำลำฅก

เราก็ได้มาพบคน

ไทยอีก ซึ่งขโพเจโได้สนทนากำเขาได้คล่องขนกว่ากำพวกไทยที่ได้พบ

\)0

ในคราวก่อน พอถึงเวลาเที่ยงก็ได้เขามาอยู่ในระหว่างชนไ เฃาบอกว่าในจ่งหวดนมีคนไทยอย่างนอยราว ๖ ใน ๑0

จีนไม่ได้

พวกไทยเหล่านว่าปายี่แฅ่เรียกว่าถเยน (Xขิป60) ต่างกไ]ไทยในทุ่งไขหำที่ผ่านมาแลว



คือไม่ไหว้เจาที่

จะมีน’อยคนที่ไม่ร้หนำสือจีนก็คื เขาบอกชๆพเจำว่า เขาต’องสำเ และผีเมืองทกบี่ รน,

ภาษาไทยกวางนานพู่เรียกว่าโสยเสือ โข

บ!01 1ฬ008) สรำงเบ็๋นรูปเคารพไว้ในศาลจำว

เครื่องสำเวยมืหมู

เบดไก่แล ะอาหารอื่น‘ๆ อีก เขายำกล่าวอีกว่า ลึกจากทางหลวงเขำไป

มาก พวกผู้หญิงไทยและแม้แต่พวกผู้ชายก็ไม่ได้ใช้ภาษาจีนพค ขณะที่ขำพเจำกำลำสืบสวนถอยกำและภาษาของไทยพวกอื่น‘ภ นน

ให้รู้สึกว่าการออกเสียงสูงฅํ่า และถ’อยกำสำนวนที่พูคออกจ

เชียงใหม่ยี่งกว่าไทยลอไทยเหนือและไทยอื่น "I ทางผ่ายเหน ประเทศไทย

เขาบอกขำพเจำว่า บรรพบุรุษของพวกเขาได้อพย

มาจากจำหว'ดนานจิน (1ร!3ถ 0เ11ท) เมื่อประมาณ ๘ หรือ ๙ ชวอายคน มาแลำ แม้ในเวลานยำมื เชัอสายอยู่ที่นานจินเบนอนมาก

มิสชนรีประจำชนชาติไทยจึงควรจะไปสืบกนที่จีำหวคนานจิ

ที่ภายในเขตแขวงของกวางนานพู่น ขำพเจำมีเวลาพกและเที่

ดพอสมควร จำหวดนฅํ้งอยู่ในทุ่งราบยืดยาวมาก สูงจากระ ๔,00๐ พู่ฅ

มีตลาดและขำพเจำได้ไปเที่ยวซอสี่งของต่าง "I บำ

'รงขายอาหารอีกว่าโรงขายอาหารอื่น ๆ

ในประเทคจีนที่ได้เคย

V)๑

แลว

สี่งที่ทำให้ขิาพเจ้าพอใจมากก็กือ

ข่าพเจำไค้มาอยู่ในระหว่าง

ชนชาติไทยซึงมีโอกาสสนทนากนร้เรื่องง่าย ขำพเจำมีมีคพบ ๒

เล่ม

เล่มหนึ่งขำพเจำไค้ให้เบนรางว'ลแก่

ชายหนุ่มร่างงามกนหนึ่งในการที่ขำพเจำขอให้เขาบอกถอยคำพั้น ที่ฅรงกไ]คำทางเหนือประเทศไทยให้ขำพเจำ๒๕0 คำ ครนแลำขำพเจำ ได้มาเปรียบเท้ยบกไ]กำไทยพวกที่มีหนำลือใช้ ทีเดียวที่ฅ่างกไ!

ในแปดคำจะต่างกนกำหนึ่ง

จึงทราบว่ามีนไย วิธีนึ่เบนการทคลอง

อย่างดีในการเทียบภาษาของซนชาติไทยพวกที่ไม่มีหนำลือใช้ ให้ขำพเจำเชื่อแน่ขั้นอีก

และไม่ต่องอาศโ]ล่ามดำย

ขำพเจำไค้ทคลองโคยวิธีนึ่อย่างละเอียดแลำ

และ

กำหากแต่ก

ขำพเจำก็คงสามารถร

สำนวนของชนชาติไทยทางลุ่มแม่นาคำและแม่น\เดงไค้ดีกว่าที่จะพคกไ] เขาโดยนืกถไยคำที่ไค้จดไว้จากชนท*งสองถื่นนน

ในที่สุดชำพเจำ

พยายามจดถไยคำที่ชายหนุ่มผ้นึ่บอกให้ข่าพเจำอีก ๒๕๐ คำ

และแ

กไเมีคพไซึ่งขำพเจำมีอย่อีกเล่มหนึ่ง รุ่งเช้า

ขำพเจำไค้ออกไปซอของฅามรำนมีชายแก่ผู้หนึ่งแต่งฅำ

คลำยนักศึกษาจีนเดินฅรงมาหาช้าพเจ้า อย่างเคียวกบกนจีน

ไทยทุกคนในถี่นนึ่แต่งกาย

แต่แต่งเบนกุลีเสียมากกว่าที่จะแต่งอย่าง

ช้าพเจำเขำใจว่าคนไทยในถี่นนึ่โกยมากกงไม่เกยเบนนักศึก เพราะฉะนน การแต่งกายจึงไม่เขำแบบแผนอย่างนักศึกษา ผ้นึ่มีอายุมาก สวมหมวก

แต่ชาย

แต่งนัวอย่างจีนไว้หนวดและเคราที่คางก็ยาวแหลมล

สวมแว่นฅาโฅ

สวมเสอยาวสีพา

นุ่งกางเกงถุงเทำฃาว

ใช้รองเท็าและถือไม้เท๎าค็วย

เดินมาหาขาพเจาอย่างอ่อนน

ผ่าเผยอย่างชาวฅะวํนออก โคยเหตุว่าชาวชนในถืนนั้เบ็๋นไทย

จืงเรียกเขาโดยสุภาพว่า ‘พ่อเณ่า’ ดูเขารู้สึกยินดีมาก แลำข*าพเจ เขาว่า เบนไทยไม่ใช่หรือ เขาฅอบร*บอย่างสุภาพและแน่นแพ้’น พลางขอโทษ

ข*าพเพ้าก็ช้มือที่ฅาข“าพเจาแลำก็ถามว่า นี่ท่านเร

‘ฅา’ ใช่ไหม

แลำชั้ที่จมกของข'าพเจ*าถามว่า เรียกนี่ว่า ‘ดํ้ง’ ใช

แล*วชที่ปากข*าพเจ้าพุดว่าเรียกนี่ว่า ‘สบ หรือ ปาก’ ใช่ไห

‘คาง’ ใช่ไหม นี่เรียกว่า ‘คอ’ ใช่ไหม นี่เรียกว่า ‘อก’ ใช

ขณะนน,ท่านผู้เฒ่านี่ครู้สึกพิศวงและฅื่นเฅ*น แลวห*น่ไปทาง มุงตุกนอยู่แน่น

และร*องขํ้นว่า ‘เขารู้จกคำว่าตา ค"ง ปาก

และอกคำย’ ควยความยินดีที่พบคนขาวพูคภาษาของเขาไค้ เมื่อขำพเจำเตรียมการจะออกเดินทางในเชำวนนน ผู้ไปก*บขำพเจ้าสกสองถึงสี่คนคำเคยมา

แทนที่จะมี

ขำราชการจีนในจำหวคนน

ไค้เอํ้อเพ้อให้ทหารไปส่งขำพเจำ ๒0 กน ในจำนวนนั้เบึ คนซึ่งขี่มำไป

ในการตอบคำถามของขำพเจ้าที่ว่าทำไม

กนนก เขาว่า ทางที่จะไปนี่ไม่มีใครคอยทำอนฅรายคอก

แต่

ก็เพื่อเบืนเกียรติยศแก่คนขาวผู้ไม่พุคภาษาจีนแต่พ

ศุกร์ที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๓ หมู่เกวียนของขำพเจำก็อ เดินทางจากจำหวดกวางนานฟูไป

ในวะหว่างที่เดินทางไป

ขำ

ไค้สนทนากบนายทหารที่ขี่มำไปนนตุจคุ้นเคยกนมานาน ขำพเจำไ

ถึงระยะทางฅณเต่บำนของเขาลงไปทางใฅ้ที่สุคที่มีชนชาติไทยอยู

ก็เพื่งได้ยินเรื่องราวชนชาติไทยจากชาพเจิาในบคนน และเล่าเรื่องระยะ ทางที่จะไปอเมริกาควย ชที่พเจที่ถามเขาว่า จะไปอเมริกากับขที่พเจาไหม เขาหำเราะและคอบว่า ไม่ร้จำและไม่สามารถจะไปได้นอกจากขที่พเจที่

จะออกค่าเดินทางให้ กนหนึ่งในพวกนนพูคว่า กัาอยู่ควยกนสกเดือ หนึ่งคงพคภาษาเขที่ใจกันได้คีทีเคียว

นอกจากนึ่เขาได้ถามเรื

อีก แต่มีกำพคของเขาซึ่งติคใจขที่พเจที่อย่างลึกซิง คือเขาถามว่าขที่พเจที่ จะอย่กักกี่บี่จึงกล’บ ไม่รู้จ ะฅอบอย่างไร

กำถามนึ่ทำให้ขที่พเจที่กัดอนคำยกวามปลาบปล

ขที่พเจที่ขอปฏิญญาคำเองว่ามีกวามรกดินแคนนึ่

มากม่กวามนบถือชาวประเทศนึ่มาก

จิตใจของขที่พเจที่อยู่กับชนชาว

ไทยผู้กักดีเหล่านึ่ซึ่งเคยพ่ายแพ้แก่จีน เมื่อ พ.ศ. ©๕๙๖ ณกวางนานฟ

และ ณ เมืองฅาลิฟูได้ถูกพวกมองโคลยกกัพมายํ่ายี เมื่อ พ.ศ. ๑๗๗๗ จริงอย่

ชนชาติไทยเหล่านึ่เบนผ่ที่ยแพ้

แท้จริงไม่ (^๙6310๘ 1)111 001 0011สุ1101'6(1)

แต่พวกศัตรูก็หาได้ช

เพราะชนชาติไทยยงคงรำ

เชอชาติและภาษาของตนอยู่อย่างแน่นแพ้น ในตอนบ่ายพวกทหารจีนที่ไปคำยขที่พเจที่นนเหลืออยู่ ๑๐ คน

เท่านน พอรุ่งขนอีกว่นหนึ่งจำนวนที่ไปคำยกลบเหลือน้อยล

นกืนกันนนพวกเราได้แรมคืนในหมู่บานกนไทยหม่หนึ่ง ซึ่งอย่ในทองท ตอนที่สดของพวกถเยน

แต่จีนเรียกว่าผู้เนิง (?’นิ-0008) หรือ ผ

(ก’ธ-ถนิถธึ) หรือผู้ลูง (ก’ธ-!ธถ8)

ขที่พเจาเคยได้ยินจีนเรียกชนชาติไทย

พวกนึ่เบ็'น ๓ ชื่อกังน พยางคแรกของชือทงสามคือ ผู้ (ก’ธ) นนแทน กำว่าไทย แต่กำว่า ‘ไทยลูง’ หรือ ‘ไทยหลวง’

นนขที่พเจที่ติดว่าเบน

^0^

ชื่อที่แท้ของพวกน

หรือมิฉะนนบางทีที่จีนเรียกว่าสูงหรือห

เบนชื่อของชนพวกนที่อย่เหนือถด์ขนไปอีก แต่กร'งโบราณนน

เนื่องเบ็นเชอสายก!]พวกที่มาจากมณฑลอนฮุย (-^1111111) และเช (01113118-๒!) ในถี่นใหม่ใฅ้ลงมา

ชนชาติไทยที่ที่งภูมิลำเนาอยู่ในท้องที่ฅอนฅะวนออก ท้งหว”คกวางนานฟูนไ].

เรียกตำเขาเองว่าไทยโลง (131 บษิก8) หรือ

ไทยหลวงซึ่งหมายความว่าไทยใหญ่หรือเรียกอีกอย่างหนื {^;011 V31)

ซึ่งเบ็่นชื่อเฉพาะของคนไทยพวกหนึ่ง

เขาจะไม่ไค้ขนาดเท่าก”บไทยพวกอื่น ‘ๆ สมชื่อก็ดี

ถึงแม้รูปร่

แต่ว่าชื่อข

นื่ดแสดงว่าเบ็๋นสง่าใหญ่โตกว่าขนาดรูปร่างเขามาก แต่พวกจี นื่เข็าไว้ในพวกลูงเยน {บธ118นํ60) คือไทยหลวงนนเอง

พวกเราไค้เดินทางต่อมาอีก ๔ วนก็ยำไม่พไเถึนที่ชนช หลวงต"งภูมิลำเนาอยู่ นน

ถอยกำของไทยพวกนื่ที่ข่าพเจำพยายามจคไ

เมื่อเทียบส่วนก”บคำของพวกไทยที่ขำพเจำไม่ค้นเกยเช่นเคี

เช่นภาษาไทยยำยแลวรู้สึกว่ามีผิดก”นเล็กนอยราวหนึ่งในเจ็ด

ไท

แถบนีซึงนบเขาในชาดอายลาวโบราณน”นมลำษณะเช่นเดยวก”บพวก ไทยอื่นๆ

คือเบนคนมีนิส”ยน่ารกและกะปร็กะเปร่า

แต่น่าเสี

อย่างหนึง คือกวามคิดของเขายงไม่ใหญ่สมซึอเท่านไเ กวรสำเกตว่า

ชนชาติอำยลาวท"งหมดที่ขำพ เจำไค้พ

มณฑลยูนนานตลอดไปจนเขดกวางซีที่จำหว"ดปากอำย

หรือ โพงาย

๖๕ เรียกตวเขาเองว่าไทยทงนน มณฑลยูนนาน

เร็มตํ้งแฅ่คินแคนทางฅะวนตกเฉียงใต้ใน

มีชนชาติไทยที่มีหน”งสือของตำเอง คือ ไทยลอ และ

ไทยเหนือ ชาติไทยที่ไม่มีหนังสือใช้และไม่ได้ถือพุทธศาสนา ก็คือไท ลาย ไทยนา ไทยไขหำ ไทยลูง ไทยยำย และไทยหลวง พวกเหล่านื ใช้ชื่อชาติเบ็นผู้ชนะ คือ ไทย (7110 71-60)

คจแสดงว่าเคยมีความ

เกี่ยวขำงกบอาณาขิกรอำยลาวโบราณอนทรงอำนาจราชศำคื

มีตาลิฟู

เบนราชธานื ท่านคงเห็นได้ว่าขำพเจำไม่ได้พบชนชาติที่ใช้นามว่าไทย ในมณฑลกวางซีและกวางตุ้งเลย

ซึ่งบางทีจะดำยมีความเกี่ยวขำงนับ

เมืองฅาลิฟูนัอยก็เบ็นได้

ขำพเจำมาถึงปากอำยซึ่งเบ็่นจำหนัคอยู่ที่แดนต่อแดน ระห มณฑลยนนานกบมณฑลกวางซีเมื่อวนเสาร์ที่ ๔ มิถุนายน พ.ค. ๒๔๕๓ และพำอย่ที่นนจนวนอาทิฅย์ที่ ๕ โดยทางเรือ

เหตุฉะนนการเดินทางโดยทางบกก็สั้นสดลงเพียงนื เบ็น

เวลา ๔ เดือนนับ ๒๗ วน ประเทศไทย

และจากที่นั้จะไปยำจำหวำม่ายแส

นับแต่เวลาที่ออกจากจำหนัดเชียงรายใน

ในระยะเวลานืตำงเดินทางอยู่ในมณฑลยนนาน ๒ เดือน

นับ ๑0 วน นับต*งแต่เขำเขฅของมณฑลยูนนานทางฅะวนออกเฉียงใต้ จน หมดเขตของ มณฑล ยูนนาน ทางตะวนออกเฉียงเหนือ

ระยะทางที่

เดินมาไม่นอยกว่าพนไมล์ คนใช้ที่ติดตามแต่เดิมก็เหลืออยู่เพียงสองคน เท่านน คือพี่ฟูนับคนทำนับขำว จำหวดปากอำยแลว

ส่วนมำและเกวียนได้ขายหมดเมื่อถึ

คูเหมือนการที่คนอเมริกนคนเคียวออกเที่ยวไปในหมู่ชนช น”บถืออย่างไทยนํ้นไ]ว่าออกชุะกลาหาญอย่

เช่นในแถบนีซึงมีประวต

การณมาแฅ่คีกคำบรรพ์ เก่าแก่กว่าชาติจีนหรือเชิบรูเสียอีก แ เราก็ยงัอยากเที่ยวไปให้จบแดน

และมีใช่กวามอยากรู้อยากเห

เคียว แต่เพราะเบ็นหนไที่ของเราคํวย คำยถือเสมือนเบนพี่นไเงก'น ท'วหนไ.

ในมณฑลกวางชี

ขิงหวดปากอ้ายซึ่งข่าพเจุาพํกเมื่อวนที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ นน

เบ็๋นที่ประชุมการอ้าขายแห่งหนึ่ง

ฅงอยู่สองพ่ากแม่นาสิเ

ฅอนบน เพราะฉะนนส่วนหนึ่งขิงอยู่ในมณฑลยูนนาน และอีกส่วนหนึ อยู่ในมณฑลกวางซี

เจที่ของรที่นขายอาหารที่ขที่พเจที่พ'กอย่ก”บภรรยา

ของเขาเบ็่นชาติกนใหญ่หรือไทยหลวง

เช่นเดียวก'บชาวขิงหวคนึ่

โดยมาก เรือนของขุนนางที่มียศสูงในจ่งหว”คนึ่ไค้ก่อสรที่งอย่าง และท^งท่านขุนนางนไเพูดภาษาไทยก'บขที่พเขิที่อ้วยกิจเล็กนอยไค้บที่ง การที่พวกเราจะไปย่งจที่หว'ดปายแสซึ่งมีเรือแพมากมายนน

จะ

อ้องไปฅามแม่นาซึ่งมีแก่งหลายแห่ง ระยะทางราวว”นกรึ่ง เพราะฉะนน จึงอ้องการเรือส”กิลำหนึ่ง

ล่ามของขที่พเจที่ที่เบ็่นชาวไทยเหนือไปหา

เจที่พน'กิงานผู้ปกครองท'องที่

ไค้พูดก'น.อยู่นานกว่าจะรู้เ

ในที่สุดก็ไค้เรือที่จะไปย่งจที่หวดปายแส

เพราะฅว่ขที่พเจที่และพี่ฟรู

ภาษาจีนนที่)ยไม่พอที่ขิะใช้เบนประโยชน์ไค้ แม้ขที่พเจที่จะจำภาษาจ บที่ง เมื่อผ่านในแดนจีนเมื่อสองสามเดือนก่อนนก็ดี ก็ไม่พอจะใช้เบ็๋น ประโยชน์ไค้เหมือนอ้น

และท"งกวามมุ่งหมายของขที่พเจที่ก็เฉพาะแอ้

จะทำการสืบสวนและอ้กอ้ออ้บชนชากิไหย เพราะฉะนนจึงมุ่งหาแอ้ทาง ที่จะเขที่ใจภาษาไทยเท่านน

แอ้ล่ามของขาพเจาจะกลไ]บที่นของเขา

ไว?^

จากจํงหวคปากอ็ายน

ฅวยหมดส้ญญาจ'างเพียงน

จ่งหว้คเม่งสูก*บกนใช้ที่ข"าพเห้จำงมานน

เขาจะยอนกลบไปย'ง

ระยะทางราว ๒0 วน

เมือเวลาเย็นวนอาทิตย์ขณะย”งอย่ที่ปากอ"ายนน ล่ามได้ลากล*บมาแลำ

ใจไว้ว่าเมือ

พี่ฟูก*บช"าพเจาจะไปพดก*บเจ"าพน*กงานจีนเอง

สาหร*บฃอให้จ"างกนนำทางเรือ กนใช้ที่เบ็๋นกนไทย เพี่อจะได้พูคจาฅิฅต ก*บเจ"าพน”กงานจีนในระหว่างเดินทางนนได้สะควก

เรื่องนออกจะเบน

การเสี่ยงอยู่มากที่จะไปขอความช่วยเหลือจากกนที่ไม่เข"าใ ซึ่งบางทีอาจผิดกวามประสงค์ไปก็ได้ เช่นนํ้ก็เบ็๋นการขอร"องตามธรรมเนียม

แต่ข"าพเจ"าร้สึกว่า

การที่ทำ

เหฅุฉะนนถ"าได้ประพฤติตาม

ธรรมเนียมแล"วก็พอหว่งจะเอาฅวรอดได้ เข"าว*นที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๓ จ*คแจงขนของลงเรือ

พวกเราตื่นแต่เช"ามืด

กนเรือก็แจวขนไปตามแม่นาสิเกียง

และ

เรือที

ข'าพเจ"าไปนีฅ่างก*บเรือที่เกยใช้เดินทางจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่ ร้สึกว่าเหมือนเรือเดินตามลำแม่นาเจ"าพระยาตอนเหนือ ๆ เพราะต"อง ข"ามแก่งหลายแก่งเหมือนก*น

มาถึงปายแสเมื่อเวลา ๙ ก.ท.

ว”นํที่ ๗

มิถุนายนแล"วข"าพเจ"าได้ให้คนใช้ที่จ"างมาใหม่นนพาไปหาข"าราชการ ดูเหมือนจะเบ็่นจีน อ*ธยาศ”ยดิ

ตามตำแหน่งเรียกว่าสิง (1’108) เขารบรองค

การพูดจาก*นก*บเขา ใช้ภาษาจีน ที่เบ็๋นภาษาราชการก็พ

รู้เรื่องก่นได้เพราะขำราชการในที่นนกนหนึ่งรู้ภาษาไทยเบ็่นล่ามแปลใ ขนนางจีนนนเขำใจกวามหมายได้บำง

เขายกนาชามาให้ขำพเจำดื่ม

และกำนบตามธรรมเนียม เมื่อพูดกิจธุระที่ขำพเจำประสงค์ แล

'อลิ่

กลากลบ

เขาVๆามส่งขาพเจาออกนอกบ^านและฤมศีรษะลงกำนํบ

ขาพเจาไค้กระทำฅอบและขอบใจเขามาก

เขาไค้ให้ขำราชการคนหนึง

พาขาพเจาไปยำโรงขายอาหารที่เษ็๋นกนไทย สำหรบจะโคยสารต่อไปยำจำหวำเนานนิงฟ ไค้กำหนดไว้

ซึง

และจํดหาเรือใหญ่ให้ ในเวลาเชำวนรุ่งขนซึง

แเละให้คนใช้ขนสมภาระต่าง "1 จากเรือเล็กไปยำ

เรือใหญ่ในว'นน เวลาเชำ ๗ ก.ท. วโ4รุ่งขนจึงให้ไปพรำ!มกไเที่ท่าเรือ ในฅอนกลางวนขำพเจำไค้จ'ดการขายเตียงพไ]สำหรบนอนเวลาเดินทาง และนาฬิกาปลุกเสีย

และไค้ไปซอสื่งของต่าง ‘ลุ ที่ตลาดโดยไม่ตองใช

ล่ามเลย ขำพเจำไม่ได้ยินชาวเมืองเรียกจำหวดนว่าปายแส หรือ เปอเสอ ซึ่งเบ็่นสำเนียงจึนเลย

แต่เรียกเบ็่นสำเนียงไทยว่าปากสก

จำหว”ดนีภมิ^านเบ็'นท่าเรือ อย่างแบบไทยไปมาค”บก"ง

โดยมีเรือยนตร์โดยสารและเรือแจวใหญ

และมีแม่นาสองสายมาบรรจบกนดวย

ซึ่งน”บว่าเบ็่นที่สำค”ญแห่งหนึ่ง

แต่จีนหาได้คิดหรือทำให้เบ็๋นที่ชุมนุม

ชนสำหร”บประกอบการอาชีพให้มากมายขนไม่ เท่าที่ขำพเจำได้พิจารณ ควยตนเองก็เขำใจว่า

จำหว”คนึ่มีล”กษณะเบ็๋นหำเมืองชองชนชาติอำย

ลาวเมืองหนึ่ง จึงทำให้รู้สึกว่าเบนเหมือนบำนของขำพเจำเอง นพธที่ ๘ มิถุนายน เวลาเชำ

0^

ที่กำหนดไว้พรอมกบคนเรือและคนใช้ดวย

เจำพนักงานจีนไค้มาก่อนเวล ชาพเจากบพิฟูจึงไค้ไปนับ

เขายำท่าเรือ ซึ่งพรอมที่จะออกอยู่แลำ เซำพนักงานด่านภาษีไค้ กระเท่าและหีบห่อเครื่องสมภาระตามธรร3งเนียม

และตรวจหนังสือ

เดินทางเสร็จแลวเขาก็อนุญาตให้ลง!■รือแาม'ภารต่ภไบ่ เรือนึ่มีหองกวำง

ฟ่0

แค่เสบียงอาหารค่อนข์างอํฅคคสำหรํบขืาพเจุา เพราะอาหารทีเข ปนไเไม่ใช่สำหรไ]ผู้โคยสารที่เบึ๋นชาวค่างประเทศ

แค่ที

ไม่เคยนึกว่า^า!นะของเรือจะสมควรกไ]ข’าพเจไหรือขไพเจไจะสม ควรก"บ^านะของเรือหรือไม่

แค่ท่านขนนางผู้มีค่าแหน่งเบนถิงนไเไ

บอกแก่ขาพเจไว่าไม่ค่องให้ค่าจไงแก่คนเรือ บรรทุกสินคไฅอนหนึ่ง

เรือนึเบ็๋นเรือมี

และสำหรไ]เราซึ่งเบี่นผู้โดยสาร

ในเวลานึ่มีเรือยนฑร์เดินในแม่นานึ่สำหร'บส่งคนโดยส ถึงนานนิงฟู

ซึ่งย่นระยะทางให้ถึงไค้ในสองสามว"น

ไปเรือแจวอย่างไทยมากกว่า

แค่ขไพ

เพื่อจะไค้มีโอกาสแวะกนหาหมู่ชนช

ไทยดำย เมื่อเดินเรือฅามลำแม่นาไปย่งนานนิงฟูนน ลำบากค่างทุคงจะ ไม่มีอีก ว่า

ขไพเจไนึกว่าความ

แค่ในเวลาเย็นว"นนนขไพเจไรู้สึกดื่นใจขน

นื่เจไหนไที่จีนที่ปากสกไม่ไค้บอกแก่คนเรือหรือคนหนึ่งคนใดดอก

หรือว่าเราจะไปถึงไหน เพราะฉะนน เมื่อเรือชองขไพเจไมาถึงเฟาโจว

เบนเวลา ๕.๓0 ล.ท. คนเรือถามขไพเจไเบ็'นภาษาไทยว่า จะแวะขํ้

ผั้งหรือไม่ ขไพเจไดอบปฏิเสธ แลวก็ส่งบ"ฅรเบนหนังสือจีนฅำแดงแล

หนังสือเดินทางให้กนใช้ไปแทนขไพเจไ ไม่ชไลายลำษณ์อ"กษรที่ ส่งไปนนทำให้เจไหนไที่จีนสงส"ยจนมาหาขไพเจไถึงเรือ อย่างไร

แค่ก็ไม่ร้จะท

เพราะอยู่ในเรืออ"นคบแคบอึดอดจึงไม่สามารถจะร'บรองเข

ให้สมเกียรติยศไค้

เขากมศีรษะคำนับและทำมือเบ่นวง

ภาษาจีนซึ่งขไพเจไไม่เขไใจ

จึงสนศีรษะและชมือให้เขานง

๓)๑

เขาชีไปยงกองฒัภาระเดินทางแลิๅเไปบนบก แฅ่ข‘าพเจาไม่ขน เพราะ จะรีบไปนานนิงฟู ก”งฤง์ และอเมริกา

ในวนรุ่งขนเมื่อหยดเรือที่เมืองนนครู่หนึ่ง ขที่พเจ’าขนบกไป ทีฅลาดซึงกำล”งออก

ขำพเจำได้ยินชาวฅลาดพดเบ็นสำเนียงจีนทำนน

ซึงด่างกนก”บที่ปากอำย แด่เมื่อได้สำเกดหนำฅาและรูปร่างของชนที่ไป ในฅลาดนนคมืล”กษณะคลำยคนไทยมาก และไม่มีเกำบอกว่าเบ็๋นจีนเลย ผู้หญิงทำหมดเดินเทำเปล่า ขำพเจำคิดว่า บางทีเมื่อเขาอยู่บำนของเขา คงใช้ภาษาไทยซึ่งเบนภาษาของตำพดจาก”น,ในระหว่างพวกเขา

แต่

ขำพเจำไม่มืเวลาพอและไม่มีโอกาสที่จะไปหาถึงหมู่บำนเขาเพื่อพิสู ถอยคำภาษาไทยของคนที่อย่ในเขฅแขวงกวางซีซึ่งขำพเจำพยายามจด ได้นน

แสดงให้เห็นว่าด่างหรือเพื่ยนจากคำไทยที่เบ็นแบบกลาง

ขำพเจำได้จดไว้แด่ก่อน ชาติเคียวก่น

ขำ)นึ่ก็เบ็'นธรรมดาอย่างหนึ่ง

ซึ่งชนที่เบน

เมื่ออยู่ห่างไกลก”นภาษาก็ผิดเพื่ยนก”นไปได้

เหตุฉะ

จึงเบนการยากท้หของขำพเจำจะจำลกษณะคำและเนึ่อกวามที่ชาวเมือง นึ่พคกน เวนแด่จะได้มีโอกาสไปสนทนากบเขานานฯจนรู้เรื่องราวกน ได้เท่านน จ”นทร์ที' ๑๓ มิถุนายน มาถึงตำบลหนึ่งก่อนเที่ยง

แล้

ที่แจวเรือมานนก็แวะขนบกไปซอสี่งของด่าง ๆ เขาบอกว่าเมื่อรำประทานอาหารกลางวนแล้ว1ะออกเรือต่อไป แล้วพวกคนเรือกล้บขนบกที่งั้หมด

แด่ครนรำประทานอาหาร

ทำทีจะเอาเงินไปใช้หนึ่ก่าสี่

ที่ซคไว้ คใเใช้ของล้าพเจำก็ไม่นึกเฉลียวใจทีกนเรือขนไปเที่ย

0^เต)

กลบพูดว่าไม่ชำกงจะกฒัมา

จนกระทงเวลาเย็นแลว

คนใช้ค

ซึงขืนไปเที่ยวบนบกกล!เลงมาเรือบอกข่าวที่ทำให้ชำพเจ”าฅกใจมาก เขาไค้ทราบจากคนเรือคนหนึ่งบอกว่า เขาเสียหมดแลำ เบนใหญ่ในที่นน

พวกนนพากนหนีกลบบ”านข

การที่เขากล”าหนีไปเช่นนึ่ แด่คนใช้พูดกบข’าพเจ”าว่า

ที่ย'งเหลืออยุ่อีกกนหนึ่งมาให้ไค้

ก็เพราะไม่มีข’าร

เขาจะไปตามจบคนเ

ข”าพเจ”าไค้ไปก”บเขาและ

เรือนน ข”าพเจ”าช‘กหน”งสือเดินทางออกขู่ว่า ข”าราชการจีนได้มีคำสิงให้ ขำพเจำนำเสบียงอาหารไปยำจ่งหว'คโน”นโดยเร็ว

ถำคนเรือเหล่านึ

ไม่แจวเรือไปแลวจะต”องมีโทษภายหลำ ในเวลานนมีกนมายืนดูอขู่แน่น เขาก็ยอมตกลง

เขาร”องว่าเขาเบ็๋นคนมาใหม่

เรือเมื่อวานนึ่ซี่งเบนความจริง เรือเล็กเสียก่อน

เพ็งถูกบำคบให้ม

แด่เขาขอความกรุณา

เพื่อจะไปเ

เขาจึงถามคนที่ยืนอขู่ขำงพู ว่า

เขาขำมฟากไปเอาเรือเล็กที่จอดอยู่อีกผงหนึ่ง

ใครที่ม

ขำพเจำดิคเห็นว่

ตามดีกว่า เพื่อแสดงว่าเราก็เขำใจภาษาของคนใช้ คนเรือ และช นึ่ได้เหมือนกน

แลวเขาก็ลงเรือพร”อมก!คนที่ยืนอยู่ขำง พู สองคน

กนเรือควยขำมแม่นาไป คนทงสามก็เลยหนีไปเสียไม่เห็นกล!มา ขำพเจำไม่มืกนเรือเลยสกคนเคียว

ในเวลาฉุกเฉินเช่นนึ่ขำพเจำฅ

ทำยเองตามที่เคยเบ็๋นมาบำงเล็กน”อยครงอยู่ในประเทศไทยและให้ สองคนก!พื่ฟูเบนผู้แจวเรือก็ค่อยแล่นไปตามลำนาอย่างชำ พู

แด่เรือ

นนหนกมากกำลำของคนไม่พอกน ทงลมก็คอยต้านทานอยู่ดำย พอ ไค้ราวกรึ่งไมล์

คนใช้ก็อ่อนกำลำลงแจวไม่ขน

ขำพเจำถามว่

(ต)ต)

อยางไรค

คนใช้รบอาสาว่าจะขนบกไปหาคนแจุๅเรืฏให้ได้

ข่าพเจา

ถามว่าจะไปหาทีไหน เขาฅยิบว่า จะไปหาตามหม่บทีน เรื่องนดูจะเขที

ภาษิฅทีว่าหาเข็มในกองฟาง แต่จะทำอย่างไรได้ ถทีเราไม่พยายามก็ค ไม่รู้

เพราะฉะน*น ขทีพเจทีก'บคนใช้สองกนจึงได้พยายามแจวต่อไป

อย่างชา

จนมาถึงตำบลที'มีหมู่บทีนแห่งหนึ่ง

เรือคนเดียวแจวตรงมา ลงในเรือเล็กนนบทีง

ขทีพเจทีจึงว่าจทีงเขา

และถ่ายสิ'งของต่าง ฯ

แลำออกเรือต่อไปในเวลา ๓ ล.ท.

ตำบลหนึ่งชื่อว่าลูงอ*น เบุนเวลา ๕.๓๐ ล.ท. ขนนางจึนซึ่งเบ็นขทีราชการประจำตำบลนน ให้พ*กและจ*ดเรือสำหร*บที่จะไปย่งนานนิงฟู

เห็นเรือเล็กลำหนึ่

มาจนถึง

เขาได้พาข่าพเจทีไปหา ขำราชการจึนได้เอั๊อเพอ

และหาคนแจวเรือให้อีก

๔ คน รุ่งขั้นวนที่ ๑๔ มิถุนายน เวลาเชที ได้ตงตนออกเรือพรอมคำย คนแจวรวมเบน ๖ คน

เบีนเรือใหญ่และสบายมาก

หม่บทีนแห่งหนึ่ง

แลำมาหยุดพำที่

ซึ่งเบ็'นหมุ่บ่านไทยก่อนขทีงใหญ่มาก

ขทีพเจทีไม่มี

" . ,1, ท ี ่ 0 , ท ี ่ / . ^ ะ ท ี ่ เ กิจพิเศษและไม่มีใครชกนำให้ไปสนทนากบชนไนหมู่บทีนนน เบ็นแต่ ขทีพเจำคอยจ่บถำ)ยกำท้เขาพูดกนได้บาง

ในเวลานนขาพเจาเกิด

ความรู้สึกว่า จำเบ็'นตองมุ่งสำเกฅถอยกำรากกนไทยเหล่านึ่ที่พูดกนใน ระหว่างพวกเขาเอง

เพราะขทีพเจทีย่ำระลึกได้ถึงเมื่อขทีพเจทีอยู่ใน

เมืองไทย เมื่อพงถอยคำของชาวเชียงใหม่กบชาวลำพูนนนยำทำให้ฉงน และยุ่งได้

หรือเมื่อชทีพเจทีย่ำเรียน■กาบาลออยู่

มาจากเมองลอใหม ำ พท

กยงทาใหฉงนไดเชนเดยวกน

มาได้พงคนชา

บดน

0า)๔

ขาพเรำเข์าใจภาษาลอไค้คีเท่ากบภาษาชาวเชียงใหม่

แท่เมอ

มาได้ยินชนในถี่นนพดกนนนท่างจากภาษาของชนชาติทงสองนนม ชนในหมู่บ'านที่ข"าพเจ็าพำเมึ่อวนที่ ©๔ นน

ดูรูปร่าง

บอกว่าเบื่นคนไทย แท่บ'านเรือนของเขาเบ็๋นแบบอย่างจีน และตล ก็เบนแบบอย่างจีน

เรื่อง'แข'าพเว่าได้สํงเกฅโคยถี่ถ'วนทุกแห่ง

เครื่องแท่งกายของผู้ชายไทยในประเทศจีนนน เอาอย่างจีนเกื เว'นแท่ชาติลั้อที่อยู่ทางตะวนตกเฉียงใต้ลงไปมาก

อน

พวกท่าง ‘ๆ เหล่านึ่ สี่งที่จะเบนเครื่องสิงเกตภายนอกว่ นน

ก็คือเครื่องนุ่งห่มของผู้หญิง ผู้หญิงไทยลั้อ ไทยเห'แอ ไท

และไทย'เาา นุ่งผ'าถุงที่มีลายเบนทาง ทุ ทุกพวก ด'งนนหญิงไท แห่งตลอดจนดินแดนผืายใต้ในพม่า ต*งเกี๋ย

ตอนเห'แอประเ

ก็ใช้ผ'าถุงท^งนน แท่ลายของผ'าถุงน*นม*กท่างกนเบ็นแห่ง ทุ ไป ผู

ไทยเห'แอใช้ผ'าถุงมีลายเบ็่นทาง ทุ ลงไปตามตำ แท่หญิงไทยพวกอื

โดยมากใช้ผ'าถุงเบ็นลายขวางตำ ผาถุงที่หญิงไทยเหล่านึ่ใ

ท่าง ทุ จนกระท*งชาติไทยที่อยู่ทางดินแคนลุ่มแม่นาดำและแม่ สนเดินเท่อ ซึ่งไม่น่าจะสนถึงเ ยงนน ส่วนเสํ้อไม่ใคร่จะใช้ก*น 'ที

มิฉะนนเขากงคิดว่าควรเก็บไว้ในตู้เสียดีกว่า

และท*งไม่ได้ส่วน

กายดำย และการใช้เสอนนดูเบนไปตามอากาศร'อนหนาวมากกว่า เช ดินแคนผายใต้ลงมาที่มีอากาศค่อนขำงร'อนนน

นอกจากนุ่งผ

มกใช้แท่ผำท่อนยาวห่มแทนสวมเสั้อเมื่อเวลาไปในงานรื่นเริงที่ แท่งตำ

แท่ว่าเมื่อเวลาจะออกไปทำงานหนกกลางแจำ

ตามปกติเขา

0^(3เ

มกเช้เสั๊อคบสีกราม แฅ่เดยวนเห็นใช้เสอเบ็นผ็าสีขาวก^บำง บางทีก เบนเสอกบ บางทีก็เบนเสํ้อหลวม ออกจะใช้ก"นหนาฅาขึน บางทีกมี

ผาห่มท"บ บางทีก็ไม่มี ในแถบที่มีอากาศก่อนข’างหนาว เช่นในแกวน เชียงฅุงและสิบสองพ"นนา และเหนือ‘จ ขั้นไปอีก ม"กใช้เสอก"บก"นท'วไป และฅามแถบหมู่บ"านของชนชาดไทยที่ไม่มีหน"งสือในแกวนเชียงตุงตาม

ทีข"าพเจ"าไค้พบบ่อย‘ตุ ผ"าถุงที่ผู้หญิงนุ่งแทนที่จะมีลายเบนทาง‘ต กล"บ่ใช้สีกรามแก'

และบางท้ก็นุ่งเบ็่นเตี่ยวเหนือเข่าขั้นมา

กางเกงในสีกรามยื่นออกมาค็วย ในรายงานของเขาว่า

นายเบ๊รฺน กงสลอ"งกฤษได้อธิบายไว

กนไทยเหล่านั้มีกวามเดือดร"อนมากในการที่เจ"า

หน"าที่จีนประกาศบ"งก"บ่ให้ใช้เกรื่องแต่งดำอย่างจีน เขายำได้พู แต่งกายของหญิงไทยในนานนิงฟูว่าใช้เสอผำสีดำคลา

และใช้เครื่อง

ประด'บ่กายทำดวยเงิน และเดินเทำเปล่า กวามเบ็๋นอยู่ของชนชาติไทย ที'ไม่มีหนำลือในประเทศจีนทุกพวกย่อมมีคำนจริง

ผู้หญิงไทยทุกพวก

ไว้ผมยาว แต่หญิงในประเทศไทยเท่านนไว้ผมส*น หญิงไทยในแคนจีน ไว้ผมยาวและหวีไปจากขำงหนำมุ่นเบ็นมวยไว้ขำงหลำคลำยหญิงไทย ทางเมืองเหนือ

บางพวกมุ่นเบ็๋นมวยไว้กลางศีรษะ

มวยลามาขำงหนำ

ไม่ใชัถุ งเทำรองเทำ ไม่กินหมาก

ที'ทำให้พ้นเปลี่ยนลืไป

บางพวกก็มุ่นเอา

หรือไม่กินของ

เมื่อพูดท'วไปแลำหญิงไทยในแคนจีนล

แข็งแรงแต่เทอะทะ ไม่ชวนให้น่าดเหมือนหญิงสาวชาวยุโรป

แต่เขา

ก็ร้จ่กประคบกายให้สวยงามเหมือนกน เช่นใส่แหวน กำไลมือ กำไลเทำ และอื่น ‘ตุ อ'นทำควยเงิน

วนรุ่งขํ้นกนเรือได้แจวเรือเรื่อยไป เขารีบจะไปให้ถึงนานนิงฟโคยเรืๅ

พํกเพียงคร่เดียว

การที่เขาหยคพ'กกรู่หนึ่ง

เบนโอกาสขึนบกไปเที่ยวที่ฅลาดเพื่อซอของ แต่ของที่เขาช ก็กือนำดมชนิดหนึ่งทำจากขห้วหม'ก ไม่รู้หนงสือและเขลาในธรรมจรรย าอย่

กนไทยพวกนึ่โดยมากเบน

จึงได้ใช้นาขำวหม'กดื่มต่างนำ

เขาม'กดื่มก'นในเวลาร'บประทานอาหารเพื่อให้มีโอกาสพล่ามได้บำง ขำพเจ่าไม่เกยเห็นพวกนึ่เมาเลย

ไม่ฅองสงส'ยเลย

ประมาณก็กงจะเบ็นโทษแก่ร่างกายบำง

ถึงแม้จะดื่

แต่ก็กงไม่มากเท่าสูบผน

ปรากฏว่า ในสามมณฑลทางใต้ของจึนที่ขำพเจำได้ผ่านมาแลำน

กวามปรารถนาและพยายามเบ็่นอย่างยงจะให้เลิกการปลูกและสูบผื่ โดยเฉพาะภูมิประเทศที่ขำพเจำเดินทางผ่านมาจากพม่า

เขำในเขฅ

ยูนนาน สิบสองพ'นํนา ถึงแม้ยำมีการปลูกผื่นอยู่บำง แต่ม'กจะเบ็นพวก ชาวเขาที่ปราศจากการศึกษาล'กลอบปลูกในแคนที'ไกลที่สุดพนอำนาจ ร'^บาลกลางที่กรุงปะถืงจะกวบกุมถึง

ทราบข่าวว่าในเวลานึ่

กำลำร่วมมือก'บห้^บาลอื่น ๆ ที่จะพยายามกำจ'ดสี่งชำรำยนึ่ให้สาบสูญ พวกเราได้มาถึงนานนิงฟู เมื่อเวลา ๓ ล.ท. ว'นํพฤห'สบดีที่ ๑๖ มิถุนายน

ซึ่งน”บเบ็่นว'นที่ ๙ ฅงแต่ออกจากปากส'ก กนใช้ของขำพเจำ

ได้เอาใจใส่และช่วยเหลือขำพเจำมาก

ได้พาขำพเจำไปหาเจ่าหน้าท

ผ่ายจีนซึ่งเบ็๋นเจ่าของทองที่

และไปกนหาบำนพวกมิสช'นรีคว

แรกเขาพาไปหาบาดหลวงฝรํงเศสที่ดื่งวดสอนศาสนาโรมนคาธอลิกใน จำหว'ดนนก่อน แลวไปหามิสช'นรีชาวอำกถุษในที่สุดขำพเจำก'บพี่ฟรู้สึก

0^ฮ)

ปลมใจพ็๋นอนมากที่ได้พบพวกมิสชนรีควยกนเบึนครง์แรก วิากเขฅเชียงฅุง

ฅงแต่ออก

ในแคนพม่าซึ่งมีระยะห่างจากข์งหวดนั้ราวพน

เมือวนที่ ๑๖ กุมภาพนธ์ พ.ศ. ๒๔๕๒

ซึ่งเบ็๋นเวลา ๔ เดือนพอดี

ขิาพเจาไค้ไปย่งโรงสวดของมิสชนรีอ“งกฤษที่ทำการรไาษาโรกควย โรงสวคนั้ทำการติดต่อก*บในประเทศอ“งกฤษ เบนผู้อำนวยการโคยอิสระ และใช้ภาษาจีน

แต่หมอและแหม่มกลิฟฅฺ

เขาเพี่งจะมาอย่ในจ่งหว“ดนํ้ไม่นานน“ก

ได้สรำงโรงสวดและสรำงบำนอาศ'ยสรำงโรงพยาบาล

มีทงพืชที่เบ็่นเครื่องยากำลำขนอย่สะพร'ง ในจำหว“คนมีมืสช“นรีอเมริก“นอยู่กนเดียว ซึ่งได้ทำการร่วมมือก“บ มิสช“นรีชาติอื่น

มีอำกฤษเบ็่นตน แต่สำหร“บสอนพวกจีนเท่านน หมอ

กลิฟฅฺได้บอกขำพเจำว่า

ผายโรม“นคาธอลิคอำงว่าสอนคนชาวพืนเมือง

เดิมนนได้ผลดีกว่าสอนคนจีนในแถว'แเสียอีก แต่ขำพเจำหาได้พุดอะไร ต่อไปไม่ เมื่อขำพเจำพ“กอยู่กบหมอคลิฟตุนน เพราะเขาดืท"งใจและศาสนาปฏิบฅ มาถึง

รู้สึกน“บถือเขามากทีเดียว

เมื่อเครื่องส“มภาระของขำพเจำ

เขาได้จ'ดการ'แาไปยำโรงพยาบาลของเขาท“นที

ขำพเจำ?')อง

การจะหยดพทัผ่อนมากกว่าอย่างอื่นเพราะได้ครากตรำมาเบนเวลานาน ขำพเจำเชื่อว่าบุคคลที่มืร่างกายอ่อนแอกว่าข่าพเว่าแลว มาถึงจำหว่ดนานนิงฟูนได้

เพราะหนทางก็ดี

วิธีเดินทางก็ดื

ประจวบก“บฤดูซึ่งไม่เหมาะแก่การเดิน'กาง!■หล่าน

คงไม่

และ

ย่อมจะเบ็๋นอุปสรรค

ทกประการ กงไม่มืโกรรู้เรื่องตอนที่เวนว่างไว้โนหนำสือ‘นเท่าผู้เขีย

0)๘

เบ่นแน่ ที่จริงจะฅํองเบ็๋นคนแข็งแรง ทางก็ลำบากและติคขํค เพรา โดยมากเบ็นภูเขา

จะขี่ม'าก็ไม่ใคร่ไค้ จำเบ็นฅองเดินควยเทา

ไหน

จะฅองหาความรู้และสืบหาเพื่อให้ทราบเรื่องราวของชาติ ประวฅการณ์ขนบธรรมเนียม



และความเชื่อถือของชนชาติไทยพวก

ต่าง ‘ภู สืงเหล่านั้จะต่องจดบไเทึกควยฅนเองทุกวนตามที่ไ

สืบไค้ ไหนจะฅองกะกำหนดการเดินทางและทำกิจธุระต่าง ‘ภู และไ

ติดต่อกบเจำชองท'องที่ที่จะฅ'องเดินทางต่อไปควย ท*งนีก็เพื่อประโยชน แก่ชนชาติไทยเท่านน วนแลวก็วนเล่า

จนกระท"งสไ]คาห์แลวสปดาห

เล่า ในที่สดก็เบ็่นเดือน ‘ภู ต่องนอนพกในสถานที่เปล่าเปลี โรงขายอาหารจีนอนสกปรกบำง ในศาลาวคบำง

ในกระท่อมที่อฒู

พื่นดินบาง ลำบากควยประการท*ง์ปวง ท*งํ๋เมื่อยท*งลำ เทำก็เจ็บระบม และฟกชา

และร่างกายก็อ่อนเพลียอิดโรย

เชำมืคเวลา ๔.๓0 ก.ท. โดยมีนาฬิกาปลุก อีกเล่า

ในว"นรุ่งขี่นก็ต่อง แลำก็ทำกิจดำนนต่อไป

แต่ควยความหวำดืต่อชนชาติไทยอไเมีอย่ในดวงจิตอย่าง

แรงกลำของชำพเจำ

และเพื่อการทุญและความชอบในศาสนา

ให้ลืมความลำบากและทนต่อไปไค้

เมื่อขำพเจำไค้มาพไๅอย่ที่นี่

ระลึก เปรียบเทึยบก'บเวลา เดิน ทางตง หลายเดือน สกปรก และโรงมำ

และห'องอไ-เ

เมื่อ

ในโรง อาหารอน

มาอยู่บำนที่สะอาดโอ่โถงของชาว

ยุโรป และมีอากาศดือย่างสวรรค์เช่นนี่แลว ปานใด สฺะดวกสบายปานใด

ก็ทำ

จะรู้สึกว่าหายใจกล่องขี่น

ปิ^^ เมื๋อขิาพเจำพกอยู่ที่บ๎านของหมอกลิฟฅฺสองวน รู้จำและทำความคุ้นเกยก*บนายต*งน'งฅฺ

ขาพเจาได้ไป

เจ*าหนด้ที่ศุลกากรของฝรํงเศส

ที่นานนิงฟูโดยจดหมายนำของนายกลำตฺผู้ทำการค่านภาษีในจงหวด เม่งสู

ชาวฝรำเศสผู้นพูดภาษาอ*ง์กฤษกล่อง

สามารถฅอบคำถาม

เรื่องระยะทางที่ขำพเจำตองการและเรื่องอื่น ‘ศุ ได้ดี

เขาได้เชิญหมอ

กลิฟฅฺและขำพเจำไปร*บประทานอาหารเย็นที่บำน กลิฟฅฺติดการประชุมเสีย

จึงไปในการเลยงของเขาแต่ขำพเจำผู้เดียว

ขำพเจำได้ร่วมโต๊ะก*บเขาและภรรยา หญิงยุโรป นอกจากน

แต่ในว*นนนหมอ

ซึ่งเบ็นหญิงจีนแต่แต่งกายอย่าง

พูดภาษาอำกฤษและฝรำเกสได้ แขกที่สำก*ญก็คือ

และเบนผู้ตอนร*บแขกดี

กงสุลอำกฤษประจำก่งฅำมีนามว่า

เจ. ด*บลยู. จาไมส'น ซึ่งเพี่งมาถึงโดยเรือรบชนิดกนโบฅ ร*บประทานอาหารนน

เวลากำลำ

นายจาไมส*นเล่าถึงเรื่องที่เขาได้เกยถูกถาม

ขณะที่อยู่ในกรุงลอนดอนเมื่อเร็ว ๆ นให้ออกกวามเห็นถึงหนำสือที่ พ*นฅรืดาวีสแต่งเรื่องมณฑลยูนนาน รถไฟ

และยำกล่าวต่อไปว่า

เรื่องราวที่นายพ่นฅรืดาวีสกล่าวนน

รองได้ว่าเบ็'นกวามจรืงทุกประการ ภาษาของชนพวกนี ว่า

ไทย

ในตอนสุดทำยเขากล่าวถึงการ ร*บ

เช่นกล่า^งชนชาติต่าง ทุ แ

และรายละเอียดบนแผนทีๆล ๆ

เขายำกล่าวอีก

ชนชาติที่อยู่ในมณฑลกวางซีและมณฑลกวางคุ้งนนส่วนมากเบ็๋น โดยภาษาและโดยกำเนิด ความเหนนไม่ใช่ให้เหมาเบนกวามเห็นโดยหนำที่ของนายจาไมส*น

กงสุลอำกฤษ

แต่เบนกวามเห็นที่ออกจากผู้ที่ได้สมากมก*บชนชาติน

(^0

ทุกพวกแลว

และไม่ใช่กล่าวเกินความๆริงไป

เพียงฅ”วหนไ3สือเท่านาา.

หรือกล่าวเบ็นแต

แด่เบ็๋นโอกาสให้เราเบี่ตตาพิจาร

ชาติไทยที่แยกออกเบ็่นสาขาด่าง ทุ อยู่ในประเทศจีนบจจุปนนี กระนน

ในจงหว”คนานนิงฟนเอง

แด่ถึง

ผู้เดินทางผ่านก็ไม่ไค้รู้สึกอย่

นอกจากเห็นว่าเบนกนจีนไปเสียหมด

จนชนแต่หมอกลิฟฅฺเ

ประหลาดใจเมื่อไค้ยินขพิพเจ”าสนทนาควยภาษาไทยก”บคนช่างปุนและ ช่างไม้

ซึ่งเขาเข”าใจว่าเบนคนจีน

คนไทยในจ”งหว”ดินด่างก่นก

จ”งหว”ดิกวางนานฟปากอ”ายและปากส”กเพราะพวกนนิยมขนบธรรมเนียม

จีน เพราะฉะนนเขาจะทำการทุกอย่างก็กลายเบึนจีนไปหมด แม้ช่าง และช่างปูนของหมอคลิฟตฺก็เบ็๋นไทยและพูดภาษาจีนไค้ดี บอกว่าในจ”งหว”ดินีมีโรงเรียนจีน

หมอคลิฟ

และทราบข่าวว่าจะเล

นานนิงฟ่ซึ่งเบี่นนครของมณฑลกวางซีไปต^งที่อื่น

ฅามเขตแขวงของจ”งหว”ดินอก ทุ ออกไป มีชนชาติไทยอย่ท'วทุ ไป แด่เรียกก*นว่าโท้ (ไ”©) จีนเรียกว่าถเยน (7’ธ-]0ปิ)

แด่

ก็ดี ชนชาติไทยของจ”งหว"ดินคงมีจำนวนไม่น”อยกว่าเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑

ซึ่งนายเบิรฺนกงสุลอำกฤษไค้เขียนรายงานไว้ว่าพลเมืองในแขวงนาน ฟนน ๑๐ ส่วนเบ็่นชาติไทย ๙ ส่วน

ผู้ช่วยสอนศาสนาของนายล”นดิส

กนหนึ่งเบนไทยโท้ เมื่อขำพเจำพ”กอยู่ถึงว”นที่ ๒ นน หมอคลิฟตฺได

ผู้ช่วยของเขาซึ่งเบนไทยโท้พาขำพเจำไปเยี่ยมตามหมู่บำนขคูงขน

ชาติไทยโท้ ซึ่งต*ง์อยู่ไม่สู้ไกลจากที่นึ่น”ก ในหม่บำนนึ่เบ็่นคนไทยจุวิง ผู้ช่วยที่พาขำพเจำไปนน

เขารู้จกและพูดส่งภาษากบกนในหมู่บานได

แต่เวลาทีเขาอยู่ในเมืองและที่ฅลาดเขาพดภาษาจุน ขาพเจุาเขาใช้ภาษาไทย

และเมื่อพูคกํบ

ข’าพเจุทีได้จุดถิอยกำได้อีก ๒๕0 คำ

ขำพเจา

ได้แนะนำหมอกลิฟฅฺผู้สอนศาสนาประจำในจุ'งหว“คนว่าสำหรไ]ชนชาด ไทยโท้แลำ ควรใช้ภาษาไทยโท้สอนจะได้ประโยชน์ดีกว่า เขาก็มืความ พอใจที่จะทำการนนโดยไม่กัดคำนเลย ประจำชนชาติจีน

เพราะเขาทำการสอนศาสนา

แต่สำหรบชนชาติไทยยำหามืไม่เขาก็ยอมเห็นกัวย

และจะได้เร็มตนทีเดียว

ขำพเจำรู้สึกมืความปลํ้มใจขึงนักว่าเขาจะเบน

มิสชนรีกนแรกที่สอนประจำชนชาติไทยในประเทศจีน ปรากฏว่า

เท่าที่เขามืหนัาที่อยู่แลวในจำหวดน์

อย่างไรที่กรรมการคริสต์ศาสนาจะจำการเพีมขํ้นอีก ชนชาติไทยโท้ควย

และเพราะ

คงไม่เบนการขดข

เพื่อประโยชน์

ซึ่งจะคำเนินการสอนพรำมกนไปกับพวกจีน

เสาร์ที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๓

เวลาบ่าย ๔ ล.ท.

ขำพเจำได้ออกเดินทางจากจำหวดนานนิงฟูโคยเรือยนตร์

พื่ฟกับ

เรือยนฅร์น์

ใหญ่ขนาด เดียวกบเรือแจวที่ขำพเจำโคยสาวมาวิากจำหวดปากสก เรือได้แล่นมานานและไกลนน

เมื่อ

ขำพเจำมุ่งหมายจะแวะที่จำหวดวูเจา

จำหวดน์ฅงอย่ ในดินแคนเกือบสุคทางตะวนออกของมณฑลกวางซีค่อน

ไปทางทะเล และเบนเมืองท่าแห่งหนึ่งที่จีนมีกัญญาเบี่ดให้นานาประ เขำไปคำขายได้และเบ็่นศูนย์กลางของหางท^งหลายคำย ขำพเจำกะไว้ว่า จะให้ถึงกำต่งในวนที ๒0 มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๓ ขาพเจารู้สึกว่า จำเบน กัองหยดพกที่วเจาให้นานกักหน่อย

เพื่อจำการเรื่องศาสนาในจำหวด

อนสำคไบนขั้นอีกแห่งหนึ่ง

เพราะปรากฏิว่ามีชนชาติไท

นึ่มาก เวลาเช*า ๗ ก.ท. เจาไค้ไว้นน ทำการร่วมก*น

ขำพเจ็าได้ขั้นบกทื่วเจาฅามจดหมายนำทีขาพ-

ข*าพเจ^าได้กินพบโรงพยาบาลและโรงสวดของมีสชนรีซึ ณ ที่นไเท่านเรเวอเรนดฺ ไอ. เอ็ล. เชิสสุ ก*บ แหม่ม

ของเขาไค้ร*บรองให้อยู่โนบำนซึ่งเบ็นโรงพยาบาลควย กำแพงล*อมรอบฅงอย่กลางจ่งหว*ด

บำนของเขา

ทำให้ขำพเจาได้ร*บกวามสุขมาก

จึงไค้พ*กฅ่อมาอีกสองว*น

ขำพเจำได้วิ*บจดหมายสองฉบ*บก*บโทรเลขฉบไ]หนึ่งจากแหม ดอดคุ ส่วนโทรเลขนนบอกว่า

แหม่มได้มาถึงกำฅงแลำโดยสว'สติภาพ

จดหมายและโทรเลขนนถึงมีอขำพเจำภายใน ๓ ว*น ซึ่งต่างก*บกราวก่อน กว่าจะถึงก็ ๓ เดือน ด่านภาษี

แลำขำพเจำไค้ไปหานายฟอนบรวนเจำพน*กงาน

ซึ่งนายกล*ฅฅฺที่จำหว*คเม่งสูไค้มีจดหมายนำขำพเจำมา

สุภาพบุรุษผู้นึ่เบ็นชาวเยอรม่นํ

ไค้รไ]รองขำพเจำและเช

รไ]ประทานนาชา

ในซำหว*ดนึ่ยำไม่มีมิสช*นรีสำหร*บสอนชนชาติไทยซึ่งเรียก ถนนนว่า

ชองเยน (011เ1ผ08-]6ก )

หรือคนชองดำยภาษาของเขๅเอง

มีชนชาติชองนอยกนที'ไปร่วมสวดมนต์ในโรงสวดดำยก*บพวกจีน

แล-

ผู้ช่วยของมีสชนรีในจำหว่ดนึ่เขาก็รไ]รองว่าเขาจะแยกสอนอ หนึ่งและจะได้พิจารณาฅใทีกรงการเพื่อประโยชน์นึ่ต่อไป

ข่าพเจืาเสียใจที่ไม่มีเวลาพอที่จะสืบหาความรู้เรื่องชนชา ได้นานนก เพราะจะฅองรีบไปก'งติง้ เพราะภรรยาและบุฅรของข*าพเจ’า ได้มากอยอยู่ที่นนแล้ว

แฅ่ความเสียใจนั้กล้บกลายเบี่นกวามดีใ

โคยนายฟรีแมนผ้เบ็นมิสชนรีได้พยายามสืบกนเรื่องราวของชนชาติชอง นไว้ล้าง

ซึ่งล้าพเจ*าได้ทราบจากเขาว่าฅนเติมของชนชาติชองใน

บจจุบนนํ้ ก็อย่างเดียวกบชนชาติไทยไท้ คืออาณาจกรอ'ายลาวอนเบ ล้านเกิคแห่งบรรพบุรุษของชนชาติไทย การต่อสู้กนมาเบ็๋นเวลานานถึง ๒๕0๐ บ

ได้ถูกชาติจีนรุกรานและเกิด ภายหล้งจึงได้พากนอพยพ

มาอยู่ที่นี่จากมณฑลอนขึย มณฑลเชียงซี และมณฑลสูนาน เขฅของอาณาจ*กรอ*ายลาว

อไแบ็น

นอกจากนเมื่อชนชาติไทยได้อพยพมาอยู่

ในดินแดนทางทิศใต้ของแม่นายางสีแล้ว ไทยค*องพ่ายแพ้เมื่อ พ.ศ. @๕๙๖

จีนย*งได้คามมารกรานทำให้

เบนกวามบาดหมางกนในระหว่าง

พวกจีนก*บพวกชองมีสืบทอดมาเบนเวลานมนาน บุก ๆ แห่งในประเทศ จีนที่ล้าพเล้าได้สืบสวนและพิจารณาชนชาติไทยในบจจุล้นน

ล้า

ย'งร้สึกว่า แม้ไทยจะมีชื่อต่างๆ กนดามถี่นที่เขาอยู่ก็ดี หรือเสียเมือ ฟอย่างย่อยย*บลงมา'ก็ดี

หรือบางพวกก็เร่ร่อนจากกวางตุ้งและดินแดน

แม่นาคะวนฅกที่ได้พ่ายแพ้แก่จีนมาแล้วก็ดี

ชนชาติไทยพวกต่าง ๆ

เหล่านก็ย่งไม่นิยมเอาแบบอย่างจีนเลยศวาบเ■ท่าที่สามารถฅำนทา จีนไค้ จีนได้ดถูกพวกพั้นเมืองคงเติมเหล่านนมาก และพวกนก็เกลียดชำ จีนที่รุกรานเล้ามาเซ่นเคียวล้น

เหฅุฉะน*นจึงมีกวามจำเบนอยู่ล

จะด*องแยกกิจศาสนาของเราออกเบนชาติ ๆ

จนกว่าจะได้เพาะความ

(5/๔

ปรองดองในระหว่างชนจีนกบไทยเหล่าน และให้จางความบาดหมางไป เพื่อจะไค้อยู่ร่วมกนโดยสงบ พุธ ที่ ๒๒ มิถุนายน ควยความภกคีนน ย"งก"งด*ง

เวลาเช'าข็าพเจ‘ากบพื่ฟูผู้ติดตามฅลยดมา

ไค้ออกเดินทางจากวูเจาโดยเรือกลไฟชื่อไซนไ)ไป

และถึงเมื่อเวลา ๗ ก.ท. ว"นรุ่งขน ๒๓ มิถุนายน เรือกลไฟไค

เทียบท่าโดยเรียบรอย ช"าไปกว่ากำหนด ๓ ว"น ครอบครำของช"าพเจำ

ซึ่งจากก"นเบึนเวลาหำเดือนครึ่งก็ได้มาพรอมหนำก่นดำยความยมแย"ม แจ่มใส

ท่อนนไปขำพเจำไค้พกอยู่ที่ก"งฅง

หลายคน

ขำพเจำและกรอบกรำไค้เบ็่นแขกร"บเชิญของหมอมารีไนลฺ

ให้ไปดูโรงเรียนสอนเด็กหญิงตาบอด ซึ่งอย่ในความอำนวยการของแหม่มเกอรร ข

และไปดูโรงพยาบาลคนเส

แลำขำพเจำก"บกรอบครำ

* *

ไค้เตรียมการที่จะกล"บประเทศสหปาลีร"^อเมริกา ลงเรือกลไฟจากก"งตำผ่านฮ่องกงและกรุงเทพ ๆ ที่จ่งหวดเชียงรายในประเทศไทย

และได้ไปพบก"บ

แท่พี่ฟนนจะได

ไปยิงบำนเดิมของเขา

และในที่สุดพื่ฟูฃองเราก็ไค้ถึงบ

เดิมโตยสว"สติภาพ น"บว่าเบ็๋นกนเที่ยวไกลอย่กนหนึ่งเหมือนก"น ข

ไทยจน

ก็อชาวเขา

1

บทท

\ะ-.

แถบแม่นายางส

เมื่อวนที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๖ ประจำชาติจีนอยู่ที่วิงหวดวูฅิงเจา

นายยี. ปอรฺเฅียสมิสชนรี

ในมณฑลยูนนานฅอนเหนือได

วิดหมายจ่าหน้าซองถึงมิสช“นรีประจำชนชาติลาวในประเทศไทยวิคหมาย นนเบ็่นคำขอรองให้ช่วยเหลือ และได้สอดแผ่นกระดาษพิมพ์น้วยอกษร ลาวมาดำยแผ่นหนึ่ง

ไม่ใช่ลาวในประเทศไทย

พวกที่อยู่ผ่ายเหนือในอานไ)

แด่เหมือนอำษรของ

ผู้เบืนพวกเคียวกนกไชนชาติไทยใน

มณฑลยุนนาน ไกวเจา และกวางซีแห่งประเทศจีน เนึ่อความบนแผ่ กระดาษที่พิมพ์นนเบนคำคาดคะเนโดยมาก

ในวิดหมายนนบอกหม่

บำนของชนชาติไทยว่า มืฅํ้งแด่ด่าบลที่เขาอยู่ฅลอดขั้นไปดา ยางสีเขายำกล่าวว่า

ในการสอนศาสนาคริสต์แก่พวกชาวเขาน้น

ใช้

หนำสืออย่างอกขรวิธีของโปลลารุด ได้ผลคี แด่วิะใช้สำหรบชนชาติไทย หาได้ไม่

เหตุฉะนนนายปอรฺเคียสวิงได้มีวิดหมายถามและขอตำอย่าง

ระเบียบหนำสือที่เราใช้ ออกเสียงสูงตา ส่งมาให้ดำย

กบวิธีที่วิะเบนลูกกุญแจในอกขรวิธีสำหรบ

นอกวิากนึ่เขายำวิดถอยคำภาษาไทยในด่าบลทื่

เพื่อวิะให้เปรียบเทียบกไน้อยคำภาษาไทยในผ่ายใฅ้

เชียงใหม่ เมื่อได้เทียบคูแลำเห็นว่า จะด่างจากคำไทยราว ๔ คำเท่านน

คำไทยแถบแม่น้ายางสี



ถ็าวิคหมายนํ้นได้ส่งมาจากเกาะทื่อยู่ในมหาสมุทรอนไกลล ฃาพเจ^าก็คงไม่นึกพิศวงและตึ่นเตนกี่มากนอย

ที่จริงขืาพเจ'าไ

ว่าจะมีชนชาติไทยเบนอนมากต*ง์ภมิลำเนาอยู่ทางลุ่มแม่นายางสี

และ

ท*งไม่เคยได้ยินพวกมิสชนรีประจำชาติจีนในถึนนนกล่า

ขำพเจำก็ไม่ร้สึกอย่างอื่นยี่งกว่าที่จะช่วยเหลือฅามกำข เท่านน

แต่ขำพเจำรู้สึกตื่นเตนมากทื่อยากจะไปช่วยเหลือชนชาติ

พวกนน แม้ระยะทางจากจำหวดเชียงใหม่ไปย่งจำหวดวูติงเจาเบ็ เกือบสองเดือน และท*ง์ลำบากควยประการต่าง ๆ ก็ตาม

จดหมายที่มีไปมาระหว่างขำพเจำก*บนายปอรฺเดืยสและน

นึฆอลลฺผู้แทนนายปอร.เฅียสนนกว่าจะเก็ดเบ็นผลดีแก่ชนชาติไทยแ

ลุ่มแม่นายางสี ก็ตำ)งล่วงมาเกือบ ๕ บี เมื่อคราวมีการประชุมมิสช‘นรี ประจำบีที่จำหว*ดเชียงใหม่ใน พ.ศ. ๒๔๕๗ นายปอรเดืยสขนอ่านในที่ประชุม

ที่ประชุมก็พอใจมากและรู้สึกว่า

ชนชาติไทยในแถบนั้นย่งไกลศาสนาอยู่มาก เชียงใหม่ ยูนนานหรือ

นนได้เอาจดหมายข

เมื่อเปรียบเทียบ

หมอบริกกฺสฺได้อ่านและถามว่าจดหมายนั้นส่งมาจา

ยี่งทำให้ขำพเจำบีติแทบนั้าตาไหลควยความปล

คร*งหนึ่ง

เพราะขำพเจำมีหนำที่สอนประจำชนชาติไทย

และท*งใน

จดหมายของนายนิฆอลลุซึ่งมีถึงขำพเจำในตอนหลำก็บอกว่าในติ

ลุ่มแม่นั้ายางสีมีชนชาติไทยท"วไปจนกระทำเหนือสถานที่ต*งส ของเขา

และทางดินแดนตอนเหนือลุ่มแม่นั้ายางสีก็มีหมู่บำนซนช

ไทยหลายพไเหมู่ หนำสือจีนได้

ชนเหล่านไม่มีหนำสอของฅวเอง

แต่บางคนอ

๘0) เพีอให้ท่านรู้ขิอความพิสดารขํ้นIล็กน่อย

ข้าพเจ้าขอนำข

บางตอนในจดหมายนนมากล่าวบ่างดงน “ก่อนอืน

ชนชาติที่เรียกฅวเองว่า ไทย หรือถาจะให้ดีก็เรียกว่า

‘จีน-ไทย’ . . . เท่าที่ขำพเจำทราบมา มีนำเยคนที่ร้หนำลือจีน . . . พว ไม่ชอบกำสอนที่เบ็่นภาษาจีนหรือภาษาอื่นนอกจากภาษาของเขาเอง ในหมู่บำนนมีกนไทยอยู่ประมาณ ๓0 ครำ

แฅ่ที่เขำรีตถือ

ศาสนาคริสต์แลว ©๔ คน... คนไทยเหล่านไม่อยากจะใช้หนำลือและ ภาษาจีนสวดมนต์ ภาษาไทยแลำ

เวนแด่สองสามคนเท่านน

และถำไค้สอนเขาควย

ก็จะเบนสะพานต่อไปถึงกนไทยในหมู่บำนอื่น ‘ๆ ดำย

ชนชาติไทยแม้จะด่างกนหลายพวกก็จริง เบนจีน . . . ท่านกงเห็นไค้ว่า เอง... สำหรไ]ชาติวำเมยว

เลซู

เขาไม่อยากจะกลาย

เขาดำงการสวดมนต์ดำยภาษาของเขา ลากา

และโกปูนน

เราใช้อำขร

วิธีชองโปลลารุด.แด่เห็นว่าจะใช้หนำลือฅามวิธีของโปลลารด

แก่คนไทยดำยก็ไม่เหมาะ ' เพราะชนชาติไทยมีหนังสือที่เขียนเบน ของตนเอง

เหฅุฉะนนชำพเจำจึงขอให้ท่านช่วยกนคิดในเรื่องน

ลำบากก็คือยำไม่ร้หนังสือไทย เช่นนจะได้หรือไม่

ขำ

ท่านจะสอนขำพเจำในระยะทางอนไกล

ท่านจะมีเวลาและบากบนพอที่จะช่วยขำพเจำให้รู

หนำลือไทยนนไค้หรือไม่ - - - ในระยะทางอ”นไกลเช่นน การที่จะแนะนำ และบอกกนก็ลำบากมิใช่นำย

แด่อย่างไรก็ดี ขำพเจำอยากไค้หนำลือ

สวดมนต์ที่เบนทำนองบทรืองภาษาอำกฤษ

แด่ขำสำค”ญที่สุดก็คือ

โเารเริมฅนในอกขรวิธีพรือมกำวิธีอ่านอย่างใง

โดยเทียบกำที

ดวยอกษรโรมนเชื่อว่ากงไม่ลำบากเท่าใดนํก แด่ขอให้คิดว่าเบ็นการ เพือประโยชน์แก่ชนชาติไทย

ภายหลํงเรากงจะได้พบกน... ในเ

ขาพเจ่าขออไ)นวอนท่านให้เรึมลงมือทำกิจการเพี่อประโยชน เกิด” *

ในการตอบกำเชอเชิญของขำพเจำ ที่น'ดเขาให้ไปพบก'นที่จำห เสเมำนน เขากล่าวว่า ความยินดีที่จะทำตามกำเชอเชิญของท่านเบ็นอ'นมาก

‘มี

กำแนะนำในเรื่องหนำลือไทยเบ็นตน ■แย่งไม่ไค้

แด่เสียใจที่จะไปพบท่าน

เพราะขำพเจำไม่มีพาหนะพอ และกิจการที่ขำพเจำทำ

กำลำเจริญ ซึ่งคงจะได้ประโยชน์ดีเท่าก'บที่จะไปเหมือนก”น. รก้พเจำจะไปทางใต้ตามนคของท่านนนไม่ได้

กิจการของเราก็ไ

จะหยุดเลิกเสีย

ท่านผู้อ่านที่ร'ก เท่า'แพอหรือไม่ที่จะทำให้ท่านเกิดคร

หากว่าได้ไปพบปะและสนทนาก”บชนชาติไทยในมณฑลยูนนานตอ ^ก้ยตนเอง

และรู้อยู่ว่าจะส”งสอนเขาได้โดยใช้ภาษาอย่างเดียวก”บชาว

เหนือในประเทศไทยได้แล้ว จะไม่น่าเสียดายหรือ’ ในที่สุดโอกาส■แก็ได้มาถึง คือ หมอเมสันก”บนายบีเบ เบื่ดสถานสอนศาสนาคริสต์ขั้นใหม่ในจงหว”ดเชียงรู้ง กิวลงเกียง ((^11*

*■^1308)

ฅลาคม พ.ศ. ๒๔๖0 ในประเทศจีน



ซึ่งจีนเร

ในมณฑลยูนนานตอนใต้เมือว”นที่

สถานสอนศาสนาแห่งนลำหร*บสอนชนชาติไ

การที่หมอเมสันนัดขำพเจ่าให้ไปยำสถานที่

๘^ ไม่มีอะไร

นอกจากจุะเร่งข็าพเจุ่าให้ออกเดินทางเท่านน

ขาพเจ^าตอง

คะเนว่า จะฅองไปและกฒัให้ทไเกำหนคภายใน ๙ เตือน แต่ขาพเจ’าเพี่ง จะเรี่มออกเดินทางไปย*งจ'งหๅดเชียงรุ้งเมื่อเตือนเมษายน พ.ศ.๒๔๖® ขาพเจาออกจากประเทศไทยพห้อมต่วยพรรกพวกโดยเรือกลไฟ ฝร'งเศสไปย*งจ*งหว*ด!!านอยในต่งเกี๋ย

การเดินทางในเวลาสงครามนไเ

เอากำหนดแน่ไม่ได้ (สม*ยนนเกิดมหาสงครามในยุโรป) เช่นการเปลี่ยน เรือกลไฟ

และการคอยเรือก็ช*กช็า

เวลาหาได้ไม่

แต่กิจการของเรานใเจะผํคเพั้ยน

แต่ก็ได้กะเวลาไว้มากพอที่จะไปเยี่ยมมิสช"นรีในญ

จีนและพี่ลิปบีนส์ควยและจะให้ถึงจ*งหว'คเชียงรุ้งในฅอนสดทที่ย ก จ'งหว*ดเชียงรุ้งนน

ไปโดยทางรถไฟของฝห้งเศสจากประเทศต่งเกี๋ย

กว่าที่จะออกเดินทางดำยเทที่จากประเทศไทยไปทางเหนือ

เพราะทาง

รถไฟเบ็๋นทางตรงและเร็ว ถึงจำหว*ดเชียงรุ้งได้ก่อนฤดูฝน

และทที่เบ็น

โอกาสที่จะได้เขที่ประชุมมิสชนรีที่ประเทคฅังเกี๋ยและยูนนานดำย เมื่อไปถึงจำหว'คอานอยแลำก็ไปพบนายคัดม'น มิสช'นรีก'บครอบ ครำของเขาผู้ได้ตอนร'บโคยฉ'นมิตร

ตลอดจนการพกในเวลากลางคืน

นายก*ดม'นได้ช่วยเหลือขที่พเจที่โดยได้ไปพูดตกลงก*บ เจที่หนที่ที่ตำรวจ ฝร'งเศส เรื่องหนำสือเดินทาง พวกเราตองออกจากที่พ'กในเวลาเชที่คัน รุ่งขน

เพือให้ท*นรถไฟขบวน ๙.๓0 ก.ท.

ถื่ถำนมาก

เจาหนาทฝรงเศสมความ

ได้ซักไซ้และจดถอยคำชองพวกเราทีละดน

พอรถไฟจะออก

กว่าจะหมดก็

และกคับขอรูปถ่ายของพวกเราทุก ๆ กนคำย

นั้นจึงหาท'นรถไฟไม่

ในคัน

ฅ่อว“นรุ่งขํ้นจึงไค้ขํ้นรกไฟเดินทางต



ทางรถไฟฝรํงเศสนงามมาก

และท^การก่อสร'างก็แสคงให้เห

ผี่มือในวิชาช่างของฝร”งเศสอย่างคีที่สดที่ไค้เกยเห็น เพื่อมิให้นาท่วม

ทางนน

และในเวลานก็กำล"งเสริมดินให้แน่นหนาย

เมื่อทางค่อยแน่นและแข็งแรงแลำการซ่อมแซมและเสริมดินก็คงทำนอ

ลงไปทุกที ทางรถไฟสายนมีอุโมงค่า)ะลอดภูเขาถึง ๏๕๔ แห่

เดิน ๓ วนจากเมืองไสฟองถึงจำหว"คยูนนานฟ อุโมงค่เหล่านโด

ฅงํ้แฅ่พรมแดนด"งเกี๋ยถึงจ"งหวดอะมิฅเจาในมณฑลยูนนา

ประมาณสกครึ่งว"นรถไฟด"องเลียบหนองใหญ่แห่งหนึ่งซ

ดม ในฤดูฝนมืลำธารเล็กไหลมารวมลงในหนองเรียกว่าฅ ภูมิประเทศดู งามมาก ที่ขำงภูเขามืหนทางเดินซึ่งเขำใจว่าเบนถนนบนภูเขา สองสามนาทีรถไฟผ่านถนนสายหนึ่ง นึ่อย่ใต้ลงไป

และทางเดินที่แลเห็นอย่

ไม่ชำรถไฟชองชำพเจำก็ไฅ่ขั้นยอดเขาดามทางซึ่งส

เวียนออมภูเขาลกนน

ภูมิประเทศในตอนนึ่ดูงามย็่งน"ก

ขำงล่างก็เบ็นที่ราบซึ่งปกคลุมคำยบ่ำไม้ทำไป สรำงรถไฟดอนนึ่ตองเสียชีวิดมนุษย์มาก

เมื่อแ

มืผ้บอกขำพเจำ

แด่อย่างไรก็คี

ขำพเ

ความหวำอย่างอื่นนอกจากหว่ำว่า ทางรถไฟสายนึ่เบ็๋นตไ

ทางอื่น ทุ ซึ่งจะสรำงด่อไปดลอดถึงจ"งหว"ดซิงยิฟู ในมณฑลช นานนิงฟูในมณฑลกวางซี แม้จะลำบากปานใดก็ดาม

พวกมิสช"นรีที่ขำพเจำพบนนมีจำนวนมากเกินคาดหม ที่จ"งหวดเม่งสูหลายคน

และที่จ่งหว"ดยูนนานฟูซึ่งเบ

มเณฑลยูนนานหลายรอยคนพรอมดวยสมาชิกคนหนุ่มแห่งสม



เอม.ซี.เอ. นายและนางคอลนิสฺไค้รบรธงชำพเจุาญ็'นอย่างคี ฅ\เฅ่ฅ

จนฅลอดเวลาทีอยู่ในที่นี ซึ่งชำพเชำขอบใจุ!เขาญ็๋นอ‘นมากและจุะไ คุณของเขาเลย

บานของเขาไค้ก่อสรทีงอย่างแบบชํนซึ่งเหมาะสำหรไ]

เบ็นท้อยู่ยิ'งนๆา

พวกมิสชํนรีในมณฑลยนนานโดยมากเช่าบทีนของจีน

อยู่ มีนที)ยกนทีได้สรางบทีนของฅนเองดามแบบต่างประเทศ กำหนดการเดินทางของขทีพเชำในมณฑลยู่นนานน ทางรถไฟของฝรทีเศสถึงชํงหวดเม่งเส

คือไปโดย

และลงซากรถไฟเดินไปทาง

ฅะวนฅกถึงจำหวทีเสเมทีโดยพาหนะเกวียน และจากเสเมทีไปทางทิศใฅ้ อีก๖ วไเ ถึงจำหวทีเชียงรุ้ง เจทีหนทีที่ผายจีนแจำว่า ถทีจะเดินทางจาก จำหวทีเม่งเสไปทางฅะว่นฅกนนไม่สู้ปลอดภยนที ชุมฅามทาง

เพราะมีโจรผู้รทียชุก

เขาแนะนำว่ากวรไปลงรถไฟที่จำหวดยูนนานฟู

แลทีจึ

ไปโดยพาหนะเกวียนต่อไป จึงตกลงขั้นรถไฟจากจำหวทีเม่งเสไปจำหวที ยนนานฟู

นายปอรฺเฅียสผ้เบ็่นมิสชนรีประจำสอนศาสนาอยู่ในจำห

วติงเจาซึ่งอย่ เหนือจำหวทียูนนานฟูได้บอกว่า กิจศาสนาที่ยนนานฟนแลำ

เมื่อเสร็จการป

เขาขอเชิญพวกเราไปท้จงหวดสะปุชน ซึง

อย่เหนือจำหวดยนนานฟูระยะทางสองวที จำหวดสะปชทีเบนย่านกลาง ของการสอนศาสนาของชนชาต เทยอีกแห่งหนึง มีฝนตกมาก

ในฤดูนตามปกติย่อม

เครื่องสมภาระของขทีพเจ'ามีเสบียงอาหารเบ็๋นตที ซึ่ง

บรรทุกมาโดยทางรถไฟนน

ก็ยำมาไม่ถึง

เพราะฉะนน การที่จะออก

เดนทางไฟยงชงหรดเช^งร'งในขเาเะนกศง 'มสะดรกชนกราชะพนถดฝน จึงตกลงรบเชิญไฟยงชงหรทส"ปุร®'*^

เมื่อวนที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๑ เฅียสได้ออกเดินทางวิากยนนานฟู

พวกเราพรอมควยนายปอร

การเดินทางในตอนนใช้เก’า

จึงได้ร"บความสบายตลอดมา มาถึงจ่งหวคสะปุชนเมื่อวนที่ เบนเวลาสองวนเต็ม

๘,๐๐๐

จุ่งหวดนํ้อยู่บนเนินซึ่งสงกว่าระคบ

ฟุต เผอิญเมื่อพวกเรามาถึงเบึนเวลาที่ทนดูการกรี

ของนกเรียนในจํงหวคนํ้ โรงเรียนท^งหมคมี ๗ โรงควยกนท ในการกรีฑาน มีนกเรียน ๓๐๐ คน

ซึ่งเบืนเด็กชาติต่าง ฑ รวม

ชาติคือ ลีซู ลากา โนซ โกปู ว’าเมื่ยว ไทย และจีน

กา

ของนกเรียนเหล่านน่าดูมาก ตอนบ่ายมีพิธีตามลทธิศาสนาคริส คนมาประชุมกนประมาณ ๗๐๐ คน ขำพเจำได้มีโอกาสสนทนาก"บกนไทยในตำบลนไ4สองกนก'บ

นกเรียนอีกสองคนโคยใช้ภาษาไทยเหนือ เขาก็นึกประหลาดใจและ ร"บว่าเบนภาษาเดียวก"น

เมื่อคืนว"นจํนทร์มีการประชุมมิสช"นรี

ไทยในถื่นนนขอให้ไปเยี่ยมหมู่บำนของเขา

มีค

เขาพูดว่า



บำนนืมีหลายหมู่ควยก"นอยากเขารีตถือศาสนาคริสต์ถำส’งสอนเขาควย ภาษาไทย

เมื่อเสร็จการประชมแลว

พ’นฤดูฝนอยู่นํ้ต*งใจไว้ว่า

ในขณะที่ขำพเจำคอยเวลาจะใ

จะพ"กอยู่ที่นี่ทำกิจศาสนาเพื่

ถี่นนสก ๓ เดือน ต่อนนไปจะได้มอบให้นายเมีตค"ลฟฺร"บช่วงต่อไป ถึง แม้เขาจะมีหนำที่สอนประจำชาติลากาอยู่แลว

ขำพเจำได้ต^งต’นสอ

ภาษาไทยให้เขา

นายปอรฺเฅียสขอให้ชำพเจำเตรียมทำห"วข’อวิธีสอนศาส เพลงสวดมนต์ให้เบ็๋นเล่มขน.

แลวจะพิมพ์โรเนียวซึ่งเขาม

ส่๓

นำไปส'งสอนชนชาฅิไทยในถึนนน

แต่การที่ขำพเจำทำสำหรํบชนชาติ

ไทยในถินนน หาใช่พึนคร”งแรกไม่ มิสช”นรีประจำชาติจีนก็ได้เค มาแลว

จนถึงได้นำไปส”งสอนชนชาติไทยคามถี่นที่อย่ห่างจาก

สะปุขไเไประ ยะทางค”ง ๓ ว”น

แต่ส”ง้สอนควยภาษาจีน

เฅียสได้ไปเทียวส”งสอนคามหม่ปานนน กหาได้ใช้ไม่

เมื่อนายปอรฺ

แม้จะได้เตรียมหน”งสือไทยไป

แต่ใช้หน'งสืออย่างอ'กขรวิธีของโปลลารฺค

พยายามของเขาอย่างดีที่สค

ที่จริงอ”กขรวิธีของโปสลารฺคนนเหมา

สำหร”บชนชาวเขาผู้ไม่มีเสียงพย"ญชนะฅวททํย ต่างก”นเพียงเล็กนอย

ควยความ

และท*ง์เสียงสูงตาก็

แต่จะเอามาเขียนเบ็่นภาษาไทยนนไม่สะดวก

เพราะถอยคำที่เบ็๋นภาษาไทยมีเสียงสูงฅํ่าต่างก”นตามเสียงพย่ญช ๖ เสียง ยี่งกว่านไเยำปรากฏว่า ชนชาติไทยแปลกกว่าชาติอื่นที่ถือตว และภูมิใจในคำว่า ไทย

อย่างไทยชาวใต้ซึ่งหมายความว่า อสระ

เพราะฉะนน กิจการที่เกี่ยวก*บเขานนไม่ว่าอย่างใค ๆ จะตองเบ็นไทย ท^ในการเขียนและในการพูด ขำพเจำก็เรีมลงมือ เมื่อตกลงว่าจะคองพ”กอยู่ที่จำหวดนแลว ทำการ และนายเม็คก”ลฟฺก็เรี่มคนเรียนภาษาไทย

ไม่ใช่จะต^บทเรียน

ให้เขาทุก ทุ ว”นเท่านน ยำต่องสอนหนำสือไทยเหนือให้ควย ต่อมาไม่ ชำขำพเจำก็บวย และอย่ในที่นอนต่ำแต่ว'นที่ ®0 จนถึง ๒๖ มิถุนายน จึงหายบวย

ในระหว่างนนแหม่มดอดดุ ผู้พยาบาลขำพเจำก็ไต้สอนเขา

แทนขำพเจำว่นละ ๒ ชำโมง สอนอยูสองสปดาห ฅ่งแฅวนท้ ๒๖ มิถนายน จนถง วนท ๖ กรกฎากม พ.ศ. ๒๔๖๑ พวกเราได้ไปเที่ยวด'เม'■นื^^

ได้ชมภูมิประเทศอ'นงดงามหลายแห่งฺ

ซงภูเขาอํนงคงามเหล่านั้ไค้ทำให้ใจขำพเจ็าชึ่นบาน

และ

ก็สดชื่นทำให้เกิดกำล'งกะปร้กะเปร่าขน ขำพเจำได้เที่ยวชมภูเ จนเกือบจะจำได้ทุก ทุ ลูก

และได้เดินไปดามทางระหว่างเนินเขา

ซึงเบนทางที่สรำงขนเองโดยอำนาจแห่งผเทำของชาวเขาน'บตงรอย ได้ใช้เดินก*นมาเบนเวลานานจนเบ็นทางเรียบ

ในว*นที่๗ กรกฎาคม แหม่มดอดคุได้เบี่ดโรงเรียนสำหร'บเด็ สอนภาษาไทยขนในตำบลนโรงหนึ่ง

ในกร*งแรกมีน'กเรียน ๖

น'กเรียนเหล่านึ่โดยมากเบ็๋นหญิงรุ่นสาว บางคนก็แต่งงานแ

น'กเรียนคนหนึ่งเบ็๋นหญิงสาวอายุ ๑๙ บี่รูปร่างสวยกว่าเพื เรียนหนำลือมาแลำ

เขามีชื่อเบ็๋นสองภาษา

คือเบ็๋นชื่อภาษาไทย

ก'บภาษาจีน ชื่อจีนเรียกว่าหลีเจา น'กเรียนเหล่านึ่ได้ เท่าใดก็อ่านหนำลือไทยเหนือออก

ภาษาของชนชาติไทยพวกนึ่

เดียวก'บพวกไทยที่ไม่ได้ถือพุทธศาสนา

คือไม่มีตำบาลีปนอย

เพราะไทยพวกที่ถือพุทธศาสนานนคำที่พุดใช้ให้ร้กนในทางศาส เบ็่นคำเนื่องจากบาลีโดยมาก

แต่ไทยแถบแม่นายางสีนื่

ประโยกติดต่อให้เบนเรื่องราวก็ม'กใช้ภาษาจีนปนเขำคำย

ถำจะสำ

แลวมีถอยคำโดยมากที่เขาพุดกนคลำยไทยแต่อย่างภาษาตลาด ชน

ที่สืบสายโลหิตก่นต่อมานานโดยลำพำและไม่มีหนำสือที่จะบำ

ให้เบ็่นแบบเดียวก”นเช่นนีจึงมีการออกเสียงผนแปรไปหลายอย่ ก'น

เหตุฉะนไเในการสอนศาสนาแก่พวกนื่

เบ็๋นประโยคก็ดี

การพุดออกเบื่นตำ

จะตองเอากำจีนมาประกอบความหมายใช้ในทาง

ศาสนาจึงจะได้

โคยอาศ'ยกวามพยายามสืบคนหาถอยกำในภาษาไทย

และภาษาจีนประกอบบำงไม่ถึงสองเอื0นฤญ็'นผลสํๅเ,เา) พอจะทำให้เขาเขาใจทางศาสนาได้บำง

และใช้สอน

เมื่อโรงเรียนนค่อยเจริญขํ้น

ขาพเจาและแหม่มตองเอาใจใส่แต่งบทเพลงสวดมนฅ์เบ็'นภาษาไทย มากอยู ๑๔ สิงหากม

พวกเราได้ออกเดินทางไปย่ำจ่งหว'ค่เหนองหลวง

ฝนตกหน'กจึงไม่ได้ออกเดินทางไปไหนจนล่วง๑๐ว'นไปแลำ น'ใาเรียน ไทยนนไปควยก'นก'บขำพเจำ เครื่องเสบียงบนหลำ

เขาแต่งตำเดินทางคน่ารนัเ

สะพายกรำ

ส่วนผู้หญิงก็สะพายห่อผำสวมหมวกจีนบื่กกวำง

พวกเราได้มาหยุคพำร”บประทานอาหารกลางว'นบนยอดเขาใกล้ตึกรำง หลำหนึ่งได้กวามว่'แบ็๋นของนายทหารแก่กนหนึ่ง สนกคี จ

มาแลว

การเดินทางขั้น

ได้ขำมเนินเขาซึ่งขำพเจำได้เกยมาเที่ยวครหั้หนึ่งเมื่อ ๖ ส'ป ที่ฅำงเดินทางนึ่อีกก็ประสงค์จะไปหาหมู่บำนชนชาติไทย

ที่ฅ^งอย่ในแถบนน

ภเขายอดสูงมีหลายลูกและเบนเงํ้อม’ขั้ามีหนทางเล็ก

เขำไปยำตึกรำงที่กล่าวมาแลำเจำของตึกนนเขำใจเลือกต*งบำนเหมาะ มาก

เพราะภุมิประเทศงามโคยรอบ

บางท้จะเบนซ่องโจรจึงได้อยู่

ลึกล'บให้พนลื่นกนไปมา ขำพเจำมาถึงหมู่บำนชนชาติเมื่ยวเวลา พำและแรมกืนที่นี่

พวกเราพำที่โรงติคก่บกอกมำ

ล•บ-

ซึ่งจะฅองหย

ท^งอยู่และท*งนอน

ควย มีพนดินเรียบ ฝาทำควยดินมีเขม่าจึบเพราะค*งั้เคาไฟกลางโรงฅรง ประฅูออกไปมีเลำหมู

ขณะที่ฝนฅกอยู่คลอควนพวกเราค้องผิงไฟโดย

๔๖ น์งลงบนมำยาวลอมเฅาไฟกลางโรง มีกนไทยอย่ ๑® คน

ชาวลิซ

เบ็นคนใช้ของนายเม็ฅคลฟฺ ๒ คน คนชาติเมียวและชาติอื่นอีก ๓

รวม?ๅโเผิงไฟ แค่โรงอาหารนนฅ*งอย่ห่ เงพนทุ่งนาสํกหนึ่ นนสะอาฅกว่าโรงที่พวกเรานอนเสียอีก

เขาได้เฅรียมไว้สำหรบ

พวกเรา

ได้ฆ่าหมูฅำหนึ่งสำหรบเลยง แลวเอาข่าวเจำมาจากจำ

สะปุชน

เพราะชาวเขาเหล่านึ่ไม่กินชำวเจำ

กินแค่ขำวโพดกบขำ

พางชนิดหนึ่ง มีไก่ดวย มีกระบะไม้อย่างใหญ่ใส่ขำวฅงไว้กลางโ

ชามใส่เนึ่อใส่ผ้กิและล่ำค่าง ‘ๆ ตงั้ไว้ขำง ๆ กระบะขำว การกิน คร"งนึ่ขำพเจำพยายามกินคำยตะเกียบเบนกร*งแรก พฤห"สบดี ที่ ๑๕ สิงหาคม เวลากลางคืน ขำพเจำได้มีโอกาสนอน ในที่สุง

ซึ่งดูเหมือนเบ็๋นยุ้งสำหร"บเก็บพืชพ"นธุค่าง

ขำวโพด ล่ำม"น และพืชอื่น ‘ดู ซึ่งยำไม่ได้กองไว้สกครึ่งพืนได้ ท

จึงแคบเขำเบ็๋นห"องเล็กพอตงเตียงนอนเดินทางได้ และมือากาศผ่านเข ออกทำให้นอนสบาย

พอรุ่งเชำจึงได้เดินทางต่อไป

ตามถนนบนภูเขาสูง ๆ ฅํ่า ๆ และช"นหลายแห่ง

ว"นนึ่ได

ทำให้ช"กชำจนไ

สามารถจะไปให้ถึงโรงขายอาหารจีนซึ่งกะไว้ว่าจะเบี่นที่พ"กกำงค เวลาจวนพลบคาจึงถึงหมู่บำนเล็ก ๆ แห่งหนึ่งไม่มีโรงขายอาหาร

เราได้ขออนุญาตเขำไปพ"กนอนในโรงซึ่งปลูกขนใหม่ ๆ ยำไม่เสร จะสกปรกก็พอทนได้ จะหาอะไรไม่ได้เลยนอกจากพืนและนำ

แค่

อาศ"ยร"บประทานอาหารที่เตรียมมาแลำจึงเขำนอน ศกร์ที ๑๖ สิงหาคม ได้ออกเดินทางในตอนเชา มาก แต่ตอนบ่ายหนทางเดินค่อยมีเรียบหน่อย

ถนนขรขระ

ถนนบนภูเขาท

นกค เคยวและออมคยิม แต;;รูฦ ปรูเ;ฦฎบ ค็วยพฤกษชาติเบน ยิน มาก ภูเขานีเบ็นเทือกยืคยาๅพนแม่นายางสีเช็าไปในแคนของมณ,ฑลเสฉวน มีไม้หลายพนธุและมีคอกสีค่ๅง ^ ขนอย่ทืวไป หลายอย่าง

และท^งผลไม้กินไค้ก็มี

แต่หาไค้พบหม่บ‘านไทยซึ่งหว*งว่าจะพบไม่

จึงไค้หนไปหาหมู่บ”านเมียว

เหฅุฉะน

ไค้พบโรงสวดของมิสชไเรีประจำชาติจีน

โรงหนึง พวกเราไค้ขออาศํยพ ในหมู่บำนเมียวน มาถึงที่นนเบ็นเวลา “กิ

กลางคืน ๙ ล.ท.

รู้สึกอ่อนเพลียมาก

เคืยินหงายถึงชำโมงหนึ่ง

เพราะได้เค้นในเวลากลางคืน

และหนทางคอนสุคทำยก็เบ็่นเขาสูงช'นเค้น

ลำบากมาก แต่เผอิญมีเด็กจุคไฅ้นำทางเค้นบนภูเขานึ่ในที่มีค จนกร ลงจากเขาไค้

แต่ผู้หาเสบียงอาหารย่งมาไม่ท“น

พวกไทยที่มาควย

จึงเอาม”นต่มมาให้หม”อหนึ่ง ซึ่งขำพเจำได้กินก”บเนยกระ!เอง และรู้สึก ว่าไม่มีอะไรจะดีกว่านึ่

เสาร์ที่๑๗สิงหาคม คนไทยที่อย่ควยขำพเจำก็กล”!)ไปบำนแต ทางเค้นต่อไปนนเบนทางลาดจากเนินเขา เมื่อยี่งใกล้หุบเขาเขำมาก็ไค้ พบธรรมชาติที่งามน่าดมากขน ทำให้คิดถึงภูเขาอ”ลบฺในยุโรป มีหมู่บำน หนึ่งคำยิย่ในหมู่ไม้ริมเชิงเขา หมู่บำนนึ่มีชื่อว่านะโส เจำของลื่น

มีทะเลสาบนอยอยู่ขำง ๆ นาใสสะอาด

เบ็นหมู่บำนสำค”ญแห่งหนึ่งมีชนชาติไทยเบ็น

นอกเชิงเขานึ่ออกไปเบ็นนาซึ่งมีฅนขำวกำลำขนเขี

อย่เค็มทุ่ง

และเมื่อแลออกไปในทุ่งนานน

ก็เห็นหลงคาเรือนคำอ

หม่หนึ่งราว ๓0 หลำ เรียกว่าจำหวดหนองหลวง เบี่นลื่นของชนชาติ ไทย

ฅามทางแคบที่!ก้พเจำผ่านภูเขาไปนนมีเงอมสูงชนคำขนประด

กำแพง มีไม้เลอยกล้ายเชิงชายประกอบสองข่างทางมีที่ว่าง ต่อออกไป

เบ็นพืคเขายื่นออกไปทางขวามือฅามลำแม่นำยางสีไ

พืดเขาสูงในมณฑลเสฉวน

เมื่อพนหม่บำนนะโสแล้วก็ถึงถนนหินยิ

ขรุขระ ไม่มีอะไรนอกจากหินล้อนใหญ่

อย่ในคินเบี่ยกและมืน

แฉะ

ขำพเจำลงจากเล้าอหามแ

และมีนาไหลขำมทางเบนแห่ง ‘ๆ

เดินดำยเทำ

เวลาเดินไม่ไค้คูอะไรนอกจากคอยระวำล้าวให้ดีเท

ส่วนเด็กหญิงไทยที่มาล้วยก็พาล้นเดินพลางหำเราะกนพลาง และ เดินลื่นหกล้ม

ฅวขำพเจำเองก็เดินไม่ตรง

ล้องคอยพยุงตำเ

หกล้มเหมือนกน

เมื่อพวกเรามาถึงหมู่บำนในจ่งหวดหนองหลวงนนแล้ว ชาวบำน

ได้ให้พวกเราพำในเรือน เรือนนํ้เบึนฅึกดินสองชนแบบจีนหล้งก

ชนบนสำหล้บนอน นายเม็ฅคัลฟุอยู่หองทางครำไฟ ส่วนขำพเจำอย คอกมำ

เมื่อขำพเจำน”งบนระเบียงหนำหองนนแล้ว

เด็กหญิงไทย

ล้วยนนไค้นำพ่อแม่และย่าของเขามารู้จกกบขำพเจำ ขำพเจำมีกวาม พอใจเบนอนมากที่ได้เชำมาอยู่ในระหว่างครอบครำไทย

หญ

เด็กหญิงแต่งตำใส่เสอสนและหลวม แต่นุ่งกางเกงจีน เขาบ

ซอเสอผำอย่างอื่นไม่ไค้นอกจากของจีน หญิงรุ่นแต่งตำใส่ และผำกาด

แต่หญิงที่เบ็'นผู้ใหญ่แล้วหรือหญิงแก่น

คล้ายนุ่งผำถุงอย่างเคียวกบหญิงชาดิเมื่ยวและหญิ

น่าล้งเกตอย่างหนึ่งคล้ายจีน คือที่ขำงในหล้งบำนมี สำหร่บใส่คพคนแก่หง่อมในกรอบครำใบหนึ่งเสมอ 4

*

1นวนฅ่อมาชาพเจุาได้ไปเที่ยๅฤามหม่บ๎านไทยหลๆยแห่ง ได้ผ่านฅลาคในเมืองแห่งหนึงมีกนมาประชุมกนมาก ขาพเจาไปฅามบานและที่ฅลาคนน

ระหว่างเวลาท็

ขำพเจด้ได้เอาหน”งสือเล่มฅ็นของ

ขาพเจาออกแสคงและล่งสอนเขาควยภาษาของเขาเอง ไทย

แล

แม้แฅ่เขาจะอย่กระจ'คกระจายห่างก”น

ชนในถื่นนเบ็น

ซึ่งช่วยเพี่มสำมะโนครำ

ของถี่นนนก็คี เขาก็มีกวามรู้สึกภูมิใจในความเบ็นชาติของเขาอย่างเคียว

ก*บชนชาติไทยที่มีจำนวนมากอยู่ในส่วนใฅ้ของมณฑลยูนนานหลายแ ในมณฑลกวางซีโคยมาก ในเขตเมืองขั้นของฝรำเศส ไทยทำหมด

และในประเทศ

ชนในตำบลที่ขำพเจำไปพกอย่ในว”นนพคว่า บรรพบรษ

ของเขาไค้อพยพมาจากทางทิศใต้คือเมืองที่เรียกว่าเมืองขำวเหนียว เมื่อ สิบเอ็ดชำอายคนมาแลว

ชายแก่กนหนึ่งซึ่งมืหูยานมากแลำได้พูดอย่

แน่นแพ้นว่า เราเบ็่นไทยแท้ พวกเรามืเวลาพกอย่ที่จำหว*ดหนองหลวงนึ่เพ้ยงสามสำเดาห์ นอยนก

แลำเดินทางกลบมายำจงหว*ดยูนนานฟูเมื่อขากลำนนขำพเจำ

ได้ไปเยี่ยมสถานสอนศาสนาประจำชาดิลิซู. นายและแหม่มโกวแมน ผู้ เบ็่นมิสช”นรีไค้รำรองเลยงดขำพเจำเนึ่ม■ธย'''รคื

สถานแห่งนึ่เบน

กลางสำหรำสอนศาสนาแก่พวกลิชูศางแด่^ดา^ช®^'^ชดดิชด็งามแล นาค

เมอวนอาทตยขาพเจาไดเห”แพวกลชู ®0๘ คน

เขำรีฅศาสนาศริสตใ”แโรงสวด กน

ใชเวลาถง

ชวโมง

กาลงทาพ5

และในวนเคยว

นายปอรฺเตียสก็ได้นำพวกนะโสแจำพิธี'’!งมื®'แดแ

ส่วนนายและ

๑0๐

แหม่มโกวแมนนนก็ได้เดินทางมาย่งฃ์งหวํคยนนานฟูก้บขำพเ ถนนบางแห่งที่มานนมีหญำรก ก็ชํนจนเกือบเดินไม่ได้

บางแห่งก็มีพุ่มไม้คลุมทาง

กนหามเก้าอนำและคนขี่มำฅองลำบา

บางทีกืมีก้อนหินใหญ่‘ๆ ระเกะระกะ บางแห่งก็เบ็๋นหล่มเบนโคล กว่าจะถึงจำหก้ดยูนนานฟูก็หลายวน

ขำพเจำอยู่ที่จำหวดยูนนานฟูอย่างสุขสบาย ต๒ วไ

ในเมืองนทำหมดพรอมกนได้เลยงส่งขำพเจำก่อนที่จะออกจากจ ยนนานฟูไป

ขำพเจำมีกิจธุระอื่นที่จะก้องทำอีก

และก้องเฅรี

เพื่อประโยชน์สำหรบชนชาติไทยในฅำบลอื่น ฯ

ขำพเจำยินด

ใจมากที่ได้พบมิสชนรีของสถานสอนศาสนาแห่งชาฅิฅ่าง ‘ก ที่มาประ

ในที่นํ้ยี่งนก นบว่าเบนการประชุมพิเศษภายหลำที่ได้กลบมาจา หนองหลวงคราวน

ของประหลาคอย่างหนึ่ง

คือประเทศไทย

สำหร”บพวกมิสชนรีที่นนก็คือประเทศที่เพื่งก้นพบใหม

ขำพเจำจึงได้ถูกซ์กไซ้ไฅ่ถาม และเขาขอให้ขำพเจำจดชื่อสถาน

ศาสนาของมิสช'นรีสำหร”บชนชาติไทยทำไปและสำหร”บไทยเหนื เฉพาะ

ขำพเจำก็ได้จดให้เขาว่ามีอะไรบำง

ชื่อสถานที่เห

จะให้เขียนจดหมายได้ถึงนน จดเบ็๋นก้กษรอำกฤษ บางแห่งก็แ ภาษาจีนไว้ มาก

นอกจากนึ่พวกมิสชนรีเหล่านไเต่างก็มีความพ

เมื่อได้ทราบว่าจะเบี่ดสถานที่สอนศาสนาขนใหม่ที

อีกแห่งหนึ่ง สำหร”บสอนชนชาติไทยที่อยู่ในแคนจีน

๑0(9

๓๐ กไเยายน พ.ศ. ๒๔๖®

พวกเราพาก"นออกเดินทางจาก

ยุนนานฟุ เพื่อไปย"งเชียงร้งต่อไป ในระหว่างเดินทางน"นแม้จะมี

ทำให้ถนนเบ็่นโคลนและมีผู้ร"ายอยู่บางก็มิได้ทำอ"นฅรายอย่างใคจึงไค้ถึ เชียงร้งโคยสว"สดิภาพ เมื่อว"นที่ ๒๓ ตุลาคม เบ็นเวลา ๒๔ วน แต่ ถำน*บฅงแต่ออกจากจ"งหว"ดหนองหลวงมาฅามแม่นายางสีแลวก็พ็น เวลา ๓๐ ว"นพอดี.

เตนทางในยูนนาน พ.ศ.

^0

การเดินทางผ่านมณฑลยนนานใน พ.ศ. ๒๔๖® คงจะมีเหตุการณ์ ที่น่ารู้แปลกไปบาง

ซึ่งเกิดขนภายหล”งจากเวลาที่ขำพเจำเดินทาง

ผ่านมณฑลนนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ มาแลว ส่วนมากในทองที่ที่ผ่านไปนน มีแฅ่คนจีน

พวกเราปราศจากยานพาหนะใด ฑ

นอกจากเดินคำย

เทำซึ่งชกชา จึงแลเห็นความเบนไปของจีนทุก ฑสี่งย”งกงใหม่และย'ง น่าดูอยู่เหมือนเดิม ๒๗ ก”นยายน

ขำพเจำอยู่ในยนนานฟูได้เฅรียมการสำหร”บเ

ทางไว้พรอมเสร็จ

กำหนดจะออกเดินทางไปเชียงรุ้ง๓ ๐ ในว”

ขำพเจำเพี่งจะกล”บจากซานฟรานศิสโคเพียง ๖ เดือนเท่านน

ย”งไม่ท”น่พนฤดูฝน แต่ฝนก็ไม่สู้ชุก มิสช”นรีผู้เบ็่นหมอใน ยนนานฟ่

ได้ท”ดทานขำพเจำมิให้ออกเดินทางในขณะนขำพเจำมีกวาม

รำ]นใจยี่งน”ก

ดำยเกรงว่าจะไม่ท”นการประชุมมิสช”นรีที่จำหว”ด

ซึ่งกำหนดไว้แน่นอนแลำ

ขำพเจำรีบจ”ดกิจการที่ขำพเจำได้สิทธิพิ

ทำได้ในเขฅจำหว”ดวฅิงเพื่อประโยชน์แก่ชนชาติไทยแถบลุ่มแม่

เสร็จแลำ ก็ฅํ้งใจว่าจะฅองรีบไปโดยไม่ผ”ดเวลาต่อไป โดยเหตุที่ขำพ ได้ร”บหนำที่ใหม่ไปประจำอยู่ไน■จำหวดเชียงรุ้ง

นาย เจ. แ

แทนคณะมิสช”นรีในยูนนานฟูไค้จดการขนสม■ภาระต่าง ๆ

โดยใ

๑0๓ เบึนพาหนะส่งเสียขาพเจุๅ

ข’าพเจุาบอกๅาจุะรยิข็า!ม่ได้เพราะได้ฅ

ใจแลวว่าจะออกเดินทางตามที่กำหนคไๅ แม้จุะมีฝนและโกลนเฉอะแฉะ มาเบนอุปสรรกกฅาม ในยนนานฟฝนตก ๑๒ วนต่อคร^ง ระยะทางจาก

ยูนนานฟูไปเชียงรุ้งมีที่พกตามทาง ๒๓ แห่ง และมีโจรผู้ที่ายชุกช แฅ่มีทีน่ากลำที่สุคอยู่แห่งเดียว

เจำพนกงานจีนได้ตามกำก”บบองกนส่ง

ขำพเจพงรู้สึกอุ่นใจ ว่ากงจะปลอคภ่ยไปถึงเชียงรุ้งก่อนสนฅุลากมเบ็๋น แน่ ส่วนกวามลำบากต่าง'ๆ ในการเดินทางนน เมื่อได้ออกเดินเรื่อย"I ไปสองสามว”นก็คงจะค่อย "I หายไปเอง

เพราะขำพเจำได้ค้นต่อความ

ลำบากมาแลวแต่กร*ง์อย่ในประเทศไทย เคยขี่มำเดินทางฅลอคทงว”น่ไป บนถนนอนขรุขระและทุกฤคูกาล สบายมากและบองก*น

เกำอหามมีเก๋งซึ่งใช้ก”นในถ็่น

เมื่อเปรียบเทียบก*บเกำอั้ธรรมดาซึ่ง

ขำพเจำเคยใช้เมื่ออยู่ในเมืองไทยแลำ

ดีกว่าก”นมาก

เครื่องส*มภาระต่าง ๆ นนได้เอาขนบรรทุกหลำลา ควบอุมไป ก่นยายน

มืหำหนำกลี

และให้ออกเดินทางล่วงหนำไปก่อนฅงแต่ว่นเสาร์ที' ๒๘ ท*งๆ ที่ฝนกำลำชุกอยู่

ขำพเจำและครอบกรำพรอมควยคน

ใช้ได้รออย่จนว*นจ”นทร์ฅามกำหนด กลไฟเล็กขำมทะเลสาบยนนานใป

เพราะจะแยกไปทางล”ดโคยลงเรือ

จะได้ไปพบหมู่พาหนะในตำบลที่ได้

น*ดก*นไว้ จ่นทร์ที่ ๓0 ก*นยายน พ.ศ. ๒๔๖®

ขำพเจำฅื่นแตํเชำเฅรียม

การออกจากบำนเวลา ๙ ล•บ- เรือกลไฟที่จะขำมทะเลสาบนกำหนดออก จากทำเวลา ๘ ก.ท. แหม่มคอลลินสฺได้วิศเศรืยน®าหาวให้พ'ด้อม เด็กใช้

๑0๔

ทีฌ็๋นไทย ๔ คนณ็ฅรียมตํวหาบหามขิาวของจะออกเดิน ทีขนของหน”ก 'ๆ ย”งไม่มา ให้ความสะควกในเรื่องน

ขทีพเจทีจึงไปหานายแกรแสมผู้จะช่วยเ

จึงไค้ให้คนกุลีมาขนขทีวของออกจากบท

นายคอลลินสฺขี่มทีฅามไปส่งขทีพ เจทีแต่นายโกว แมนเดิน

ส่วน

แกรแฮมนนล่วงหน้าไปเพื่อไปบอกเรือกลไฟว่าพวกเรากำส่งเดินมา นอกเมืองยูนนานฟมีนํ้าท่วมพื่นดินท”วไป สูงขนปลูกฅนไม้ขทีงถนนเบ็'นแถวฅรงไปย่งทะเลสาบ ทำนบกนนา

แต่มืถน

ถนนนนดูคลทีย

พวกเราเดินมาฅามถนนนนจนไม่ชทีถนนก็หายไปในนา

นายไกวแมนผู้ฅามมาส่งไค้จ”ดแจงขนขทีวของลงบรรทุกเรือ ขทีพเจทีก

ครอบครำและเด็กใช้คนกุลีก็ตองลงเรือแลวแจวไปบนไร่นาซึ่งม สกชวโมงหนึ่งก็ถึงที'เรือกลไฟจอคริมผึงทะเลสาบ

นายคอลลินส

ยืนอยู่และคอยตูเรือกลไฟออกจากท่า เมื่อพวกเราลงเรือกลไฟเรียบรอย

แลำ เรือกลไฟก็ใช้จกรออกจากท่าเวลา ๙ ก.ท. กึ่งแทนที่จะเบ็น ขทีพเจทีไค้รํ๋าลามิตรสหายที่ตามมาส่งควยความอาล”ย

ต่างก็

ยินดีและเพ่งตูก”นจนก1ะท"งเรือล”บฅาไป ขทีพเจทีนอนลงบนเกทีอดาคพ้าเรือ

ตองห่อตำอยู่ในเกทีอจ

ฅลอค ลมเรืมพ”คแรงและมีคลื่นมากขํ้นทุกที จนเด็กคนใช้และคน พาก”นเมาคลื่นตามก”น

จนชนจะจ'ดอาหารให้กินก็ลำบากมาก เร

ต่อมาในทะเลสาบจนเวลาบ่าย ๓ ล.ท. ใกล้ท่าเรือ แลำลงเรือเล็กแ ผึาทุ่งนาต่อไปอีกช"วโมงหนึ่งจึงขนผึงไค้

การขนผึงนึ่มีเรื่องขลุกขลำเล็กน้อย คือชายหนุ่มสว

ของร"^บาลจึนกนหนึง ไค้พูดรองขออะไรอย่างหนึง แต่ก็ไม่

(^0(^

เพราะไม่เขาใจภาษากิน อาหาร

.นที่สุดข*าพเจกิก็ขนเก*าอหามไปย่งโรงขาย

มีคนบอกว่าเจ*าพนกงานจีนได้กกตวเด็กเข้ชาวยางสีกนที่ใ

กว่าเพือนไว้ทีท่าเรือ

ข*าพเจ*าจึงรืบกฒัไปก'บกนครวซึ่งไข้เบน

จึงได้ทราบว่าสี่งทีเจ*าพน”กิงานจีนกิองการนน กือหน”งสือเดินทาง รุ่งขํ้นวนอ”งการที่ ๑ ตุลากม พ.ศ. ๒๔๖® ข*าพเจ'าออกจาก โรงขายอาหารไปฅามถนนอ”นเรืยบและไม่มีโกลนเฉอะแฉะเหมือนกิง ทีนึก

จวนเวลาบ่ายก็เข*าไปในเมืองได้ตามที่น”คไว้

ณที่นนเครื่อง

หีบห่อและสมภาระของข*าพเจ*าได้มากอยอยู่ในเมืองแล*ว

หำหน*าที่

กุมมาพูดว่าเขาจะออกเดินทางในว’น,รุ่งขนยํ งไม่ได้ แต่ในที่สุคก็เบ็่ ตกลงว่าจะต*อืงเดินทางในว'นรุ่งขน เท่านน

ข*าพเจ*ามีส”มภาระเพียงสองหีบ

รุ่งขนว'นพธได้ยกกองออกเดินทาง

ทางที่เดินนึเบ็นทางบน

เนินเขา มีภูมิประเทศงามมาก แต่ขำพเจ*าอยู่เสียในเก*าอหามเพื่อให้อุ จึงไม่ใคร่ได้เห็นภูมิประเทศกี่มากน*อืย

ได้แต่สำเกตเห็นเครือเถาและ

พณัธุไม้ที่ขนเบนซุ้มเบ็่นเซิงมีดอกสวยงามตามขำงทาง เวลาบ่ายมาถึงหม่บำนเชิงเขา

คนใข้ได้ขอให้หยุดพก ณ

เพื่อคอยหมู่ลาต่างที่บรรทุกของคามม''ซำงหลำ มาก็เหลืออยู่น*อย

และทงเสบียงที่เต

กนใช้ได้พาไปยำโรงขายอาหารซึ่งมีของขายอย่

ตามมีตามเกิด ณที่นน พวกเราก็พกที่โรงขายอาหาร ที่นนมีที่ไหว้จำว ทำเบ็นโฅ๊ะอยู่ริมฝาคำนหลํงมีเ^องื่องบูชา^^ล-แวิอม-

และต่อออกไปก็มี

โต๊ะเครื่องบูชาอีกโต๊ะหนึ่ง เมื่อยำจึดการพำาไม่ทนเรียบรอย ก็พาทนตกใจต่วยได้ทราบข่า'าร่า

จะมีโจรราวสีรอยคนยกเรภ้ปล’นหม่

๑0๖

บานน พวกเราฅ็องรีบขนหีบเสอผำเข็าซ่อนไว้ในกองฟางที เทือให้พนโจรผ้ร"าย

ข"าพเจ^าไค้รออย่ฅลอดเวลากหามีโจรเ

ศุกร ที่ ๔ ฅลาคม เวลาเชาไค้ยายจากโรงขายอาหารแห่งนี

ไปพก

โรงขายอาหารในตำบลอื่นแลวเดินทางต่อไป อ”งการที่ ๘ ฅลาคม

พวกเราไค้มาถึงยวนเกียง (Vแ3กI^

ณ จ”งหว”คนข"าพเจ"าได้เคยเดินมาบรรจบทางที่ฅรงนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕

กร*งหนึ่ง และจากยวนเกียงไปโมไขึก็เดินทางเคียวก”บคราวก

ในคราวนึ่ไค้เดินทางผ่านเฉพาะดินแคนลุ่มแม่นาแดงเท่านน ซึ่ การเดินทางคราวก่อนเล็กน"อย และคามทางนึ่ก็ไม่ใคร่ไค้พบชนชาติไทย น”ก

ค"วยม”กฅํ้งบ"านเรือนอยุ่ลึกจากทางใหญ่เข"าไป

และจะห

ไปเที่ยวสืบสวนในขณะที่กำล”งเดินทางอยู่นึ่ก็ไม่ไค้

การเดินทางในดินแดนลุ่มแม่นาแดงนึ่ มาตามที่ราบระหว่ ถึงฅลาดเล็กแห่งหนึ่งข"างทาง ส”งเกฅได้ว่า

ก็มีคนหมุ่หนึ่งมามุงคพว

คนเหล่านึ่เบ็๋นชนชาติไทย

คนไทยฅณเต่ออกเดินทางมา ภูมิลำเนาอยู่มาก

เบ็๋นกร*งแรกที

ในแควลุ่มแม่นาแดงนึ่

มีกนไทยค*ง

ข"าพเจ"าส”งเกคดคำที่เขาใช้พูดจาก“นก็พอพงเข"า

เทืยงแต่ส”งเกฅในเวลาที่พ”กอยู่ไม่นานก็ย”งเข"าใจง่ายกว่าที่จะพ

ของพวกไทยอย่า ซึ่งข"าพเจ"าไค้พบกร"งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ นนเสียอีก กนไทยในหม่นนบอกข"าพเจ"าว่า ห"าหกหมู่เท่านน

มีหมู่บ"านคนไทยในที่ราบแถบน

แต่เมื่อข"าพเจ"าไค้ให้ยาควินินแก่ลกข

แล"ว เขาร้สึกขอบคุณข"าพเจ"า

และบอกต่อไปว่า มีหมู่บ"านชนชาติไ

๑0(11)

แถบนราว ๒๐ หมู่ เมื่อขิาพเจ่ามองดูรอบบริเวณทุ่งกวางน ก็ได้เห็น หมู่บานมีอยู่ราว ๑๒ หมู่ เพราะฉะนนจึงเชอว่า คงมีหมู่บ"านชนชาติไทย ไม่น"อยกว่า 1^0 ไ/เ^^!'^1ปี1โ!ฟิ!ไ ไก็เใม่)11-114ฟิไVI)VIใ!)'0ปีป็1นิ'^ 0เ111ถ8) ซึ่งเบ็๋นชื่อที่ไทยเรียกแทนคำว่ายวนเกียง ที่จะทำนาได้เบ็่นกร"งที่สอง วำ

ในทุ่งนํ้มีน

ชำพเจำได้เห็นคนกำลำใช้ควายไถนาแทน

ซึ่งตามปกติพวกจีนใช้วว

ขำพเจำได้เห็นควายถึง ๘ ฅำเทียมไถ

อยู่ในทุ่งน ถนนที่ชำพเจ่ามาในบริเวณนํ้มีฅ"นยางและไม้พุ่มต่าง ‘ๆ มีคอก กลม ฯ เหลือง "] ทำให้ชำพเจำอคคิดถึงบำนที่เชียงรายในประเทศไทย เา/เ 2^

เมื่อลงจากเนินเชาถึงสถานที่ฅงจำหว”คยวนเกียงนน รู้สึกว่าภมิ ประเทศเปลี่ยนไปท”นที ชอุ่มกำลำขนอย่งอกงาม

เพราะในท"อ์งทุ่งนนเต็มไปควยต"นิชำวเขียว เวลาบ่ายอากาศร"อนมากแต่ในเวลาเย็น

กระท”งกลางคืนมีลมพ”ดเรื่อย

พวกเราพ”กในโรงมำซึ่งปลูกขนใหม่

มี

หนำต่างกวำงเบนทางลมพ”คเขำได้เย็นสบาย เมื่อขำพเจำเขำไปในเมือง เลยเขำไปดุบำนรำงแห่งหนึ่งซึ่งมีกำแพงลิอมรอบ หลายหลำ

บางหลำไม่มีหลำคาและรำงไปแลำก็มี

สถานมิสช”นิรีจะดีมาก

ภายในกำแพงมีฅึก

ที่นึ่ถำได้ฅ"งเบ็๋น

ในเมืองยวนเกียงนีไม่ไค้พบคนไทยเลย

แต่

ขำพเจำทราบแน่ว่าในแถบนึ่ทํ้งหมอ เดิมเบนของชนชาติไทย พวกหม่ลาพาหนะของขำพเวิาน่น่ยงอยู่ห่า'3สออรึง!มล ได้พ”โแเรมในเมืองนน

โรงขายอาหารมีต^งอยู่หลายแห่ง

คนใช้เตรียมการจะออกเดินทางอ่อ!ปนน'

ขาพเจา รุ่งเชำเมื่อ

มีพวกเดินทางมาเบนเพื่อน

เดินร่วมกบพวกเรา

ผายเรามีคนหามเก'าอ ๙ คน

เด็กใช้ทีเบนไทย

ชาวยางสี ๔ คน คนทำก”บข'าวคนหนึ่ง กลีคนหนึง

และลาพาห

บรรทุกขำวของค่าง‘ว®® ฅํว กลี ๒0 คนหาบหามสี่งของค่ เอาไปให้นาย เฟอรเกสสนที่ข์งหวดโมไฮ ของพวกเราจากยูนนานฟู

ของ เหล่านึ่ส่งมาพร

พวกที่เดินทางร่วมควยมีหญิง

กบลูก ๒ คนน^งมาในเวกน คือ เปลหามเบนที่นอนทำควยเชือก มีคน

หามหำทำย กไ]มีผู้ชายจีน ๓ กนนำมาในเวกนรวมเบ็'น ๔ ควยกน ม

คนใช้และคนหาบหามสีง ของเครื่องใช้ตาม หล่งและมีลา พาหนะบรรทุก อก ๓ ตว เมื่อเดินทางมาถึงยีนปุกชน

ขำพ เจำไค้พบชาวฝรำเศส

ชื่อ อาช. ปาริสสฺ ผู้จดการบริษทบ่อแร่เกลือที่จำหวคโมไส เดินทางไปเมืองหลวง และจะ เลยไปแมนจูเรีย มาแลำ

เข

เวลาก่อนสองวนที่

เมื่อเดินวนเวียนตามหมู่บำนบนภูเขานนได้พบกนกไ)นายแ

แหม่มฟูลเลอรฺตน

ผู้เบ็่นมิสชนรีมาจากจำหวไเสเมำจะไปยำยูนนา

เพี่งมาพบกนครึ่งทาง ณ ที่นึ่

และเบ็๋นโชคคีที่มาพกใน

แห่งเดียวกน เมื่อขำพเจำแรมคืนที่ฅะลำเชียน นอนไม่ใคร่จะหลับ

ดำยเ

วาเบนทซงถงสญญาทพวกกุลหามเกาอ ๙ คนจะไครบเงินค่าจำงจุๅเ ขำพเจำคนละกรึงเหรียญ

เมื่อเขาเหล่านไ].ดินขำวเย็นแล้ว

เล่นการพนนกนส่งเสียงอึกทึกเกือบตลอดคืน เด็กคนใช้ช

นั้น ขำพเจำได้ให้นอนเสียในหองขำพเจาจึงไม่ไค้เขำเล่นลั



ขิาพเจาไค้สั๋ง์สอนเขาแลวว่า การพนนเบ็่นชองชํวรายมาก 1ช้'ไ

1นเวลา

๔ นาหิกาไค้ยินเสียงนาฬิกาปลุกขค้พเจ""าร้สึกฅำฅื่นตามเกย แต่โดย

เหตุที่อ่อนเพลียมากจึงไค้หลํบอีก

ในที่นํ้ข"าพเจ"าขอฬิดข"อกวามจาก

จดหมายเหตุรายวนที่แหม่มคอดดฺจดไว้นนมาลงบ"างเล็กน"อย “นอกจากในบริเวณลุ่มแม่นายางสีซึ่งมีสวนหมากสวนกล"วยแล"ว ที่นเบ็่นแห่งแรกที่ข"าพเจ"าไค้พบสวนกล"วย ยวนเชียงหรือยวนเกียง

เมื่อข"าพเจ้ามาถึงจ'งหว

ข"าพเจ"าไค้ซือกล"วยแจกให้กนใช้กิน

แต่เขา

ไม่ร้จ"กว่าเบ็่นผลอะไร เขาพูดว่าไม่เกยพบและไม่เคยกิน แล"ว่ข"าพเจ"า จึงบอกเขาว่า

พวกเราไค้เดินทางมาไกลมากตณเต่ประเทศไทยจนถึง

ที่นี่ พวกเราไค้มาถึงหมู่บ"านเชิงเขาเมื่อเช"านํ้ หมู่ส"ฅว์พาหนะที่บรรท

ข"าวของก็มาถึงพร"อมกน พวกเราเข"าไปพว้าในที่แห่งหนึ่งซึ่งอย่หล"งโร ขายอาหาร แต่พวกกลีไปพ"กในโรงห"องที่ข"าพเจ"าพ"กิน และมืดไม่มีหน"าต่างและพนสกปรกก็จริง

ถึงหากจะเล็ก

แต่ปราศจากเสียงอึกทึกและ

กลี่นเหม็น ®๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖®

เบ็่นว"นเกิดของสามีข"าพเจ"าเราไค้

เล็ยงอาหารก"นในโรงม"า ซึงมีชายคนหนึ่งนอนสูบผี่นอย่ที่ข"างโต

ประทานอาหาร และมีงภ้ฅวหนึ่งกินหญ็าอยู่ที่ข"างร"าน พวกเราไ โต๊ะอาหารมาหาอากาศสดชื่นที่ใกล้ประฅุ

ดุอาหารที่จะร"บประทาน

ก"น,นนไม่สมก"บที่จะเบ็๋นอาหารในพิธีว’นเกิด ไม่ช"ามีพวกเด็กและผ้ใหญ่ พาก'นล"อมดุพวกเราร"บประทานอาหารกน

พวกที่มาดุนนพูคกนัแบ็๋น

ภาษาจีน เมื่อพวกเราพูด?จ้บเขา ๆ ?าไม่เ‘ภ้ใจ

ข"าพเจ"'!ไค้ยินกนหนึ่ง

๑๑0

1นพวกนนพคเบ็่นสำเนียงไทย พวกเรา

พอเข”าใจเรื่องกไเได้

ภาษาไทยยางสี ให้ด

และ ในไม่ช็าเขาก็ใช้ภาษา

เมี่อข”าพเจำเอาหนงสือคู่มือเบืองฅ

ก็สํงเกฅได้ว่าเขาร้คำที่ไทยถือพุทธศ

เบืนอนมาก

และรู้คำที่เราใช้เบ็่นอนมากที่ไทยยางสีเองก็

สามโบท'วไป

ขำพเจำจึงมีความยินคีมากที่อาจอาศโ!คู่มือเบองด

ไทยยางสีนี

แผ่ศาสนาไปในระหว่างชนชาติไทยสุ่มแม่นาดำ

ของขำพเจำคีใจนกว่า ความรู้ใหม่นีมีค่าเท่าก'บวนเกิคของเขา

ในเวลาบ่ายว'นนนพวกเราได้ยกกองขำม แม่นาดำไปโดยสะพา แขวน

แลวเดินมาอีกส'กช'วโมงเศษก็เขำเขตจำหว'คปะเบืยนและหยด

พ'ก ณ ที่นี ขำพเจำได้พบปะชนชาติไทยหลายคน และได้สนทนาก'บพว

'เณั้ แม้แต่ผู้หญิงก็ยำได้พูดภาษาไทยก'บแหม่มดอดดุ ขำพเจำสำเกดว่ การที่ขำพเจำใช้ภาษาไทยพูดก'บ่พวกนํ้

ดูเขำใจง่ายกว่าท

ไทยชาวยางสีเมื่อพบคร*งแรก ขำพเจำหวำว่าจะพ'กอยู่เพื่อพด คำยเรื่องศาสนาแก่เขาบำง แต่เขาก็หารอพื่งไม่ ว'นรุ่งขํ้นก็ถึงจำหว'ดโมไส

ซึ่งขำพเจำได้ร'บ่การตอนร'บ่แ

เลยงคุของนายเฟอรุเกสส'น. เจำพน'กงานภาษีเกลือ ก'บ่นายและแหม่ม เบ็ฆด'ล ผู้เบ็่นมิสช'นรีชาวเคนมาร์ก และฟอกเกลือ ลึกถึงพ'นฟุฅ

ขำพเจำได้ไปคบ่อเกลือ

วิธีทำนนแม้จะเบ็่นวิธีโบราณก็น่าคุมาก

วิธีดํ

บ่อเกลือน

นายและแหม่มเบ็ฆดโลได้ส'งสอนศาสนาคริสต์แก่ชนชาติ

จีน ทำให้คนจีนกล'บ่ใจมาได้ราวยี่สิบกน

ระยะทางจากโมไสไปจำห!ดปุเออว'นหนึ่งเท่านน, ณ ที่นนมีบำน มืสช'นรีชาวจีนอยู่หลำหนึ่ง

ซึ่งเขาต”อนร ขำพเจำเบื่นอย่ 'บ่

6) 0) (วิ)

ขอบคุณเขามาก

และจากปเออไปอีก ๒ วนถึงจ่งหวดเสเม'า นายและ

แหม่มกฺแจรุการฺค

ได้รบรองเลํ้ยงคูอย่างแข็งแรง

จากจ'งหว"คปูเออทำการแทนนายพ่ลเลอรุตน

สามีภรรยากู

เพราะนายฟูลเลอรุฅน

เขาไม่อยู่

ระยะทางจากเสเมำถึงเชียงรุ้ง ๖ วน ทางในฅอนนํ้ไม่มีเหฅที่ ฅองน่าหวาคกลวอย่างไร เมื่อแรกถึงแลว

เมื่อถึงเมืองหรี่งซึ่งเบ็นตำบลของชาติลํ้อ

เกือบจะก ล่าวได้ว่าเบ็!นบ'านของข'าพเจำ ขำพเจำได้

เขำพ‘กกำงกืนทื่บำนของหวหนำตำบล นนบำง

ประกาศสำสอนชนในหมู่บำน

ขำพเจำรุ้สึกยินดีเบ็นอ"นมากที่ได้มาอยู่'ในระหว่างชนชาติไท

อีกกรำหนึ่ง เมื่อล่วงมาอีก ๔ วนก็ถึงเชียงรุ้ง ซึ่งนบว่าเบ็'นบำนของขำพเจำ ทีเดียว เชียงรุ้งเบ็๋นศูนยกลางของแกว'นลอ ซึ่งคณะมิสช‘นรีได้เบี่ดสถาน สอนศาสนาใหม่แลว ’ บำนที่ขำพเจำอยู่นนปลูกใหม่สำหร‘บขำพเจำ

กรีสเตียนในจำหว‘คนึ่ไค้ร‘บรองขำพเจำเบ็'นอย่างดี การฅำสถานมิส สำหร‘บจำหวดซ์งเรี่มฅ'น่ในบี่นึ่

หวำว่าคงเบ็นผลสำเร็จฅลอคไป

บนึ่

น‘บว่าได้จ‘ดวางโครงการสำหรบสอนศาสนาแก่ชนชาติไทยในประเทศจีน ซึ่งมีอาณาเขฅในมณฑลยุนนานฅำแฅ่เหนือสคจนใฅ้สุด ใฒัชีลำคบก่อยกำของชนชาติไทยที่ไม่มีหนำสือ

ขำพเจำมี

ซึ่งฑ้พเจำไค้จ

0๑155

ขณะทีเดินทางผ่านดินแดนลุ่มแม่นาแดงและแม่นำดำ

และหวงจ

ถํอยกำเหล่านในการสอนศาสนาแก่ชนชาติไทยเหล่านํ้ดำย กรนขำพเจำเดินทางผ่านดินแคนนเ31อ พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้พบปะ สนทนากำงกนไทยในที่นํ้และทางฅะวนออกใน33ณฑลยูนใเาน ฅลอคจน มณฑลกวางซ VI

ด้ใช้ภาษาพูดกไ]คนไทยเหล่านควยเรื่องกิจการท

เฤ

ปในชีวิฅทุก ทุ วไแขาก็เขำใจคี่

เขำ ใจได้ไม่

แฅ่ถำพดควยเรื่องศา

บไ]น ขำพ เจำ มีทไบ”ญชีลำคำง ถอย คำ ของ คนไทย ที่ ถือ

พุทธศาสนาคำย ซึ่งสามารถที่จะอำงถึงศาสนาได้โดยมาก และสาม ใช้แก่คนไทยแถบลุ่มแม่นํ้าแดงและแม่นาดำก็ได้

เมื่อโอกาสอ

ให้แลำก็จะเรี่มดำเนินการเพื่อประโยชน์แก'คนไทยที่ไม่ม ทุกหนทุกแห่งในแดนจีนต่อไป.

บทที่ ๘ ในตํงเกี๋ย เมื่อปลาย พ.ศ. ๒๔๕๕ คณะกรรมการมิสชนรีได้แต่งต^งให้ท่าน เรเวอเรนดฺ เอ็ช. เอส. วินเศนฅฺ

กับข๎าพเฑ้เบึ่นผู้ไปสืบคนชนชาติ

ที่พูคภาษาไทยในอินโคจีนของฝกังเศส และออกความเห็นเรื่องตํ้งสถาน มิสชนรีสำหกับชนพวกนนคํวย กำหนดเตินทางที่จะไปคราวนั้คือ ๒๙ มีนาคม พ.ศ, ๒๔๕๕ โดยสารเรือกลไฟฝกังเศสไปยำไซ่ง่อน พ.ศ. ๒๔๕๖

๓® มีนาคม ถึง ๓ เมษายน

พกที่ไซ่ง่อน ๖ ถึง ๙ เมษายน

๑๒ พำที่ฮานอย ๑๒ ถึง ๑๕ ใกล้พรมแดนจีน

พกที่ไยีฟอง ๙ ถึง

โดยสารรถไฟพำที่ลางเซินกับคองเดง

วนที่ ๑๖ โดยสารรถไฟไปเยนบาย

ไปพำที่วิเอฅรี

๑๗ ถึง ๑๘

คอยเรือกลไฟที่จะขนไปฅามลำแม่นาดำ . (ญวน

ซงเบ่อ) วนที่ ๑๙ พำที่จำหวดหำบินห์ ๒๖ ถึง ๒๘ พำที่โจโบท่าเรือ กลไฟใหญ่ ๒๙ เมษายน กลบฮานอย ๑ พฤษภาคม กลบมาพำไขึฟอง ท่านเรเวอเรนดฺวินเศนดุกบขำพเจำ ก็ได้ออกเดินทางจากกรุงเทพๆ กำหนดดำน

เรือกลไฟฝกังเศสเทียบท่าที่เมืองไซ่ง่อน เวลา ๑® ก.ท. จน ที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๕ เจำพนำงานฝรงเศสมาฅรวจสืงของที่จะ ตองเสียภาษี เจำพนำงานดู

เรามีใบแสดงสื่งของจากกรุงเทพ ๆ

และได้เอาออก

เขาก็ยอมให้ผ่านไปโดยไม่ต้องไขกุญแจเบี่คหี

๑๑๔

ฃาพเพ้ไค้รํบความช่วยเหลือจากสภาพบุรุษสองนาย ควยกวามเออเพ และฃอบคุณเขาเย้นอไเมาก

คือนายมิลเลอรฺโจบลินรองกงสุลอเมริ

กไ]นายการฺไลลุกงสุลอ'งกฤษ

ผู้เกยอยู่ในประเทศไทย

และเกยไป

จ“งหวคเชียงราย ไซ่ง่อนเบนเมืองงาม กรุงเทพฯ

ท*งฅ้วเมืองโคยรอบมืขนาดกรึงหนึ

มืตึกรไนบ*านเรือนก่อควยอิ^และคอนกรีต

สถานทีอนง

งามนนโคยมากเย้นที่ทำการร!บาล บไนขไราชการ บานผู้สำเร็จราชการ ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข

โบสถ์คาโธลิกและโรงละคร

ผู้ช่วยชาวฝรไเศสแต่งตำคำยเสิอผไสีขาว เครื่องแต่งกายอย่างเฟช*นปารีส

ผู้หญิงฝร*งเศสไช้

ญวนไม่ว่าหญิงหรือชายไว้ผมยา

เกลไมวยที่กลางศีรษะก่อนไปขไงหลำ ผู้ชายบางกนต*ดผมสน แต่ถึงจ เอาไว้ผมยาวหรือสนั้เก็ตาม

ตำงมืผไพ*นท"งนน

และนุ่งกางเกงท^งชาย

และหญิง แต่สำหร*บผู้หญิงใช้กางเกงคำขากวไง และสวมเสิอคำผ่าขไ ยาวต*ง์แต่กอถึงเข่า พวกญวนมืรุปร่างเล็ก‘คุ สะอาดตา และดชื่นบาน เที่ยงว*นที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๖ กลไฟฝร*งเศสมาในทะเลจีน

ออกจากไซ่ง่อนโดย

อากาศดีทะเลเงียบและปราศจากคลื

แสงตะวนที่ส่องมากระทบผิวนํ้าทำให้เบนเงาดงามมาก เมือเรอมาแวะทีฅูราน ไค้ขนบกไม่

อนเบนเมองท่าญวนกลางแต่ขไพเจไห

เพราะเวลาไม่พอ

จึงใช้เวลาอย่บนดาดพ้าอ

ฝร*งเศสโดยอาศ*ยพจนานุกรมฝร*งเศสที่ได้ซอจากไซ่ง่อนช่วย

บุรุษฝร*งเศสผู้หนึ่งซึ่งพูดอำกฤษไค้และเพี่งร้จกกนในเวลา(

ช่วยแนะนำและบอกให้ข่าพเจุาบาง นนประสงค์ๆะทราบว่า

การที่ข็าพเจ่าอ่านหน”งสือฝรํงเศส

ฝร’งเกีสได้เขียนเรื่องชนชาติไทยที่อยู่ใ

เขฅของเขาไว้นนอย่างไรบ่าง

นอกจากนข่าพเา)ที่ย”งได้อ่านหน’งสือลาว

เทียน ว่าควยประวตโยขึนํเบนอ”กษรโรม’น ซึ่งมิสช”นรีชาวสวิสสุประจำ

อยู่ที่จํงหว”คสงโกน ทางแม่นาโขงฅอนใต้ได้เบนผู้แปล ก็ได้ความรู พอควร

ขที่พเจ่าใช้เวลาเช่นนในระหว่างเดินทางในทะเลจีนจนถึง

ไสฟอง อาทิฅย์ที่ ๖ เมษายนถึงไสฟอง เวลาค์าได้พบก”บท่านเรเวอเรนคฺ บอนเนตฺผู้แทนสมาคมไบเบิลอ”งกฤษและค่างประเทศ ไปพ”กและร’บประทานอาหารเย็นที่บที่น สองคน

และพบนายฟรที่กฺ

เขาพาพวกเรา

ไต้พบภรรยาและบฅรของเขา

โสเครุแบรุก สมาชิกคณะครีสเตียนและ

มิสช”นรี ซึ่งขที่พเจที่พบที่จ’งหว’ควูเจาคร*งหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ ในว’น รุ่งขนเขาไต้เชิญขที่พเจที่ไปร’บ่ประทานอาหารก”บ่เขาควย ว’นํจ’นทรี ขที่พเจที่ได้ไปหานายว”ลเกอรุ คารุคออยลฺ ท่านผู้นึ่มีอ”ธยาศ’ยคีมาก

แห่งบริษ”ทนาม’นแสฅน ในเวลานนย’งไม่มีกงสุลอเมริก*น

ประจำจที่หว”คนึ่ นายว”ลเกอรฺได้ร’บ่แค่งฅงให้ดูแลชาวอเมริก”นํผู้เดิ มาในไอฟองแทน

ขที่พเจที่ทราบว่า มิสช่นรีชาวสวิสสฺฅงสถานมิสช’นรีทำการสอนอยู่

โดยอิสระที่จ่งหว”ดสงโคนแค่ผู้เคียวมีนามว่า เรเวอเรนดฺ เอฟ. ออเคฅ สำหร”บ่สอนศาสนาแก่ชนชาติไทยในอิน'โคจีนของฝรีงเศส

ขที่พเจที่ไต้

ซํ้คหนที่สือจคหมายเหตุประจำบี่สำหรํบ่อินโคจีนของฝรํงเศสประจำ

๒๔๕๕ เล่มหนึ่ง

หนํงสือเล่มนึ่ให้กวามรู้แก่ข็าพเจามาก นายบอน

ไค้พาพวกเราไปย”งสถานีตำรวจ เพื่อให้นายตำรวจตรวจหนงสือเค้นท พวกเราจึงพากนขอบใจนายบอนเนตฺมาก ว”นรุ่งขํ้นข่าพเจ่าได้ซอแผนที่จ'งหว่ดต่าง

ของต

ไทยต"งภูมิลำเนาอย่ ข'าพเจ่าไค้ร"บประทานอาหารก*บนายกลาสสุผู้จดการ บริษํทนามนแสตนดารคออยลฺ

๙ เมษายน เวลา ®.๔๐ ล.ท. ขนรถไ

ไปชิานอยเมืองหลวงของต"งเกี๋ย ถึงฮานอยเวลา ๕ ล.ท. พ"กอยู่ที ฮานอย

เช"ารุ่งขนไปหาบาทหลวงฝร*งเศสมีนามว่า ปาสเตอรวาเลฅฺตฺ

เขาไค้พาข"าพเจ"าไปย"งที่ทำการของบริษ"ทนาม"นซึ่งต^งอยู่ในจ่งหว" ข"าพเจ"าไค้พบนายย"งชาวจีนผู้รู้การศาสนาดี ศาสนาคริสต์

และเบ็๋นผ้ช่วยในการสอน

นายวินเศนฅฺผู้เบนกรรมการมาด"วยก"นก"บข"าพเจ"นนร้จก

ภาษาฝริงเศสซึ่งจะเบนเครื่องช่วยให้กิจการที่เราจะกระทำนนสะด อีก

พวกเราเพื่งจะกะกำหนดการเค้นทางลงไปแน่ไค้เมื่อไค้ร"บโ

จากหมอโลวรี

ผู้เบ็นประธานของที่ประชุมคณะมิสช"นรีประจำชาติจี

ถามถึงเรื่องกำหนดว"นที'คณะสำรวจชนชาติไทยในมณฑลยูนนานแล

มณฑลกวางซีจะไปเมื่อไรแน่ จึงทำให้ตองเปลี่ยนแปลงกำหนด ทางเล็กน"อย

วนรุ่งชนพวกเราไค้ร"บเชิญไปร"บประทานอาหารก"บท่านปาสเดฏร วาเลตฺตฺพรอมควยภรรยาของเขา ศึกษาดี

แหม่มวาเลฅฺฅุเบนสภาพสตรีที่มีกา

เคยเบนครูสอนภาษาอ"งกฤษในโรงเรียนฝร’งเศสก่อนแต่ง

และพูดภาษาอ"งกฤษไค้ดี ท่านปาสเตอรฺวาเลฅฺฅฺมืความยินดีมากและทร

(0๑0)

ชวยเหลือในกิรีการของพวกเราใ'แค7งนั้ ทํ้งนายบอนเนฅฺและนายโสเครฺ แบรฺกก็มีความยินดีเห็นชอบควยเช่นเคียวก'น พวกเราไปยงสถานีตำรวจเพื่อลงทะเบียน เดินทางไปในที่ใด

และขออนุญาฅให้พวกเรา

ไค้โดยไม่มีข"อขดข'องอย่างใค

เชาวไแสารที่ ๒๒ เมษายน ยงลางเซิน

เวลา ๓ ล.ท. เขาไค้พา

ไค้ออกจากฮานอยโดยทางรถไฟไป

พอรถไฟแล่นมาไค้ย'งไม่ถึงครึ่งทาง

ลกษณะบ"านเรือนด่าง "I เบนแบบไทย

ข"าพเจ"าส'งเกดเห็นว่า

ดามทางที่ผ่านมานนเปลี่ยนจากแบบญวนมา

ท*งผู้กนนนก็แสดงให้เห็นว่าเบนคนไทย

ไกล ‘ๆ ออกไปยึงจะมีคนไทยมากขน ในห"าของทาง

ยึงดามไร่นา

พอรถไฟแล่นมาไค้ประมาณสาม

ก็มาหยุดที่สถานีดรงหม่บ"านแห่งหนึ่งซึ่งมีบีา

อ"กษรโรมนว่าบ"านใหญ่ และไค้ยินว่าในหมู่บ"านนนเบ็'นชนชาดิคนใหญ่

ซึ่งเบนชื่อไทยพวกหนึ่งด"งที่ช"าพเจ"าไค้เกยพบมาในมณฑลยูนนานดอน ใฅ้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ ข"าพเจ"าสนทนาก"บพวกคนใหญ่ไค้โดยไม่ข"ดข"อง และไค้ซ็อขนมจากหญิงคนใหญ่ เขาทำดีมาก

ขนมนนทำค"วยข"าวเหนียวปนก"บถ"ว

ท*งกนและขนมก็มีลักษณะอย่างเดียวก*บพวกญวน พวกที่

อย่ในตำบลนึ่เบ็่นชนชาติเดียวก*บคนใหญ่ในยูนนาน ชื่อของเขาบอกช"ด อยู่แล"วว่าเบนชนชาติไทย จ"งหว"ดลางเซิน

แด่จีนเรียกไปเบ็่นอย่างอื่น

มีถนนงาม ‘ๆ หลายสาย

และถมควยหินอย่าง

เรียบร่อยแยกออกจากเมืองพุ่งใปสี่ทิศยาวยืท'โปบน■เนินเขา ด่วฌืองเอ ก็สร่างอย่างดีและใหญ่โฅ พยาบาลทหาร

พื่นเมืองมีระค*บสูงถึง ๒, 00๐ ฟุฅ

โรงพยาบาลพลเรือน

โรงแรม

มีโรง

และมีตำบลเบนที่อย่

๑๑?:^

ของชาวฅ่างประเทศซึ่งมีบ้านเรือนประมาณ ๗๕ หลง

มีโรงเรี

ภาษาจีนสองสามโรง แต่ไม่มีโรงเรียนภาษาไทย มีโรงแรมอยู่แห่งเดียว มีอาหารดีและเครื่องใช้พร‘อม

กือที่ข‘าพเจาไปพ‘กอย'

รุ่งขนเวลาเช‘า ได้ออกไปเที่ยวสืบคํนชนชาติไทย นายวิน ได้พาคนใช้ชาวลำปางไปด้วย

ส่วนขำพเจำนนเอาญวนคนครำ ไปด้วย

ญวนผ้นมาก‘บชำพเจำจากเชียงราย และพูคภาษาไทยได้ พวกเราพา ขนรถลากไปในที่ด้าง"] คนลากรถพดก‘บคนกรำของขำพเจำด้วยภาษา

ทยเขำใจก”นดี แด้ภาษาไทยนเบนภาษาไทยโท้ซึ่งใช้พูดก”นไปทำในดี

นั้ ขำพเจำสามารถสนทนาก”บพวกไทยโท้ในหมู่บำนทำสามที่ขำพเจำไป เยี่ยมนนได้

มีถ‘อยกำบางกำในทุกประโยคที่พูดนนด้างจ

ถี่นเหนือในประเทคไทยบำง แต่ไม่ทำให้เขำใจก”นยาก น”บจำนวนหนึ่

ถึงสิบก็คลำยก”น พูดเสียง ร ช”ด้เจนดี สรุปว่า ขำพเจำได้พงสำเน

คลำยก”บไทยในประเทคไทยมากกว่าสำเนียงไทยในมณฑลยนนาน และกวางซี

มีผู้บอกว่าในตำบลที่ห่างจากตำบลนึ่ออกไปอีก

มีพวกไทยด้างทุคือ อยู่มาก

นุง

ลุง

คนใหญ่

หม่าน ฯลฯ

ฅํ้งภมิล

และหมู่บำนทำหมดในทุ่งราบใหญ่นึ่ซึ่งมีภูเขาลอมรอบ

ไทยโท้ฅำภุมิลำเนาอยู่ เหมือนก”น

ตำบลในเมืองเล่า

ก็มีชนชาติไทยโท้

ผ้หญิงและเด็กไทยโท้โดยมากไม่รู้ภาษาญวน

บาทหลว

ได้สอนคาสนาแก่พวกไทยโบ้ให้กลำเใจมานับถือศาสนาโรมนคา มีจำนวนฅงครึงรอยถึงสองรอยอน■แลว ภาษาไทยโบ้

แด้คเหมือนไม่ได้สอนดำ

ในที่สคขำพเจำเห็นว่าภาษาไทยโบ้นนใกล้ชิคและค

นับภาษาเชียงใหม่มากทีเดียว

6)

เชาวํนรุ่งขนขิาพเรีาไปหานายรอยโทวคเดลลฺโดยอาศไเจดหมาย นำของท่านปาสเฅอรุ วาเลฅฺฅฺ ที่!!านอย กองทหารประจำอยู่ที่จไหวดดองเคง ทางรถไฟไม่กี่มากน‘อย ลางเซินชวคราว

ติดฅ่อกไ]พรมแดนจีนห่างจาก

แฅ่เขาท่องมารำษาฅำอย่ที่โรงพยาบาล

เขามีความยินดีมากที่ไค้พบกบขไพเจำ

มีพวกไทยนงที่จํงหว”ดนมาก ในจ*งหวดดองเดง หนึ่งก็ถึงที่พเก และขไพเจไ

นายรอยโทผ้นเบ็่นผู้บํงกไ]

เขาบอกว่า

แลไเขาชวนขไพเจไไปย'งบไนที่เขาพ”ก

เวลาบ่าย ๑ โมงไค้พากนชนรถยนตร์ไปราวช*วโมง เขารไ]รองพวกเราเบนอนดี

มายวินเศนฅฺกนกรำ

ไค้ไปเที่ยวฅามหมู่บไนพวกไทยนุงหลายแห่งสงเกฅไค้

ภาษาพวกไทยนุงคูเหมือนจะแยกห่างออกไปจากแบบแผนภาษาไทย ยี่งกว่าภาษาไทยโท้

นอกจากนึ่ยำมีลำษณะอื่น ‘ๆ ที่จะส*งเกฅไค้ว่

พวกไทยนุงมีลกษณะเบ็๋นนกรบนอยกว่าไทยโท้ กือ ®) ไทยโท้มีรูปร งามกว่าไทยนุง

ที่จริงจะว่างามกว่ากนพนเมืองต่าง ‘นุ ในอินโดจีน

๒) ไทยโท้รู้จำทำนาทำสวนดีกว่า

บไนก็สะอาดกว่า

ไทยโท้รู้จำประหยดและมีความคิคดีกว่าไทยนุง มากกว่าไทยอื่น ๆ ในท่งเกี๋ย

พูดโดยทำไป

๓) ไทยโท้มีจำนวน

ตามทะเบียนสำมะโนกรวที่ฝรำเกสท

ไทยโท้มีจำนวนถึง ๘๓,000 กน อำการที่ ๑๕ เมษายน เวลาเชไ ๕ ท.ท. ขไพเจํไโดยสารรถไฟกลบสานอย

ในระหว่างที่กลบนึ่เพื่อปร

สืบคนให้ไค้ความรู้ต่อไปอีกตามแต่จะได้ ลงจากรถไฟที่ตำบลลางงีอาย

นายวินเกนฅฺกำ!

ใ)ไพเจไกบกนใช้จึงไค้แ

ควยเขไใจว่าตำบลนึ่เบนหมู่บไนของ

9)300

ซนชาติไทยกนใหญ่ แฅ่หาใช่ไม่

โคยมากเบ็๋นไทยโท้

พวก

เหล่านเบ็๋นชาวบานนอก รูปร่างและหนำฅาจึงคูเทอะทะมากกว่า ในลางเซ็น

บำนของไทยโท้ในถี่นนํ้มีล*กษณะอย่างเดียว

ไทยนุง แต่ไม่เหมือนก*บของพวกไทยโท้ที่อยู่ในเมือง ถนนในระหว่ หมู่บำนก็เรียบร*อย อีกอย่างหนึ่งคือสำเนียงภาษา น่าสงส*ยว่า

ฅามที่มีผ้บอกข’าพเจำ

ไทยโท้นึ่จะเบ็๋นพวกใกล้ซิคก“บญวนมากกว่าพวกไทยนุ

เพราะเมื่อเวลาที่ข’าพเจำพ'กอย่เบ็นเวลานาน ไค้มีไทยสองคน

หนึ่งและนุงคนหนึ่ง บอกคำภาษาไทยไท้ก*บภาษาไทยนุงให้แก่ และขำพเจำไค้บอกคำภาษาญวนแก่เขาเบ็่นการแลกเปลี่ยนก*น

โด

วิธีนึ่เบนโอกาสให้ขำพเจำเปรียบเทียบก่อยคำของภาษาท*งส ภาษาญวนได้

ที่มีเสียงมาจากหลายทางบอกว่า

ใกล้ขำงภาษาญวนนนดูไม่น่าจะเบนจริง ไทยโท้ในบำนที่อยู่ขำงทาง

ก่อยคำภาษ

เมื่อขำพเจำได้ไ

กำ)ยคำที่เขาใช้พูดก*น่นนแฅกฅ่างก*นเพีย

เล็กนอยก*บคำพูดของไทยไท้ในที่พ*กของขำพเจำ ท*ง์หมดพูคจาเบนสำเนียงไทยโท้

กนในหมู่บำนน

ที่จริงคำพูดของคน

ไม่เหมือนก*บคำพูดของไทยพวกใด ๆ ที่ขำพเจำเคยไค้ยิน

ถำเขา

ชนชาติไทยไท้แท้ด่งที่เขาร*บรองแลว ก็น่าประหลาดมาก

น*บเขาออกเสียงฅ’ว ส เบ็นตำ ต และออกเสียงฅว ห เบ็๋นตัว ส ไ

ซึ่งต่างก*บเสียงของไทยไท้ในที่พกขำพเจำ เมื่อสรุปท*งหมดแลำ การ

ขำพเจำแวะเยี่ยมตำบลลางงีอายอยู่หลายช^วโมงนึ่ก็ไค้ความรู้ว่ ไทยโท้มีล'กษณะแสดงว่าเบนไทยแท้

ฟิ!®!)0

พวกเรากลไ]ถึงชานอยเวลา ๗ ล.ท. เศษ

เมื่อลงรถไฟก็น"งรถ

ลากไปโรงแรม หำเมืองในอินใดจีนใช้รถลากกนมาก ^ไเพุธขนรถไฟไปเยนบาย

ซึ่งเบ็นจ่งหวดที่มีการเพาะปลกมาก

*

แห่งหนึ่ง

และลงเรือกลไฟเขไปากแม่นาแดง

ซงหยิห่า

และแล่นขนไปฅามลำนา

ห่าง พุ ออกไป

ฅามทางที่ไปนนมีภูเขาสูงอย

แต่ฅามริมผืงมืภูเขาเตยเบ็'นแห่ง พุ

ทงสองผงเบ็่นที่อุดม

มีการเพาะปลกมาก

ซึ่งญวนเรียกว่าแม่นา

ดินแดนในลุ่มนา

เมื่อถึงเยนบาย

ขไพเข์า

ประหลาดใจมากที่พบตำบลบไนบาแห่งหนึ่ง เบ็๋นหมู่บไนเล็ก พุมีโบสถ์ ฝร"ง

โรงทหาร

และบไนเรือน

มืฅลาดปลูกเบนโรงยาว

พนเมืองและสินคไต่างประเทศ มีโรงแรมหลไหนึ่ง

ขายสินคไ บไนฝรไสองสาม

หลไ ชาวยุโรปซึ่งเบนนายทหารมาประจำการในจไหว"ดนึ่ ตามจดหมาย เหฅประจำบม ๔๓ ศม' ไทยหม่าน ๕,๒๐๐

ญวม ๘0๐

จน ๓

ไทยโท ๓๒,๖๔๐

(พวกนึ่ฝรไเศสกล่าวว่าใช้พุดกนดวยภาษาไทย)

และชาติอื่นพุอีก ๓,๖๕๘ คน

นบว่ามีชนชาติไทยมากกว่าชาติอื่น พุ

ในทองที่ของจไหว"ดเตวียนกวาง ไปทางตะว"นออกมีแม่นาแกล (ญวน เรียกซงเกี๋ม ) ผ่านไป เยนบาย

และมีจำนวนชนชาติไทยมากไล่เสี่ยกบจไหว"ด

จดหมายเหตุประจำบี่กล่าวว่า

จไหว'ดนึ่มีภูเขาซับซอนก"น,

มากอย่างเคียวก"บทองที่บ"กซัน ที่อยุ่ทางตะว"นออกของจไหว"ดนน และ ไม่ใช่เบ็'นจไหว'ดที่มีหมู่บไนหนาแน่น

กองทหารฝร"งเศสกองพลที่ ๓

ฅํ้งอย่ที่บำล่คและฮาเกียงมีสำมะโนกรวบ่ระมาณ๗๕,๐๐๐ กน และเบ็น กนไทยเสียมากกว่ากรึ่ง

อาจกล่าวไค้ว่าจไหว‘คเยนบายอย่ใกล้ที

๑!ส)เฐปื

กํบชิานอยโดยทางรถไฟ

และเบ็๋นย่านกลางที่มีกนไทยมากทีสุ

เหนือตงเกี๋ย และเบนสถานที'มีกองทหารฝร"งเศสตงอยู่ มีแม่ มีถนนปดำยหินสองสามสาย

ระยะทางรถไฟจากจงหวดลานซินถึาทีน

ราววไเหนึ่ง

จ"งหว"ดที'จะไปสืบหากนไทยต่อไปก็กือหำบินหฺ ได้โดยสารรถไฟ ไปยำวิเอตรี

แลำลงเรือกลไฟต่อไปตามลำแม่นาจนถึงจำหวดหวบิ

เมื่อวนที่ ๑๙ เมษายน ขณะที่กำลำกอยเรือกลไฟอยู่ที่วิ ได้อ่านหนำสือฝรำเศสที่กล่าวถึงชนชาติไทยก‘บชาติเมือง



ติเกตุ กล่าวว่า



จนกระทำบคนึ่ยำไม่มีใกรสำเกตได้ว่า

พวกเมืองต่างกันอย่างไร เพียงที่นายรำ)ยเอกผ้นึ่ได้สืบสวนใน ของพวกเมืองนึ่ เหมือนก"บภาษาไทยเลย

ก็ยำไม่ปรากฏว่ามีถอยกำที่ใช้พู

มีแต่ภาษาญวนปนเขำมามากทำส่วนกัอยกำ

และสำเนียง เขายำกล่าวต่อไปว่าพวกเมืองเบ็่นชนชาติพีนเมือง ของดำเกี๋ย

ผู้สืบเชอสายต่อมาภายหลำกลายเบ็๋นชาติญวนในบจจบ"น

ถำเบนจริงตามที่กล่าวแกัว

พวกเมืองซึ่งมีอยู่ตามทะเบี

๘๘,๙๕๖ คนของตงเกียนไเกไม่ใช่กนไทย ในจำนวนนืเบ็๋นพวกเม

ตำภูมิลำเนาอยู่ในจำหวดหำบินหฺ ๘๕, 000 กนจำนวนนอกนึ่อ ๒0 เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๖

กำหนดถึงจำหวำโจโบ

ห่างจากหำบินหตามลำนาดำไม่สู้มากนก

ซึ่งอย่

เรือกลไฟไม่ออกตามกำห

แทนที่จะออกเวลา ๖ ก.ท. กลบเบ็่น ๘ ก.ท. พอเวลาบ่ายร"บประท อาหารกลางวนเรือกลไฟก็หยุด

ตองขนหีบห่อต่าง ‘ภู ลงเรือใบใหญ่

๑!^๓

และแล่นต่อไปอีก ๔ ชํวโมง

ส่วนพวกเรานนลงเรืออีกลำหนึง

ลกษณะธรรมชาติของทองนา!นตอนน ใช้เรือกลไฟไม่ไค้

ดวย

แต่เมือมา

ถึงจงหว’ดห์วบินหนนเบ็๋นเวลากาแลว

ในขณะนน ขำพเจ่าไค้ร’บคำบอกเล่าซึ่งทำให้เชื่อว่าที่โจโบ หาเรือเล็กขนไปตามลำนาได้ง่าย

ขำพเจาพ’กอย่บนเรือกลไฟจนรุ่งเชำ

เวลา ๗ ก.ท. เวลาเย็นก’บิต’นเรือและเพื่อนโดยสารกนหนึ่งก’บขำพเจำ ไค้ขนเที่ยวบนบกที่โจโบ

ทางฟากหนึ่งของแม่นามืบำนเรือนชา

ประเทศมาก คือชาวฝร’งเศส ฅํ้ง์บำนเรือนอยู่ประมาณรำ)ยคน แต่ทาง ตรงฟากตรงชำมมืพวกไทยโท้และพวกเมืองต*งบำนเรือนอย่ประมาณ

สี่ฒิหลำ ที่โจโบนึ่มืที่ว่าการของร’ฐบาล สถานีตำรวจ ที่ทำการไปร โทรเลข และเบ็'นท่าเรือใหญ่ในแถบแม่นาดำ ห่างจากสานอยโดยทาง เรือไฟและรถไฟสองว’น

เบ็'นศนย์กลางของการคำขายสำกำ]แห่งหนึ่ง

พ่อคำชาวฝร'งเศสในบริษทเรือไฟนึ่พูดภาษาไทยไค้เล็กนอย ได้ อนุญาตให้บำนพำของบริษทเบ็'นที่พำของชำพเจำ

ซึ่งใกล้กบโรงแรม

แห่งหนึ่ง จนทร์ที่ ๒® เมษายน เวลาเช้า ไทยดำทางท่าที่อยู่ตอนใต้ ของพวกญวน

ไค้พบชาวเรือซึ่งเบนชนชาต

เรือของพวกนึ่มืหางเสือคลำยหางเสือเรือ

ขำพเจำได้ส่งภาษาไทยสนทนากบเขาไต้สะดวก

กว่านนนายวินเศนตยำเห็นว่า กว่าพดก'บพวกลอ

ยื่ง

พูดภาษาไทยกบพวกนึ่เขำใจก’นง่ายยี่ง

เขากล่าวว่าหมู่บำนที่เขาอยู่นึ่มีชื่อว่าบำนบำเบน

ตำบลที่อย่กึ่งกลางระหว่าง'^วิโบบ!^เ^0ฟิ''^

แต่ขาพเจาเหนในแผน

๑!23๔

ฝรํงเศสเขียนไว้ว่า วานบ เขากล่าวอีกว่าตำบลซึง [นแผน ไว้ว่า

วานเยนนไเ

ที่จริงเบ็่นบตํนอิน

ในตำบลเหล่านีมีพวก

ฅงบำนเรือนอย่มาก ตลอดไปจนสุดภาคใฅ้ในจ่งหวดสองลา ที่นนขนไปตามล่าแม่นํ้า เขาเรียกแควนไทย ของอินโดจีนฝรำเศสย่งได้กล่าวว่า

และจาก

ในจดหมายเหฅุ

ในจ่งหว”ดสองลามีคนชาต

สามพวก ไทยเมืองลาย เรียกว่าไทยขาว ภาษาและกำพคของไทยขาว

กบไทยดำไม่ต่างก”นเลย การที่มีชื่อต่างก”นนนเพราะเครื่องแต่งกา สำเนียงของพวกทำสองนคลำยก'นมากก”บภาษาเชียงใหม่แท้ เย็นว”นนน

ขำพเจำได้พาคนใช้ชาวลำปางไปที่หม่บำนนนอี

พ่อคำจีนคนหนึ่งซึ่งดำรำนคำขายอยู่ที่น'นพคภาษาไทยไท

ด้ไปเยี่ยมชาวเรือเบ็่นชนชาติไทยคำนนอีก คนใช้ของขำพเจำได กริบชาวเรือนนอยู่นาน

เพราะเขาไม่ใคร่ได้พบคนที่พคภาษาเคียว

พวกเราคำงอยู่ที่โจโบส'ปดาห์หนึ่ง

ตบ้งใช้เวลาเขี

เหตุเรื่องนึ่และสืบสวนภาษาและชนชาติไทยโดยมาก มีโอกาสท

ทีสคอย่างหนีงคอ มตลาดซึงนดทุก ‘ตุ ๑0 วน มคนชาติต่าง‘ตุ ม

ชุมซอขายก”นถึงสองว'น ผงแม่'นาตอนเหนือโจโบขนไปได้เห็นสื มาก

มีเรือของชนชาติไทยดำและไทยขาวบรรทกสุกรมาขายและจุกด

เบนหมู่ทุ จนคูเหมือนว่าถินน"นเบนถี่นสุกร

บนผงก็ม

ไม้ไผ่มากมายซึ่งเบ็'นของ จีน ญวน และผ้คำสุกรอื่นทุ มาสรำง สำหร*บขำสุกรซึ่งร”บร้อจากกนไทย

ราคาสุกรนนเฉลี่ยก็เ

บรรดาสุกรที่ซอขายที่เชียงใหม่

แต่สี่งที่น่าเอาใจใส่คือกน

๑!ต]เ^

พวก1ทยขาว

มาจาก13^องลาย

พวกไ?ายดำ

จากสองลา

พวกเมือง

พวกมอย พวกสา พวกมาง และพวกโท้ จากตำบลค่าง^ พอใจเบ่นอนมาก

ขาพเจ'า

ที่ได้หล'ก^านหลายอย่างจากการสนทนาก"บพวก

เหล่าน และเห็นว่าพวกไทยขาว ดำ และโท้เท่านนเบนไทยแท้

พวก

มอย?เไเอาจใช้ภาษาไทยพูดจาเขท้ใจก"นได้ แต่พวกเมือง พวกมางและ พวกสานน

เกือบจะไม่รู้เรื่องอะไรก"นเสียทไหมดทีเคียว

ภายหล"ง

ขท้พเจท้กล"บมาที่ฅลาดและเที่ยวดูเรือต่าง พู ที่จอดอยู่ฅอนใต้บท้งว่ ผิดก"บดอนเหนืออย่างไร

ดามริมผิงมีเรือสินกำใหญ่ พู จอดเบ็๋นแถว

แน่นไปเบ็๋นระยะไกล เห็นเรือยาวมีหางเสือสองลำจอดอยู่ทท้ยเรืออื่น พู ชท้พเจ"าจึงเขท้ไปถามเพื่อจะรู้ว่าเบ็่นเรือกนไทยหรือไม่ใช่ ก็ทราบได้ว่า เบ็๋นเรือคนไทย

ขท้พเจ’ว่ได้สนทนากคีบเขาส"กํช่วโมงเศษ

เหมือนพดก’บชาวเชียงใหม่

เขทีใจ!■คีนดี

บางคราวก็มืถอยคำต่างออกไปบทีง

เมื่อพดเบี่นเนือกวามแลวก็เขทีใจก"นได้

แต่

เรือสองลำนืมาจากเมืองลาย

ระยะทางราว ๑๖ ถึง®๘ วน ขทีพเจทีได้ให้นามบ'ดร อ"กษรฝร"งเศสแก่ห"วหนทีพวกนน เรียกว่า เพื่ย

ซึ่งพิมพ์เบ็น คนหนึ่งในพวกเขา

อ่านออกและเขทีใจดวย ทำให้ขทีพเจทีประหลาดใจมาก เมื่อทราบว่า ขทีพเจทีเบนมิสช"นรีก็พดว่า

หวทีใจว่าขทีพเจทีคงจะไปเยี่ยมถี่นเขา

แม้จะ ไม่ไปคราวนึ่ก็ให้ไปคราวหนที อำคารที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๖ และไปฮานอย

พวกเราพากคีนกล'บวิเอดรื

ขทีพเจทีเห็นว่าการทีจะสืบสวนและจดหมายเหตุเรือง

ของคนพวกนึ่ทไหมดให้ได้ละเอียดถี่ถวนนนยาก

ขณะอยู่ที่โจโบแล

๑!สุ)'อ

ขนไปฅๆมแม่นาดำนน กเบนเวลานานพอที่'า)ะเกบรวบรวมความร จากพวกไทยน*บตํ้งรอย จ ที่หย่อยกไเมาซอขายกนทีตลาคใหญ่

แล

ในที่สุคก็ไค้ความร้เรื่องภาษาและข*อที่ตองการรู้จากพวกไทยเห ?1ลอดจนตำบลในเมืองลาและเมืองลายคิวย

เพราะฉะน'น การทีจะเสี

เวลาลงเรือไปที่เมืองลาและเมืองลายซึ่งไกลนนดูไม่จำเบ็่น ช*าพเจ*าก็ร้สึกว่า



อย่างน*อยเราก็รู้เรื่องชนชาฅิไทยเมืองลาและเมืองลาย

ฅามที่ไต่ถามขณะอยู่จ*งหว*ดลางเซินพอแล*ว ออกจากโจโบเวลา ©๑ ก.ท. ลำเดียวก”นจะไปย่งวิเอฅรี

เพยและมิตรสหายลงเรือกลไฟ

ในพวกที่มาคิวยก”นนน มีชาวฝร*ง

เกยอยู่ในดินแดนพวกลาวหลายบื่ เมืองลาย

อีกคนหนึ่งเบ็่นผู้ว่า

ฝร*งเศสคนหล*งนชื่อจิลเลสฺ ไค้บอกข*าพเจ*ๅว่าจ*งหว*ดสองลา

ญวนเรียกว่าเมืองลา

ตงอยู่สูงจากระค*บนาทะเล ๘๐๐ เมตร ประมาณ

๒,๖๐๐ฟุต เพยและล่ามชองเราไค้ยืนย*นว่า พลเมืองของเมืองลาม กว่าพลเมืองของเมืองลาย พํ้นที่สูงกว่าเมืองลาย กว*างขวางกว่าคิวย

และตงอยู่ในทุ่งราบอ*นกว*างใหญ่ซึ่งไม่ (ระด*บสูงของเมืองลาย ๓๐๐ เมตร)

ซํ้าย

แต่พรมแคนด*านหนึ่งเบ็๋นที่ราบสูงถึง ๗,

สำมะโนครำของชนชาติไทยท"งจ*งหว*คเมืองลา มีประมาณ ๗๒,๐๐๐กน แต่ในเมืองลาย ๖๐,๐๐๐ คน ขำพเจำว่า

เพยบอก

นแถบลุ่มแม่นาดำมืพวกไทยดำต*งบำนเรือแอยู่มๅฦ

เฉพาะแต่ทางใต้ของเมืองลาย ก*น

ไทยในเมืองลาเบ็่นไทยคำ

ใม่

แต่ทางเหนือเมืองลายก็มีอยู่มากเหมีอแ

พวกไทยคำนึ่ยำมีอยู่มากตามดินแดนลุ่มแม่นาแดงใต้จำ

๑ไ®ปื0ว่)

ยวนเกียงในแคนจุน ซึงขิาพเจุ'าได้ไปเมื่อ พ.กี. ๒๔๕๓ และเขาย'งกล่าว อีกว่า คนชาติไทยขาวมีอยู่มากเหมือนกํน์

แค่พวกไทยดำมีจำนวนมาท

และสำกญกว่าพวกอื่น ‘ก

เพยกล่าวว่าอากากีในเมืองลาคีกว่าฅอนทาง

ปากนำ

และอย่ใกล้สานอยกว่าเมืองลาย โคยทาง

รองแเละชืนน’อยกว่า

เรือยาว ๗ หรือ ๘ วน ก็คีกว่า

และใกล้เมืองลายและหลวงพระบาง

ท*งถนน

เพยกะยนคะยอจุะให้ขำพเจุำไปเมืองลาให้ได้

เขาร!เจะให้

จคหมายไปถึงเจำพน!งานไทยทุกแห่งเพื่อร!รองขำพเจำ การที่มิสชนรี ได้ร!เชิญไปสู่กีน^านของเขาน

ไม่ใคร่จุะมืบ่อยน!ก็จริง

แค่เสียใจ

ที่ไปยำไม่ได้ ควยจะตองแยกจากเพื่ยที่วิเอครืน ๒๙ เมษายน กล!ถึงจำหวดสานอย พ!ที่โรงแรมหองเลขที่ ๑๕ ซึ่งเบ็นที่พ!เก่า

เวลาเชำรุ่งขนไปหาท่านปาสเตอรฺวาเลฅฺฅฺที่บำน เวลา

บ่ายไปร!ประทานง!าชาก!เขา ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ วินเกีนตฺและนายโสเดรฺแบรุก

กล!ไปไสฟอง

ขำพเจำก!นาย

ได้ร!เชิญไปร!ประทานอาหารที่บำน

ของนายและแหม่มบอนเนฅุเพื่อเบ็๋นเกียรติยศในวนเกิดของบุตรสาว แลวจะเลยไปหาผ้สำเร็จราชการฝร่งเศสควย จะไปหาผ้สำเร็จราชการในขณะนี ก่อการกำเริบขนที่สานอย

ในที่สุดตกลงว่ายำไม่ควร

เพราะเมือวนเสารทีแลวมาเกิดมีผู้ ชาวฝร”งเกีสถูกฆ่าตายสองและบาดเจ็บอีก

หลายกน การเดินทางในเที่ยวงแบ็่นกรณเรกขากลบคํ้ง!วิวิ-'!บ่ทางเมืองสาย

อนอย่ทางทิศฅะวนออกเฉียงเทพื่อขกง''มื2งหลวงพระบาง

ในแควน

ลาวของฝรํ่งเศฟิ

ซึ่งกร"งหนึ่งข'าพเาท้ได้เกยสั๋งสอน

กล”บใขิมาถือศาสนากริสฅ์ได้ ๘0 กน

แต่บดนึ่คณะกรรมการมิ

ได้กำหนดให้ข"าพเห้ไปทำการรีวมกบคณะมิสชนรีประจำชาด้จีน และเดินทางไปสืบคนที่มณฑลกวางซีในประเทศจีนต่อไป นายวินเศนฅฺผู้มาดวยก”นกํบขำพเจ"าจึงต"องกล”บแฅ่คนเคียว เนฅฺแนะนำว่า ฝรำเศสในแกว"นลาว

เหตุ

นายบอน-

ควรไปทางเมืองเวียงจ”นทน์ และไปหาผู้สำเร็จราชก

ซึ่งเดี๋ยวนึ่เขาประจำอยู่ที่เวียงจ”นทน์ไม่

พระบางอย่างแต่ก่อน กำหนดการเดินทางคือผ่านฅราน สองโคม สุวรรณ เขฅฅ์

เวียงจ”นทน์

หลวงพระบาง เมืองสาย แล"วจึงกล”ปบ"าน แต่การ

เดินทางบกในฤดูนึ่ออกจะน่ากลวมากเพราะอากาศเปลี่ยนแปลง เร็ว

ท่านกงพอใจอยากรู้เรื่องอากาคบ"าง

เกี๋ยแล"ว

ตำแต่ช่าพเจ"าได้ขนบกท

มือยู่สองสามว”นเท่านนที่ไม่มืฝนตกและไม่มืหมอก

มืผ

ฮฟองและที่ซีานอยฅำแต่ตุลาคมถึงกุมภาพ”นธ์อากาศสว่างและท" โปร่ง

ต่อจากนนไปอากาศมีหมอกมืดคลุ้มอยู่ราวสองเดือนแล"วจึงถึง

ฤดฝนฅามเกย แต่ในขณะนนข"าพเจ"าก็หาทราบไม่ว่าอากาศที่นี่จะเปลี แปลงรวดเร็ว

มืผู้บอกว่าก่อนที่พวกเรามาถึง

ชาวต่างประเทศใน

ตำเกี๋ยแต่งกายด"วยเสํ้อผ"าสีขาวสำหห้บหนำรอน แต่ไม่ชำอากาศก็ ต"องแต่งกายด"วยเสํ้อผำสำหลาค ขนสงโดยเร็ว

แม้ที่โจโบกลางวนแดดจ”ดกวามร'อน

ว”นต่อไปอากาศกล”บเย็นลงแล"วกล”บรอนขนอีก

แต่ถึง

กระนนอากาศที่ไฮฟองอ”นเบนเมืองท่าและขิานอยอนเบ็่นเมืองหลวง สบายและน่าเที่ยว

จนถึงบางคนเรียกว่า

ปารีสน้อย

คำใ

นนเบนบำนขิาราชการ นอกรากนมีห์างร็านขายของดี ทองเพชรพลอยและของประดีบกายก็หลายรำน

^

เช่นขายเกรึ่อง

ถาเบึนน“กเที่ยวดูของ

ประหลาคแลว ก็คงพอใจดีงเกี๋ยมาก แต่กิจการของพวกเรานนเบ็นการ กุศลและพอใจในการสอนศาสนาแก่ชนชาติไทย

ซึ่งเบ็นชนชาติเดียว

กไเกไ]ชนชาติไทยในประเทศไทยอไแบ็นถึนที่ช่าพเจ'าอาศโ)และทำการ สอนมาหลายบื่แลว

เวลาของพวกเรานนเอาไปใช้เสียในการสืบหาชน

ชาติไทย จึงไม่มีเวลาที่จะพะวงถึงกิจการอย่างอื่น ก่อนที่จะมายำถึนน ขำพเจำได้ทราบจากรายงานของนายฟรีแมน ผ้เตินทางมาในประเทศนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ และจากแห่งอื่น‘กุ ว่า มีชน ชาติไทยพวกต่าง

ๆ ตํ้งภมิลำเนาอยู่ตามแถบลุ่มแม่นาแกล แม่นาคำ

และแม่นาแคงเบ็่นอนมาก

เหฅุฉะนนจึงฅองไปสืบคนในถึนที่กล่าว

เบ็่นพิเศษ เช่นในแถบลุ่มแม่นาแกลมีเมืองสำคโบตงอยู่ห่างไกลกบเมือง หลวงมาก

และเบนจำหวคที่อยู่ในการปกครองของทหารฝรำเศส

แถบลุ่มนํ้าแคงมีเยนบายเบนจำหวํคํสำกโบในแถบนน

ใน

ในแถบลุ่มนา

ตอนบนที่ขำพเจำไปถึงเพียงใจโบเบนท่าเรือกลไฟใหญ่

หำบินหฺหรือ

โจโบน มีถนนติคต่อถึงลางเซินและซีานอย ลางเซินเบ็๋นศนย์กลางที่ฅํ้ง กองทหาร และการที่เ^ยขอรำงให้ไปสองลา

ๆ ก็เบนจงหวคสำคญทิมุ่ง

หมายว่าจะสืบคนเหมือนกน '

ในชนเติมที่ฝรำเศสแบ่งชนชาติต่าง

ๆ เหล่านออกเบ็นพวก ๆ นน

นักเขียนฝรำเศสโคยมากได้รวมชนชาพีไทย'■ชิา^บ็่นพวกชาวเขาที่เรียก ว่าพวกเยำ

แต่เขากลับเรียกไปเสียว่าพวกหม่าน พวกมอยๆลๆ ก่อนที่

&000

เราจะลงบ้ญชีในรายงานของเราว่าเบนพวกไหน ที่แน่ใจเสียก่อน

จะฅองไฅ่สวนให้เบ็

เพราะชนชาวเขาไม่ใช้ภาษาไทยพูดกน

เราจะตองคดชื่อที่เขาตํ้งขนนออกเสียบ็าง แยกออกเบ็๋นพวกย่อย พู หลายชื่อ

ยี่งกว่

เช่น พวกผู้ไท

แฅ่ที่จริงเบึนพวกเดียวกน

พวกนุง แทนที่จะแยกเบนซุง หรือนางหรือหนางๆลฯ นอกจากนย่งมี วิธีเปลี่ยนแปลงที่ฝร”งเศสเห็นว่าเบนทางสะดวกอีก

เหตุฉะนน

ไทยในทะเบียนสำมะโนครำของฝรํงเศสจึงมีชื่อต่าง พู กน ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ นายวินเศนต โดยสารเรือกลไฟกลไ] ทางไซ่ง่อน หมอโลวรี

ส่วนขไพเจิาหาได้กลบควยไม่

เพราะจะรอรไ]ข่า

ซึ่งนคกไเว่าจะไปย"งมณฑลกวางซีในประเทศจีน

ไค้โทรเลขไปแลำ

แต่ยไไม่ได้รไ]ตอบ

ขไพเ

ต้องรออยู่ที่อานอยอ

ลงทไย ๒0 พฤษภาคม ได้รไ]โทรเลขว่าหมอโลวรีบ่'วย

ในว"นนไแ

ขไพเจไจึงโดยสารเรือกลไฟไปอ่องกงเพื่อไปพบก"บมิสช*นรีประจำชา จีนตอนใต้ และจะได้เดินทางไปทำกิจตามมุ่งหมายต่อไป

ระหว่างที่ขไพเจไพำอยู่คนเดียวที่ฮานอย ©๒ ว’นนน

กิจการต่าง พู ไม่มีเวลาว่าง เช่น คดรายงานทำแผนที่และเอาใจใ

ถึงพวกไทยโท้ จากหนงสือพิมพ์ฝร"งเศสที่ขไพเจไซอไว้ ขไพเจ จากโรงแรมไปพกในครอบศรำหนึ่ง โสห้ยนอย

ซึ่ง รู้สึกเบนบไน และเปลืองค่

ขไพเจไไปเยี่ยมโรงเรียนฝร’งเศสชึ่อ เอโคล ฟรํงเศส เดอ

ออ'ริอองฅ สองคร^ง และไปที่รไนขายหน’งสือของ นายชไนเดอร บ่อย พู ขไพเจไได้ใช้เวลาศึกษาทุก พู ว’น ที่ไม่มีหน"งสือ

ไค้ความรู้เรื่องชน

และรู้ภาษาของชนชาติไทยนน พูยี่งขน

เมื่อเปรี

เทียบถอยกำฅ่าง ‘ๆ ของแถบลุ่มแม่นาแกลตอนเหนือในฅํงเกยก้บคนไฑย มณฑลไกวเจาฅยินใต้ในประเทศจีน ทำให้ประหลาดใจมาก และเชอว่า

กลทํยก“บหรือเบนอย่างเดียวกบไทยฅงเกี๋ยที่ไม่มีหน”งสือในมณฑลยูน ฅะวนออกในมณฑลไกวเจาฅอนใต้และในมณฑลกวางซีทงหมด เท่าที่สืบรู้ในเวลานื

จำแนกออกเบน ๓ พวก

คือ ๑) พ

ใกล้ชิคที่สุดกบพวกญวน ลาว ลํ้อ เขิน และไทยที่มีหน”งสืออื่นๆ คือ ชนชาติตำเกี๋ย

เช่น ไทยดำ

ไทยขาว ไทยแดง ฯลฯ

๒) ถ”คพวกที่

กล่าวนซึ่งมีถอยคำคลำยกลึงก”บชนชาติไทยที่มีหนำสือก็คือไทยโท้ ที่ฅ^ง ภูมิลำเนาอยู่ตอนเหนือในฅำเกี๋ย และในมณฑลกวางซี ฯลฯ

และแถบลุ่มแม่นํ้าฅะว”นตกตอ

๓) อีกพวกหนึ่งซึ่งเทียบได้ไม่

พวกไทยที่มีหนังสือน”ก คือ พวกไทยยอยรวมพวกนุง ลุง และพวกที่อ แถบลุ่มนาตะว”น,ตกตอนบนทงหมด ตอนกลางของมณฑลไกวเจา

และมีหนาแน่นตลอดไปจนถึง

ที่ทราบคำนึ่จากพจนานุกรม

ไทยยอย

ซึ่งอาจารย์ใหญ่โรงเรียนฝร'งเศสนนได้เอื่อเพอให้ชำพเจำยืม ฉะนึ่จึงเบ็นขอยืนย”นว่า แม้ในมณฑลไกวเจาอ”นห่างไกลถอยคำ

ที่เบ็่นสาม”ญ่ที่สุคก็เบนอย่างเดียวก”นก”บของพวกไทยนุงซึ่งเรียกก

ตำเที่ยว'าไทยลุง และเรียกก”นในกวางนานฟูว่าลุงเหมือนก”นดำที่ขำ เคยได้ยินมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ นี่ก็ร”บรองความเห็นครงก่อนของขำพเจำ ที่ว่าคไ)ภีร์ม”ทธิวที่ นายคลารุก เบนผู้แปลนน มากกว่ากำไทย

มีถอยกำภาษาจีนปนอยู่

ถำหากผู้คุ้นเคยภาษาไทยดีได้ทำขนแลวคงจะดีกว่านึ่

มาก แค่มณฑลไกวเจาตะวนตกเฉียงใต้เท่านน ถอยกำสำเนียงก็คูเบ

๑ดาไช

ไทยแท้กว่าที่ใช้ในคไ)ภีร์มํทธิวVณั้เสียแลํว นี่เบนพยานว่

กไเพวกนุง และพวกลุง ซึ่งขิาพเจาได้พบและสนทนากไพวกนมา

ขำพเจ็าได้เอาใจใส่ศึกษาถอยกำไทยเหล่านี่ทุก ทุ วนรู้สึกว่าค สะดวกเขำ

แต่อย่างไรก็คี ที่มีเสียงภาษาคล"ายคลึงกนเบนถี่

และเมื่อทราบว่าพวกเหล่านี่ไม่เกยขีดเขียนกำพคเบ็๋นตำห ก็ดูน่าประหลาดมาก

เพราะชนชาติต่าง ทุ เหล่านี่โดยมากอยู่

เฉพาะพวกฅามลำพำ

ไม่ได้ติดต่อถึงกน

๔ ศตวรรษมาแลว.

และสภาพก็เบนอยู่

ฃทท ๙ ไทยจน ขาพเจาได้โดยสารเรือกลไฟจากสานอยไปถึงฮ่องกงเมื่อว'นอาทิตย ที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ, ๒๔๕๖ พ'กที่ฮ่องกงหลายวน ในเวลาที่ข'าพเจ'า

คิดจะกลับบ'านนน ให้รู้สึกว่าการเดินทางในเที่ยวนสำคัญมากอยู่ เพร คณะกรรมการมิสช'นรีได้ต*งให้หมอโลวรีลับข'าพเจ'าเบนผู้มาสืบสวนซน ชาติไทย

พร'อมลัวยสมาชิกชองคณะมิสช'นรีประจำชาติจีนภาคใต

ขำพเจำจะนอนใจเสียมิได้

แต่เสียใจที่หมอโลวรีบวยเสีย

และไปพ'ก

ร*กษาคัวอยู่ที่เมืองกุลิงในมณฑลกวางซีเบนเวลาประมาณเดือนหนึ่ง

ขำพเจำเพึงมาทราบที่ฮ่องกงว่าคณะกรรมการมิสช'นรีประจำชาติจี ภาคใต้ได้กำหนดไว้แลัวว่า

ให้ท่านเรเวอเรนดฺ เอ.เจ. พี่เชอรุแห่ง

จงหลัดเซ็กลุงในมณฑลกวางตุ้งมาร่วมงานคัวย เวลาเลย

ได้รีบขั้นรถไฟไปหาเขาท'นที

ขำพเจำไม่ยอมให้เสีย

เขาร'บรองขำพเจำเบนอย่างดี

ณ ที่นึ่เราท*งสองได้โทรเลขถามหมอใลวรีลังหลัดกุลิงว่า

จะให้ใครเบ็๋น

ผ้แทน ได้ร*บตอบว่าขอให้ปรึกษาคณะกรรมการให้เลือกเอาใครคนหนึ่ง คณะกรรมการได้เลือก ท่านเรเวอเรนด เอช.โอ.เอฟ. เบิรกลัลล แห่ง สมาคมไบเบิลอ*งกฤษและต่างประเทศประจำลังต'งเบ็นผู้แทนหมอโลวรี เพราะเขาเคยทำการติดต่อโกล้ชิตลับไทยในมณ'ศลกวางซีมาก

และ

ท"งเกยเดินทางขั้นไปตามลำแม่นำดะวนดกตลอดมณฑลกวางซีจนถึง ปาทอำย อ'นเบ็๋นลัใหว"ตอยู่พรมแตนระหว่างกวางซีลับยูนนาน เขาเชิญ

ข้าพเจ้าไปรบประทานอาหาร

และไค้สนทนากนถึงเรื่องราวต่าง ๆ

แต่เวลา ๘ ก.ท. จนถึงเที่ยงวน ท่านผ้นไม่เฉพาะแฅ่รู้เรื่องมณฑลกว คีเท่านน

ย*งเบ็๋นหำหนำแห่งคณะกรรมการมิสชํนรีประจ้าชาต

ภาคใต้ควย ข้าพเจ้าได้ไปเข้าประชุมมิสชนรีในกำต่งทงในโรงสวด เรียน

และรอเวลาที่จะออกเค้นทางให้พรอมก*น

ในขณะที่รออย่

ใช้เวลาอ่านหนำสือท"งของอำกฤษและฝร*งเศสที่กล่าวถึงชน หรือชาน หรือลาว เช่นที่อย่ในยนนานและกวางซีเบนฅน

และหนำ

รายงานอื่น ฑ อีกหลายเล่ม ไนกวางช

สมาชิกท^งหมคแห่งคณะมิสช‘นรีได้แสคงความยินดีอย่

ลึกซงที่พวกเราได้เบ็'นกรรมการไปสืบสวนชนชาติไทยในกวางซี พวกเราได้ออกจากนครกำฅง

เมื่อว*นที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๖

โดยรถไฟและเรือไฟไปคามแม่นาฅะว*นฅกถึงจ่ำหว*ควูเจา

ซึ่ง

ชายแดนมณฑลกวางซีตอนคะว*นฅกเมื่อว*นที่ ๑๗ แลวพำอย่ที่จำห

นน เพื่อสืบถามขำความจากมิสช*นรีซึงมีการงานกวำงขวางอย่ในจำห น

เขาได้คอนร*บพวกเราเบี่นอย่างดี

และถามความมุ่งหมายของ

และก็ไต้คอบให้เขาเบนที่พอใจ

เวลาบ่ายนายพื่เชอรฺไค้ทราบเรื่องสำคัญจากเสมียนจีนสอ งานอยู่ในหำงสมุดของนายจำ)เฟรยุว่ามีชนชาติหนึ่งเรียกว่า

ชอง

คือ

ฑยชอง ตใภูมิลำเนาอยู่แพร่หลายคัวไปในบริเวณของจำหวำวูเจ พรมแคนสุคตะวนออกของมณฑลกวางซี

และในจำหวดไทวบีง

ตรง

แควของแม่นำฅะวนฅกรวมกํนประมาณหนึ่งในสี่ของทางจากฅะวนออก ไปจนสดเขฅของจงหวดทางฅะวนฅก และมีแพร่หลายขนไปจนดอนบน ของแม่นาฅะวนฅกนนควย

ไทยโท้กงัม่ไทยชองมไาพบและอยู่ปะปนกไเในกวางซีเช่นเดียวกน กไ]ในติงเกี๋ย

แต่ในตไ3เกี๋ยเรียกไทยชองว่า นุง แต่ในกวางซีนนไ

ชองด*งภูมิลำเนาอยู่มากดอนสุดดะวนออก และไทยโท้อยู่ดอนดะวนดก

พวกท*งสองนึ่มีลำษณะใกล้ชิดกนมากจนยากที่จะสงเกดว่าต่างก"นอย่ เมื่อกร*ง์ขไพเจ'าพำอยู่กบนายพี่เชอรที่เช็กลุงนไเ

นายพเชอรุ

กไ]ขไพเจ่าได้พาก*นกลไ]ส่องกง ไปหาท่านเรเวอเรนดุ ซี. บี. คารุเปน เดอร

ซึ่งแต่ก่อนเคยเบนหำหนไคณะมิสช"นรี

ถามถึงเรื่อง,ที่เขาเคย

ไปเที่ยวในถี่นที่ไทยชองอย่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕® เขายืนยนว่าใ มีไทยชองด*งํ้ภมิลำเนาอยู่ดอนกลางของมณฑล มีจำนวนมากกว่าทีอืน ‘ดุ คือที่บี่งโลหซึ่งอย่สุดทางดะวำออก ของดอนกลาง

ที่ปากสก

ทีเกียนโฟิสิน

ซึงอยู่ส่วนเหนือ

ซึ่งอยู่เกือบสุดพรมแดนดะว"นฅกและที่

นานนิงฟูซึ่งอยู่ส่วนใด้ของดอนกลาง สี่งสำค"ญยี่งกว่าการกล่าวถึงภูมิลำเนาของไพย'®คือ''^ลอ ที่นายการเปนเตอรได้นำมาแสดงว่า

เราจะใช้ภา'ษาจีนเบนภาษากลาง

สำหร*บพดก"บพวกชองในลิ‘เแ''งล่า'แบาไพ'*^^

เพราะโดยมากไมรจก

ภาษาจีน ในตำบลหนึ่ง ๆ มีหมู่บานพวกชองตํ้งอยู่หลายรอย ไท ที่ร้ภาษาจีนV]อจะพคกบขารา'®อารวิน'''®า*!■วิ'าแ'บางทจะมแฅคนท เบนหำหนาของพวอ'®องสอน'บงบ'''''®'''*''^®^®'''''''''''^'''"'''วิ"'”'^' '*

ไทยชองนั้ เรียกว่า นอง

ในไกวเจาเรียกว่า ชง

ในพจนานุกรมไท

ในฅํงเกี่ยเรียกว่า นุง

ในมณฑลยูนนาน

พวกที่ฅํ้งภมิลำเนาอย่ฅํ้ง์แฅ่จ่งหว”ดบี่งเจาจนถึงเลียวเจาใน เรียกว่า ชองเรน

มีหน”งสือหลายเล่มที่น'กปราชญ์ได้กล่าวถึงพวกน

เบนชนพนเมืองคํ้ง์เดิมของทองถึน ต่อไปทางใฅ้จนถึงนานถึง

มีฅํ้งแต่เลียวเจาจนถึงสิ

ได้ค”คบางตอนจากหน”งสือนนมาลงไว้บ่าง

ดิงืน

ภาษาจีนหลวง (กุ๊นว่า) นนใช้พูคก”นอยู่ในเมือง แต่ภาษ ก”นท'วไปนอกเมือง

ทางฅะว‘นตกเฉียงเหนือของมณฑลเบื่นถี่นของ

พวกชองทไเนน แต่พวกนไม่มืหน”งสือของตนเอง

พวกชองมีล”กษณะ

เบนคนเรียบรอยสงบเสงี่ยม ใจคี ขย”นและอดทน

พยายามเพาะปลก

ในทำเลที่ลำบาก เช่นชนดินไปพูนตามไหล่เขาหรือตามขำงทางขน ทำไร่ปลูกขำวเบนหย่อม ๆ หนึ่งกวำงไม่เถึน ๓ ฟุต

ที่จำหว'คถึงย

ซึ่งเบนเมืองใหญ่ แม้จะไม่ใหญ่ เท่าเลียวเจามืตลาดนัดทุก ที่ตลาดออกนนถนนในเมืองเต็มไปควยชาวชนบทท^เน

ตลาดใหญ่

ที่สุดอยู่ตอนเหนือมีพวกชองประชุมซอขายก”นนับดวยจำนวนพ'น ทุ เบน แถวยาวยืดไป พวกเราโดยสารเรือยนตร์มาถึงนานนืงฟุ ๓00

ระยะทางประม

ไมล์เศษ และพ”กอยู่ที่บำนหมอและแหม่ม เอช. เลชเมเร คลิฟต

เขามีความเออเพอรไ)รองเบ็'นอย่างดี

พ'กอยู่ที่จำหวัดนึ

สนทนากบผู้แทนคณะมืสชนรีต่าง ทุ มืได้ขาด นานนิงฟุเบนเมือ

งานมาก พลเมืองประมาณแสนคน เมือเร็วจร”^บาลจุนได้ยกจุ่งหๅคน เบนทีฅงว่าการมณราลกวางซีท*งผืายนกราภิบาลและผืายทหๅว ทหารแต่งเครืองแบบมาก อยู่ทางเหนือ

แต่เมืองที่ว่าการมณฑลเดิมนน

ย*งเบ็นศูนย์กลางการศึกษาอยู่

คงจะค่อย ‘นุ เลือนมาย'งจ*งหว*ดใหม่ทุกที

มีเรือยนตร์ ๒0 ลำ

และความสนุกครึกกร้น

มีโรงภาษีอย่ในความดแล

มีหน*งสือพิมพ์รายว*นออกบ็่นภาษาจีน ๒ ฉบ*บ เฉลี่ยนาหนำลำละ ๔๐ ต*น

และสินคำตลอดบี่ ดูแล

คือไกวลิน

นานนิงฟูนืเบ็'นจ่งหว'ด้อย่ใน

สญญาก*บนานาประเทศให้เข็าไปคที่ชายได้ ของชาวต่างประเทศ

ได้เห็น

เดินร*บส่งกนโดยสาร

มีที่ทำการไปรษณีย์ใหญ่ซึ่งชาวต่างประเทศเบึนผู้

และมีที่ทำการโทรเลขกลางของมณฑลนนควยเบ็นที่ประชุมการ

คำขายมาก ขำพเจำได้ไปสนทนาก*บท่านบาทหลวง คอนสติโนเบิล ผายโรม*น คาธอสิค

เบ็'นกนสุภาพและโอบออมอารี

มีคนกล*บใจมาถือศาสนาคริสตราวสี่หรือหำพ*นกน มาณแปคในสิบคนพูคภาษาไทยโท้

ท่านกล่าวว่าในกวางซี ในจานวนนประ-

ซึ่งเบึนภาษาไทยทางตะว*นออก

หรือลาวซึ่งอำกฤษเรียกว่าชาน ท่านยำกล่าวต่อไปว่า ในดินแดนกวางซี ตอนนอกเมืองออกไปนนมีพวกไทยโท้ราวรอยละ ๙๐ ของคนท*งหมด แท้จริงพวกไทยโท้มีทวไปตลอดซนในคำ!.กี๋ยและยูน■นาน

พวกไทยโท้

พ้งถือผีสางโชกลาง ไม่มืวด มีแต่โรงเรียนซึ่งพวกบาทหลวงต*งขนสอน แต่ภาษาจีนหลวง กวางต้ง

เวนแต่โรงเรียนเบองฅนที่สอนศาสนาเบนภาษาจีน

และอธิบายเบ็๋นภาษาไทยโท้

แม้แต่โรงเรียนผีกหดกรูของ

๑๓ฝ

โรมันกาธอลิกเล่า

น*กเรียนที่เรียนสำเร็จก็ไม่ไค้พกภาษ

พวกบาทหลวงโรมันกาธอลิกร้จ่กพดภาษาไทยโท้ไค้ จงหมักสายลำ

คือพวกทีอย

ทางฅะมันตกเฉียงเหนือในมณฑลกวางซี และ

โมยุน ซึ่งอยู่เหนือนานนิงฟระยะทาง ๓ มัน ณ ที่นนภาษาไทย ภาษากลางฅิดฅ่อก*บกนจีน

โรงเรียนที่ไม่ใช่ของพวกกริสเกีย

หน*งสือจีนแต่อธิบายเบ็นไทยโท้

น*กเรียนชาวไทยโท้นนรู้ภาษาจี

หลวงหรือกวางตุ้งหรือท^งสองภาษา นนย่อมต่าง ดวย

แต่ภาษาไทยโท้ตามตำบลต่า

ก*น. และเบ็๋นภาษาที่มีกำนอยใช้ภาษาจีนพูดปนเมัาม

กำที่เกี่ยวก*บศาสนาน^นมาจากจีน

มัาพเจทีไค้สนทนามั

มิสช*นรีสองกน เขายืนย*นว่ามีแต่โรงเรียนสอนภาษาจีนเท่านน ไทยโท้ที่อยากเรียนจึงตํองเขทีโรงเรียนหนังสือจีน

เหตุฉะนน จึ

ภาษาจีนไค้กี มีโรงเรียนจีนต*งสอนท"วไปในหมู่บทีนต่าง‘ตุ จึงมีค กรึ๋งที่อ่านประกาศทางราชการเบ็๋นภาษาจีนไค้

อีกอย่างหนึ่

แต่งงานก*บคนไทยโท้ได้สะดวก

ผู้ว่าราชการจ่งหว*คก็เบ็นกนไทยโท้

การนับถือของชนชาติไทยโท้

มีเซ่นไหว้ผีบูย่าตายายและไหว้

ควย กนไทยโท้ที่กล*บใจมานับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเฅสต*น,ตก็มีไม่ นอย

และมาเขทีประชุมสวดมนต์ในโรงสวคของจีน

ผ้ช่วยมิสช*นรีค

หนึ่งออกความเห็นว่า มิสช*นรีที่เบนชาวต่างประเทศไม่จำเบ็๋ ภาษาไทยโท้ก็ไค้

เวนแต่จะเชื่อแน่ว่าจะเบึนประโยชน

ผ้สอนศาสนาที'เบ็่นชาวพนเมืองก็พอ

มีล่ามกริสเกียนของนานนิง

คนหนึ่งชื่อนายกวน เขาพูดภาษาชาวตำบลไค้หลายภาษา ไทยโท้ควย

และ

๑ดโ)^

๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๖

พวกเราไค้แยกกนออกไปเที่ยว

สืบกนในที่ฅ่าง"] เช่น เขาไปในเมืองและหมู่บค้นต่าง ^ นายเบิรกวล ขํ้นไปทางเหนือ ฅามแกวแม่นาฅะวนฅกระยะทาง ๒00 ไมล์ถึงว่งหวค

ปากซิก พค้าอยู่วนหนึ่ง และขนไปพกที่ฅินเจาวไเหนึ่ง พค้าที่ผิงม นะโปห๓ วไเ

สถานที่เหล่านึ่ลวนเบ็๋นที่ประชุมชนใหญ่‘ๆ ท*งนน นอ

จาก'แย่งได้ไปฅามชนบทอื่น ‘ๆ อีก หมู่บค้นที่ฅงอยู่ใกล้แม่'นาและอยู่ในเมืองมีคนครึ่งชาฅิมาก

แต่

คนคค้ขายนนโคยมากเบนจีน หมู่บค้นคามชนบทก็มืบค้นคนจีนแทรกอยู่ จีนพวกนึ่โดยมากมาจากมณฑลกวางตุ้งและมณฑลอื่น ๆ ลำเนาอยู่คามลำนาเบ็่นชาฅไทยโ'ก้ กไเคามบค้นท'วไป

ปากซิกว่า

และภาษาไทยโท้เบ็นภาษาที่ใช้

และคามรค้นคค้ขายดค้ย

ภาษาไทยโท้เ'ทื่อสะควกในการคค้ขาย

คนที่ฅ*งภูมิ-

พ่อคค้จีนจำเบ็๋นคองรู้จค้า

นายละผู้สำรวจสำมะโนครำของ

มีคนจีนในจค้หวค'นราวรอยละ ๓๐ เท่านน

เขากล่าวว่

ภาษาที่ใช้พูดกนที่ปากซิกโดยมากใช้ภาษาไทยโท้ พวกคนงานที่เด ทำงานในเมืองเบ็นพวก ๆ

ตองมืคนรู้จกภาษาจีนไว้คนหนึ่งทุกพวก

เทื่อดิดต่อก*บพ่อคค้จีนทีพคภาษาไทยโท้ไม่ไค้ มีการซือขาวของเบ

ภาษาที'มาจากชนชาติที่ปะปนกำแช่นนึ่เรียกว่ไเบ็่งว่า - ยึงผู้ที่อยู แม่นาออกไปมากๆ ไม่รู้จค้!พูดภาษากวางตุ้งหรือภาษาจีน บาทหลวง ก็ฅองประกาศส'งสอนเบนภาษาจีนและมีผู้อธิษายเบ็่าากาษายโทีอีกหี

คามหมู่บค้นริมแม่นามีโรงเรียนท่วไปอย่างเตียกกบใแเนือง บาง

ทีสองสามคำบลมีโรงเรียนโรงหนึ่ง โรงเรียนโศยมากกนมํงนืเบ็๋นผู้ต

๑๔๐

สำหริบสอนเด็กในฅำบลน^ เก็บค่าเล่าเรียนแฅ่นอย

โรงเร

เด็กหญิงก็มีไม่นอย สอนภาษาจีนแฅ่ม่กอธิบายควยภาษาไทยโท้ โรงเรียนเด็กหญิงที่จ่งหว’คปากชิกเบึนฅิน

และเด็กที่เรี

ต่าง ‘ๆ โคยมากเบนไทยโท้ บางกนต่องเดินมาเรียนจากระยะทางไกล

บางคนอยู่ห่างค"ง ๓๐ ถึง ๔0 ไมล์ ตองมาคำงที่โรง เรียนก็มี แต่ชน ที่ห่างออกไปมาก ฯ ไม่ใคร่มีโรงเรียน

การเกี่ยวคองระหว่างกนจีนก’บไทยไท้ เช่น แต่งงานนน รำเกียจต่อก’นเลย เสมอ

จึงไค้มีการแต่งงานก’นในระหว่างคนท*งสองชาด

แต่อย่างไรก็คี ชายจีนแต่งงานก’บหญิงไทยโท้นนมีมากกว่า

ไทยโท้แต่งงานก’บหญิงจีน เพราะหญิงจีนที่อยู่ในตำบลน ไทยโท้มี1านะดีขํ้นเพราะไค้แต่งงานก’บชายจีนที่เบนพ่อคำ หนำสือจีนที่ฅงขั้นสำหรบสอนไม่ว่าคนจีนและคนไทยโท้

และน

ท"งจีนและทงไทยโท้ย่อมได้ร’บผลแห่งการศึกษาเท่าเทียมก’น

ไทยโท้จะเขำร"บราชการก็ไค้ร"บตำแหน่งที่สมควรแก่ความรู้ ราชการของจำหวำหว"ดผิงมะก็เบ็นคนไทยโท้ ความเชื่อถือในทางศาสนาของพวกจีนและพวกไทยโท้นนต่างกำเ เล็กนำ)ย

มีว"ดฅามหมู่บำนบำง

ไทยโท้น"บถือรูปเคารพในศาล

โคยมากไม่มีหลำคาและสถานที่ศักด็สิทธต่าง ‘ๆ ตามเทศกาล

ซึ่ง

มีการเซ่นไหว้ท

และใช้เครื่องส"กการะควยหมู เบ็ด ไก่ ๆลๆ

อย่าง

ก่นก"บจีน

ไกวชุน เบ็นจำหวดสำคญที่สคทางฅอนฅะว"นฅกในมณฑลกวาง เบ็นย่านกลางระหว่างปากชิกกบลุงเจา

และมีหนทางมาจากใเะ

๑๔๑

และผิงมะมารวมดๅย

พ่อค็าได้บรรทุกสินค็าเกลือผ่านจ็งหวคไกวชุน

ปยงตำบลต่าง ทุ ภายในมณฑลกวางซี

สินกพ่พํ้นเมืองนนเบ็่นฃองบา

บรรทุกเรือไปฅามแม่นํ้าแลวซอเกลือและของใช้ต่าง ทุ กล"บยงที่เดิ นบว่าพลเมืองทีเบนไทยโท้ในจุ่งหว"ด้นและจุ*งหวดจุ่นอาน

มืมากกว

จํงหว"ด้อืน ทุ ฅามริมนา ในขณะที่นายเบิรกว*ลล ทำการสืบสวนอยู่ตามตำบลที่กล่าวนน นายพี่เชอรุกดิบขำพเจุำได้ขนไปทางเหนือจุากนานนิงฟู ที่มีกำแพงคือ โมชุน และเสง"นฟู

ได้เที

แต่โคยมากได้เที่ยวตามชนบทนอก

เมือง ดูฅลาคในเมือง ๗ แห่งและหมู่บำนหลายแห่ง ซึ่งขนไปทางเหนือ ระยะทาง ๗0 ไมล์จากนานนิงฟ คืนแรกพ*กทีฅลาดในเมืองเรียกว่าไมฟะเผ็ง มีกองทหารและหมู่บำนราว ๑0 ตำบล เบ็๋นไทยโท้

มีโรงเรียนอยู่ใน

มืผู้บอกว่าคนในตำบลเหล่าน

แต่ภาษาไทยโท้ตามตำบลที่กล่าวนมีสำเนืยงใกล้ชิดกบชน

ที่อยู่ในมณฑลไกวเจา

เช่นที่มีในพจนานุกรมไทยยอยและค*มภีร์ม*ไ

ในภาษาจงเจียของนายคลารุก ยี่งกว่าภาษาไทยโท้ที่ใช้พูดก*นในจำหวิด ลงเจา ฯ พวกเราได้ไปเยี่ยมหมู่บำนที่ใกล้เมืองแห่งหนึ่ง จะเบนหม่บำนไทยโท้หรือมิใช่

เพรา

ได้พบชายคนหนึงพูดภาษาไทยโท้

พูดว่า ชนในหมู่บำนของเขาพูดภาษาไทยโท้

ผู้หญิงไทยโท้พูดภาษ

จีนไม่ใคร่ได้

มีเด็กสองสามคนไปเรีย

ผู้ชายที่ร้หนำสือมีนอยคนน์ก

หนำสือในโรงเรียนที่ฅ^งอยู่ในเมือง

๑๔123

เที่ยงวํนรุ่งขน

พวกเราหยุคพกรไ]ประทานอาหารกลางว

ฅลาดซึงอยุ่ในทุ่งนาอ*นกวไงใหญ่ เบ่นไทยโท้ เขามือ*ธยากียคี

มีผ้บอกว่าครที่สอนอย

ไค้เอาหน*งสือฅ้ว่เขียนชนิคห

บอกว่าเบ็๋นหน*ง์สือของไทยโท้ แสดงว่าเขาก็มืหนังสือใช้ของฅำ

เวลาเย็นมาถึงโมยน ผ้ว่าราชการจ*งหว“คนเบ็นไทยโท้ บไน ๆ



ผู้ว่าราชการจงหว*คเบนบไนใหญ่โฅ ลานบไนทำเบ็'นสนามหญไเบ็'น ทะเลสาบและเบ็่นเขาวงกฅ ที่ผงศพมารดาของเขาอยู่ใกล้เมือง จำหว*ดน

แม้จะเล็กก็มืที่ทำการโทรเลขซึ่งเจไพนักงานพคภาษาอำกฤษไค้เล็กน

เขากรุณาให้พวกเราพำในบไน และบอกว่าในจำหวำนมืพลเมืองที ชาฅิไทยโท้ประมาณสี่หรือหไพ*นคน

มีพวกจีนประมาณสามสี่

เท่านน พวกในเมืองพูดภาษาจีน. พวกนอก‘ดู เมืองออกไปพูดภ

ไทยโท้ท^งนน การศึกษาในจำหวำนดูเขมแข็งดี มีโรงเรียนชนมูล สอง ขนั้เมูลหญิงหนึ่ง และมีโรงเรียนชนกลางอีกโรงหนึ่ง

ได้ไปเยี่ยม ครูใหญ่บอกว่า มีเด็กที่เบ็่นไทยโท้เรียนอยู่

โรงเรียนชนฅนทุกโรงสอนหนังสือจีนหลวง แต่อธิบายเบนภาษาไทยโ

แต่ในโรงเรียนชนกลางการเรียนทุกอย่างเบ็่นจีนหลวงท*ง์หมคเจ งานโทรเลขได้บอกว่า ๖๐

คนที่อ่านหนังสือจีนออกในจำหวำนึ่

และยำกล่าวต่อไปว่าการแต่งงานระหว่างคนไทยโท้กไ]กน

ของธรรมคาที่นน ส่วนวคและศาสนานนเบนแบบจีนท*ง์สี่น -

พวกเราพำที่บไนกนไทยโท้อีกแห่งหนึ่งซ กลางคืนว’นร่งขีน ๆ อยู่ในคลาด

มืชื่อเรียกเบนภาษาไทยโท้ว่าเสาลอก

แต่ภาษาจีน

0๔๓

ว่าลกวค

คนทํ้งหมคพคภาษาไทยโท้ชนิดเคียวกํนกํบในจงหวคโมย

และขางใฅ้ลงมา

มีโรงเรียนอย่โรงหนึ่งมีเด็กเรียนอยู่ ๖0 กน

มากมาจากหมู่บานใกล้เคียง คนไทยโท้เบนครสอนหน"งสือจีนหลวงแต่ เขาไม่รู้ภาษากวางฅ้งเลย

เขาพคว่าในตำบลนึ่ผ้ชายอ่านหน"งสือจีนไ

ราวมีอยละ ๔0 แต่ผู้หเบิงไม่มีใครรู้หน"งสือเลย

ผู้ที่จะไปฅามชนบท

บ"านนอก ถาพูดเบ็นภาษาจีนหลวง จะมีผ้พ้งออกเพียงรอยละ ๒๐ หรือ ๓0 เท่านน คนมีมาซอของฅามฅลาดเสมอ

บางทีก็พูคเบ็่นภาษาไทย

โท้ บางทีก็ภาษาจีนหลวง และบางท้ด็ภาษากวางตุ้ง ทราบว่าถ"คเ เสง"นฟูขํ้นไปทางเหนือ

มีคนพูดภาษาแปลกออกไปอีก

แต่คนที่

ระหว่างโมยุนก"บเสง"นฟูย"งพอเข"าใจไค้ ว"นต่อมาพวกเราได้ขนไปทางเหนือฅามลำนาระยะทาง ๑0 ไมล์

แม่นานึ่ไค้ชื่อมาจากภูเขาทางเหนือว่าฅะมิงช"น มีหมู่บ"านหลายหม่

บนพีนที่ราบเชิงเขา แต่มีไข้บาชุกชุมตำบลนนมีชื่อเบ็่นภาษาไทยโท้ว่ บ"านสบบน มีบาทหลวงโรม"นคาธอลิคคนหนึ่ง เราเบนอย่างดี หนึ่ง

ซึ่งเขาไค้ร"บรองพวก

ข"าพเจ"ทราบว่าในแถบนึ่มีโรงเรียนราษฎร์อย่โรงเ

น"กเรียนประมาณ ๑๖๐ คน ไม่มีโรงเรียนร"^บาล

ชายทุกคน

เขียนชื่อของฅนด"วยหน"งสือจีนไค้ และอ่านหน"งสือจีนออกบ"างเล็กน"อย

พวกผู้หญิงรู้จกพูดภาษาจีนก็มีบ"าง แต่ผู้ชายพูดภาษาจีนไค้มากกว่าผ

บาทหลวงผู้สอนศาสนาประจำอยู่ที่นนไค้เอาใจใส่เรียนหน"งสือไทยโท้

ข"าพเจ"าแลเห็นบนโต๊ะทำงานของท่านมีบนทึกพจนานุกรมภาษาไทยโท

ซึ่งไค้จดถอยกำของชนชาต๊ที่อยู่ดอนเหนือในต่งเกี๋ยและฅ

0(5!(5! VI ^

/ๅ

0

ง่

I

ท่านบาทหลวงย'งกล่าวว่าในมณฑสนํนมีภาษาถี่นหลายภาษา

ส่วนมากคลำยคลึงกน

และสำหร'บกนฉลาดแลำ

ท่านคิดว่าพอวิ

ความหมายเชิาใจกนไค้ พลเมืองของถนนีเบ็่นไทยโท้เสียสามใ

อย่างไรก็ดีไม่มีพุทธศาสนิกชนเลย คนจีนดูถูกพวกไทยโท้มาก เหตุฉะน จึงไม่มีความร้สึกกลมเกลียวกนในระหว่างชนชาติท"งสองนั้น'ก

ไทยโท

ที่ใ.เนถอดแบบอกษรจีนมาใช้เขียนหน'งสือของตนบำง'"‘"'ไม่กี่คน แท่มีร้

และนำไปใช้เขียนเพลงร'กสนขำพเจ"ามีฅวอย่างหนำลือเขียนข พุ ชนชาติไทยตอนเหนือในประเทศไทย

จึงเอาออกให้ท่านบาทห

และถามว่าจะใช"แก่กนไทยในถี่นนั้ไค้หรือไม่ แต่ท่านปฏิเ

วไเรุ่งขนพวกเราไค้เดินทางต่อไปย่ำจำหว"ดเสง'นฟ คท่ คนในลีนนั้พดปะปนก"นหลายภาษาน'ก เมืองเก่าแต่เพ็งทำตลาดใหม่

เรียกว่า เบ็่งว่า มีปนทงภาษาไทยโท้และภาษาจีน แต่ภาษา

จีนหลวง ส่วนอื่น พุ ก็อย่างเดียวก"นก"บในตำบลที่ผ่านมาแลว ไ ตามล"ทธิศาสนาขงจ๊เบนอ'นมาก พโ]หสบดที ๓ต สิงหาคม พ. ศ. ๒๔๕๖

หยดพกทีตลาดใน

เมืองซึ่งภาษาไทยโท้เรียกว่าบำนหล่อ ชาวตำบลนนเบนไทยโท กนมีอิสระ โรงเรียน

ไม่เฉพาะแท่คำพูดเท่านนท"งอาก"ปกิริยาควยที่นั้ไม่มี

แท่ในหมู่บำนถดขึนไปซึงเบนโรงเรียนชนเตรียม

มี

ไปยำโรงเรียนที่จ่ำหวดโมยุน นนจ"ดเบ็่นตอน พุ ติดต่อกทัเดี

ปรากฏว่าวิธีการศึกษาทงั้หมดใน

เวลากลางคืน

นกราภิบาลของจ่งหว'ดไค้ให้เกียรติยศ

พวกเราพกในโรงพ'กที่สห้างไว้สำหร'บทหารอยู่ใกล้เมืองร‘าง ชาโขึย

ขาพเห้าสืบทราบว่าคนในตำบลน*น

โคยให้

เรียกว่

พคก'นห้วยภาษาไทยโท

รุ่งเห้าไค้เตินทางไปที่ฅลาด ระยะทางชํวโมงหนึ่งจากที่พก สห้างใหม่เรียกว่า ล่อโขึย หรือ ล่อฃึย สามรอยร”าน

เบึนฅล

มืห้านขายของประมาณสองถึ

ปลูกสห้างระเกะระกะคห้ายตลาดไทย

มีโรงเรียนช*น์ฅน

อยู่โรงหนึ่งสอนหน'งสือภาษาจีน แต่กนท'วไปพูดภาษาไทยโท้ มีพ่อ จีนกวางตุ้งอยู่สองสามกน และเกลือเบ็่นสินห้าสำก'ญ เมื่อเดินทางออกจากที่พ'กมา มากจากเมีองติงฅอง

ไค้พบคนหาบเกลือเบนหมู่ใหญ่

ซึ่งอยู่บนลุ่มนาโมยุน

เรือไค้ลำหนึ่งเพื่อเดินทางต่อไป ท่วมท'วไป จึงต*งใจจะกลบย'งนานนิงฟู

ถึงติงตองเวลาเย็น

แต่ห้องเปลี่ยนกวามติค

แต่ต^งใจไว้อีกอย่างหนึ่งว่า

กล'บทางจ'งหว'ดลงเจาโดยเรือยนตร์ จากลุงเจาเดินบกสองวนถึงลางเซิน ขํ้นรถไฟไปสานอย

แห้วขนรถไฟสายสานอยไปย'งมณฑลยนนาน

โดยเหตุที่มีนึ่าท่วมผิดปกติจึงไม่สามารถจะไปไค้

แต่

จำเบ็๋นห้องกล'บท

ส่องกง แห้วจึงจะโดยสารรถไฟสายสานอยไปย'งยูนนาน ห้าพเจ”าไค้ใช้

เวลาในขณะที่เดินทางกล'บฮ่องกงเขียนรายงาน■และสี่งที่ได้พบ ในการเดินทางคร^งนน

ในยนนาน

ก่อนออกจากส่องกงไปไสฟอง

เมีองท่าในห้งเกี๋ยน*น

ห้าพเจ”าไค้เชิญท่านเรเวอเรนศ ชล- อี- บฅดนแห่งสถานีโกเชาซึงเบ ที่ฅ*งกณะมิสห้นรีประจำชาดิจึนภาถใต้'ใบ่ต่ว่ยเพืบเบ็่นบี่ปรึกบา

๑๔๖

บื่นีท่านผู้นณ็บึนผ้แทนมิสชนรีประจำชาติจีนภาคใต้

ไปเขาประ

ชํนรีสำหรไ]ชาติจีนท”วไป กงจุะเบ็๋นประโยชน์ในการสืบหาความรู้ต่าง 'ๅ

อินเกี่ยวคํวยชนชาติไทยเบนอนมาก พวกเราควรขอบใจท่านเรเว ผู้น์ยงนำ ท่านเบ็๋นผ้ร้จำสถานที่ต่าง ‘ดุ ในมณฑลกวางซีดี

พวกเราโคยสารเรือกลไฟจากฮ่องกงถึงไสฟองเมื่อ ๒๓ สิงหาคม

พ.ศ. ๒๔๕๖ ร้สึกว่าความที่มุ่งหมายไว้นไเไม่สมประสงค์ เพราะมีนาท่วมทำไปในมณฑลยนนาน

ทำให้รถไฟฝรำเศสเตินไ

ภายหลำเมื่อไต้เสียเวลาสองวนสืบสวนเรื่องที่จะเตินทางต่อไป ว่

โดยรถไฟหรือบางตอนเตินก็เอา แต่ก็หมคหวำ เมื่อเบ็่นเช่นน์เห็น รอการไปมณฑลยูนนานก่อนและอยู่ที่นี่จนกว่านาลด

หรือจะกลไ]ก่อน

แลำจึงมาต่อแลำหนำ ในที่สุดได้ตกลงตามขอหลง เพราะการเดิน

มาในมณฑลกวางซีและตำเกี๋ยบื่น์ ตามรายการที่กะไว้นน ก็

ต่อเนื่องถึงมณฑลยนนาน และรู้กิจการเกี่ยวดวยมิสชำรีใน

ใต้บำงแลำ อีกประการหนึ่งเรื่องที่น่ารู้ของมณฑลยูนนานย่อมแตก

กนกบมเนฑลกวางซีแต่ในรายละเอียดเท่านน มณฑลเหล่านื่

ปกครองของจีนมาหลายรอยบื่แลว และอยู่ห่างไกลที่สุดจากที จีนในจำนวน ๑๘ มณฑลดวยกน

ทงมีภูเขากีดกำแสียห่างไกลจาก

ความเจริญและกิจราชการผายจีนจะแผ่มาถึง

แมำเะกล่าวเฉพา

ทำอย่างนำยที่สุด ในมณฑลกวางซีพลเมืองโดยมากพดภาษาไทย พ

เมืองในมณฑลยูนนานก็เบนชนชาติต่าง ๆ ที่ไม่ใช่จีน และดำนนแ

มีอิทธิพลก็ไม่ใช่ของจนแน่นอม’ ชาวต่างประเทศทีเขาไปสืบสว

๑๔ปี^

กนได้เขียนเรื่องราวของชนชาติไทยต่างในคินแคนเหล่านไว้มา

ส่วนต่วข'าพเข์าเองนนได้โคยสารเรือกลไฟไปในมณฑลกวางซี เมื่อพ ๒๔๕๓ กรงหนึ่ง

แต่ในมณฑลยูนนานนนข"าพเจำเคยไปโคยทางบก

และสืบสวนได้ละเอียดกว่าในมณฑลกวางซี

ความเห็นของผู้แต่ง

หนังสือเรื่องชนชาติไทยหลายคนรวมท*งฅวข"าพเจำควยร่วมกนว่า

ชน

ชาติที่พูคภาษาไทยในมณฑลยนนานนนต่างกนนับในมณฑลกวางซีโดย

ส่วนสำนัญ คือ ไทยในยูนนานฺเรียกตำเขาเองว่า ไทย แต่ไทยในกวางซ

หาได้เรียกคำเขาเองว่าไทยไม่ นบแต่พวกไทยที่อยู่ทางดิน เฉียงใต้ ไทยในมณฑลยูนนานและไทยในทางตะวนออก

เรียกตำเขา

เองว่าไทยเหนือ ไทยนา ไทยลาย ไทยคำ และไทยย"อย แต่ตามธรรมดา นักเรียกรวมว่าผ้ไทย นับหญิงจีน

หญิงไทยในมณฑลยนนานใช้เครื่องนุ่งห่

แต่หญิงที่พูคไทยในมณฑลกวางซีแต่งเหมือนจีนซ

เขียนเรื่องราวของชนชาติไทยหลายคนก็ได้กล่าวถึงนักษณะต่าง

เครื่องนุ่งห่มหญิงไทยในยูนนานอยู่แลำ แต่เราไม่เกยพบเห็น เลยในมณฑลกวางซี ๒๔๕๓

และเมื่อขำพเจำได้สืบสวนในกวางซีเมื่อ พ.ศ

คนไทยในตำบลต่างๆ ที่ขำพเจำได้พบหลายแห่งนนไม่ร้

หนังสือจีน

ถึงไทยในแห่งอื่น ๆ ก็รู้หนังสือจีนนัอย

และยี่

ไม่ได้ถือลทธิศาสนาอย่างจีนเสียนัวย

นายโคลเกอนได้จดรายงานการเดินทางฅํ้งแต่นังนังไปยำมนค ในพม่าเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๕'

0111^56)

กล่าวถึงเรืองทีได้

ชนชาติไทยในที่ต่าง ๆ ตามทางที่ได้ผ่านไป

คนไทยในมณฑลยู

มีชอเรียกกนหลายชื่อ

เขากล่าวไว้ในรายงานว่า

มชนหลายชาฅิ

ใช้เครืองแฅ่งกายต่างกไเ ถาจุะให้ทราบละเอียดตองใช้เวลา นาน

แต่ที่มีจำนวนมากฅามที่ไค้พบนนคือชนชาติแมว โลโล

ปายหรือปายี่ แมำนนสืบเนื่องมาจากชนชาติมอญ-เขมร โลโ

ชนชาติธิเบฅ-พม่า และปายื่น*นคือ ไทย จากความรู้เรื่องชนช ที่ขที่พเจที่ไค้ไปสืบสวน

และจากหนที่สือที่กล่าวถึงชนชาติ

เล่ม

ขที่พเจที่ยอมเห็นพองควยตามที่นายโคลเกธนกล่าวไว้รวมความ

ดที่นื่

๑) ไทยที่อย่ทางพรมแดนตะวนออกเฉียงใค้ในยนนาน

มณฑลไกวเจาลงมาเรียกว่าจงก ในกวางซี

คือพวนชุงในไกวเจาหรือเรียกว่า

๒) ไทยที่อยู่ในกวางนานฟู ไกอำเยน เขากล่

จะไม่มีพวกต่างฑ ในไกอำฟูมากหลายก็จริง มากที่สุค

แต่พวกลงเยนมีจำน

ขที่พเจที่กลที่ยืนยไเว่านายโคลเกอนกงจะไค้พบพว

อนมากเมื่อเขาเดินทางผ่านกวางนานฟูเบึนแน่

ชนพวกน

และลำษณะของชาติเรียกว่าไทยลูงหรือไทยหลวง เขากล่าวอีกว่า ลงเยนตามที่ไค้พบนนเบ็นคนสงบเสงี่ยม แต่งกาย ชาติ มาก

สะอาดท^งรูปร่

๓) ที่จที่หวดม่งเสอยู่ในยูนนานตอนใต้

มีชนต่า

ตามกำกล่าวของนายโคลเกอนว่าในยูนนานตอนใค้มีพวก

อธยาศํยคีและชยนทำการงาน

ของเม่งสูหรือเม่งเส

พวกนื่มีจำนวนมากอยู่ใน

ในบริเวณนอกเมืองม่งเสตามทุ่

หญิงเตวลาวกำลำทำงานอยู่อย่างขะมกเขมน เมื่อมาถึงตลาดในเมืองก็มี พวกชาวนาซอขายกนเบ็นอนมาก

หญิงเฅวลาวและหญิงปายี่แต่งกาย

4๔^ ควยเสิอผ็าสีต่าง

น่าคู พวกเฅวลาวนอกจากมีอย่ใน'ทุ่งราบของวิงหวด

ม่งเสแลว ย"งมีอยู่ในระหว่างคินแคนของวิ"งหว"ดม่งเสกบจ"งหวดลิงอน'ฟู คือ ตำบลวิไกเบี่นอ"นมาก ๔) หญิงปายี่ไค้กล่าวแลวว่ามีจำนวนมากอยู่‘กี่ ฅลาคม่งเส ชี่อ'นั้พวกจีนในยนนานใช้เบนสมญาเรียกพวกไทย เช่น กี่อยู่ ทางตะว"นคกเฉียงใค้ในมณฑลนนเบ็นต่น หรือไกสำแถบแม่'นาแดง

และท^งกี่อยู่ในวิ"งหวดไขห

พวกปายี่เบ็่นชน'พนเมืองค*งเคิมกี่มีจำนวน

มากในแถบแม่นา'แ และอยู่ในจ"งหวดญวนเกียง คะลัง และในคินแคน ทางเหนือของปูเออฟู ซึ่งอยู่ทางคะวนฅกเฉียงใค้ในยูนนาน กี่ฅ*ง์ภูมิลำเนาอยู่ในคะลังน*น ชาน และพวกม"งลาว คือ ม่านลาว

๕)

นายโคลเกอนกล่าวว่าเบนพวกลาวหรือ

เขาเรียกว่า พม่า ลาว และเกียงตุง

ว่าชานของแควนลาว การที่เขาเรียกว่าชาน และลาวนหมายความอย่าง เดียวกน

เหฅฉะนไเ ทำให้เขำใวิและเ'ห็นชอบดำยก"บคำกี่กล่าวด"งนืว่า

ชน'พนเมืองเดิมในทำงกี่ของจ"งหว"ดเสเม"าและในเมืองม่งเสเอง ส"งเกค ไค้ว่ามีเก"าหน"าและรูปร่างอย่างเดียวก"บลาวเทียน กายแลำคงวิะนึกว่าอยู่ในดินแคนของพวกชานทีเดียว ลาวนน

ท่านรองนคราภิบาลบอกว่า

เมืองด*ง์เดิมในยนนานคอนใต้ และ'พงเรื่องราวของเขาแลว

พวกชานหรือ

เบ็'นชนชาตเคียวก"นก"บคน'พน

ถ"าผู้ใคไค้ไปเห็นชนพวก'นดำยฅนเอง

ก็คงจะเห็นวิริงมากขน

ร่างของพวกปายี่ในยูนนานตอนใต้ ในยนนานคะวนตกเหลือเกิน

ถ"าไม่เห็นเคร

ท*งภาษาและรูป

กล"ายกนมากกบพวกปายี่หรือชาน

ทํ้งสองพวกนํ้

ตำหนังสือก็คี

ภาษาก็คี

และรูปร่างก็ดี เหมือนกนกบพวกไทย ลาว และชานในพม่าทีเดียว

ขิาพเพ้ขอเพ็มเติมอีกว่า

ที่ไค้แสดงมาเบนขอ ‘ๅ แลวนนย่

หมายรวมถึงชนชาติที่อย่ในแคว่นอินโดจีนฝรํงเศสเกอบทงห ประเทศไทยที่งหมด และในพม่าอีกมิใช่นอยเหมือนกน ที่ไม่ทราบก”นที่วไปว่า ตอนใค้ในประเทศจีนนน

มีพวกปายี่เบนจำนวนมาก

อาจเบึนเพราะเหตุอย่างน’อย ๓ ประการคือ

๑) ชาวต่างประเทศมไาจะเชื่อตามเสียงของหำหน’าจีน

ที่รวมพวกช

พั้นเมืองด*งํ้เดิมซึ่งมีหลายพวกนนเขำเบ็นชื่อที่เรียกว่า มนเส หรือเปนดึเยน ไทย

๒) ชาวต่างประเทศในประเทศจีนนำ]ยคนนำที่

๓) ชนชาติไทยมกจะต*ง์ภูมิลำเนาอยู่ตามชนบทบำนนอกและห่า

จากทางหลวงอย่างที่นายโคลเกอนกล่าวไว้ในรายงานว่า เฉพาะภายใ เมืองยูนนานเท่านนที่ไค้พบจีน 15

คนพนเมืองค*งเดิมอยู่ตามช



นอกเสยทงนน

รายงานของนายเบิรนกงสุลอ”งกฤษประจำภาคใต้ประเทศจีนไค้

บ”นทึกว่า ชนชาติที่ไม่ใช่จีนซึ่งอยู่ทางภาคใต้ในประเ มากกว่าครึ่งของสำมะโนครำแห่งมณฑลยูนนานและกวางซี

และ

จำนวนมากอยู่ในมณฑลไกวเจา และยีนานตอนตะว”นฅก ประมาณอย่างหยาบๆ ว่า ในจีนนน

ดินแคนที่ชนชาติไทยต*งภูมิลำเนาอย่

ทิศตะว่นตกเรีมต!งแต่แม่นาปะเบี่ยน

ทิศเหนือแต

เจียงโจว ทิศตะว”นออกแต่เม่งสูเชียน ทิศใต้แต่ตำเกี๋ย ราว ๖,๕00 ตารางไมล์ นามเท่านน

มีหำหน้าเรียกว่า ถุซู ขนต่อลิงง”นฟแ

คินแคนทางฅะวนออกเฉียงเหนือของจ่งหวคยนนานฟู ไม่มีพวก

ชาน (อ”งกฤษเรียกไทยว่าชาน) ฅํ้ง์ภูมิลำเนาอยู่ถี่นแรกที่พวกเราไค้ผ คือ ที่ยวนเชียงเจา

และใค้ลงมายี่งมีพวกชานมากขํ้นฅลอดฅํ้ง์แ

นานฟูจนแคนมณฑลไกวเจา ในถี่นที่กล่าวนืพลเมืองส่วนมากเบนพ นีทงนน ของจีน

และทณบ็นเจ่าของคินแคนของมณฑลกวางซีก่อนที่ฅกเบี่น

เพราะสถานที่ขาราชการจีนอ”นเรียกว่าเจนหลายในนานนิงฟ

และฅึกสอบไล่หน”งสือในไกวสิน

(เมืองสำค”ญเก่าฅํ้ง์ที่ว่าการม

กวางซี) ก็ว่าปลูกสรำงขํ้นบนพนที'ซึ่งเคยเบ็นว”งเจพองพวกชานมาแ สำเนืยงภาษาชานพูดนุ่มนวลกว่าของจีนหรือโลโล

มืพย”ญชนะก”ณ^ช

และเบนธนิฅน”อยกว่า และปรากฏว่าภาษาก็เรียนง่าย แต่น่าประหล ที่การน”บจำนวนหนึ่งสองสามสี่ ๆ นนคล”ายก”บของกวางตุ้งมาก พวกชานเรียกฅวเขาเองว่าไทย ผู้ไทย ผู้นองหรือนุง ผู้ม”น ผู้ยอ ผ้เจย ผู้เอ็น ผู้ยีย ผู้ฉุยหรือสุย

ชานเหล่านั้เคือคร”อนยื่งน”กที่เจ”าหน”าที่ผ่ายจีนมืประ ผ้หญิงชานใช้เครื่องแต่งกายอย่างจีน

เพราะประเพณีของเขานนไม่

กางเกงหรือสวมเสี่อหลวมอย่างจีน แม้แต่ความเชื่อถือเขาก็เห็นว่าควร เชื่อถือตามที่พวกเขาเชื่อถือก”น่มาแต่โบราณ

ชนชาวที่ฅงภูมิลำเนาอยู่

ทางพรมแดนของจ่งหว”ดกวางนานฟูก่บมณฑลกวางซีเบนพวกชานท^ง นน จีนเรียกพวกนึ่ว่า ถุเยน ซึ่งหมายกวามว่าคนพํ้นเมืองด*งเค้ม คนจีน

และหน”งสือที'เขียนไว้ในภาษาจีนกล่าวว่า พวกนึ่เรืยกตัวเข

เขะเจีย หมายความว่าผู้อพยพเตัามา หรือฮกกะ และว่าบรรพบุรุษของ

๑^121

พวกนอพยพมาจากมณฑลสนานหรือนานกิง อ”นเบนดินแดนของชนชาติ ทีพูดสำเนียงภาษาสงหลายช'วอายกนมาแล”ว นนส่อฅํวเองให้รู้ว่าเบี่นสำเนียงชาน

แด่สำเนียงทีพวกนพู

และพวกชานในถื่นนีเรี

ในภาษาของเขาว่าผ้นอง ผู้เจย หรือผู้ไทย

เพื่อจะบรรยายการเดินทางใน พ.ศ. ๒๔๕๖ ท^งสองฅอนให้เส นน

ที่ยำไม่ไค้กล่าวก็เพียงว่า

ไสฟอง

พวกเราต่องโดยสารเรือกลไฟกล'

เพราะพวกเราอยู่ในที่ด่าง"] ก'น

ส่วนตวขำพเจำนนกล

ประเทศไทยท'นเวลาที่มีการประชุมมิสช'นรีในภาคใต้ ขำพเจำเบ็๋นผู้แทน คณะมิสช'นรีประจำภาคเหนือ

ในที่สุดขำพเจำกล'บถึงบำนที

เชียงรายเมื่อว'นที่ ๔ ฅลาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ รวม ๗ เดือนเศษ

น'บแด่

เวลาที่ขำพเจำพรอมก'บนายวินเศนฅไค้เดินทางไปฅำเกี๋ย.

เจ*าพาเชยงตง และ ไทยตะว*นตก

บริวาร

ไทยลอ

ไทยลาว

3

บทท ๏0 ที่ว่างในแผนที่ ถามองดูแผนที่ทวีปอาเชียตอนฤะๅนอยิกเฉียงโต้

จะเห็นภมิ

ประเทศอนกว่างใหญ่ส่วนหนึ่ง นไ]แต่ทะเลจีนโต้ตลอดขนไปทางเหนือ ผ่านญวน

เขมร

กบธิเบต)

ยูนนาน

เสฉวนตะว”นฅก

ตลอดโนธิเบตตะวนตก

นีแหละที่ว่างโนแผนที่

ก”นซู

(เหนือเสฉวนติด

และกวางซีกไ)ไกวเจาตะว”นออก

และในตินแดนผืนใหญ่อ”นก”นคารนึ่

ทยผู้ไม่มีหน”งสือตงภูมิลำเนาอย่ท”วไปเบ็่นจำนวนไม่นไ)ยเลย เต็งยวดโนยูนนาน ใกล้พรมแดนพม่าจนถึงกไต่ง ยางสีตลอดมาจนลุ่มนาโขงตอนใต้

มีชน

นไ]แ

และแต่เหนือลุ่มน

นึ่กือบไนเกิดเมืองนอนของชนชาติ

ไทยที่ไม่มีหนไสือต"งหไถึงเจ็ดลไนคน โนบทก่อน ^ ขไพเจไได้พยายามให้ร้จไเชนชาติหนึ่งว่า ที่ไหน

รูปร่างหนไฅาอย่างไร

มีอไยาศไเออเพอเผึ่อแผ่อย่างไร

เครื่องแต่งตำอย่างไร แม้ฅำขไพเจไเอง

เขาอยู่

ใจคอร่าเริง

ก็ได้ประสพการณ์

ฅไ)นรไ)และความเออเพอจากชนชาติที่กล่าวนึ่ในระหว่างที่ได้บากบ”นแผ่ ศาสนาไปในพวกนึ่เบีนอนมาก ใน พ.ศ. ๒๔๕๓

ขไพเจไได้เสียเวลาเดินทางไปในดินแดนของ

ชนชาติไทยพวกนืถึงสามเดือนกึง ดำยเทไ

เบ็่นระยะทางราวพนไมล์

ไปโดยขืมาบาง

แต่โดยมากเดิน

ต^งตนจากเชียงรายไปยงปายแส

" คามแผนที่จน เฬีณจ่า 1^086110 อย่ในกวางชี

และจากปายแสฅะวนฅกในกวางซีโดยสารเรือถึงสามชนิด แม่นำสิเกียงระยะทางเจ็ดหรือแปดรอยไมล์ถึงก"งฅง

ไปฅาม

รวมท"งสินกว่

ถึงประเทศจีนอย่างนำ)ยที่สุค ๑,๕๐0 ไมล์

ขำพเจำนไเไค้พยายามเดินหลีกทางของท่าน เรเวอเรนคฺ เจ.เอส

ฟรีแมน มิสชไเรีประจำชาติไทยอีกผ้หนึ่ง - ซึ่งเดินทางมาในบเดียว

คือ พ.ศ. ๒๔๕๓ แด่ว่าท่านผ้นึ่ไค้เดินไปก่อนหนำขำพเจำสองส จากขานอยในด่งเกี๋ยไปยำจำหว"ดิเม่งสูในยูน'แาน รถไฟ

และด*งฅนจากสานอยอีกคร"งหนึ่ง

นานนิง‘ฟู

แลวกล’บ

โดยมากเบ็'นทางรถไฟไปยำ

แลำจึงโดยสารเรือยนตร์และเรือกลไฟไปยำวเจาและส่องกง

ต่อไป ในระหว่าง‘กี่เดินทางนึ่ท่านได้หยุดพำ)บ่อย ‘ๆ ไปที่โน่นที เพ็่อสืบคน ค้รไ]ความรู้เรื่องชนชาติไทยด่าง จากขำราชการฝร’งเศสบำง

จากไทยฅำเกี

จากหนำสือฝรำเศสและจากพวกบาทหลวง

โรมนคาธอลิคและมิสชันรีอีกบำง

ครำที่ชำพเจำเดินทางไปสำรวจถึนไทยใน พ.ศ. ๒๔๔๓ นน ได้ ผ่านยนนานทางลุ่ม'นาคำและนํ้าแดง ลิงอ’นฟู

และเม่งสู ไปยำท่

กลไฟที่แม่'นาสิเกียง ไค้พบก’บ่ท่าน เรเวอเรนด ฟรีแมน ที ใน พ.ศ. ๒๔๕๖

นายวินเศนฅกไ)ขำพเจำไค้เดินทางในดำเก

โดยทางรถไฟจากฮานอยไปลางเซิน ใกล้พรมแดนจีนอย่'ทางดะว’นออ เฉียง เหนือของฮานอย

แลวกล’บ่มายำที่เดิม

ลำ'เ.เาแดงถึงเยนบายและวิเอตรี

แลำจึง เดินทา

แลำขนไปดามลำ'นาดำจนถึงโจ

เบ็๋นท่าเรือใหญ่ในแม่'นานนแลวกล’บ่มายำฮานอยอีก

1นบี่เคียวกํนนั้น ขิาพเจาไค้เดินทางฅ่อไปย์งกวางซี โดย ปฅามแม่นำสิเกียงจากก‘งฅงถึงนานนิงฟ สองพวก

ณ ที่นในราไค้แยกออกเบ็๋น

คือพวกหนึ่งมีนายเบิรกว'ลล เบ็๋นหำหนำไปฅามแม่นาสิเกี

ถึงม่ายแสโดยเรือยนฅร์ อีกพวกหนึ่งคือนายพี่เชอรกไ]ขำพเจำ ไค้เด บกจากนานนิงฟู เรือ

ตรงขั้นไม่เหนือโดยน’งบนเกำอีหามแลวกฒัโดยท

การสืบกนชนชาติไทยโนมณฑลกวางซีครอี3นึ่ ม่ระมาณเนึ่อที่ตาม

ยาวสองถึงสามรอยไมล์

ต*งตนจากลุงเจาซึ่งอยู่ทางไต้ใกล้พร

ตำเกี๋ยถึงโมยนซึ่งอยู่ทางเหนือ

เนึ่อที่ฅามกวำงต*งสอ

นานนิงฟูตะว’นออกถึงม่ายแสตะว’นตก ไน พ.ศ. ๒๔๖๑

ขำพเจำก'บภรรยาไค้เดินทางจากไอฟองใน

ตำเกี๋ยไปยำยูนนานฟูโดยทางรถไฟ

แต่หยุดพ้กที่เม่งสสามว'น,

เดินทางจากยูนนานฟูและวูติง ไม่ยำลุ่มนายางสี แลำกล’บิยำยูนนานฟู

โดยนำบนเกำอีหา

แลวก็ออกเดินทางโดยเกำอีหามไปยำยวนเกียง

ผ่านทางลุ่มนาดำและแดงไม่ยำเชียงรุ้งเบ็๋นสุดทาง

การเดินทางสืบกนชนชาติไทยนึ่ไค้จดไว้เบนรายงาน และร่างเบ แผนที่ดินแดนอ'น,ชนชาติไทยตำภูมิลำเนาอยู่ทอี3ในม่ระเทศจีนและตำเกี๋ย

และมิสช'นรีพวกอื่นยำไค้ทำการสืบคนไนกวางตุ้งและเกาะไหบลำ พรอม ก’บสึบสวนเรื่องภาษาไทยดวย ท่านเรเวอเรนด ฟรีแมนมีกวามเห็นร่วมกนก'บขำพเจาว่า ใใเตำ เกี๋ยนำเสามในสี่เบนภมิลำเนากนไทย พวกไทยตำเกียออกเบ่นหลายพวก พี่นภมิม่ระเทศ

ตามศาสนา

แต่ทางราชการฝรำเศสไค้แยก ตามภาษา

และตาม

ไทยที่มีหนํงลือพวกสดทำยที่ข่าพเจ็าพบนน

ทีจงหวดเม

ระยะทางสองวไเจากเมืองบ่อหรือไวยวนติง อยู่ทางฅะวนฅกเฉียงเหน ในแควนไทยเหนือแห่งมณฑลยนนาน โขง

และอยู่บนแกวแยกของแ

แด่ถานไ]ระยะทางจากลิงอโาฟู ๑๖ ว"น

และจากเม่งสู ©๘

แด่อย่างไรก็ด่ ชนชาติไทยที่ไม่มีหนำลือในประเทศจีนนน ในส่วน

กำพดของพวกไทยในลิงอนฟูไม่สู้ด่างจากไทยที่ถือพุทธศาสนากี่มาก ที่ยวนเกียงเจาซึ่งอยู่บนแม่นาดำในยูนนานนน และขาดกำใช้ทางศาสนาไค้บอกแก'ขำพเจำว่า ^

^

พวกไทยท

ถำมำก้นก"นอย่ราว

^ๆ--ฯ.’'ใฯ-'^ ^

เดอนหนงแลวจะพอเข'ก เจกน เดท เคยว

ทำนเรเวอเรนดฺ ฟรีแมนได้กล่าวไว้ในรายงานว่า ไทยเบ็

หนึงซึงใช้พูดจากนทำไปในดินแดนทุกแห่งที่ขำพเจำไค้ไ อย่างไรก็ดิ ชนชาติที่ผู้เขียนรายงานไค้ทำการติดต่อและสนทน,าดำยแน ยำไม่เคยพบชาวด่างประเทศที่พูคภาษาของเขาไค้มาแด่ด่ฏนเลย

แ3ว้

ร^บาลฝรำเศสมกจะกีดก"นพวกมิสช"นรีก็ตาม แด่ทำทำดินแดนเหล่าน ย่อมยินดีรไ]รองผู้ที่พูดภาษาไทยชองเขาไค้

และที่คบคำก"นอย

และเอํ้อเพอ-กี่นเดิมของชนชาติไทยในภาคใต้ของประเท ?เยงเบใเบานเกิดเมองนอนอนไพศาลของช'นชาติไทยฏย มณฑลกวางซี ไกวเจา

เกาะไหหลำ

มณฑลกวางต้งบางส่ๅน และใ

มณฑลยูนนานทงฅะว"นออกและฅะว่นฅก ชนชาติไทยอย่เบ็'นส่วนมาก

คลอดาน้]งที

นทองทีคงกล่าวนืย่

สถิฅิสำมะโนกรวของชนชาฅิไทยที่ไม่มีหนํงสืฎ (ที่ม่หนไ3สือของ ฅนเองใช้ ในประเทศจุนก็มีอีกมาก) ในประเทศจุนนนมีผู้ประมาณไ ว ว^

ไม่เท่ากน บางก็ว่า มีจุำนวนฅง ๕ ถึง ๗ ลำนคน อย่ในมณฑลไกวเจุา สองลาน

ในมณฑลกวางซีลที่นหนึ่ง

มีไม่ตากว่าลที่นกน

ขาพเจุ’าเชื่อว่าในมณฑลยนนาน

อยู่ในต"งเกี๋ยครึ่งลท่น

บาทหลวงโรมไเกาธอลิคประมาณไว้แต่ก่อนว่า

จุำนวนเหล่านึ่ฅ่างก ชนชาติไทยที่ไม่มี

หน"งสือนนมี ๑๐ ลท่นคน อยู่ในความปกครองของท*ใ3สองร"บาล คือ จุนและฝรํงเกส ข"าพเจุว้ได้ทราบจุากทางราชการฝรงเกสว่า มีเนึ่อที่แกบก็จุริง

ถึงแม้ในญวนกลาง

แต่มีพลเมืองถึง ๑๔ ล"านคน และชนชาติเขมรอีก

๒ ล"านกน หามืมิสช"นรีประจุำไม่ ชนชาติไทยที่มืจุำนวนครึ่ จุำนวนขางบน

ก็ไม่มืมิสช"นรีประจำ

เหตุฉะน*นจุงเบ็๋นอ"นกล่าวได้ว่า

ชนที่อย่ในดินแดนตะว"นออกเฉียงใต้ในทวีปอาเซียนน ๒๐ ล"านกน ย"งไม่รู้จุกคริสต์ศาสนาก็ว่าได้.

เบนจำนวนฅ

,^4

ฆ?)?เ ๏๏ ไทยเหนือ ชนชาติไทยที่มีหนํงสือของฅํวเอง

ได้แยกยายกนไปอยู่ใ

ของด้^บาลท^ง ๔ คือ จีน อ”งกฤษ ไทย และฝร่งเศส ซึงเราจะอค

เสียใจมิไค้ เพราะในยคนืกิจการท*งหลายย่อมเปลียนแปลงไปฅา

เจริญ อาทิ คือ ธงชาติของบางประเทศในบุรพทิศ มีนกยูงแ มีงกรแห่งจีน และชทิงเผือกแห่งไทย แด่อย่างไรก็ดี

ก็ให้เปลี่ยนไปให้ง

การเปลี่ยนก็เพื่อเบ็นที่หมายแห่งเสรีภาพ

กวามเจริญ กวามกทิวหนทิ และความไมฅรีกนท”วโลก แม้ธงชาติที่เคย

ใช้มาแด่โบราณหรือที่ปรากฏในประวตการณ์แลวก็ดี ก็เพื่อควา

เช่นกล่าวแลว นกยูงแห่งพม่า ก็มีธงอทิกฤษเขทิมาแทน ม”งกร

ก็เปลี่ยนเบ็่นเบญจรงค์แห่งประชาธิบฅย์จีน ชทิงเผือกแห่งไทยก็เปลี เบ็๋นธงไฅรรงค์แห่ง ประเทศไทย ธงท*งหลายดทิกล่าวนน ได้ปลิวสะบ”ดอยู่เหนือธงชาติไทยสาขา ด่าง ‘ๆ

ผู้ถือม”นในภาษาและขนบธรรมเนืยมของฅนอย่างมห”ศจรรย์

และก่อเกิดความรกและภกดีต่อดินแดนอย่างแน่นแพ้น แด่อะไรไม่เบ

เครื่องผูกม”ดเขาอย่างแน่นหนาเท่ากบพุทธศาสนาที่เขาน”บถืออย่ ฉะนน

ชนชาติไทยที่มีหน"งสือ ถือพุทธศาสนาจึงมีความเกี่ยวพ

และก”นแน่นหนายี่งกว่าพวกไทยที่ไม่มีหนทิสือ และไม่ไค้ถือพุ เบนอ”นมาก

ต๕๔

ดินแดนอนเบนถี่นของพวกไทยที่มีหนํงสืฎนน ประมาณอย่างใกล้ ทีสุด มีเขตทางฅะวนออกแด่ลุ่มแม่นาโขง และแม่นาแดงในแดนญวน แผ่ไปทางใต้ถึงลุ่มนำโขงตอนใต้และอ่าวไทยทางตะว“นดก แดนพม่าและอสฒัในอินเดียและทางเหนือ

เขทีไปใน

แด่ ๒๕ องศารุ้งเหน

ทีลุ่มนำสาลวีนยืนไปทางตะว*นตกในพม่า และที่ ๒๔ องศารุ้งตะว'น ทีลุ่มนำโขงและแม่นำแดงเบนเขต นี่กือภมิลำเนาของไทยเหนือ ไทยลอ

ในประเทศจีน เขินและเงํ้ยวในพม่า ลาวแห่งแกวนอินโดจีน ฝรทีเศส ญวน และไทยในประเทศไทยท^งหมด ไทยที่มีหน*งสือในประเทศจีนมีสองพวก คือ ไทยเหนือและไทย ลํ้อ

พวกไทยเหนืออยู่ลึกเขทีไปในประเทศจีนยี่งกว่าไทยมีหน*งสือพวก

อื่น ฯ ไทยเหนือนไเอ*งกฤษเรียกว่า

ชานจีน

เมืองสำก*ญของแควไเ

ไทยเหนือมีสาม คือ เมืองขว*น เมืองกึงมที และเมืองบ่อ ตามรายงาน ของนายพ*นตรีดาวีสว่า

เมืองขว่นเบ็๋นเมืองใหญ่และบริบูรณ์ที่สุ

กอไผ่และบากลำยเบ็่นกำแพงลำเมรอบ ซึ่งณ์าดูจากภายนอกจะกลทียก*บ ไม่มีหม่บทีนนอกจากจะเขทีไปใกล้ เมืองขวนมีบทีนเรือนประมาณหทีหก รอยหลำ ท่อดำยอิ^ดำยอย่างแบบจีน มีว่ดใหญ่ว*ดหนึ่ง ตำบลในเมือง คเจริญดีทุกแห่ง มืวำของเจทีผู้กรองเมืองนน เพี่งสรทีงขํ้นใหม่ ‘สุ ในรายงานของนายพ’นฅรืดาวีสว่า เมืองถึงมทีเบนเมืองใหญ่ที่สุค และดีที'สุดของแกวนชานในยูนนาน สามรอยหลำ

มีบทีนเรือนใหญ่ ๆ

ประมาณ

ต!งอย่บนที'ราบสูงมีอากาศดีท^งสนุกครึกกรํ้นดำยมีกนจีน

มาฅใรทีนคทีขายอยู่มาก

ตำเมืองต^งอยู่บนที่ราบ

ยาวแด่เหนือมาใต

๑ไ)0

®๕ ไมล์

กวิางประมาณครึ่งหนึงของระยะยาว

31แม่นำเ

เมืองสองสาย หม่บานโคยมากตํ้งั้อยู่บนผืงแม่นำทํงสองนี ฅามผืงนาหลายแห่ง

แต่ทำได้เพียงเล็กนอย

เพราะพืนทีสูงเ

ทดนามาทำการเพาะปลกให้สะควกไค เมืองบ่อหรือที่ชนในตำบลนนเรียกว่า หว่อ มืชื่อเสียงว่ามืบ่อเกลือมาก

จีนเรียกว่

เมืองบ่ออยู่ทางฅะวํนออกของแม

เ3รีองกึงมๆอย่ระหว่างแม่นาโขงกไ]สาลวีน แต่เมืองขว’นอยู่ทา ของแม่นาสาลวีน

มืหม่บไนไทยเหนือตรี3อยู่ระหว่างเมืองแล

เมืองเหล่านํ้ และอย'ในข์งหว่คอื่นของจีนอีกเบนจำนวนมาก

พวกชาวเขาแลว พวกละฮมืจำนวนมากที่สุดในดินแคนตอนใต้

แม่นาโขงกไ]สาลวีน พวกโลโลมืจำนวนมากที่สคในดินแคนตอ และตะวไเออกเฉียงเหนือ

ชนชาติไทยเหนือ ซึ่งต"งภูมิลำเนายืคไปทางใต้ถึง ๒๒ องศากึ

รุ้งเหนือ มีจำนวนราวหกแสนคนนื มืขนบธรรมเนียม การแต่งกาย คำพูคอย่างเดียวกไเ คลไยไปชไงจีน

เวนแต่พวกที่อยู่ทางตะว’นออกใก

และพวกที่อยู่ทางตะว’นฅกก็มืสำเนียงไปขไ

เงํ้ยว อนึ่ง พุทธศาสนาได้มาทำให้ไทยพวกนึ่มืถ'อยคำเพ็่มเบน ตนมากขั้นอีก

พุทธศาสนานนเบนแบบญวนวากเชียงตง

ประมาณ

๒๖๐ บี่ล่วงมาแลำ อุดมไปควยคำมคธและได้แพร่หลายไปในระหว่าง พวกไทยเหนือแถบแม่นาสาลวีน

อนึ่ง ที่ถอยคำในภาษาขอ

ยไ3กงถกตองร’กษาเบนแบบแผนอยู่ไต้

ก็เพราะมีคมภีร์พทธศาสนาเบน



หลักใช้อยู่ทํวไป

กระท'งเชียงใหม่ซึ่งระยะทางเกวียนจากแควนไทย

เหนือลงมาราว ๓๕ ถึง ๔0 วน พุทธศาสนาไค้ผงอยู่ในพวก เขิน ลั้อ และไทยเหนืออย่างม'นคง ขิาพ เจ*ารู้จก พวกไทย เหนือ แต่กร*ง์ เค้นท าง มา แ คว*นเชียงตุงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔0

ทราบว่าพวกไทยเหนือเบ็่นกนขยนัแเละอคทน มีอาชีพ

เบ็นคนขายเนั้อ ขายปลา ขายขนม และทำการผี่มือ เจ*าพ้าหรือสอบวา ซึ่งเบนหำหน*าของพวกนืจะสร*างบ*านสร*างเรือนก็ฅิองให้ไทยเหนือเบึน ผู้ทำ

เบ็นกุลีโค่นซุงลากชุง และท*งสลัดหินขนหินเบ็๋นช่างไม้ช่างปูน

สร*างบ*านสร*างว'ด ลัน

เบ็นกนตดไม้มาส่งเมืองและเบ็นช่างทำเกวียนเบ็่น

มีหมู่บำนใหญ่"] ราว ๑๕ หมู่ในเชียงตุงซึ่งมีชนหาเลึยงชีพดำย

การเบ็นช่างไม้อยู่ไม่น*อย พวกลอนนเบ็่นกนอยู่ค้ดบำนเบ็นชาวนาที่ดี เบนพ่อคำเร่

แต่พวกเขินชอบ

ฉะนนจึงเบ็'นธรรมดาที่พวกไทยเหนือเค้นขำมแคนลั้อ

มาอย่ปะปนลับพวกเขินผู้มีอาชีพคำเร่คลำยคลึงลัน แต่งกายต่างกบพวกลั้อและเขิน สีคำ

หญิงไทยเ

คือใช้ผำโพกและเสอผำสีกรามแก่หรือ

ผำกุงสำหรบนุ่งก็เบึนลายฅรงลงมาตามลัว เครื่องประลับกาย เช่น

กำไลมือ แหวน ตุ้มหูทำลัวยเงิน ว'นหนึ่งขำพเจำพบช่างไม้ไทยเหนือผู้หนึ่ง เขาเกิดที่ตำบลเหนือ เชียงตุงขนไประยะทาง ๒0 ว'น

ภาษาพูดของเขากลัายภาษาเชียงใหม่

เมื่อขำพเจำเค้นทางไปนนได้ไปที่หำนของ•■ขา

เขาได้เอาหนัง

เ^ เขียนทีมีอยู่ให้ขาพเจุาด

เขาบอกว่าไค้หน”งสือเล่มนํ้ม

ฅำหน”งสือนนทกต่วกล่ายก“บหน”งสือเชียงใหม่

ข”ๆพเว่าไม

เบ็๋นหนังสือของกนไทยในประเทกีจีนไกลถึงเพียงน

ภายหล่งขำพเจำไค้ฅงโรงสวดขีนฅรงหมู่นัานที่เบ เพื่อประโยชน์สำหร’บชนชาฅิไทยเหนือ ณ ที่นน

ทำให้ศา

ไปในจำพวกไทยเหนือไค้มาก ซึ่งเบ็นที่ยินดีของขำพเจำไม่นอย.

บทที่ ๑\ปี ไทยลอในสิบสองพํนนา สิบสองพํนนา

ซึ่งเบึนแกวนของไทยลํ้ออยู่ชายแดนฅอนใต้ใน

ยูนนาน มีเชียงรุ้งเบ็่นเมืองสำก*ญ เบ็'นคินแดนที่ซ่อนเรนและไม่มีการ

เกี่ยวของก*บใครในโลกน แต่พวกเราเพ็่งไปเบี่คสถานมิสช*นรีขน ไ ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข ถึงกระนนเราก็ย*งสามารถส่งข่าวไต้ เชียงรุ้งอยู่ห่างจากจ'งหว“ดเสเม*า

เมือง

ระยะทางอย่างนอยที่สุค ๖

ศูนย์กลางของภาคฅะว’นตกใต้แห่งมณฑลยูนนาน จะต้องฝากไปก*บพ่อค*าเกวียนเดินทาง

การส่งจดหมายนน

บางที่ต้องเก็บจดหมายไว้

กว่าจะถึงคราวที่เกวียนเดินทางต่อไป

หน’งสือพิมพ์ที่ส่งไ

ที่เชียงรุ้งอย่างน*อยต้องเบ็๋นเวลา ๔ เดือน

บ’ฅรส่งความสุขบี่ใหม่

ผ้เขียนถึงข*าพเจ*าไต้ร’บเมื่อว’นที' ๔ เดือนกรกฎาคม หนทางจากเชียงรุ้ โดยทางเกวียนผ่านเสเม*าถึงเม่งเส ๒๖ ว’น

ซึ่งมืสถานีรถไฟฝณีงเศสเบ็่นเวล

และถ*าลงมาทางใต้ย*งเขตประเทศไทย ราว ๒๔-๒๕ ว’น

จึงจะถึงลำปาง

ถ*าไปทางฅะว’นฅกผ่านเชียงตุงไปย’งสถานีรถไฟปลา

ทางของพม่าระยะทางก็เท่าต้บม'แ’มือง'!■'ศย เชียงร้ง หมายความว่า เมืองรุ่ง เหมือนเบ็๋นนิมิต แคว*นสิบสองพ’นนานํ้ตูเต็มไปดืวยอวาม^อ เก่าแก่

เพราะใน

มืไทยลํ้อซึ่งเบ็นชน

ย*งอยู่ในความมืดท*งจิฅใจและความเชื่อถือ ย'งเขลา ประดุจว่า

เจ*าแห่งกวามมืตครอบงำ

๑1)๔

แท้จริงได้มีการปลกผ้งความเจริญในจิฅใจของไทยลธม'ก

นำงแลำ คือแต่คร^งหมอนํคกิลวารีและนายเออรฺวิน ได้เดินทางมา

ศาสนาถึงเมืองนํ้เมื่อพ.ศ. ๒๔๓๖ ซึ่งเบ็นเวลา ๒๕บี่ล่วงมาแลว โศ

วิธีไปเที่ยวประกาศและสนทนาก*บชนที่อยู่ฅามเมืองและหมู่

แต่ที่ท่านทํ้ง์สองมากราวนไแบ็่นการรีบรำ)น พ*กอยู่เพียงแห่ คืนเท่าน*น

จึงหาท*นมืผลอย่างใดไม่

บ*ดนั้พวกเราได้มาประจำอยู

เพื่อจะเลั้ยงดพืชแห่งความเจริญนไเต่อไปบำง บำงแลว

ซึ่งดู

เพราะมีพวกไทยลอราว ๑๐ กรำซึงอยู่ใกล้สถานี

กล*บใจมาถือศาสนาคริสต์ หมอเมส*นและนายบีเบ ฅุลาคม พ.ศ. ๒๔๖0

ได้เบี่คสถานมิสชันรีขั้นเมื่อว*

สถานมิสชันรีแห่งนีอยู่ริมแม่นาห่

เชียงร้งซึ่งอยู่ทางทิศใต้ตามลำนาลงไปราว ๔ ไมล์ ก่อ

อนุญาตต่อผู้เบนใหญ่ในจำหว*ดเมื่อได้ร*บอนุ ญาฅ แลำจึงปลกสรำง ชำกราวขั้นสำหร*บให้ครอบกรำของหมอเมส*นอาศ*ย

เครื่องประ

การก่อสรำงเช่นตะปูและบานพ*บจะหาซ็อในจำหว’คนนไม่มี ตองไปซอ

ถึงรำนต่างประเทศที่ฅำอยู่ไกล ระยะทางตำ ๑๕ ถึง ๒๐ ว*น แม้ขวาน และมีดและเกรื่องขุดหลุมจะมืบำงก็เบนอย่างเลว ฯ

เรือนทำคำยไม

ทำฝาและพน หลงกามุงแฝก ใช้เวลาหลายเดือนปลกกว่าจะสำเร็

เรือนที่สรำงขั้นภายหลำสำหร*บเราอาศ*ยนนเบนเรือนสอง ล่างฝาหองทำดำยดินเหนียวแบบไทยเหนือ

โรงพายาบาลก่อด

๑๖(5เ

ปนกรวดซึ่งเอามาจากกนแม่นา เบี่นเรือนเฅยอยู่ก‘บพนดิน และข็าพเจ็า ได้ไปอยู่ปร ะจำเมี่อวนที่ ๒๖ ฅุลากม พ.ศ. ๒๔๖๑ เมืองเชียงรุ้งน

ชาวพนเมืองเรียกว่าเชียงฮุง

เก็งขึง ฝรํงเศสเรียกว่าเชียงขึง หมายกวามว่าแม่นาม*งกรทํงเก*า เขมร

และจีนเรียกว่ากิวลุงเก

ซึ่งจีนใช้เรียกแม่นาโขงหรือแม่น

เมืองนฅงอยู่บนผงแม่นาโขง

ประมาณสามว*น

ห่างจากพรมแดนพม่าระยะทาง

อยู่บนเนินเขาซึ่งลาดไปทางฅะว*นฅกเหนือแม่นา

เบึนเมืองลลับเพราะมีตินไม้ปกกลุมกนอยู่ ไม่เห็นเมือง

อ*งกฤษเรียกว

ซึ่งถ็าแลดูจากแม่นาจ

นอกจากยอดโบสถ์และหล*งคาว“งเจ*าพ้าผู้เบนหำหน*า

พวกลั้อในสิบสองพ*นนา

วำเจ*าพ้านืก่อสร*างเบ็'นโรงใหญ่

ชนิดต่าง‘ๆ

ซึ่งกร*งก่อนน*บว่าเบ็๋นศรีสง่าของเมืองนน

ครํ่ากร่าสกปรก

ม*าของเจ*าพ้าก็เอามาเลยงในว*งนื

ทำควยไม้

แต่บ*ดนืเก่า ไม่มืเอาใจใส่ดูแล

พั้นที่ให้งามขั้นเลย หน*าฝนมีหญ่าขั้นรกรุงร*ง แต่มืคนอยู่มาก กนที ในวำนืเบ็นบริวารของเจ*าพ้า มืท*งผู้หญิงคนแก่และเด็ก จำนวนเด็กนน

ถ็าจะรวมก*นขั้นก็เบนโรงเรียนหนึ่งได้คี ฅำเจำพ้านึ่ฅิดผี่น มืบ

หลายคน ท่าทางเฉลียวฉลาดดี บฅรชายของเจำพ้านึ่กนหนึ่งเคยไ กรุงเทพ ฯ ซึ่งเบ็๋นระยะทางไกลมากสำหร*บพวกลอ จีนได้สรำงเมืองใหม่ขั้นเหนือเมืองเก่า ลำแม่นาประมาณสามหรือสี่ไมล์

ห่างจากเมืองเก่าไปฅาม

ชนพนเมืองเรียกเมืองที่สรำงใหม

ว่าเชียงใหม่ แต่ที่จริงดิคต่อก*บเมืองเก่าซึ่งรำงมาหลายสิบบี บ**ดนึ่ยำมืเบ็๋นรอยกำแพงเก่าอยู่บำง

บำนที่สรำงใหม่และงามที่

ก่อควยอิ;ฐเบ่นของผ้สำเร็จุราชการจีน

ดเบ็๋นสง่าในตำบลเปลียวนเบ

อนมาก ก่อสร“างมาได้ ๘ บี่แลว เบ็นแบบจีน และมนคงกลายกบบอม มีช่องบืนด"วย

ผ้สำเร็จุราชการจีนนมีอำนาจสิทธขาดบญชาการทิวไป

และเบนตุลาการตํดสินความเด็คขาคในแกวนสิบสองพนนา ว่าเขาได้รบแต่งด*งมาจากกรุงปะก็ง เมืองบำงเล็กน'อย

เขากล่าว

เขามีอธยาศํยคี

รู้ภาษาไท

แต่เมื่อพดก“บพวกเรามำฅ'องมีล่าม

สถานมิสชนรีของเราน*นฅ*งอยู่ฅรงข'ามกบบ'านผู้สำเร็จราชกา เยํ้องไปทางทิศเหนือเล็กนอย

เบนทำเลงดงามของเมืองใหม่ ในเมือง

ใหม่นืเบี่ดโอกาสให้ไทยลอมีสิทธิเท่ากบจีน

แต่ที่จร

มาอยู่ในเมืองนื เพราะอากาศรอนอบอ'าว มีแฅ่พวกขำราชการ ทหาร กไ]พ่อกำอีกสองสามคนเท่านน

นอกนนเบึนพวกไทยลํ้อโดยมากและ

พวกอื่นบำง

เชียงรุ้งเบ็นเมืองเก่าลลไ]อยู่ในทำเลอนงดงามและเหมา เมืองเบ็๋นชนชาฅิเก่าท*งภาษาและชนบธรรมเนียม

เบ็'นเมืองสำคไ:บขอ

แคว'นลั้อซึ่งเรียกตามภาษาพนเมืองว่าสิบสองพไเนา

แต่เดิมอา

ของแกว'นลั้อนนรวมทงเขฅของจำหวไาซึ่งเดี๋ยวนืเรียกว่าเสเม

เวลาน*นเจำพ้าหรือหวหนำเมืองเชียงรุ้งมีอำนาจปกครองเกินแต

จนถึงจำหวดปูเออซึ่งอยู่ทางเหนือ อาณาเขตของสิบสองพ

น ทิศเหนือจดเสเมำ ทิศใต้จดพรมแดนพม่าของอำกฤษ ทิศตะว”นออก จดพรมแคนลาวของฝรำเศส องศา

แต่ทางดะวนตกราวเสไ4ต”ดขนาน ๑0๐

คนแดนทกลาวนเบนของชนชาฅลอในบจจบน

แต่เดิมมีมาก

(91)ฟ้

กว่านคือลำเขิาไปไนอาณาเขตขององกฤษแล!;ฝรืงเศสอีก คํงที่พบเห็น เบ็นจำนวนมากในตอนเหนือประเทศไทยเพราะตกเบ็นเชลยในการรบ ภาษาหนไ3สือและภาษาพดของไทยลอเบนอยางเคียวก‘บเชยงใหม่ใน่

ประเทศไทย มีแตกต่างกนนอยที่สุค เบนอย่างเคียวกบในแควนเชียงตุง

ในแควนลาวของฝร”งเศส และไทยเหนือทางตะว่นออกของแม่นํ้^าสาลวีน ซึ่งรวมท*งํ้พวกลอคิวยแลวมีจำนวนประมาณ ๕ ล”านคน ในสิบสองพ”นนามีทองที่ ๒๘ อำเภอ ไทยต*งภมิลำเนาอยู่บนที่ราบท”วไป เขาต*งบ”านเรือนอยู่

ในทุก‘ๆ อำเภอมีชนชาติ

แต่ส่วนพนที่เบนเนินเขามีชนชาว

ชาวเขาเหล่านโคยมากพูดภาษาไทยเข”าใจก”นไค้

ในท”องที่ ๒๘ อำเภอนนอยู่ในแกว”นเชียงตุง ๕ อำเภอรวมท*ง์เมืองยอง ค”วย

อย่ในเขตของฝร”งเศส ๕ อำเภอรวมท*งํ้เมืองสิงคิวย

หม่บ”านไทยมีจำนวนสองเท่าหมู่บที่นชาวเขา เมืองพง

ซึ่งอยู่สุตตะว”นออกเฉียงใต้

เฉลี่ย

เช่นในอำเภอที่ชื่อว่า

เฉพาะอำเภอเมืองพงนนตาม

ทะเบียนของผู้ปกครองทองที่ว่ามืหมู่บ”านไทย ๖๙ หมู่ หมู่บ”านชาวเขา ๓0 หมู่

รวม ๒,๕00 หล”ง มืคน ๑๒,๕00

เหตุฉะนนเมืองพง

รึงเบึนอำเภอใหญทีฟิด เมองลงมบานเรอน๒,๑๖๗หลง คน ๑0,๓๘๕ โดยมากเบึนไทยและอ่านหนืงสือไทยท''ง^หฉีอธอท อำเภอหนึ่งถึงอีกอำเภอหนึ่งไอล'านนาท โดยมากตองเดินนึ่งหลาย ๆ วน

ระยะทางจาก

เดินวนเคียวตลอดไม่ใ

ทุ่งราบที่สามารถเพาะปลูกพืชผลได้

ประมาณโดยเฉลี่ยมีอำ'’ภกล" (^,ต'00 ตารางไมล

ใหญ่กว่าเนอทีของ

ประเทศเบลเยี่ยม ถ”ารวมเนึ่อที่ภูเขาเช่าดวยก็เท่าประ'’ทศสวิ

(9\)^

แฅ่ไม่มีถนนดี ประมาณว่าในทุ่งราบแห่งหนงมีบานกว่า ๓, แต่ไม่มีเมืองใหญ่

สำมะโนกรำของแควนสิบสองพนนาซึงทางราชการ

จีนเบี่ดเผยเมื่อบกลายนว่า เสียส่วยให้แก'ร*ฐบาลจีน

มืบ“านไทยทงหมด ๗0,0๐0 หลงทีฅอง

๓เฉลี่ยว่ามีกนไทยบำนละ ๕ คน

จำนวนกนไทยในสิบสองพ"นนา ๓๕0,000 คน ในทองทีของชนชาติ ลี่อ ๙ อำเภอ ซึ่งอย่ในแกวนเชียงฅุงของอำกฤษ และแควนลาวของ ฝรำเศสรวมมี ๕0,000 หลำ มืคน ๔00,000 คน ถำรวมชาวเขา

เขำอีกครึ่งหนึ่งของจำนวนควยแลำก็จะเบ็น ๖00,000 กน ซึ่งอ ดินแดนของชนชาฅิลี่อ

ก่อนที่สถานมืสชันรีจะตงลงเบึนหลก^านที่จำหว"ดเชียง

มิสช“นรีที่ประจำอยู่ทางผืายเหนือในประเทศไทยได้เดินทางไปสอบสว ย่ำแควนลํ้อถึง ๖ กรงแลำ คือ กรงแรก พ.ศ. ๒๔๓๖ หมอม*คกิลวารี

ก"บนายเออรวิน ได้เดินทางไปถึงเชียงรุ้งในยูนนานตะว

หมอม*กกิลวารีไปกนเดียว ไปถึงบำนบ่อแห ซึ่งมีบ่อเกลือมาก ไปถึ

เมืองพงและเมืองลา แลวกลับทางเมืองสิง ทำสองกรำนึ่หมอม*คกิลวารี

ได้เขียนไว้ในประวฅประจำตำ กรำที่ ๓ พ.ศ. ๒๔๔0 ตำขำ

เพียงเมืองแจ ครำที่ ๔ พ.ศ. ๒๔๕๓ ขำพเจำได้ไปเขียงร้งโคยผ่

ยนนานฟในมณฑลยูนนาน กรำที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๕๘ ขำพเจำไปลับ

ลิออน กรำที่ ๖ รุ่งขนอีกบหนึ่ง คณะมิสช่นรีได้ส่งผ้สอนศาสนาคริ เบ็๋นคนไทยไปจากประเทศไทย การไปสืบสวนทุกครำนึ่ได้ทำการสำสอน ชนชาติไทยลี่อเบ็'นผลสำเร็จมิใช่นอย สอนไปเทียวแจกท'วไปควย

นอกจากนึ่ยำได้เ

6)

^

ส่วนฅวขาพเจานนได้เดินทางไปในแกวนลอเบ็'นกรํ้งแรกเมื่อว่นที ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๐ ชนชาดิไทยในประเทศจีน

แต่นับเบ็่นกร*งที่ ๓ ของการไปสืบสวน ผ่านพรมแดนของนังกฤษทางเหนือ

พรมแดนจีนทางใฅ้ไปนังเมืองหล่อ แม่นาลุม มีดลาดใหญ่

และ

หยดนักแรมกืนใฅ้ตนไม้ใหญ่ใกล

เบ็'นโอกาสให้ขดิพเจีาได้ศึกษาถึงชนชาติต่าง ‘ฤ

ได้บาง ชนชาติ๓ในเชียงหล่อ

รูปร่างไม่ค่อยเจริญตา

เหมือนพวกเขินซึ่งขห้พเจ่าได้ผ่านพนมาแลว นัอยกว่านับถือผี

พวกนติดผึนนันมาก

ดูไม่ค่อยฉลาด

การถือพุทธศาสนาก็ม

นัวหนัาพวกนเรียกว่าพญา

รูปร่างคีท่าทางกนัายจีน เขาประมาณว่าชนชาติลํ้อในเชียงหล่อ ผู้ชาย

อ่านหนังสือออกราวหนึ่งในสาม ที่อ่านออกเล็กนอยหนึ่งในสาม นอก นนไม่รู้หนังสือ ส่วนผู้หญิงไม่รู้หนังสือเลยนอกจากภรรยาเขาเท่านนเอง วนรุ่งขั้นนัาพเจ่าขี่นัาไปเที่ยวฅามหมู่นัาน เห็นชาวต่างประเทศจึงได้พากไเมานัอมดูแน่น

เมื่อเดินทางไปได้ราว

สี่ไมล์ถึงหม่นัานที่บริบรณ์แห่งหนึ่งมืหมู่นัานราวสิบหมู่ควยกน โจรพวกเมืองแจมาปนันเสียแนัว หมู่นัานนนัก็ร่วงโรยไป เหลืออยู่ราว สองหม่เท่านน

นันฅ่อมาข’าพเจห้ได้พบหมู่เกวียนพวกจีนมาจากเมือง

ฅาสิพ่จะไปยชัเชียงใหม่ ทางนึ่เบี่นทางใหญ่ก็จริง แต่เดินไ ประมาณ ๕.00 ล.ท.

มาถึงทุ่งราบซึ่งเมื่อบกลายนึ่มีหมู่บาน

ถา01/170(5^01/13ที่ 17[]00ใ13ที่0'ที่ยึ1ที่’ 1777ใ3ที่1ที่)3ที่7]ใที่)101ฟิ000ใ7ใ•ที่;ใที่)Iซิ[]ที่07

.ถึกให้คย

นัคใโได้ห้างไ1 เแลวเพราะถูกโจรปลน ผู้คนก็พากนัอพยพไ! I

๑๓)0

อยู่ที่อื่น เกรื่องสไ)ภาระของขำพเจาฅามมาไม่ทํน ขาพเ พนดินโคยใช้เสํ้อปู

และเหตที่เหนื่อยอ่อนณ็ลยหลบสบ

ฅื่นแต่เขำและรีบออกเดินเพื่อไปย่งเมืองเชียงชึง

ระยะ

เดินเลียบฅามลำนายีน ถึงที่แยกฅรงแม่นาขึะทางทิศใต้ขอ ระยะทาง ๓ ไมล์

การเดินทางตอนนื่สบายมาก

ในเมืองฮูนชาพ

เห็นสถูปแปคเหลี่ยมอย่างในกรงเทพๆ ยอดสถูปและโบสถมืบิดทองบา

แต่สถูปเล็กที่สรพื่งไว้เหนือหลุมผงศพของบรรพชิตหรือผู้เบ็่นหวหนานไ

บิ'ดทองเสียอร่าม ขบิพเจบิได้เดินทางพบหมู่บบินรบิงหลายแห่ง บางแห บบินย่งบริบรณ์ตีอย่

ที่จริงตลอดทางมาเบนที่ดุ่มตีพอแก่กนจ

เบนจำนวนมากมาย เมื่อขบิพเจบิมาถึงเชียงชึงแลวก็หยุดพก ได้พาขบิพเจบิไปดูโบสถ์ซึ่งอยู่ใกล้เมือง มาก

พญาหลวงผู้

มีพวกไทยสอมาลอม

ขบิพเจบิเห็นว่า ไทยลอพวกนื่ยโเบนบาเถื่อนมากกว่าไทยพวก

ตามที่ได้เคยพบมาแลำ

เบ็่นกนพูดมากกิริยาก่อนขบิงหยาบ

แต่ค

หาญและลาสนใจคอคี ทุกแห่งที่ขบิพเจบิไปตามวคหรือไปรำษาคน และให้ยารักษาโรคตามหมู่บบิน

เขายกมบิเล็ก ทุ มาให้นำและตำนรั

เบ็'นอนตี เมือถึงวนตลาดนดท้ตำบลเมืองแจ ไปที่ตลาดน*นในเขำวนจนทร

ขาพเจบิกไกนใช้สองค

เมืองนื่อยู่ทางตะรันตกเฉ

เชียงซึง ระยะทางราวสามไมล์ เบ็่นเมืองที่ต"งอยู่บนเนินเ รับเมืองเชียงซึง มีบ่อนำตี ทุ

เมืองทำสองนื่ทำกำแพงเมืองคว

09(ภ)๑

ซึงไม่แน่นหนาเท่าไร

ถามองดไกล"เจะเห็นคล็ายมีวดมาก

ส่วนใน

เมืองเชียงรุ้งบานเมืองมท่าซ่อนอยู่ภายในดินไม้ลํยิมซึ่งแลไม่ใคร่เห ราบของเมืองทํงสองนมืนาท่าบริบูรณ์ พืชผลย"งไม่ถึงครึ่ง

แท่ในเวลานทำการเพาะปลก

ลำนาสะเชื่อมเมืองแจและเชียงชีงกบเชียงรุ้งให

มาถึงก"น แท่หามืเรือเดินไม่ เมืองแจไค้ถูกพวกโจรชาวเชียงร้งปล"นเมื่อ๑๖บมาแล"ว หมู่บ"าน ทีไม่ไค้ถูกปล"นก็พาก"นอพยพไปอยู่ที่อื่นเพราะกล"วโจรภ"ย พนทของ เมืองแจโดยมากเบนเนินเขาสูง "I ตา "I มืลำธารอยู่มากและกว"างพอที่จะ ทดนาทำการเพาะปลูกได้ท่ว ต1แเท่เมืองนไป ว"ดเบ็๋นที'พ"กอย่างดีแทน โรงขายอาหาร เพราะไม'มืที่พ"กอย่างอื่น และไม่มีโรงขายอาหาร มีทาง ใหญ่และสะพานข"ามลำธารอยู่เสมอ เมื่อพวกเราไปที่ตลาดเมืองแจนน ถึงจะมืคนมาส"อมดก"นแน่นก็ดี แต่ไม่ใคร่มืเสียงเอะอะ

และไม่ไค้สำแดงเบ็๋นพาล

ที่มาล"อมดก็เพรา

ไม่เคยเห็นชาวต่างประเทศ' ข"าพเจ"าขี่ม"าไปหยุดในที่ใดก็มืกนมาล"อมด ก"นแน่นเช่นน้ทกแห่ง ข"าพเจ"าได้พบพ่อเมืองของตำบลนน ช"อที่แปลก ก็คือ

ที่นี่ไม่เหมือนในประเทศไทยหรือดินแดนไทยเขินเพราะดเขา

ไม่ฅองแสดงอาการนบนอบต่อพ่อเ-มืธงเ-ลย หลีกทางให้พ่อเมืองแม้แต่นอย อาหารเย็น

ท"งไม่มืเสียงเงียบ

หรือ

พ่อเมืองเชิญขำพเจ"าไปร"บประทาน

เบนกรงแรกที่ขำพเจำใช้ตะเกียบหยิบอาหาร

ตะเกียบน

ช้ทวไปในแถบน ข"าพเจำส่งหนำสือเดินทางไปให้พ่อเมืองดู และเล่า เรืองการเดินทางชองชาทเ■วิาไหท^

ชาพเจาถามวา

ทางไปจงหวด

เชียงรุ้งเบ็นอย่างไรบน

คนที่นนหลายกนได้ฅอบว่าไบ่ไม'ไช

เมือสองบมาแลำ ชาวอำกฤษสองกนได้ถูกผู้ร็ายฆ่าฅายฅามทาง ฅ่อนนไปขำพเจำกลไามายำเมืองเชียงชึง พำอย่ ๕ ว”น กนไข้ที่ฅองรกษาและมีผ้มาชอยา เคร่งครำ



ในถี่นนการถือพุทธศาสนาดูท

แต่แท้จริงสู้เชียงตุงไม่ได้

มืวำอย่ในเชียง

พระรปหนึ่งได้บอกขำพเจ่าว่ามืธรรมเนียมอย่างหนึ่ง เพาะปลกขำว

ทุกบำนเอาขำวสารมาถวายพระคนละถำ

หรือนอยกว่านึ่ก็ได้

จะถวายมาก

การถวายนึ่เบนพิเศษนอกจากที

อยู่แลวทก พุ ว’น, แต่อย่างไรก็ดี เรื่องผีสางเทวดายำน”บถือเคร่งกรดย

กว่าถือพุทธศาสนา เช่นในการบอกชื่อหรือเขียนชื่อของฅนเองหรือขอ

ผ้ปกครองให้แก่กนต่างชาฅิก็กลำว่าผีจะโกรธและทำให้เจ็บ ว่า พวกนึ่ชอบมีเมียหลายคนและม่กประพฤติเบ็่นขโมย

ชอบเ

พน’น. ในสมำก่อนทุกอำเภอในแกวนสิบสองพ”นนาขนต่อจำหวำเชียงร

แต่เพียงนามเท่านน แต่ที่จริงทุกอำเภอต่างเบ็่นอิสระจ ต่อส้ก”นในระหว่างอำเภอต่ออำเภอบ่อย พุ I

I

^

อยางทกลาวน

ดุ

^

เนสมย พ.ศ. ๒๔๔๐

กนจึนเบ็่นผ้สำเร็จราชการในแควนลํ้อ ปกครองหลายอย่าง

2^

1^1

นี่คือการปกครองแควไาล ^

แฅฅงแฅ พ.ศ. ๒๔๖๒ มาม

ได้จำการเปลี่ยนแปลงกา

)ะร

โจรผู้รำยจึงได้สงบลง พวกลี่อได้บอกขำ

ในบจจบ”นนึ่อำกฤษปกครองแกวนเขิน แต่จีนปกครองแควนลี่อ เหฅ ฉะนนแควนนึ่จึงไม่ใคร่มีการทะเลาะวิวาทกนเหมือนแต่ก่อน ราชการจีนได้มาเที่ยวตรวจตราโจรผู้รำยบ่ละหลาย พุ เดือน

๑๓)ส)

ว่าเบึนผู้Xเยฒัไ?าก็เอาไปยิงเสีย

ผู้สำเร็จุราซการจีนได้ตํ้งกอง?าๆ

ไทยขนทำให้โจรผู้รด้ยสงบลงฅามทาง เสเม็าก็ปราศจากโจรผู้รทํย

ในระหว่างสิบสองพนน

ผ้สำเร็จราชการจีนได้เอาใจใส่ทะนุบ

แควไ4ลั้อให้เจริญขํ้น ได้ทำถนน ทำสะพาน และทำทางนา

เข

ว่าจะฅํ้งที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขขนในแควนลอเพื่อทำการติด?'เอ จ‘งหวดอื่น พู ของจีน บ”คนขทํพเจทํฅองกลไ]ไปกล่าวถึงการเดินทางของขทํพเจ’าฅ่อไป เมื่อว”นที่ชไพเจไออกจากเชียงชึง ของขายไม่มีอะไรแปลกประหลาด บไงเล็กนอย

เบ็่นว”นมีตลาดน”ดแฅ่ไม่ใคร่ครึกกรน นอกจากของบ่ไที่เกิดในพื่นเมือง

เต่ฅลาดจนถึงดำบลบไนลง

ปลกเบ็๋นหย่อม พู แต่ก็รไงไปเสียโดยมาก

เบ็๋นทุ่งราบทำการเพาะ จากดำบลบไนลุงไปทาง

ตะว”นตกที่สุดแห่งทุ่งราบนราวเจ็ดหรือแปดไมล์

มีหม่บไนหนาแ

และในทุ่งราบตอนนนมีการเพาะปลูกมาก มีค”นนาเก่าขาดพูวี่น

ท'วไป จากที่นี่ไปมีถนนดี มีสะพานขไมแม่นาและลำธาร บไนเรือนที่

สรไงขนก็งดงาม หลไคามุงกระเบอง ขไพเจไได้ไปที่ตลาดเห็นภาชน

กระเบองมีขาย ส็งของเหล่านํ้เบ็'นพยานให้เห็นได้ว่า ชนชาต มีผี'มือในการช่างอย่บไง ญวน

และขย”นทำการงานยี่งกว่าชนชาติเ

รูปร่างชนชาติลอเล็กกว่าเขิน

แต่ทำงานแข็งแรงกว่า

ทำให้

ทา ขไพเจไมืความร”กไทยลอมากขั้น หมู่บไนทุกหมู่ขุดบ่อนาไว้ใช้ และทํ อย่างเรียบรอย ขอบบ่อก่อดวยอิ^และหิน บไนเรือนก็ใช้มุงควยกระเบอง และจาก

สะพานขไมแม่นาก็ทำอย่างดีมีพน”กิสองขไงสำหร”บ่เบ็๋นที่น่ง

๑01)(5!

เล่นดาย

พืชเพาะปลกก็มีมากนอกจากปลูกขาวเบ็นอาชีพแ.ลวยง

พืชอื่น^ อีก เช่นยาสบ พริกไทย ล่า หอม กระเทียม ๆลๆ พืชเหล

นปลกกไแบนจำนวนมาก‘ๆ ส่งเบ็๋นสินค็าไปุขายยงตำบลอืนๆ มาถึ

ที่พำตำบลบำนหนองปมมีบำนเรือนประมาณ ๔0 หลำ ชนชาติลือทีอยู่

ในตำบลน ทำนาบนไหล่เขาอย่างเดียวกไ]ชนชาวเขา ขำพเจาเดิน มาถึงลำธาร

ซึ่งเบึนแควหนึ่งของแม่นา ไค้พบหญิงชาวเข

ข่าและวำกำลำไปทำนา

สะพายกระบงบนหลำ และมีผำร^งไว้กบหนา

ผาก การแต่งกายและภาษาพดของพวกท^งสองนึ่ ลํ้อ

นไ]ถือพุทธศาสนา

ก็อย่างเดียว

พุทธศาสนานึ่เองทำให้พวกเหล่านเป

สภาพจากความเบนบาเถื่อนเบ็่นมีวคมีพระมีตวหนำสือไทย พวกข่า พวกวำ ที่ขำพเจำไค้เคยพบนน

พวกกอ

มีรปร่างคลำยพวกมลายู

ญี่บุน และอเมริกนอินเดียน ผู้ชายโดยมากไม่ค่อยมีหนวดเครา

ขำพเจำหยุดพำในเวลาเย็นนไเใกล้กไ]รอยพระพุทธบาท อำเบ

ปูขนียสถาน เบ็่นหินทรายสีแคงฅ*งอยู่บนกบพืนดิน ดำนเหนือข

หินรอยพระพุทธบาทนึ่สูงกว่าพน ๏0 ฟุตและเอียงเทไปทางใต แผ่นหินกวำง ®๐ ฟุต ยาว ©๒ ฟุต พระพุทธบาทเบ็่นรอยลึกอยู่กลาง แผ่นหิน มีมณฑปสรำงกรอบพระบาทนึ่ไว้อีกทีหนึ่ง

มาถึงตำบลไมตอยเบนหมู่บานลือมีบานเรือนอย่ประมาณร่อยหลำ ชนในหมู่บานนีหากินทางทำสวนชา

มีสวนชาใหญ่และกวำงขวา

บชาในตำบลนึ่ส่งเบ็่นสินคำไปขายยำจำหวดอื่น ๆ ใบชาที่ม ^๘!

รสดิทขายกน 1นตลาดของจงหวดปูเออ

61

I

0

เบ็๋นใบชาที่ส่งจากตำ

๑^

ขาพเจาได้สงเกฅเหนอีกอย่างหนึง คือต่อไปทางค็ๅน!ด้ของตำบลนมี ก”นยดยาวมาก และมีประฅูดวย การที่มีร*วกนนบางทีจุะก^นบนแดนกำ. ในระหว่างเมืองหล่อกบเมืองแจ

เพราะโนตำบลที่ขที่พเจำเดินผ่านมา

แลวเบนเขตแดนของเมืองแจ และจากที่นไปเบ็๋นเขตแดนของเมืองหล่อ แต่การทำรำบนแดนกน

ทำอย่างกำมะลอโดยเอาเสามาบกเรียงกนไป

เขาบอกว่ารวนํ้มีประโยชน์ที่ก*นไม่ให้คนขำงนอกแลเห็นการเซ่นไหว้ผี ที่คนในตำบลน์ทำ ต่อน*นไปพวกเราได้เดินทางมาถึงตำบลบำนฮี พำอย่

ในวำเก่าที่อยู่ขำงภเขา ได้สนทนากำพระในว่ดฅลอดว่น และเวลาเย็น ได้สนทนากบหำหนำลั๊อในตำบลน*น มีนามว่า ลุงแสน ขำพเจำได้ให้

หนำลือพิมพ์เบนอกษรเชียงใหม่แก่เขาเล่มหนึ่งคูเขาพอใจเบ็นอนมาก รุ่งเชำก็ออกเดินทางต่อไป

พอบ่ายถึงพรมแดนระหว่างพม่ากบ

จีน และหยดพำที่ใด้ตนไม้ใหญ่ซึ่งเบ็่นที่เกยพำมาแลำ ต่อไปนึ่ช

ด้ไปยำเมืองย้ และพำแรมคืน ณที่นไเ เมืองยู้เบนตำบลที่งดงามมาก อย่บนเนินเขา ลำมคำยกำแพงเล็ก ๆ ได้สนทนากบหำหนำตำบลนึ่ใน เวลากลางคืน

หำหนำตำบลนึ่เบนคนฉลาดได้ซำไซ้ไต่ถามขำศาสนา

เบ็๋นอำมาก ขำพเจำตอบให้เขาเบ็๋นที่พอใจ ร่งเชำเขาได้พาขำพเจาไบ่ยงเมองยนิ'3

เงเ ทีนำขาพเจาได้พบ

หมอบริกกสกบนายเออรวินดามที่ได้นำกำไว้ เมือแรกออกเดินได้เดิน ทางร่วมกำ ภายหลำได้แยกกนกนละทาง ในทีลุดมาพบกน ณทีตำบล นึ่

เมืองยองเบ็่นอำเภอของแควนลธอนมืทำ'3ที่ตอนใฅ้ลุคอยู่เหน

แคว่งาเชียงฅงซึ่งเบ็นขององกำ-3

๑0^^

เมื่อหมอลิออนก*บข์าพเจาเดินทางใน พ.ศ. ๒๔๕๘ ก็ได้เดินทาง

เมืองเลนในแควนเชียงฅง เขาแดนลํ้อทางฅอนใต้ที่สุดไปยงจงหวดเส การเดินทางในแควนลอ

ฅงฅนจากทิศเหนือมาใต้กินเวลาสองสปดาห

จึงตลอด ขากล*บได้แวะดตลาดในเมืองเชียงร้ง ๑๒ แห่ง

และอำ

ใหญ่ ‘สุ ที่อยู่ข่างใต้เช่นเมืองแซีและเมืองสำควย การมาเชียงร้งในบนน ได้บอกขทิพเจทิว่า

เจด้หลวงรองผ้สำเร็จราชการแควนลือ

หนทิสือกำสอนศาสนาคริสต์

ที่ขทิพเจทิไต้ให้เ

พ.ศ. ๒๔๕๓ นน ยทิกงเก็บร*กษาไว้คีอยู่

ฅ่อนนมามิชทิเท่าไรก็ไต้เบี่ดสถานมิสชันรีสอนศาสนาข

เชียงรุ้งดทิได้กล่าวมาแลทิ แต่ขทิพเจทิเพี่งมาประจำอยู่เ เพื่อประโยชน์ส*งสอนชนชาดิลอ

นอกจากสทิสอนในเชียงร้งเอ

ย่งไต้ไปเที่ยวประกาศส*งสอนตามหมู่บทินลอนอก ‘สุ ออกไประยะทางต" สามวน ได้แจกหนทิสือไปก็มาก และพวกลอไต้ยอมตำมาน*!าถือศาสนา คริสต์มากขํ้ใเทุกที.

1)โ11า ๏๓

ไทยเขน

ไทยเขินกบไทยลอเบ็่นพวกที่ใกล้ชิดกนมากที่สุคทํ้ง์ในส่วนเชอช ภูมิประเทศทงภาษาและศาสนา ในส่วนรูปร่างนน

แฅ่มีขอที่ส“งเกฅกือรปร่างและอธยาศ*ย

พวกไทยเขินเบนกนสูงและมีล*กษณะงามกว่าพวก

ไทยลอ จมูกโค่งส*นจมูกนูน

แค่อย่างไรก็คี

ขอแตกค่างที่สำก*ญก็คือ

กิริยาอ”ธยาศ*ยพวกไทยลีอฅึงค่ง และนิส*ยหยาบหรือสะเพร่า แค่ไทยเขิน

เบนกนสงบเสงี่ยมกิริยาเรืยบรไ]ย สมค’งที่เข์าพ้าหรือสอบวา (แห่ เชียงตุง) ได้เกยบอกแก่ขไพเจไกร"งหนึ่ง และท^งปรากฏิแก่ตาขไพเจไ

ค่วย ความจริงเจไพ้าผ้เบนหำหนไของไทยเขินนน ในบ*ดนึ่ก็ไม่มีอำน สิทธื้ขาดเหนือพวกไทยเขินแม้แค่จะบไค*บในเรื่องกิริยามรรยาท แค่ว่า ความสภาพและอ่อนโยนน*นย่อมเบนธรรมดามาแค่กำเนิดของเขาเอง ทงหญิงและชาย ชฑ้สไเกตอย่างง่ายที่พวกไทยเขิน■ค่างกํบพวกไทยลั้อนึ่นึ่ คือสไเกฅ เสอผไที่เขาแต่งกาย

พวกไทยเขินชอบแต่งกายดวยเสอผไมีสีฉดฉาด

สะสวยและเขไก’นดี

ผไโพกศีรษะและผไกาดเอวมีสีต่าง ๆ อย่างงาม

ผาทมสขาวเลอมมกข้อ!-เแตงไนงานรนเรงทรอไนงานสาคเย ผาลุงท

ผู้หญิงนุ่งก็มีสีต่างๆ เช่นสีเขียวอ่อน สีลุหลาบ บางทีก็มีลวดลายเ

เชิงข้ายประกอบเบ็๋นสีเขียวแท่ บางทีก็ประดบผำลูกไม้มีลวดลายบกด

๑0^

ไหมทอง การแฅ่งกายอย่างงาม พัธีสำกํญ

นม“กจะแต่งไปในงานรื่นเริงห

เช่นงานพิธีของเจ‘าพ้าเบ็่นฅน

เจำนางแว่นทิพย์ผู้เบ็่นเชษ3ภคินีของเจ*าพ้าเชียงฅุง

ไค้อ

ไปเบ็นชายาของเจ*าพ้าเชียงร้งซึ่งเบ็่นพวกไทยลอ

แม้ว่าเจ*าน

อยู่ในแคว*นไทยลอ

นางชอบทำ

การคำขาย

แต่ก็ย'งคงแต่งกายเบ็นชาวไทยเขิน

และเคยเดินทางลงมาถึงกรุงเทพ ๆ กบบริวาร

ญาติของ

เจำนางก็มีอย่ในเชียงราย เจำพ้าเชียงตุงซึ่งเบนหวหนำพวกไทยเขินนน

เมื่อเวลา

ที่เบนเกียรติยศแลวต*องขี่ช้างมีกูบประด'บดวยเครื่องพร*อม สวมเสอ เบ็นเครื่องแบบอย่างเจำไทยเขินไปเบ็๋นกระบวนแห่พร*อมคำยบริวาร เช่นไปสรงนาพุเบ็่นประเพณีบละคร*งเบนฅ*น

การไปนนเบนพิธ

กระบวนแห่เจำพาขี่ช้างไปสรงนาพุซึ่งอยู่นอกเมืองออกไ นํ้าพุร*อนอย่ห่างเมืองทางราวช'วโมงหนึ่ง

การไปสรงนาพุเบ็่น

ประจำ เจำพาจะฅอืงมืกระบวนแห่อ'นเบ็่นเกียรติยศอย่างครึกกร้น แฅกตื่นก'นมาดเบนอ'นมาก

ว'นแห่น'นม'กกำหนดพร*อมก'บมืฅลาคน'ค

อย่างใหญ่ เมื่อกระบวนแห่ผ่านตลาด ทุกคนก็เบียดเสียดก'นคอ ซึ่งประท'บอย่ในกูบช้างกระบวน

ทุกคนต่างก็เงียบและกระทำคว

เคารพ เพราะพวกไทยเขินน'บถือเจำของตนมาก เจำพ้าหรือสอบวาซึ่งออกเสียงอย่างเขินหรือพม่า เขินเกียนตุฅะเลง

ผู้ครองเมืองเชียงตุง

มีนา

มือ'ธยาศ'ยคี นึ่าใจก็โ

อารี เบ็'นที่ร'กใคร่และ น'บถือของพวกไทยเขิน

แม้แต่ร3บาลอ

ขำน'บถือและให้เกียรติยศในการรบรองถึงชนที่มีการยิงบนสลฅ ๙

๑ปืโ*)^

เจ'าพ้าเบ็่นมิฅรและรกใคร่ก”นกบข็าพเข์ามาก และยินดีในกิจกา ทิขิาพเจ็าทำนนควย

ข์าพเจำได้ก้นเกยกโาเจ่าพ้าเมื่อเดีนทางไปถึ

เชียงฅุงในเคือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๔๗ ไค้อนุญาฅให้บำนเบ็๋นที่พ”กช”วกราว

ภายหล”งเจ”าพ้าได้อนุญาตให้มีโรง

สวดสำหร”บทำพิธีในศาสนาคริสต์ เบ็่นที่เหมาะ

เพราะเบึนที่ประชมชน

เมื่อพวกเราถึงเมืองน เจ”าพ้

ขำพเจกิเลือกต์ง์ใรงสวดริมตลาดอ”น ขำพเจกิจึงซอที่ดินนนจากชาว

อนเดียผ้หนึ่งเบ็๋นราการกิ)ยรูบี แลกิปลกสรกิงโรงสวดขั้น ในเรื่องศาสนานกิเ

เจกิพ้าออกประกาศทางราชการอนุญาตว่าผ้

ใดจะถึอศาสนาอะไรก็ได้ตามใจสม*ครไม่มีการบํงก”บอย่างไรเลยเหมือน ในประเทศไทย

นอกจากนึ่ ขกิพเจกิยกิได้ร”บกวามเออเพอของเจกิพ้า

โดยออกหนกิสืออนญาตซึ่งมีฅราแดงชองเจกิพ้าประท”บให้ว่า จะไปสอนศาสนา ณ ตำบลใดในแกวนเชียงตุง และผ้ปกครองทองที่ขดขวางเลย มกิก้นก”บขกิพเจกิมากอย่แลกิ

ขำพเจกิ

ขออย่าให้เจกิพนกิงาน

ที่จริงในเชียงใหม่นนก็น”บว'ามีผ้ร้จก

แต่ในแกว'นเชียงตุงทงขกิราชการและ

พระสงฆ์หรือเจกิว่ดเบนพิกุ้นเดยกิกิดีเา*'ลือเกิน สถานมิสชันรีแห่งใหม่นึ่

ต"งอยู่ในทำเลที่มีชนไปมาเสมอ แล

เชียงตงนึ่เบ็่นจกิหวดสำค”ญของไทยเขิน

เบนที่ว่าการกลางของแค

เชียงตง เจกิพนกิงานผู้ปกกรองทองที่ท*ง์ ๘0 อำเภอตองเขกิมาประชุม ณ ที่ว่าการกลางนึ่บี'ละ■สองกร*ง

คือมาในการพิธีถือนาของเจกิพ้าในว”น

ขั้นบี่ใหม'ราวเดือนเมษายนกร*งหนึง และกลางบอีกกรกิหนึง ขาพเจายง

ได้ร”บเชิญไปในการพิธีถือนาของเริกิพ''เชียงดุงนํ้ดืขิย เจกิพ้าแต่ง

๑๘0

ยศประทํบฌ็๋นประธานในที่ประชุมถือนาน

7'1ร'อมควยขิาราชการ

ซาวไทยเขินที่งหญิงและชายผู้มีเกียรติ

ในเวลาต่อมา ญิงของเจำพ้าซึ่งทำควยไม้ไค้ชำรคและพิ ไค้เร้มสร'างว'งใหม่คำยอิ^

ทำใหญ่โคมาก

ชาวอินเด็ยเบ็'นนา

ก่อสรางฅามแบบอย่างอินเคีย สรำงอย่หลายบี่จึงเสร็จ ในขณะ สรำงวำใหม่ เจำพ้าฅ'องประท'บอยู่ในเรือนเล็ก ‘ชุ ที่สรำงควยไม้ไผ่ แกว'นเขินน็

อำกฤษซึ่งเบื่นผู้ปกกรองเรียกว่า

แกวน

ทีอำกฤษเรียกพวกไทยเขินว่าชานก็เหมือนเรืยกว่าไทยน'นเอง เบนชอเจ้อชาติ แม้ไทยในประเทศไทย

เพ

ไทยยวน เงยว หรือ ชาน

ตะวนฅกก็เรียกว่า ชาน หรือ ฉาน อย่างเคียวก'น พวกไทยในประเท

ไทยผ่ายเหน็อหรือญวนย่อมร้จ'กและคุ้นเคยก'บพวกไทยเขินอย่างสนิทสน เมืองสำค'ญของแคว่นเขินมีนามอย่างเคียวก'นก'บนามของแกวนน\เ ทาง

ราชการอำกฤษเรียกว่า เก็งฅุง คามสำเนียงพม่าและพวกไท ในแคว'นนน

ในแคว'นเชียงคงนีแม้จะมีพวก ชาน หรือไทยคะว'นฅ

หรือ เงยว ค"งภฺมืสำเนาอยู่มากก็คี

แต่ม'ก่อยู่ทางดินแดนคะว'นฅกของ

แม่นาสาลวีน คอนคะว'นออกของแคว'นนั้กือเมืองยองมีพวกลอและพวก ชาวเขาฅจ้3ภมิลำเนาอยู่มาก

ภากกลางของแคว ชานนไเมีพวกไทยเขิ

อย่ทำไปตามที่ราบลุ่มแม่นา

'นิ

คลอดภาคฅะว ตกของแคว’นนี จนถึ

ดินแดนตะวำเตกแท่งแม่นาสาลวีนควย

'นิ

เหตุฉะนำ, พวกเราจึงมีควา

ยินดีเบ็'นอ'นิมากที่ไค้มาทำการส'งสอนอยู่ในระหว่างชนชาติไทย ที่รำ ท"งชี่อเมืองก็กคลำงจองก'นิเบ่นสำคบดี

คือเชียงใหม่ เชีย

๑?:^๑

เชยงฅุง และเชียงรุ้ง อนเบ่นเมืองสำคํญข0งแควนลั้อเพี่มฏี!ๅ หมายกวามว่าเมืองมืกำแพงลอม

พี่อือ ทิกีเฅ้

เขตแคนของแกวนเชียงฅุงมืด้ง

ทิศเหนอ จคประเทศจีน ทิศดะว"นออก จคอินโดจีนของฝพี่งเศสแล ทิศฅะวนตกอือพม่า

อาณาเขตด^งอย่ระหว่างแม่นาโขงก“ปสาลวีนรวม

ท”งคินแคนฟากตะวนตกของแม่นำสาลจีน

แต่แกวนพี่ขนอย่ก

เพราะฉะน”น จึงอยู่โนความปกกรองของอ"งกฤษ เพราะพม่าได้เสียกวาม เบ็นใหญ่แก่องกฤษเมือ พ.ศ. ๒๔๒๕ ในร”ชกาลของพระเจ็าธีบอ ภมิ ประเทศเบนเทือกเขายืดยาวแต่เหนือมาใต้

เฉลี่ยสงกว่าระด”บน

๕, ๐0๐ ฟุต ภเขาบางลูกมืยอดสูงถึง ๘, ๐๐๐ ฟุต

ท่านเสอรฺยอรฺช

สคอตฅฺกล่าวว่าแควนเชียงฅงมืเนอที่ถึง ๑๒,0๐๐ ตารางไมล์ แต่

ก็คี แควนเชียงตุงแม้จะเบ่นเมืองขั้นของพม่าก็มืคนพั้นเมืองที่พดและใ หนงสือไทย0ม่วน

ฅวั้ภูมิลำเนาอยู่ตามแถบลุ่มนาทางเหนือแห่งภาค

ตะว”นํตกของแควนพี่เบ่นอ"นมาก

รวมทขั้3ดินแคนระหว่างแม่นาสาลจี

ก”บพรมแคนจีนอ”นดเบ่นรูปสามเหลี่ยม ในคินแคนรูปสามเหลี่ยม แลำก”บต้นแดนเล็ก ฟุ ทางตะว”นํตกเฉียงใต้ของแควนเชียงตุง

และ

ดินแคนพม่าทางตะว”นออกแห่งแม่นาสาลวีนรวมเบ่นจำนวนเพี่อ กว่า ๒๐,๐๐๐ ตารางไมล์ ส่วนสำมะโนครำนน

ในเขตแดนตอนเหนือชองพม่าบางส่วน

ฅลอคจนในประเทศจีนยำหามีการสำรวรสำมะโนกรำไม่

แต่มีวิธี

ประมาณพอจะทราบได้ว่ามีคนเท่าไร เขานับหลำคาเรือนแลำประมาณ

๑(^91^

ว่ามีคนเฉลี่ยเรือนละเท่าไร

โคยวิธีนนายพํนตรืด าวีสประมา

สำมะโนครืวในมณฑลยนน'านของจีนมี ๙,๖ว๐,๐00 กน หน*งสือ

ร13163111311’8 V^3I•

แฅ่ใ

ธ001^ 1906 บอกว่ามี ๑๒,๓๒๔,๕๗๔ คน

เห็นได้ว่าท่านนายพนฅรืคาวีสประมาณไว้นนน"อยกว่ามาก โคยว มาณทำนองเดียวกไเน ท่านนายพ*นตรืคาวีสได้ประมาณสำมะโนครำบาง ส่วนชองพม่า คือดินแดนทางฅะว“นออกแห่งแม่นาสาลวีนว่า



โนครำระหว่าง ๒๕๐,๐๐๐ ถึง ๕๐๐,๐๐๐ คน อนึ่ง คำนานหรือประวฅของเชียงฅงนน พิมพ์ขํ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ ‘ก่อน พ.ศ. ๑๗๗๒ ลงไป เสียโดยมาก

จะยกขอความเล็กนำยมากล่าวบำงค

เรื่องราวของเชียงตงเบ็๋นนิยายปร*มปรา

คามคำนานนไเกล่าวถึงแผ่นดินซึ่งเบนที่ฅ

เชียงตงนึ่ว่า

เดิมเบนทะเลสาบกวำงใหญ่

ทางเหนือหรือในแดนจีน

แลำมีชนชาติหนึ่ง

ได้อพยพมาฅฬูมิลำเนาอย่แลำส

ภายหลำมีพวกวายกมาถือเอาเบนทือยู่ เมิงราย

ทางราชการอำกฤษไ

แต่ในที่สุดมีบคคล

ได้ยกพวกมาจากที่อื่นข*บไล่พวกว่าถอยไปอยู่ตามภูเขา

เมิงรายจึงสรำงเมืองเชียาตุงชั้นเช่นเดียวกับที่ไปสรำงเมื

เมิงรายก*บบุตรหลายกนจึงได้เบ็๋นใหญ่อยู่ที่เชียงตุง

ไทยเขิน ๖๙ กรว บานเมืองเดิมของพวกไทยเขินเองนชั้า.ยำไม่ทรา อย่ที่ไหน

แต่อาจ จะเบนพวกชานหมู่ ใหญ่ ส่วนหนืงทาง

อพยพลงไปทางใต้ และว่าสถานทํตำเมืองเชียงตุงน*นิก็อย่ทาง ห่างไกลจากเหนือนก

๑ดา

ตำนานญวนหรือโยนกกส่าๅว่า

ภายหลํงบตรพญาเมิงรายก'บ

ภิกษุชาวเชียงใหม่องคหนึง ไค้รวมกำล'งก'นยกไปปราบพวกๅภิ ชาวบา ซึงยึคเชียงคุงนนได้

แล็ว่ไค้นำพุทธศาสนาไปเผยแผ่

ชีนทีเชียงตุงหลายว'ด

ท^งไค้นำหน'งสือไทยญวนไปส'งสอนควย

และสรภิงว'ค เมื่อ

๖๕๕บีมาแลว ขบีพเจิามีหน'งสือญวนที่จารในใบลานผกหนึ่ง หน'งสือน ไม่สู้ต่างกบหน'งสือของไทยเขินบจจบ'นน'ก

มีศ'กราชปรากฏในหน'งสือ

ประมาณก่อน พ.ศ. ส๘๔๓ ชาวเมืองเล็มนน

ผู้แต่งเรื่องราวของชนชาฅิไทยบางคน

น'บี

เขบีอยู่ในพวกไทยเหนือหรือไทยจีน บางท้จะเบ็่นควยใช้เครื่องแต่งก คลบีย พุ ก'น

และเมืองเล็มก็อย่ในแดนจีน คืออยู่ทางพรมแคนมณฑล

ยูนนานทางฅะว'นํฅกเฉียงใต้

ผ้แต่งเรื่องชนชาติไทยหลายคน ได้แยก

ชาวเมืองเล็มเบนชนชาติไทยสาขาหนึ่งต่างหาก พวกไทยเขิน ลอ เล็ม และไทยเหนือมีล'ก่ษณะอย่างเคียวก'น

ไทยเมืองเล็มตามเชอชาติก็เบน

พวกเคียวก'บีเขินและลอ เพราะเนื่องมาจากผ้ฅงํ้ชาติและบรรพบุรุษ

ก'น แม้พวกนื่จะอย่นอกแควไแขินก็ตาม แต่ว่าสมควรกล่าวไว้ในบท แต่ก่อน พุ มา

พวกมิสช'นรีของผ่ายเหนือในประเทศไทย

ท"ง

อเมริก'นและไทยหลายคนไค้เดินทางผ่านแควนนื่หลายกรํ้ง คร^งแรกใน พ.ศ. ๒๔๔๐

หมอบริกฺส เรเวอเรนดฺเออรฺวิน ก'บีขบีพเจบี

หมอ

บริกกสุก'บีขบีพเจบีเดินทางอออกจากประเหค'ไหยพวคมกน แล"วไปแยก ก'นที่เชียงตง ไปไนแดนจีน

เขาไปทางเมืองเล็ม ขบีพเจบีไปทางเมืองแจ ต่างก็ขบีม แต่เรเวอเรนคฺเออรฺวุน

เดินทางจากพม่ามาพบก'บี

๑^๔

ขาพเจาทีเมืองยอง ในครํ้งั้นพวกเราเดินทางจากใต้ไปเหนือ ฅะวนฅกไปฅะว“นออก



ไค้กวามร้และคุ้นเกยก*บภูมิประเทศและผู้คน

เบี่นอ*นมาก รุ่งบี่ขํ้น

ข^าพเจำก*บภรรยาได้เดินทางไปเชียงฅุงโดย

ลงเรือแจวจากเชียงรายไปฅามลำแม่นาโขง

ขำพเจำไค้ส่งมำล่วงหนำ

ไปย*งเชียงตุงให้มากอยร*บที่ท่าเรือ เดินทางต่อไป

เพื่อว่าเมื่อขนบกแลวจ

มีกำหนด ๔ เดือนจึงจะกล*บ

เบ็๋นปลายฤดูแลำ

ในขณะที่ลงเรือไปนน

เผอิญนาในแม่นาโขงงวดลงผิดธรรมดา

สามารถจะขำมแก่งต่าง "I ไค้อย่างสะดวก

เรือไม่

โชกรำยเหลือเกินที

ล่มลงฅรงขำมก*บเชียงล*บ ขำวของเสียหายหมด ขำพเจำไม่รู้ที่จะส่งข่ ขอความช่วยเหลือจากใครไค้ ว่าพวกเราจมนาฅายหมด ยำได้ทราบว่า

การที่เรือส่มนื

ต่อมาภายหลำมื

และเมื่อขำพเจำมาถึงเชียงตุงได้สองสามว*น

เพื่อนมิสช*นรืในเมืองไทยก็เขำใจว่า ขำพเจำ

ขำพเจำไค้รไาจดหมายที่มืถึงเจำหนำที่ผืายปกครอง

ให้ช่วยสื

ขำพเจำดายแลำหรือยำมีชีวิดอยู่ ด*งแต่เวลาที่เรือจมไปแลว

ขำพเจำขั้นบกที่เชียง

ผารกดำยความลำบากไปทางตะวนออกเฉียงใต้ ผ่านทองที่ถึง หามำได้ตำหนึ่งจึงให้แหม่มดอดดฺขี่ เมืองยอง เดินทางต่อไป เชียงราย

และเดินทางต่อมาอีกสอง

จึงได้มาถึงดำบลทีขาพเจาไค้ส่งมามากอยอยู่ ถึงเมืองเชียงตุงเบนเวลา ๗ สปคาห์น*บแต่ไค้ออกจาก

ขำพเจำได้ร"บอนุญาตของเจำพ้าเชียงตุงให้พ*กอย่

พยาบาลสาธารณะทีสรางขืนใหม่ ไค้รไ]ความสขสบายเบนอินมาก พก อยู่ ๖ สปคาหแลวฅองรีบออกเดินทาง

เพราะจะถึงฤคฝนชก

ขณะที่ขืาพเจ็าเดินบุกบาอยู่ ๔,ส!เคาห์นไเ, ทหารอ'งกฤษ

อยู่ห่างจากเมืองเชียงตุง ๙ ไมล์

กรมทหารบกราบที่ ๓

ทหารอ'งกฤษนเบ็๋น

-พลทหารลวนแฅ่เบ็่นพวกแขกสิกหฺท^งนน

นายทหารเบ็๋นชาวอ'งกฤษอยู่สี่คน มองเกอร

ไค้มาถึงที่ฅํ้ง์กอง

มื

ผู้บ'งก'บการชื่อนายพไแอกเออร

ไค้เชิญข'าพเจ'าไปชมการกีฬาของทหารซึ่งเบนงานรื่นเร

ประจำบี่ ทหารอ'งกฤษ

ข’าพเจ'าก'บภรรยาไค้น'งร่วมโฅ๊ะร'บประทานอาหารก'บนาย นายพ'นเอกผู้บ'งก'บการก'บภรรยา

นายรอยเอกสตริคก

ล'นค แพทย์ทหาร และนายทหารอื่นอีก ข'าพเจ'ารู้สึกยินดีเบนอ'นมาก ที่ไค้มาน'งร่วมโต๊ะก'บชาวอ'งกฤษที่พูดภาษาเดียวกน

การกีฬาทหาร

น่าคจริง พวกน'กกีฬาแต่งกายเบ็่นชาวบญจาปในอินเดียซึ่งน่าคูและงา มาก

ขาพเจ'าก็เพี่งไค้เห็น

มีการแข่งข'นกางเต็นฅุและอื่นบุ มีบี่'

อ'ฟริก'นเบาอยู่หมู่หนึ่ง แหม่มดอดคไม่เกยพ้งเลย นายทหารอ'งกฤษไค้ เอื่อเพอให้มาเบาให้พงใกล้ บุ หน'าฅ่างขณะที่ร'บประทานอาหารค'วย ในเวลาต่อมา ข'าพเจ'าก็ไค้ร'บกวามเอื่อเพอจากนายทหารอ'งกฤษ อีกหลายคราว

ภายหล'งกรมทหารนีได้เลือนไปฅงทีตำบลลอยมฺเว

ห่างจากเมืองเชียงตงไปทางทิศใต๊ ®๒ 'โมล

ตำบลนีเบ็นทีสูงกว่าระคบ

นาทะเล ๖,0๐0 ฟุต เบ็'นสถานน่าอยู่พักร'กษาตัวอย่างดีที่สด มีที่ว่ ของเจ'าพน'กงานผายปกก'งองตัง2ยู่ศ'^^

เมือกร'ง พ.ศ. ๒๔๔๗ ที

ขาพเจิาไค้เดินทางมาย*งเชียงฅุงนน

ก็ไค้รบความเอือเพอจา

และเจ'าพน‘กงานให้ได้พกอย่โคยกวามผาสก ฅลาดในเมืองเชียงฅงสนุกที่สุด

และเบ็่นที่ออกหนำออกตาข

เมืองเชียงฅุง

ที่เรียกว่าตลาดใหญ่ก็ใหญ่สมชื่อ

คอ เบนตลาดน"ด

มีกำหนดที่ประชาชนมาประชุมซอขาย ๕ วนฅ่อคร*ง

ใช้ถนนต่างตลาดเบ็่นที่ประชมซอขายกน

และเอาอย่

เวลาตลาดออกนน

ตาม

สองขำงถนนเต็มไปดวยของขายวางรายไปตามพนดินจนไม่ใคร่มีทางเดิน รำนโรงและเพิงที่ทำสำหร*บด*งของขายนนมืนอย ใหญ่ๆ วางขายตามพนดินท*งนน

โดยมากในถนน

เช่นถวยชามและผำต่างๆ เบ็นตน

เพราะไม่มีรถหรือเกวียนที่จะเดินในถนนน*น

ถึงแม้ชาวต่างปร

จะมีจ*กรยานหรือเกวียนวำใช้บำง ก็จะเดินบนถนนในขณะที่ตลาด ออกไม่ไค้

แม้พวกลาต่างและควายต่างก็ฅ'องอยู่เสียให้พนตล

ปกติผ้ขายของซึ่งใช้ถนนเบนตลาดน*น รถเกวียนหรือส*ฅว์พาหนะ

ย่อมรู้สึกปราศจากอ*นฅรายจาก

แม้ของมณั้จะวางบนเสื่อหรือมำเฅั้ย ๆ กลาง

ถนนก็ตาม คนมาประชุม?ณัที่ดลาดจากทุกทิศพุกรเาง บางทิต*งสองหรือสามว*น

มีท*งชาวเมือง

ที่มาน*นมีพวกไทยสาขาต่างๆ

และชาวทุ่ง

พวก

ซึงมีภาษาและเครื่องแต่งกายต่างๆ ก*น

พวกชาวเขาที่ปราศจากการศึกษาก็มาก อินเดีย

ชาวเขา

วะยะทางที่

นอกจากนน มีพม่า จีน แขก

ฝรำชาวอำกฤษที่เบนขำราชการ

และมิสชันรีอเมริก*น

ทำ กนที่เบี่นโรคเร้อน ซึ่งจะขาดเสียไม่ไค้ในที่ชุมนุมใหญ่เช่นน

ส็งของต่าง ‘ๆ ที่ขายนน ของต่างประเทศมีน*อย ที่มีเช่น เครื่อง เหล็กต่างมีฅะปูเบ็๋นต่น ผ*าต่าง‘ๆ เช่น ผ*าไหม ผาคอก ผ*าขนสํฅว์ เสอผา หมวก รองเท*า ฯลๆ

เครื่องแต่งบ*าน เช่น กรอบกระจก

สงของที่ตํ้งขายเบ็นฅลาคอ*นยืดยาวไปตามถนนนน โคยมากเบ็๋นของที่ เกิคขนโคยธรรมชาติ และของที่ทำค*วยผีมอของกนพํ้นเมือง รำนขาย ของที่เบ็นอาหารก็มี ผก ผลไม้ ขำว เนํ้อหม เนอวำ ปลาสค ต่ม แกง นาเมาที่ทำจากขำว เมื่อพูครวมแลว

ผึน

ซึ่งอาจจะสูบได้ไนขณะนน

และไม้ต่าง ๆ

ของพํ้นเมืองที่เกิดและทำในเมืองนย่อมนำมาแลก

เปลี่ยนซอขายก*น ณ ฅลาคนท^งสน เชียงตุงเบ็๋นศูนย์กลางทางท"งหลายในแคว*น

ในฤคูแลำมีพวก

พ่อคำเกวียนนำสินคำเดินไปมาอยู่เสมอ เช่นลงมาจากฅาลิฟู และที่อื่นตุ ใกล้เกียงในประเทคจีนหรือขนไปทางร่างกุ้ง

มละแหม

และกรุงเทพฯ

พวกพ่อคำเกวียนเหล่านจะต*องผ่านพบก"น ณ เมือง

เชียงตงท*งนน

สินคำที่บรรทุกลงมาจีากเหนือนนโดยมากก็มีเกลือ

เครื่องไหว้เจำ หม*อทองแดง กระทะ ของบาต่างตุ และสินคำเบ็คเตล็ค ต่างตุ จากทางใต้และฅะว่นฅก

นอกจากนืยำมีพวกแขกอินเดียนำผ

ต่างตุ ไปขาย และพวกจีนนำของเล็กตุน*อยตุ ลูกบด ลูกตุม เข็ม และหวี เบึนต*น วางเรียงรายอยู่บนเสื่อ พวกเราติดใจท*ง์สถานที่และชาวเมืองนมาก ได้ยินขำราชการอำกฤษผู้หนึ่งตำหนิว้า

กร*งหนึ่งขำพเจำ

พวกไทยลอไม่ค่อยสนุกสนาน

ร่าเริงเหมือนพวกพม่า แต่'!ก้พเจาเหนว้าพวกไทยเขินดีกว้าไทยลือมาก

๑๘๘ ไทยเขินเบ็นคนไว้ฅํวไม่ฅึงฅํง

ฉลาดและว่องไว

ศาสนาของเราจึงไปในพวกไทยเขินได้มาก

เหตุฉะนนการแผ่

นอกจากนีพวกเรายงแผ่

ศาสนาระหว่างพวกชาวเขาได้อีกมากเหมือนกน คือ พวกสามทาว

ซง

มีภูมิลำเนาอยู่บนภูเขาสูงทางทิศฅะวไเออกเฉียงเหนือในแคว พวกสามทว้วเบึนชาวบาด^คิมพวกหนึ่งซึ่งมีอย่ในแหลมอินโคจีน เบ็'นพวกเดียวกนกบพวกขมุในแควนลาวของฝร”งเศส

พวกละว่าดอ

เหนือในประเทศไทย และพวกว‘าบาในดอนเหนือพม่าและในจีนภาคใ ชาวบาท^งสามพวกนึ่ไม่ได้ถือพุทธศาสนา ศาสนามาได้ ๙00 บี่แลำ

แด่พวกสามทว้วถือพุทธ

และเบ็นพุทธคาสนิกชนที่คีที่สูด

เห็นมา พวกสามทำวชอบต*งบำนเรือนอยู่ดามภูเขาสูง หมู่บำนบ อยู่บนยอดเขาซึ่งสูงด*งหกถึงแปดพ”นฟุฅ เหมือนชาวเขาอื่นๆ

และไม่ใช่เบ็นพวก

หมู่บำนใหญ่ม”กมีโบสถ์พุทธศาสนาอยู่ดำย

เบ็๋นโรงมีเสากลางและมีไม้พาดทำเบ็นหลำคา ลายเครือเถาดอกไม้แดงใบทอง รอบแด'เซิงเขารนถึงยอดเขา

ดามเสาโบสถ์เขีย

พวกนึ่ทำถนนขํ้น เขาเบ็นทางเวีย มีขนาดกวำงพอเกวียนเดินได้

ในที'สดมีเหตุที่น่าเสียใจเกิดขน คือประกาศศาสนาคริสต์ไ ชำกราวจนตลอด พ■ศ. ๒๔๕0 ทำการร่วมก'ใ-แรานน ฅำ

เพราะนายและแหม่มค”ลเลนเดอรที่

ดองกลบไปประเทศสหปาลีร^อเมริกาเพื่อร”กษา

หมอกิบเบนสผู้เบึนท*งมีฅรสหายและหมอของขำพเจำได้กลั

อเมริกาก'อนแล้ว

ทำให้ขำพเร้าวำเหว'เบนอนมาถ,

๑ เย็นวํนหนึ่งข์าพเจ้าไค้รบโทรเลขจากคณะกรรมการคริสต์ศาสนา ว่าให้ขาพเจำกล”บจากเชียงฅงไปยํงเชียงราย เนื่องจากการเงินชาคแคลน ชาพเจำรู้สึกเสียใจย็่งชนเบ็๋นทวีคูณ ซึ่งจำเบ็๋นติองเลิกกิจการนื่และกลํบ เสียชํวคราว

แค่ไม่ไค้กำหนดว่าให้กล”บเมื่อไร

ถึงกำหนคให้ช่ำพเจำกล”บ

ชำพเจำไค้โทรเลขถาม

ไค้คอยอยู่นานก็หาไค้ร”บฅอบไม่

ขำพเจำ

จึงโทรเลขซา.ไปอีกและรอคอยค่อมาอีกสองเดือนจนถึง มีนาคม พ.ศ.

๒๔๔๙ จึงได้ร”บโทรเลขบอกให้กล”บในครึ่งชวโมงจากเวลาที่ไค้ร”บ ไค ชนขำว ของ เครื่องส”มภาระบรรทุกลาค่างเดินทางกล”บ

รอนแรมมาเบน

เวลานานจนบรรลุถึงแผ่นดินอ”นเบ็๋นยอคร”กิของขำพเจำ คือ

ไทย.

ประเทศ

1

ขทท ๏๔ ไทยต2{วํนตก

หรือชานฅะวํนฅก เบ็๋นชื่อที่ใช้เรียกชนชาฅิไทยสาขาหนึงซ ลำเนาอยู่ทางฅะวํนฅกของลุ่มแม่นาสาลวีน

คำว่าชานเบ็นภาษาพ

ฅนเคิมของคำนั้ไม่มีใครทราบแน่ว่ามาจากไหน ผู้เขียนเรี่องชนชาติไ

บางคนเห็นว่า มาจากแห่งเดียวกนกโ]คำ สยาม แต่บางคนกโนว่

ผู้เขียนเรื่องชนชาติไทยที่เบ็'นพม่าและอ*งกฤษผู้รู้เรื่องพงศาวดา

จากหน*งสือพม่ากล่าวว่า คำว่า ชาน นนเบ็๋นชื่อสำหร*บเรืยกคนชา ซึ่งเรียกตวของเขาเองว่า ไทย

ผู้เขียนเรื่องชนชาติไทยเหล่านึ่คงหมายถึงพวกชานในประ ชานฅะวไเออก

ชานเหนือ

และชานดะว*นตก ที่จริงพวกชานเหล่าน

แต่ละพวกเบ็'นพวกไทยสาขาหนึ่ง ฯ ซึ่งมีซึ่อฅามทองถึนที่ด"ง อย่

เช่นที่เรียกว่าไทยเหนือก็อยู่ในทองที่ทางดอนเหนือ

ที่อย่

ดะว*นออกก็มีชื่อว่า ญวน เขิน เล็ม ลํ้อ และลาว และชานดะวไเฅกก็มี ชื่อว่าเงยว

แต่อย่างไรก็คี พวกเงํ้ยวเองก็ย*งไม่ยอมร*บว่าเงํ้ย

ของพวกตน และยืนย่นเบ็่น ไทย เหมือนก*น ชื่อนึ่ย่อมจะดโ)ง เกี่ยวของก*บชนชาติไทยพวกอื่นอีกสองสามลโนกน ลุ่มแม่นายางสี

และดอนเหนือในประเทศไทย

ซึ่งอยู่ทางด

อาจยืนย’นไค้ว่าพวก

เหล่านึ่เบ็'นพวกเดียวกนกบพวกไทยพม่าแน่ ที่สฺงส’?]

และเบ็๋นไทย

เท่าที่าภ้พเท้ทราบกำว่า เงั้ยว เบนชื่อเฉพาะสำห

6)^(ฐ)

พวกชานหรอไทยฅะวํนฅกเพือให้ต่างไปจุากพวก!ทยฏื่น'ๅ.เ^*"14 และ

กำว่าเงียวนีณ็บ็๋นชี่อที่ชนพวกอื่นนอกเขตพม่าใช้เรียกพวกไทยในพ โดยเฉพาะเท่านน พวกชานหรือไทยฅะวไเฅกนใเไม่เฉพาะหมายถึงพวกเงั้ยวเท่านใเ แต่รวมท^งพวกอาหมในมณฑลอสสไ]ของอินเดีย ทางฅะวไเฅกของแม่นาอิรวดีควย พวกอาหมในอสสไ]นนคือ

และพวกขำฅิที่อยู่

ท่านเสอรยอรชสกอฅฅกล่าวว่า

ไทย นไแองโดยไม่มีบญหา

แม้ว่าใน

บจจุบนนํ้พวก่อาหมจะกลายเบ็๋นอินดูไปหมดแล้วก็ฅาม นาย!เอลฅฮลเลตกล่าวว่า สุดสั้นลงใน พ.ศ. ๒๓๖๙

เมื่อสงกรามระหว่างอำกฤษกบพม่า

พวกไทยอาหมจะอพยพขำมเขตทางตะวน

ออกไปในแหลมอินโดจีนและต่อไปอีกหาไค้ไม่ ขวางอยู่ ต่อไป

เพราะพวกชานดีด

เหตุฉะนนอำกฤษจึงคงยำคุ้มครองพวกนอยู่ในมณฑลอ'สส

ขอที่น่าเสียใจอยู่อย่างหนึ่ง

คือไทยอาหมไค้ก่อยฑกลาย

เบ็'นอื่นไปจนในบจจบไเนึ่ไม่ทราบได้แน่ว่ามีเหลืออยู่เท่าไร ไทยอา มีหนำลือของตน มีตำนานและนิยายปรไ)ปราของตนเหลืออยู่ แต่ภาษา อาหมนนเบ็๋นภาษาตายไม่ใช้พูดกนต^ง ๔0๐ บี่มาแล้ว ภิ?!ษุไม่กี่องค์ที่ยำรู้ภาษาอาหมด"งเดิมของดน'อยู่

ในเวลานึ่มีแต่

จดหมายเหตุศ'กราช

ของชนชาติไทยอาหมที่เหลืออยู่นนนไ-เว่าเบนมรดกอนมีก่ามากมาย ไทยขำดิแน่งออกเบนสองพวก สิงคะลิงขำฅิพวกหนึ่ง ดยมากกลายเบนไทยพม่าไป

และอยู่ในทองทีต่างกนเรียกว่า

เรียกว่าขำติหลวงอีกพวกหนึ่ง

พวกแรก

มีภมิลำเนาอยู่ทางแม่นำชินคฺวินฅอนบน

9

อนเบ่นสาขาของแม่นาอิรวดี ภมิประเทศส่วนมากเบ่นบ่าสูง มีหิ และอำพํนในถี่นน*น พวกขำติหลวงอยู่ใกล้พรมแดนธิเบฅเชิงเขาหิมาลโ) ลำพำฅามพวกของคน

ไม่เกี่ยวของก”บพวกอื่น ฯ โดยรอบ

และย

ดำรงฃนบธรรมเนียมและภาษาเติมของคนไว้ได้ ๘!

จากหมู่บานขำติในเขคพม่าถึงบิชิอนเบ๊นหมู่บานแรกถึงในมณ 1

^5

I

อ”สส”มของอินเดียเบ็่นระยะทางเติน ๙ วน พวกขำฅิหลวงนีมีภูมิลำ

อยู่คามแกวค่าง ‘ภู ทางคะว”นคกอนเบ็'นสาขาของแม่นาอิรวดีดอนเห เลยพนเขคปกครองของพม่าเขำไปในอินเดีย ให้แก่พม่าทุกบื่

หำหนำขำติฅำเงส่งส่ว

ลำษณะหมู่บำนของไทยขำติก็เข่น

ใหญ่ ‘ภู ของไทยคอนเหนือในประเทศไทย มกชอบคกแต่งและประด”บ

ประดาวำและวิหาร อ”นเบ่นที่น”บถึอให้ดียี่งกว่าบำนที่ฅนอย่ ของผู้ที่เบ่นหำหนำ มีหลำคามุงกระเบองแทนที่จะมุงคำยจาก ในภาคเหนือชองแควไเชานนนมีพวกชานจีน เหนืออยู่มาก

ไทยเขหรือไทย

พวกนีได้อพยพขำมแม่นาสาลว้นจากถี่นเต

ยนนานมาตงภูมิลำเนาอยู่ดามลำแม่นาขำ

และคามพรมแดนของแคว

ชานคอนเหนือท*งหมด พวกนยำคงยึดถือขนบธรรมเนียม การแต่งกา

และภาษากำพูดของคนเหมือนเมืออยู่ในถี่นเติม ใช้เสํ้อผำสีคราม ผำโพกศีรษะผืนใหญสดรามแก่เหมือนกำ' ต่างจากพวกพม่าและเงยว

เบ่นเครื่องหมายให้

ซึ่งมกใช้ผำสีฉคฉาด

พทธศาสนาจากพม่า และวดจีงเบ่นแบบพม่าดำย

พวกนีไ

แค่พวกญาติพ

๑ลิ่๓

ทางฟากฅะวนออกแห่งแม่นำสาลวีน

ได้รไ]พทธศาสนาฅามแบบญวน

จึงมีคมภีรศาสนาและหนไสือเขียนเบนแบบเชียง!'!/1ม่ คำพดขนบธรรมเนียม

ฉะนภาบา

และกิริยาท่าทาง จึงต่างจากพวกพม่าหรือพวก

ทยที่อยู่ทางฟากฅะวนตกแห่งแมไเ'าสาลวีน

แต่อย่างไรก็ดี ก็ยไนบว

เ?ายวพไแบ็่นเซอสายเคียวกไเกบพี่นองไทยในประเทศจีน เสอรยอรชสคอฅตกล่าวว่า ซึ่งมีฐานจดที่ราบพม่า

‘แคนของซานนไแบนรปสามเหลี่ยม

และมียอคจคแม่นาโขงรวมท"งบ่อทบทิมต

เหนือและแควนกะเหรี่ยงตอนไต้

มีเนอที่ ๕๙,๙๑๕ ตารางไมล์

สำมะโนกรำรวมท"งพวกไทยขำติควยกว่าลไนกน’ จำนวนนีรวมท"งพวก เขินของแควไแชียงฅุงคํงที่ขไพเจไได้กล่าวแลว!นบ่ทก่อน เพรา แควนเชียงฅงมีอาณาเขตยืคไปจคแม่นาสาลวีนซึ่งทำ!ห้เกิดเบ็'นยอด ของสามเหลี่ยมนนควย แม่นาสาลวีนไหลผ่านกลางพนที่อ"นกวไงใหญ่นํ้แต่เหนือไปออก ทะเลทาง!ฅ้ ทำให้เบ็่นเสนแบ่งพวกไทยออกเบ็นสองพวกคือ ตะว"นออก และตะว"นตก เชียงตง ๒๕ จ"งหว"ค สงชาน

ในทองที่ตอนกลางมี ๑๒ จ"งหว"ดซึ่งรวมทงตอนแกวน และในภาคกลางตอนใต้และภาคเหนือแลำรวมหมคดำยก"น

จ"งหวดเหล่านืโคยมากต^งอยู่ในแดนตินอ"นเรียกว่าที่ร

ซึ่งอย่ระหว่างแม่นำอิรวดีและแม่นำสาลวีน

ระด”บนาทะเลต*งสองถึงสามพนฟุค สายหนึ่งในโลก

เบ่นทีราบสูงกว

แม่นำสาลวนเบนแม่นำงามทีสุด

และเบ็'นแม่นาใหญ่สายหนึ่งในพวกแม่นาใหญ่

ซึ่งไหลจากภเขาหิมาล”ยในประเทศธิเบต คือ พรหมบุตร อิรวดี สาลวีน

6)

โขง

ยางสี

และ!]วงไห

แม่นาเหล่านเรี่มฅํนในที่สอบและไหลลง

เบนเสนขนานกางกว’างออกไปคุจุซี่พํดดิามวิวไปลงทะเล และก พนที่อนไพศาลแต่ทะเลเหลืองวินถึงอ่าวเบงค”ล

แม่นาสาลวีนยาวกว่าแม่นํ้าอิรวดี และเรี่มฅนวิากเห

อื่นๆ แลวไหลมาหว่างกลางแม่นาโขงและอิรวดี ทำให้ลำธารหร ที่ไหลลงสู่แม่นานืมีแต่สนๆ

ท่านเสอรยอรชคอฅตกล่าวว่า ‘ลำธารที

ใหญ่และยาวฅํ้งหลาย ๆ ไมล์นน ได้ไหลลงไปในแม่นาใหญ่ท" โดยมาก

ลำธารที่ไหลผ่านโกรกหินลงสู่แม่นาสาลวีนนน

บางแห

เบ็นร่องลึก มีหินสูงช”นเบนกำแพงซึ่งสามารถบ”งแสงแดดในเวลา กลางว”นได้

ภาพภุมิประเทศเบ็่นบางาม

แม่นาใดในโลกเทียบได้ คมนากมเสีย

ธรรมชาติของแม่นานืไ

ควยมีผึงเบนภูเขาทำให้เบ็'นโขดเขิ

ฉะน*น ชนชาติไทยที่ฅ*งภูมิลำเนาอยู่บนผึง

ภาษามีชื่อและดำหน”งสือแตกต่างก”นไป’

แม่นาสำก”ญ ๔ สายดำกล่าว

แลวน*น ได้ไหลผ่านภูมิประเทศของชนชาติไทยแต่บางส่วน แต่ว่าแม่

โขงก”บแม่นาสาลวีนนืไหลผ่านภูมิประเทศของชนชาติไทยเกือบต สาย

แม่นาโขง

แม่นาสาลวีน

และแม่นายางสี

ท*งสามสายนื■เฌัว่

เบ็๋นลุ่มหลำแหล่งของไทยมาแลวแต่กาลดีกดำบรรพ์

ผ้เขียนเรื่องนืได้มีโอกาสไปเที่ยวคูตามแม่นาสาลวีนดำ คร^หนึ่ง คือ ใน พ.ศ. ๒๔๔๙

คณะมิสชันรีผ่ายเหนือในประเท

ได้ต*งกรรมการขนคณะหนึ่งให้ไปสำรวจลำษณะและภาษาของชนชา พุดภาษาไทยในผ่ายเหนือ

กรรมการกณะนึ่มีหมอ เอส. ซี. บเบี่ รึ

เรเวอเรนดฺ เอ็ช คมปเบลล และฅํวข๎าพเฑ้ได้เคินทางผ่านแกวนเชียง แวะฅามว'ด สาลวีน

และเดินฅามทางหลวงถึงจงหวดฅะกอซึ่งอยู่บนผ่งแม่นํ พวกเราเดินไปในแถบฅะวนออกแลำขำมไปทางฅะว'นฅกของ

แม่นาสาลวีน

แลวกล'บเชียงใหม่ดามทางเดิม

ณที่นนพวกเรา

ประหลาดใจมาก

ดวยดามท^งสองผ่งแม'นาสาลวีนนนพบแฅ่ว'ดพุทธ-

ศาสนาดามแบบญวนท*งสน หมู่บำนบางแห่งก็เบ็่นแบบญวนแท้ นอก จากกำพูดมีสำเนียงอี่นปนอยู่บำง

เพราะฉะนน การที่พวกเราได้พบปะ

สนทนาก'บพวกทองถื่นนีจึงไม่สู้ลำบากอย่างใด ทางดะว'นฅกของแม่นํ้าเท่านน

เวนแต่หมู่บำน ๔

ซึ่งไม่มีอะไรของญวนปนอยู่เลย

การ

สนทนาให้เข่าใจก'นจึงลำบากมาก

ภายหล'งพญาผู้หนึ่งในจ'งหว่ดเชียงรายซึ่งเบ็นเพื่อนก'บข่าพ ได้ให้ดำนานโบราณแก'ขำพเจำเล่มหนึ่ง

หน'งสือนนกล่าวถึงล'กษณะ

และภาษาชองชนชาติญวนที่แพร่หลายอยู่บนผงท*งสองของแม่นาสาล เขากล่าวว่า

ในเวลานึ่มีชาวเชียงใหม่ที่เบ็'นเชอสายไทยเชียง

เหลืออย่ไม่กี่คน

เพราะเมื่อกร*งเกิดสงครามระหว่างพม่าก'ในชียงใหม่

เนืองฯ แต่โบราณนน

พวกเชียงใหม่ได้ถูกกวาดดอนครอบครำและ

หนืไปอยู่ที่อื่นเสียก็มาก

บางพวกก็หนีเขำไปในเขดฝร”งเศส

ซึ่งยำพูด

ภาษาญวนและถือขนบธรรมเนียมเชียงใหม่โบราณอยู่โดยมาก ส่วนมาก หนีไปอยู่ในแควนเชียงตง จึงเต็มไปคำยชนพวกนึ่

เหฅุฉะนนดินแดนที่งํ้สองฟากแม่นาสาล

พญาแห่งเมืองเบี่ยงซึ่งเบ็๋นจงหวคอยู่ทางฅะวนออ สาลรีนได้บอกขำพเจ^าว่า

เมื่อสามหรือสี่ชํวอายกนมาแลว

ชนแถบ

แม่นำสาลวีนท*งหมดขนอย่กํบเชียงใหม่ ฅ่อมาขนอยู่ก!แจาแผ่น เมืองอำวะ ๒๙ บี่ แลำภายหลำได้ไปรวมก!เชียงฅุง

เมือเกิดกบฏข

ใน พ.ศ. ๒๒๙๕ พม่าได้ยกกำลำมาช่วยเชียงฅงปราบปรามการกบ สงบลงได้ เชียงใหม่

พวกไทยจึงกระจ!กระจายไปอยู่ฅามภูเขา พญานไเประมาณว่า

ไทยพวกต่าง"]ในแถบแม่นา

บี่จจบนนํ้หนึ่งในสี่ส่วนเบี่นพวกไทยฅะว!ฅก พวกไทยเขิน และไทยญวน

บำงก

และอีกสามส่วนนไแบี่น

ไทยเขินก!ไทยญวนมีจำนวนเท่า

เขายำกล่าวอีกว่า ในดินแดนที่ห่างไกลจากแม่นาสาลวีนออกไปท*ง

ฟากก็ยำมีพวกไทยต่าง "I อยู่เหมือนก! เรียกว่า ไทยคง หรือไทย

และมีว!พุทธศาสนาตามแบบญวนดลอดไปจนกระทำถึงเมืองอำวะหร ม!ดะเล ท่านเรเวอเรนดกลเลนเดอร

เพื่อนร่วมสมาคมของเราในแคว!

เชียงฅุง ได้เดินทางจากเมืองร่างกุ้งมายำเมืองเชียงตุ ไทยฅะว!ตก ได้กล่าวว่า

‘เราสนทนาก!ชาวตำบลที่อยู่ทางตะว!ตกห่างไกลจุากแ สาลวีนออกไป ๑๒๕ ไมลได้อย่างสบาย สาลวีนไปทางตะวนตก ๓0 ไมล

ทีตำบลกนหิงห่างจากแ

ได้พบตำหนังสือแบบเชียงใหม

ว!ต่าง ๆ อกษรเหล่านีเหมือนอกษรญวนหรือเขินหรือเชียงใหม และทีกุนหิงน!

ตวอกษรทีใช้กนอยู่มี ๓ อย่าง คือ พม่า ไทยต

6) ^ 0^

และญวน

ในเวลานีกนรู้ห'!,มัสือมีจำนวนไม่น็อย

บางคนร้ทํ้

พม่าและไทยฅะวนฅก บางคนรู้หน*งสือไทยฅะวนฅกและญวน บางคน ทีรู้แฅ่หนงสือญวนหรือเขินเท่านไา ย่อมรู้อย'ท*วก*นแลวาแม่'นาสาลวีน■แ เบ็นเสใเแบ่ง'ผืนทีของชานหรือไทยออกเบ็่นสอง'ตๅกใหญ่ กือฅะวไเออก

และฅะวนฅก ไค้เคยเ'ห็นพระสงฆ์ที่เมืองตะกอ ซึ่งฅํ้งอยู่บนลุ่มสาล ราว ๓๐ ถึง ๔0 องค์มาประชุมกน ญวนไค้อย่างแกล่วคล่อง

และอ่านค*มภีร์ไทยตะว*นตกและ

หน*งสือญวนนไเจารในใบลานเบ็'นค*มภีร์

แต่หน*งสือไทยตะว*นฅกไม่เคยพบที'จารในใบลานเลย นอกจากเขียนบน กระดาษ เน้]ยคำในภาษาของพวกไทยตะว*นตกน้ไม่สู้ต่างกไเน'กแต่'?ฑั อ*กษรที่ใช้นไเต่างก!นมาททีเดียว อ*กษรญวนเ'นองมาจากอ*กษรเขมร

อ*กษรไทยตะว*นตกกลทียอ”กษรพม่

อ*กษรไทยฅะว*นฅกมีล*กษณะเช่น

เดียวก*บ่อ*กษรเมืองเมาที่ใช้ก*นระหว่างพวกไทยเห'แอ

และม*กใช้ใน

กิจธุระต่าง ฯ โดยมากแม้ว่าจะมีใช้อยู่ในค*มภีร์ศาสนามากแลที หนทีสือ ช'นิด'นตามว*ดพม่าและว*ดญวนใช้สวดในวนสำคญทางศาสนาต่าง ‘ชุ ให้ อุบาสกอุบาสิกาไทยตะว'นฅกพง พวกพ่อคทีเงั้ยวหรือไทยตะว*นฅก

เ'บ่นพวกทีเราพบปะอยู่เสมอ

ไม่ใช่แต่แควนเชียงตุงเท่านน แม้ในจทีหว่ดสำคญ ๆ ตอนเหนือประเทศ ไทยก็เหมือนก*น กว่าง สานดทียหญที

ธรรมเนียมแต่งกายมืผทีโพกศีรษะ

และใช้หมวกใบ

กางเกงขากวางกรอมสนซงแลตุไกล ‘ชุ เหมอน

'น'งผทีถุง การนุ่งห่มอย่างนืเฉพาะพวกที่พอมือนวิะกิน แต่พวกคน

ก็นุ่งกางเกงมีขารํดกมย็่งเน ทํวไปเหมือนพวกเงํ้ยว

เขินและลอก็แต่งกายอย่างนควย

แต่

ในประเทศไทยตอนเหนือนนใครใช้ผาโพก

ศีรษะก็เรียกว่าเงํ้ยวจนกว่าจะสํงเกฅได้เองว่าเบนเชอชา เงึยวฒัตามร่างกายคิวยหมึกแดง

สกลงไปจนครึงน่อง แล

สูงกว่าไทยทางใต้หรือพม่าเสียอีก บางกนส'กแต่ตนคอถึงข’อเท'า คนส'กที่หนต้และหล*งมึอดำยหมึกเขียว

ตามปกติสุ*กที่หนำอก หล*งและ

แขนดำยหมึกแคงอย่างเคียวก*บพวกพม่า

พวกไทยตะว*น่ฅกน

ช่างสกที่ชำนาญมาก เช่นส*กลงเลขย'นฅ์ เบนตน

หมอคุขิงกล่าวว่า พวกไทยตะว'นฅกเบนคนม*ธย่สถ์ มีภูมิล อยู่แถบภูเขา

เพราะฉะนน ทำเลหาเลยงชีพจึงไม่อุดมสมบูรณ์

พวกอยู่บนที่ราบตอนปากนาอิรวดีหรือเจำพระยา

ไทยต

เพาะปลกเก่งแต่กำขายยี่งเก่งไปกว่าอีก จึงสามารถหาอาหารแล

ใช้อื่น ‘คุ ที่ไม'มึในถี่นของตนเองไต้ บำนของพวกคนช^นผ้คีสะอาด น่าอยู่ยี่งกว่าพวกพม่าชั้นเคียวก'น่

โดยเหตุที่พวกไทยต

และความสามารถดีกว่าเพื่อน พวกอื่นจึงริษยาและเกลียดชัง

ถูกแยกออกต่างหากชั้งในทางการปกครองและทางสมาคมคำยอปนิ

ไม่ชอบอยู่ว่างเบ็๋นชันคานของพวกไทยตะว*นฅกนํ้แหละไต้ทำให้บ

ช่องเคหสถานต่าง ‘คุ ในดินแคนของเขาตองเปลี่ยนแปลงโยกยำยก'น

เสมอมิได้ขาด ฉะนน พลเมืองที่ทวีขนในเขตหนึ่ง ‘คุ จึงม*กจะไม่ ที่เกิดในเขตนนเอง

ซี)^^

หมอคุชิงซึงนไ]ว่าเบนผู้รู้เรือง!ทยฅะๅนฅ!ๅคีฦๅๅฤนฎึ่น ^

!

กลาวอกว่า การอพยพของชนชาติไทยเขาไป!นพม่าน^น่าจุะ!ด้เรืมเมี่อ ๒0๐0 บีมาแลว

ครบีแรกคงจะมากนนไ)ยคุก'อนแลำประกอบกไ]มี

คุปนิสไ]ไม่ชอบอยู่ว่างอนเบ็นสนคานประจำชาติไทยน่ จุงได้ทยอยคาม กนเขามาโนภายหลไ ยงมืดมวอยู่

ประวตการณ์ดึกคำบรรพ์ของพวกไทยในพม่านค

แน่นอน อาณาจไ]รไทยคร^งมีอำนาจ ณ เมืองเมาหลวงได้

เจริญขนในฅอนเหนือใกล้แม่นาชเวลิเคียงแม่นาขำ มีเมืองเก่า คุ ลอม ควยกำแพงเชิงเทินเนินเขาและคุเมืองท"งมีโบราณสถานและวฅถุปรก หไพำเหลืออยู่กรอบคลุมเนือที่กวำงขวางมาก จดหมายเหคุไทยกล่าวว่า

อาณาจกรไทย ณ เมืองเมาหลวงน

ได้เร็่มฅํ้งขนเมื่อศตวรรษที่ ๏๒ แห่งพุทธกึไราช

อาณาเขฅเท

ได้นน ทางทิศใฅ้จคมละแหม'ง ทิศคะวนออกจดเชียงรุ้ง ส่วนอสสมนน ไทยใฅ้เขำปกครองเบ็่นอาณาจไรเมื่อ พ.ศ. ๑๗๗๒ และค*งแฅ่บไนนมา

ไทยที่อย่ในอไสมจึงได้นามว่า ไทยอาหม กล่าวกนว่าอาณาจไรฅาลิฟู ก่อนที่จะตกเบนเมืองข็นของคุไบลข่านเมื่อ พ.ศ. ๑๗๙๖

ก็ได้เกยขน

อย่กไ]อาณาจไรเมานั้เหมือนกน และพวกไทยตะวนตกได้สรำงเมืองใหม่

ขํ้นอีกแห่งหนึ่งเรียกว่า มานเมา เมือ พ.ศ. ๑๘๒๓ ในทีใกล้เคียงเมื บาโมในบจจบไเนึ่ และยำอำงว่าได้แผ่อาณาจกรเมาออกไปอีกในลุ่มนำ เจำพระยาถึงกรุงศรีอยุธยา จากเวลานนมาตามตำนานกล่าวว่า

อาณาจกรเมาของไทย

ตะวนตกเมื่อมีอาณาเขตกวำงที่สุฅนลวก็เ■วี่5]เสือมลงทกทีและแตกแยก

ใฐฮ00

กนออกไป

พวกไทยก็ค่อย‘ๆ แยกออกเบนหลายพวกหลายหมู่ และอยู

ห่างกนไม่ไปมาติดต่อถึงก”น ประกอบท*งภมิประเทศเบ็่นภูเขาสูงกีดก'น เสียควย

มิหนำซาชาติใกล้เคียงย'งช่วยทบถมอีก

ที่ชนะก็มี

ที่

เสียจใเสูญชาติไปก็มี ต่างรบพุ่งร”งแกควยกวามฅะกลาม ด'งนน ดินแคนภาคนอนเบนก็น^านบจจุบ”นของไทยฅะว'นฅก

จึงมีส่วนเกี่ยวพไเอย่างใหญ่หลวงก”บกวามเกิดและความค”บของชนชา ไทยมาแต่โบราณ ในบทน ข'อกวามส่วนมากข’าพเจาได้นำมาจากหน'ง์สือ

กะเซฅเฅียรฺแห่งพม่าเหนือ ในหน'งสือนนกล่าวว่า ต่อมาภายห ไทยตะว”นฅกนืต่องข้นอย่ก'บพม่า

เลยทำให้ผสมปนเปก”นหมคก'บพม่

แม้แต่ดินแคนก็เลยกลาย เบ็นส่วนหนึ่งของพม่าไป พวกไทยตะว”นฅก ด้ถกกีคกนมิให้ติดต่อก'บพวกพ’องส่วนใหญ่ที่เบ็'นไทยควยก”นมานาน แลว

แม้พวกผู้หญิงก็ร'บเอาแบบแต่งกาย

ภาษาตลอดจนความเคยชิ

อย่างพม่ามาใช้ แต่ว่าสีงเดียวเท่านนที่ทำให้ไทยตะว'นตกยำคำร

ไทยแตกต่างจากพวกผู้ชนะเหล่านนอยู่ได้นมนานก็กือ ความยึดม”นอย่า

มห”ศจรรย์ในขนบธรรมเนียมประเพณีของตน ฅวหนำสืออ'"แเบ็นของชาติ

ไทยตะวนตกมาแต่ค^งเดิมก็น'บว่นจะสาบสูญปราศจากผ้ใช้และผ้ร้ไ

ทุกที นอกจากในระหว่างพวกไทยขำติหลวงซึ่งอยู่สุดทางเหนือเท่ ก่อนเวลาที่อำกฤษเขำปกกรองพม่านน ยุ่งเหยิงไม่สงบอยู่แลว

แควนไทยตะว'นฅกก็มีเรื่อง

กรนสนร่ชกาลพระเจำมินคง

ระสายก็เกิดข้นท'วไปเหมือนเมื่อร'ชสม'ยพระเจำธีบอ ปลนสะดมกน

บำนเมืองก็ถกเผาและทำลายลง

การจลาจลร

เกิดฆ่าพนและ

ท\เกวนแสนหวีก็

พลอยวิลาจลไปควยชั่วอายุ ฅลอดภาคพนลุ่มนาสาลวีนต่างก็อยู่ในสภาพ สงครามทงสน ในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๓๐

กองทหารอ*งกฤษในบํงค้บ

บ*ญชาของนายพนฅรีสเฅดมนไค้ยกเชั่าไปในแควนไทยฅะวนตกพรอมกบ นายเอ. เอ็ช ฮิสเคบรนด

ซึ่งต่อมาไค้เบนผ้สำเร็วิราชการแควนน พวก

ไทยฅะว*นฅกได้ออกต่อต”านแต่หาสู้กำล*งปรบกษ์ไค้ไม่

วิงตองยอม

อ่อนน”อมโดยดื ฉะนไเ ในกลางเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๐ แคชั่นไทย ตะวไฬากชั่งหมดก็ฅกอยู่ในอำนาจปกครองของอำกฤษ.

บทที

๑6.^

ไทยลาว

ชใเชาฅิลาวแห่งแควนลาวของฝรํงเศสนนน่าจะเบ็๋นสาขาเ

เท่านนของชาฅิอำยลาวหรือไทยที่ย่งคงร'กษานามดึกดำบรรพของคนไ

ไค้เมื่อประมาณหนึ่งหรือสองชํวอายกนมาแลำ ชนชาติไทยผืายเห ประเทศไทยก็มีชื่อเรียกว่า ลาว

ซึ่งคงจะเบ็๋นชื่อของพวกใกล้เคีย

ก่อนแลวจึงมีผู้นำมาเรียกผิดไปเบ็นไทยพวกนึ่

จนกระท'งในเร็ว ๆ

จึงมารู้สึกชื่นว่าไม่ฅรงก่บความจริง แต่อย่างไรก็ดี ชาวหลวงพระบา หรือลาวท*งหมดแห่งแควนลาวของฝร”งเศส

ก็เรียกฅำเขาเองว่า ลาว

ฅงแต่คึกดำบรรพ์มาแลำ คามที่นายฮอลฅฮ'ลเลตกล่าวว่าชนชาติลาวห ไทยสาขาหนึ่งซึ่งไม่มีรอยส'กนึ่

มีภูมิลำเนายืดไปทางคะว”นออ

ที่ทางคะว'นฅกเฉียงใต้ของค'งเกี๋ยเบนเวลานาน ©©๑๗ มาแลำ

น'บแต่หรือก่อน พ

เขาย'งกล่าวอีกว่าอาณาจ'กรลาวซึ่งแผ่ลงไปทางใต้ถึ

เวียงจ'นทน์นน

ก็เกิดขนในสม'ยเดียวก'นก'บสถาปนาเมืองไทยญวน

ท*งหลาย คือ ลำพูน ลำปาง พิษณุโลก กำแพงเพชร และสวรรคโลก ณ ลุ่มนาเจำพระยาคงแต่ พ.ศ. ©@^๗ มาแลวเหมือนก'น คามตำนาน ของเมืองลำพูนกล่าวว่า เจำองค์แรกแห่งอาณาจ'กรลาวนึ่ ราชธิดาเวียงจนทน นายสัลเลคว่า

เจาผู้ครองเวียงจ'นทน์หรือลานช้างองค์

อภิเษกก'บธิคาเจำแ■ผ่นตินเ.ขมจ (ติ) ๘๙๓

และไค้เบ็นกษ'ตริย์ชื่นเมื่อราว พ.ค.

ท*ใ1ไค้ทำสงครามกไเประเทศใกล้เคียงหลายศร*ง

เมื่อ พ,ค,

1ส๐๓

®๒๑๖ อาณาจกรลาวได้รุ่งเรืองมากจุนมีเจุาบ๎านตามสำมะโนกรวกรํ ถึงสามแสนคน

โดยไม่รวมพวกทาสและชาวเขาเข่าด้วย

นดคาของกษฅริยองกนไเก็ได้อภิเษกกบราชธิดากรุรไทย

ต่อมาราช และราชธิดา

เชียงใหม่ ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๔๔ ถึง ๒๐๕® นใเ

เวียงจุนทน์ได้เขภิร่วมสง-

ครามเมืองญวนแลวเลยได้กรอบครองเชียงใหม่ ในพ.ศ.๒๑๐๑กษตริย์ แห่งพะโกได้ยกท'พยึดเชียงใหม่และยํ่ายีพวกลาว พม่ายกมาตีเชียงใหม่ได้

ครไเ พ.ศ. ๒๑๓๕

และกวาดฅด้)นกรอบครวไปอย่เมืองพะโค

ระหว่างนที่พะโคก็เกิดสงครามพำพ'นก'นอยู่ถึง ๓๐ บี่ ทำให้ผ้กนสาบสูญ กระจ'ดกระจายไปมาก

แต่ในไม่ชด้พวกที่ถูกกวาดต่อนไปเหล่านก็ได้

เบ็'นกบฏขั้นในเมือง และสามารถหนีกล'บมาเมืองของตน เดิมได้ความ รุ่งเรืองชองเวียงจ'นทน์นนมือยู่เบนสม'ยสุคทที่ย ในระหว่าง พ.ศ. ๒๑๗๑ ถึงพ.ศ.๒๑๙๕ จากนนมาก็เกิดการจลาจลขั้นบ่อย ก็แยกออกและไปตขั้3เบ็๋นอิสระขั้นต่างหาก

จนหลวงพระบาง

เขมรก็อ่อนอำนาจลง

ใน

พ.ศ. ๒๒๕๕ พวกลาวพาก'นอพยพไปอยู่ที่จ'มปาศำดเบ็'นอ'นมาก และ จ'ม่ปาศำคจึงกลายเบนส่วนหนึ่งในอาณาจกรลาวคำย

ต่อมาถึง พ.ศ.

๒๓๒๐ เวียงจ'นทน์และจ'มปาศำดก็ได้มาขั้นต่อกรงไทย'' ๒๓๓๔

พวกชาวตำเกี๋ยได้เขำไปทำลายราชธานี

ครน พ.ศ.

และในที่สดก็ได้ต

เบนเมืองขั้นของกรงไทยโคยลิทธขาด เมื่อ พ.ศ- ๒๓๗0 V^ระบาทสมเก็จพระพทธยอคพาวิ'!^าโลก

เมอยงคำรงพระยศเบนสมเคจเจาพระยา

มหากษ‘กรยศึก ยกทพไปฅเวยงจนทน และหลวงพระบาง แล’วอ‘ญเชญพระแกำมรกฅ มาย‘งกรงเทพฯ เมึ่อจุลศ'กราช ๑9(1เ'0 ในรชสมยแห่งพระเจากรงธนบรี ^เจ‘าอนเวยงจ‘นทน์

เบนกบฏ

พระบาทสมเก็จพระนืงเกล*าเจำอยู่ห‘ว

กองท*7^ขนไปปราบ เมึ่อจุลศกราช 99๘๘

โปรกให้ยก

1230๔

ในบา)จุบนนอาณาร์กรลาวไค้ฅกไปเบ็'นของฝรํงเศสฅามสนธิสํญญา ระหว่างไทยกไ]ฝรํงเศส พ.ศ. ๒๔๓๖ ท*งหมด และมีชึ่อเรียกว่า แควน ลาวของฝรีงเศส แกวนลาวของฝรีงเศสนน ของจีนในแกวนลอ

มีอาแเาเฃฅาเไ]แด่พรมแหนผืายใค้

ไปจดพรมแดนเขมรฅอนเหนือยาว ๖๐๐ ไมล์?1ง

เนือที่ดอนเหนือมีหลวงพระบางอยู่กลางนนประมาณได้ ๒๕๐ ตาราง

กึ่งเนือที่ฅอนใฅ้ยาวยื่นลงไปถึงแดนเขมรมีส่วนแคบที่สุดราว ๑

แด่ส่วนกวไงที่สุดนนอยู่ดอนบนจากเชียงแสนเก่าในพรมแดนไ เมืองลาอนเบ็๋นจไหวดของไทยดำในฅไเกี๋ย

มีจไหวดสำกญ คือ หลวง

พระบาง เวียงจนทน์ สุวรรณเขฅฅ์ สะระวาน

และจไ]ปาศกดิ้ แม

โขงนนได้ผ่านกลางแผ่นดินของแกวนลาวฅอนบน

และเบ็่นเสไแขด

ทางดะวไเดกของดอนล่าง

หมอมักกิลวารีได้เขียนเรื่องเมืองหลวงพระบางไว้ในประวตฃอ เขาว่า เขาได้เกยไปหลวงพระบางหลายกร*ง์เพื่อเผยแผ่ศาสนา เผยแผ่ศาสนาในระห่วางชนชาติลาวเหล่านนไม่ใกร่สะดวก กีดกนชองฝร’งเศส พ.ศ. ๒๔๔๖

แด่กา

เพร

เขาไปหลวงพระบางกร*งแรก พ.ศ.

๒๔๑๕ ขณะที่แควนลาวยไเบ็'นของไทยอยู่ เขากล่าวว่าหลวง

นนมีลกษณะม’นกงที่สุดในหวเมืองไทยท*งปวงที่อยู่นอกกรุงเทพ บางอย่างก็คลไยกน และมีล'?าษณะด่างจากเมืองลาวท*งปวง ที่พลเมือง ส่วนมากไม่ได้อยู่ในเมือง

และทำเลทำนาก็อยู่ไกลเมืองออกไป

ขไวที่

ส่งมาเบนอาหารของชาวเมืองนนได้มาจากพวกชาวเขาที่ส่งส่วยหรือภาษ

เมือง!ณัฅงอยู่บนชายเนินเขาซึ่งสงประมาณ ๒00 ฟุฅ

และมืสถปอยู

บนยอด แกวนำแข็ง ไหลผ่านกลางเมืองไปออกแม่นาโขง แบ่งทองที่ ออกเบนสองส่วนไม่เท่ากโเ ภาพภูมิประเทศที่แลจากเนินเขานไเงามมาก เขายำกส่าวฅ่อไปว่า

พวกชาวเขาโนอิใเโดจีนส่วนหนึ่งเบ็่นชา

พนเมืองเดิมซึ่งร่นเขาไปด*งภูมิลำเนาอยู่ดามภูเขาเกือบสองพนบื่มาแล เพราะทนความบุกรกของพวกไทยที่อพยพลงมาไม่ไค้ และอีกส่วนหนึง เบนพวกที่อพยพมาเมื่อไม่ชำไม่นานนึ่

ชาวเขาเหล่านนมีภาษาต่า

เบนพวก ‘ภู แต่ว่าโดยทำไปแลวนไ]ว่าเบ็'นอย่างเคียวกนนอกจากพวกที ถือพุทธศาสนาแลวก็ไม่มีหนำสือของฅวเองใช้และไม่รู้จำหนำสือชนิดโด ทำสั้น ทำหมดมีไม่ถึงลำนคนแบ่งออกเบ็๋นหลายพวก ขมมากกว่าพวก อื่นมีประมาณแสนคน โน พ.ศ. ๒๔๓๖ หมอม่คกิลวารีกำเนายเออรฺวินไค้เดินทางไป ยำส่วนเหนือของแควนลาว ประเทศจีน

แต่โดยมากฅำงเดินผ่านทางแควำลอใน

โน พ.ศ. ■๒๔๔0 หมอมคกิลวารีกบหมอบื่เบี่ลสฺได้พบ

ทางโหม'โดยผ่านพวกขมุเมืองสายไป รุ'งขํ้นอีกบื่หนึ่งจึงไค้ไปตามทางที ได้พบนน โน พ.ศ. ๒๔๔๓ เรเวอเรนด คำลยู. เอฟ. ชีลคฺสฺ ไค้เดินทาง ไปแกวนลาวในส่วนใต้ยี่งกว่าพวกอืน

‘ภู

ผ่าน ๏0 อำเภอ ๘๘ เมือง

และหม่บำน พบคนพดภาษาลาวกำทำพุกหนบุกแห่ง

เมือแควนลาว

ยำเบ็'นของไทยอย่นน คนทำไปก็เรียนหนำสึอไทย มีการสอนหนำลือ

ไทยฅามวฅต่างๆ ฉะนน ฅามทางที่ผ่านไปนนจึงยำคงพบคนอ่านหนั

1:!30'อ

ไทยไค้โฅยมาก

ไม่ฅ็องสงสใ]เลยว่ากำไปในสมโ)นแลวกงจะพบแต่กน

อ่านหนังสือฝรงเกสไค้ ส่วนคไ]ภีร์พุทธศาสนานนตามรายงานผู้ หนังสือเชียงใหม่นัวไปทกแห่ง ภาษาที่พดกนนัวไปเบ็่นลาว ทบเชียงใหม่ก็แฅ่เพียงว่าเบนกนละถื่นเท่านัน

ฅำหนั

อยู่๔ อย่างคือ หนังสือขอมหรือลาวใช้ในกิจธระนัวไปหนังสือ

หรือบางฺทีจะเบึนหนังสือของพวกไทยดำใช้ในกิจธุระนัวไป หนังสือญวน ใช้ในคมภีร์พุทธศาสนาและหนังสือไทย

เรเวอเรนด ชีลดส ได้สืบสวนถึงชนที่พูดภาษาลาวว่า ชนชาติลาว นนมืภูมิลำเนาอย่กวใงขวางมาก

แผ่ไปทางฅะวไออกเฉียงใต้และทาง

เหนือไกลออกไปเบ็๋นหนทางนังหลายส่ปคาห์กว่าจะสุดตะวนออก ภา ลาวนนเท่าที่สืบได้พูดกนฅลอดทางใต้

และทางฅะวไออกแม

ฉะนน จะเรียกว่าได้เดินไปทางฅะวไออกไกลแลว (จากตอนเหนือใน

ประเทศไทย) ไม่ได้ นัาท่านยไรู้สึกอยู่ว่าย'งอยู่ในหมู่ชนที่พูดภา

ไม่ใช่ภาษาลาว นันคือเฉพาะกนทางเหนือประเทศไทยเท่านนที่พูด แต่ทางแควไของฝรั่งเศสพูดลาว

เวียงจไทน์เมื่อครั่งโบราณเคยเบนเมืองมีอำนาจเบ็๋นศรีสง่าข ขใเชาติไทย

แต่เดิมมืวดสวยงาม ๑๒0 วคเบนเวลากว่า ๘๐ บแกํว่

นับแต่เมื่อครั่งไทยกรุงเทพ ๆ ได้ยกขั้นไปปราบและจิบเนัาผ และพลเมืองก็กระจดกระจายไป

แต่วดต่าง พุ เหล่านนก็ย"งอย่คี

สมใ]เมื่อเวียงจไทน์ย"งรุ่งเรืองอยู่นนนอกจากกรุงเทพ ๆ แลว จ ใดสวยงามเกินหรือเท่านับเวียงจไทน์ได้ยาก

1ต)0(ท่)

''.นบจจุบนนีฝรํงเกึสไค้สถาปนาเวียงจุนทน์ขนใหม่

วิงของ

กรองก็ไค้จดการซ่อมแซมให้เหมือนเดิมและๅางแผนเนืองใหม่จุะให้เบ เมืองใหญ่ ฅดถนนหนทางมากมายวางสายโทรเลขฅิดฅ่อกงัาไซ่ง่อนและ ไปท'วโลก ใน พ.ศ. ๒๔๔๕ ขาพเห้าไค้เดินทางไปย'งแควนลาว โดยคณะ มิสชํนรีส่งห้าพเจ'าไปแผ่ศาสนาให้พวกขมต่อจากที่หมอม’กกิลวารีไค้ทำ กำงไว้ เจำพน'กงานไปรษณีย์โทรเลขชาวฝรงเศสที่เชียงของไค้เอั้อเพอ ร'บรองให้ที่พ'ก

และเมื่อพวกเราเดินทางต่อไป

เจำพน'กงานฝร'งเศส

ไค้ให้ชาวขม ๕ กนสำหร'บเบนคนใช้ไปก'บขำพเจำควย พอเดินทางมา ไค้สองช'วโมง ถึงหมู่บำนล'นเฅนจีน พวกนํ้อพยพมาจากมณฑลยูนนาน และอ่านหนำลือจีนไค้ รูปร่างคลำยกนพวกเยำ เดิมทีคนของเราเห้าใจ ว่าเบ็นพวกเยำเสียอีก

ผู้หญิงนุ่งผำถุงสนแตกเชิงเหมือนเมื่ออยู

ถี่นเดิมอ'นเบ็่นภูเขา

เมื่อเดินทางต่อไปถึงหมู่บำนข่าเลม็ดอ'นเบ็่นพวกเคียวก'บขมุแล

๓ มีล'กษณะเหมือนคนทางเหนือทุกประการ ในการไปคร"งนืไค้พบชน

ชาติ คือไทย ชาวเขาที่มาจากยูนนาน จีนและข่าต่าง ทุ หรือที่เรี ชาวเขาแห่งอินโดจีน พวกไทยนนยำแยกออกไปอีก ๓ พวก คือ ลาว หรือไทยหลวงพระบาง ลอ

หรือไทยสิบสองพ'นนา

ภูมิลำเนาอย่ใกล้ฅำเกี๋ย

ชาวเขาแห่งยูนนานคือพวกแมว

.ชึ่งในจำหว' 1^ ดเชียงรายก็มีอยู่

และพวกล'นเฅน

และไทยขาวซึ่งมื และพวกเยำ

ส่วนข่านนเคยเห็นและ

เกยยินมาแห้ว ส๗ พวกควยห้งเ ชื่ถขกงพวกข่าบางพวกก็ไม่อาจสำเกค

ไตุ)0(:^

ค้ว่าต่างจากพวกข่าอื่น

อย่างไร

คนจำพวกที่กล่

ขมุ เช่น ข่าเกวน ข่าจอล แห่งมาภกา นอกจากนั้ย์งไค้พบพวกข สำคญอีก ๕ พวก คือ ขม ข่าเลม็ค ข่าหอก ข่ากาค และข่าผู้นอย ข่าพวกนีมาจากแควนลอและชอบสบผน กน

พวกข่าเหล่านภาษาพคคลาย

แต่ข่ากาดพดภาษาแปลกกว่าเพื่อน

เหมือนขมุ

ข่าเลม็ดและข่าหอกนไเพ

ภาษาข3านใเชนที่อย่ใกล้เคียงก็พอพื่งเข่าใจ

มากพวกขมุพูดภาษาลาว

บางฅำบลพูดภาษาลาวที่งหมด

รูปร่างลํ่าส'นแข็งแรงกว่าพวกอื่น

มืภมิลำเนาอย่ฅํ้งแ

แม่นาโขงฅลอคขํ้นไปจนเลยพนแม่นาดำ

เบ็'นระยะทางราว ๒๕ ว

จึงตลอด พวกนส'ฅย์ซื่อดี ร*กเกียรติยศของตน ประจำชาติของตน เคียง

พวก

แงใ)จะไม่มืหน

ก็มืความจำดีมากน'บว่าเบนเยี่ยมกว่าพวกไ

พวกขมุหากินในแดนก'นดารคือตามภูเขา

จึงตองเบึนคนขยน

มิฉะนนก็อดตาย ทำไร่ข่าวบนเขา ขดแร่ ทำเกลือ ช่างเหล็ก และ เลยงส'ฅว่เบนฝูง เช่น ควาย วำ แพะ หมู เบ็ด ไก่ สุน'ข แมว กบ แย้ มด หม'ด กว่าง และ เรือด

ววและแพะเลยงไว้สำหร'บ

ขาย ควาย หม สุน'ข เบ็ด ไก่ สำหร'บฆ่าเซ่นไหว้ผี นอกจากนไเ ไว้เลยงแขก ข่าหอกนุ'งผำเตี่ยวกวำงสองสามนว พวกลาวหรือลอที่อยู่ใกล้เกียงกน

พวกขมุแต่งกายเหมือน

ชอบผำสีต่าง ๆ

แต่ไม่ร้จ'กทอผ

ใช้เองตองซอจากลาวหรือสอ พวกขมุไม่ชอบสูบผี'น แต่ชอบดื่มเหลำ อย่างแรงๆ

|®ป็๐^

เมื่อวนออกเดินทางชุากทิทำการไปรษณีย์ของฝรํงเศสที่เช V^

ไค้พบชนชาวเขาพวกหนึ่งซึ่งกนนำทางของเราบอกว่าเบนข่

แต่ชำพเจำเห็นว่าไม่มีอะไรแฅกฅ่างชุากข่าอื่น ‘ก ท^งรูปร่างและหนำฅา ผู้ชายนุ่งผำเฅี่ยว

ผู้หญิงนุ่งถุงเหมือนลาว

พดณีบกนนำทางชาวขมของขำพเชุำก็ไม่เขำใชุกน ทุก "] วไเ

แ ละเดินทางมาบนภูเขาตลอด

แต่เกลำผมเหมื

พวกเราฅองไต่เขา

ในอื่นนึ่อุดมดำยแร่ต่า

เช่น เหล็ก ทำทิ และเกลือ และมีไม้อื่นมากนอกชุากฅนสำ ภาพ ภูมิประเทศงามมาก เบนผู้สรำงขน

มิถนนสายหนึ่งซึ่งฅคขำมภูเขาเหล่านึ่

พ้นที่สงชำยาวยืดตำแต่เหนือมาใต้



หาที่ราบลุ่

ยาก

วนต่อมาพวกเราได้พบพวกข่าหอกอีก ผู้หญิงนุ่งผำถงซึ่งแต่ ส็ขาว เกลำผมเบ็'นขมวดที่ทำยทอย พดภาษาขมุ

มืพวกขมุอีกสาขา

หนึ่งเรียกว่า ข่ากะเวน มืวำและพระสงฆ์สอนหนำสือญวน พวกเหล่านึ่ นำถือผีเรือนและพระภมิเจำที่

แต่พวกข่าอื่นที่ไม'ไค้ถือพุทธศาสนา

แต่นำถือผีอย่างนก็มืบำง มืข่าอีกสองพวก

เรียกว่าข่าเกี่ยวและข่าก

มีวิหารแต่ไม่มีสงฆ์อยู่หรือพุทธรูปเลย ๙ ชวโมงแลว

ในเวลาบ่ายเมื่อได

ก็มาหยุดพกที่หม่บำนแห่งหนึ่งซึ่งมีชนหลายภาษาแล

มีวิหารอยู่หลำหนึง รุ่งขนเวลาบ่ายมาถึงที่พำของฝร่งเกีสที่เวียงภูคา เมืองแต่เดี๋ยวนเบ็่นหม่บำน ซึ่งมีชื่อว่าพญาหลวงบั่ถวี

ทีนึ่ก่อน

พวกเราได้สนทนากำหำหนำหมู่บำนนน

ท่านผู้นึ่บอกขำพเวิำว่า

หมู่บำนที่ขนอยู่

1ตุ3®0

เขานน ๙ หม่ดวยกไเ,

ชนในหม่บ^านทไ^ ๙ หมู่และตวเขาเองเบนข่า

กะเวน ซึ่งเบนคนใ'ใอืงถี่นน

3ข่อย่ ๕ หมู่นบถือพุทธศาสนาและม

คืวย แต่ก่อนมีบำนเรือน ๗0 หล'งควยกนรวมเรียกว่าเมืองภูกา ต่อ เกคโรคระบาดขนจึงเหลือประมาณ ๕0 หดั3

เใจึงจะยายหมู่บำน

เหล่านไเจากใกล้พุ ที่พํกของฝร'งเศสไบ'ทางตะว่นออกเฉียง หนึ่ง

มาต^งในที่นึ่เมื่อส'กสองบื่มาแลำ

บำนน้อยทวไป

โดยมากเบนพวกข่าเลมํค

ตามภูเขาเหล่านึ่

นอกจากนึ่ย'งมีหมู

พวกขมุอีก ๑๐ หมู่ หมู่น้านข่าสามภู ๓ หมู่ก!)หมู่น้านข่าจอล

พวกข่าจอลนึ่พดภาษาเถือบไม่เน้าใจกนก!สองพวกนไ4 แต่หมู่น้ เหล่านึ่โดยมากพูดภาษาลาวได้ ว!รุ่งขั้นเวลาเน้าร!ประทานอาหารแล้ว การไปรษณีย์โทรเลข ถือคริสต์ศาสนา ชื่ออ่อน เรืองต่าง ๆ

น้าพเน้

เล้าพนักงานได้บอกว่า เขามีเด็กใช้ เขาได้เรียกคนใช้นไเมา

น้าพเล้าก็

เขาบอกว่ามีหมู่น้านที่ถือศาสนาคริสต์อยู่หมู่

เหล็ก มีกนเน้ารีตราว ๑๕ หรือ ๒0 ครำเรือน และมีพญาเบนหำหน ต่อมาน้าพเล้าได้ไปหาพญานน

เขาร!รองน้าพเล้าเบนอย่างด

ได้สนทนากนถึงเรื่องศาสนา เที่ยงวนที่สาม

พวกเราเดินทางมาหยุดพำที่สบย

น้าราชการฝรำเศสอยู่ทิน! แต่เวลานืนไม่มีใครอย่

พวกขมได้ร!ร

ขำพเล้าให้พำในหมู่น้าน พวกฃมุเหล่านึ่โดยมากพูด

เสุป็๑๑

วนฅ่อมาที่เชิงเขาพวกเราได้พบพวกลอหมู่หนึ่ง ซึ่งนายโคลดอง ส่งมาจากเมืองสายสำหร’บใช้และนำทาง กลบไปย’งเชียงของ

เพราะพวกก่อนนนถึงกำหนด

เย็นรุ่งขนได้มาพกที่หม่บๆนลอแห่งหนึ่ง 1แจุก

หนังสือให้สงฆ์และสามเณร มือยู่คนหนึ่งไม่ฅองการหนังสือ แต่ตองการ

‘วิชา’ อีกกนหนึ่งบอกว่านี่แหละเบ็่นหมู่นัานพวกลํ้อ แต่นัาพเจณห็นว สำเนียงที่พูดไม่ใช่ลอหรือลาวท^3สองอย่าง เบ็'นสำเนียงเมืองสายต่างหาก เพราะสำเนียงเบ็'นลาวเรืออยู่

แต่นัอยกำสำนวนส่วนมากเบึนของลํ้อ

ท*งขนบธรรมเนียมและการแต่งกายก็บอกอยู่แลำ

เวลาบ่ายขำพเจำได้

ไปที่ว'ดแห่งหนึ่งในตำบลน^ฝ, เจำอธิการได้ให้หนังสือใบลานแก่ขำพ

ผกหนึ่ง หนังสือใบลานนี่คงจะได้มาจากสิบสองนันนาเบนแน่ เมื่ ทางต่อมาในว’นรุ่งขั้นก็ถึงเมืองสายมีบำนขำราชการฝร'งเศส นายโคลดอง อย่ในที่น*นได้ร’บ่รองขำพเจำอย่างดี เวลานี่เผอิญฝนตกหนัก ได้เดินทางไปถึงบำนนัอนอย

และ ให้ร'บ่ปร ะทานอาหารเย็นดำย

ขำพเจำพ'กแรมคืนที่บำนน*นสองคืน

ต่อมา

และไปถึงหมู่บำนขมกริสเตียน และมา

ตามถนนอีกสี่ช่วโมง ถึงหมู่บำนกะตำสรามอ'นเบนหมู่บำนใหญ่ที่สุดของ พวกขมที่ถือศาสนาคริสต์ ชนโดยมากในหมู่บำนนนแม้เบนขมุก็พูดภาษา

ลาวได้ คนในหมู่น*นยินดีมากเมื่อทราบว่าขำพเช่ามาถึง ท*งใน ทีใกล้เคียงก็พากนมาบาชาพเวิาาา'7ยิมภา^^3ง^^®ง'■'■''ง^^''งม'''^'าวิ

'มา

เอาไข่ไก'และขำวมาให้เบ็่นอิน่มาศ ถาแม้ได้ตำสถานมิสช่นรีในตำบลนี คงจะช*กนำให้พวกขมและวกลาวกลบมารีฟิต์ม’ง'^ต์ศีศมาศ เมื่อขำพเจำมาถึงได้ใบม่ ฯ นนก็มืหลายค'แทีตำใวิมาเขารีต

แต่พวกนี

1๑}๑!ตุ)

ชอบคีมสุรากินมาก ในเวลาเย็นวํนแรกถึง

ขำพเฑ้ซึงน'ดประช

ประกาศส'งสอนเพื่อให้ชนชาวนนละทั้งความข่าต่าง^ เช่นก การเสพสุรา

และการมีเมียฅํ้งสามคนเหล่านเบี่นฅน

แลวช่าพเ

เดินทางต่อไปย*งหมู่บกินอีกแห่งหนึ่ง มีคนมาประชมที่ศาลามาก พญาซึงเบนหำหนกิก*บภรรยาสองคนก็มาประชุมควย

ฃกิพเจกิซึงได้

ประกาศส'งสอนให้ละความชั่วต่าง ^ มีการกินเหลกิเบนตน เมื่อพวกเรากล'บเขกิมาในเมืองนน ลอ อย่ถ

๘!

I

เคพกทบานถนเบนหมูบาน

'^8^

^

2^

^

ทำการไปรษณีย์โทรเลขไปทางทิศคะชั่นฅก รุ่งขํ้นฅ

'ดิที่

นายโกลดองได้เชิญขกิพเจกิไปร*บประทานอาหารเย็น ลาท่านผ้นึ่เดินทางต่อไป มีบกินเรือนประมาณ ๘0 หลำ ที่ถือคริสต์ศาสนาชื่อบกินเพื่น

แลำขกิพเจกิได

แลำมาหยุดพำที่บกินบ่อ

เบ็่นหม

แลำเดินทางต่อไปถึงหมู่บกินพวกชม หยดพำแรมคืน ณ ที่นึ่

รุ่งขนเดินทาง

ต่อไปยำบกินหำยงน ระยะทางราวหกข'วโมง หำหนกิหมู่บกินนใาเรียก

ว่าราชา เบนขมุมีใจกอกวกิงขวางได้ร'บรองพวกเราเบี่นอย่างดี ขมูผุ้น

เคยไปถึงเมืองมละแหม่ง เมืองมอกใหม่ในพม่า เชียงใหม่และพ เขาเกยอย่ที่ลำปางแปดบ่ พูดภาษาไทยชัดเจน

ก่อนพวกเราเดินทางกล*บ่นน ชาวบกินหำยงูนที่เบ่นกริสเตียน ฝากจดหมายมาถึงพวกพองของเขาที่เบ่นญวน ไม้ไผ่

จดหมายนนเบ่นท่อน

มีรอยหยำที่ขกิง ๆ เบ่นความหมายดำนึ่

รอยหยำใหญ่หม

ความว่า ในบ่หนกิให้ส่งกนที่ร้ศาสนาคริสต์อย่างดีไปสํงสอนพ

พวกขมุอื่นๆ รอยหยำเล็ก ๒ หยำซึ่งอยู่ขกิงเดียวก*บ่รอยหยำใหญ่นน

153๑๓

หมายความว่า

จงกลับมาในเคือนที' ๒ ขธงลาว

เพื่อจะไค้มีเวล

สํ่งสอนพอ รอยหยก ๖ หยค้า ซึ่งอย่ข็างฅรงขค้ม หมายความว่า มีหมู่

บาน ๒ หมู่ซึงเต็มใจจะเข็ารีฅ รอยหยค้าอีกรอยหนึ่งซึ่งอย่โดยลำพ”ง หมายความว่า หมู่บค้นที่ถือผีหมู่หนึ่งเต็มใจจะเฃำรึตควย เมื่อพวกเราเดินทางกลับนน มีพวกขมและญวนที่เบ็่นคริสเตียน

คามส่งพวกเราเบนอนมาก ซึ่งจะเวนความขอบใจพวกเหล่านนเสียมิไค้ การเดินทางไปยค้หม่บค้นของพวกเหล่านึ่

สีนเวลาถึง ๔ เด

ครึ่ง เริ'มฅนแค่เชียงราย มาสุคลงที่เชียงใหม่

ภรรยาและบฅรขค

ก็ไค้มาคอยอย่พรค้ามหนค้ ณ ที่นนแลัว ส่วนจดหมายโดยวิธีหยค้าไม้ไผ่นนหาไค้ร”บคอบไม่

เพราะเมื่อ

รุ่งบี่ขนคณะมิสชนรีได้ส่งหมอคมปเบลลลับนายม”คลัยให้ใปย์ งเมื ในแควนลาวของฝร”งเศสอีก

แค่เบ็่นโชครค้ยที่เขค้ ไปไม่ได้

เพราะ

เจค้พนค้างานประจำทองที่บอกว่า ทางราชการผ่ายปกครองของฝร”งเศส ‘หค้มคณะมิสชันรีเขค้ไปเยยมเยียนหรือสอนศาสนาแก'พวกเหล่านน’ ซึ่ง หมายความว่าฝรงเศสไค้บิ'ดหนทางแลัว ของขมหลายพ”นคน

อย่างไรก็คื พวกเราย”งกิดอยู่เสมอว่ามิว”นใดก็ว”น

หนึ่งเมื่อมหาสงครามได้สํ้นสุคลงแลัว เบ็'นแน่.

เบ็่นหนทางแห่งความหว”ง

หนทางนนคงวิะเบี่คอีกคร^งห

เ] 1 6)^

ไทยญวน บรรตาชนชาฅิไทยสาขาต่างท^งหมด และค้นเคยมาแลวน*น

เท่าทิ่ขาพเจำไค้สม

ชนชาฅิไทยผืายเหนือในประเทศไทยเบนพวก

ที่ข*าพเจำอย่ใกล้ชิดมากที่สดและรักใคร่มากทิ่สุด ฉะนไเจึงไม เลยที่ข*าพเจำรักคนที่น่ารักเหล่านืมากมาย และท่าการส”งสอนเขาเบ็'นเวลานานฅง ๓๐ บี่

เพราะข*าพเจำไค

ระหว่างนืแม้ข*าพเจำ

ไปจากเขาบ*างตํ้งหลายเดือน ก็ไปเพียงชไกร*ง์คราว แต่เมี่อกลไ]มาก็ พบปะเขาด*วยความชื่นบานและรู้สึกเบนกไแอง

ถี่นของชนชาติไทย

ผายเหนือในประเทศไทยนี่แหละ คือบไนของฃ็าพเจไละ บไนที่มีจิตใจ ของขไพเจไผงอยู่ดำย ใหม่

เหตุฉะนนเมี่อขไพเจไจะจากถี่นนี่ไปอยู

คือที่เชียงรุ้งอ”น่เบ็'นดินแดนของชนชาติลอโดยควา

จึงร้สึกเหมือนมีอะไรมากระชากสายใจของขไพเจำให้ขาดออกจากก”น ขไพเจไขอกล่าวอย่างจริงใจอีกศร*งหนึ่งว่า ของประเทศไทยแลำ

นอกจากคนไทยในส่ว

โดยเฉพาะในส่วนเหนือนี่เบ็'นผู้ที่ค้นเคยกไ

พวกเราและเบ็๋นยอดรักของพวกเราตลอดจนมิตรสหายและผู้ร่วมงาน อื่น ‘ตุ ดำย

ถไท่านผู้เคยปฏิบตงานดำยภกดืมานานในระหว่างพวกนี

จะยอมรไ]เรียกพวกนี่ว่า ญวน ไม่เรียกว่า ลาว แลำ แก่ขไพเจไมาก

แต่ถไท่านยำไม่ยอมรับเรียกตามนน

แนะนำชื่อใหม่!ห้

จะเบนที่น่าด

ขไพเจไก็จะขอ

ชื่อเก่าเรื่องเก่าของลาวนา].ไค้ล่วงพไเมานานนม

เธุอ๑๕!

เพราะคำว่าลาวทีนำมาใช้เรียกค14ภาคเหนือในประเทกเทยนํ้นเบ็่ หลงผิคทงเพ ผิคทช้3การเรียกและผิดท*งสำเนียง แม้ว่าเทยหรือชาวยโรป หรืออเมริกนบางกนวะเกยเรียกผิดอย่างน*นมาช"วก”ปง์]ช้ๅกืลม์)แล‘ๅก็คาม แฅ่พวกของ เขา เองไม่เกยแม้แต่เอ่ยถึงชื่อน*นเลย เมื่อเร็ว"I นืร"^บาล

ไทยก็ไค้สำแดงกวามปรารถนาคุวอาณ้ตให้เรียกกนในดินแดนน*นว่

ไทย ฉะนนเพีอสำนองประศาสโนบายและการเปลี่ยนแปลงของร’ฐบาล นามของพวกเราที่เคยใช้ว่า คณะม้สช’นรีประจำพวกลาว เสียใหม่เบ็'น คณะมิสชันรีแห่งไทยพาย’พ

จึงไค้เป

และคำว่าพวกลาวเหนือน

ก็ให้น’บว่าสาบสญไป ในบวจุบ'นนืดินแดนน*นก็ได้นามว่าพาย’พอยู่แ คำว่า ญวน หาใช่ชื่อใหม่ไม่

เบ็๋นชื่อที่ชาวชนในถี่นใกล

โดยรอบเรียกต*ง์แต่คึกดำบรรพ์มาแลว กล่าวว่า เมื่อชนชาดิไทยอพยพ ลงมาจากประเทศจีนในกร*งแรกแต่ศตวรรษที่ ๑

แห่งพุทธกาลนนชน

ชาติอทียลาวไค้มาดเงแควนขนทางตะว’นออกแห่งแม่นาสาลวีนในทเองที่ อ’นมีพวกญวนหรือกะเหรี่ยงต*งภูมิลำเนาอยู่ก่อนแลำ

แกวนญวนหรือ

กะเหรี่ยงนมีอาณาเขตกวำงขวางแต่แม่นาสาลวีนจนถึงแม่นาโขงและน่ จะเลยไปทางใต้ถึงแดนเขมร

กล่าวกเน่ว่า ถึนนเบนที่บริบูรณ์มาก

เมื่อชนชาติอำยลาวไค้มาสวามิภ'กดต่อเจำผู้ปกครองแควนญวนหรือ กะเหรี่ยงแลวก็ได้รบอนุญาตให้ต*งภูมิลำเนาอยู่ไค้ กล่าวนน

และก่อนศตวร

ชนชาติอำยลาวก็ไค้ต*งเมืองใหญ่ขํ้นหลายเมืองในทำเงที่ขอ

ญวนหรือกะเหรี่ยงน เมืองใหญ่ ฯ คีอเมืองเล็ม เชียงรุ้ง เชีย เชียงแสนซึ่งเ3บนเมืองเก่าที่สดเมืองหนึงในประเทศไทย

เสุ)๑ไว

ฅามฅำนานของแกวนญวนหรือกะเหรี่ยงซึงขิาพเฃ์าได้อ่านพ

กล่าวว่า ราวฅนพุทธกาลชนชาติอ่ๅยลาวซึ่งอย่ในเมืองใหญ่นอ ได้ส้รบกบพวกกะเหรี่ยงจุนสล”ด้ออกจุากอำนาชุได้

และได้เบ็

และฅงแฅ่นไเมาก็เลยถือชื่อญวนและกะเหรี่ยงในแดนน”น กล่าวว่า

นายฮลเล

‘พม่าก็ย้ง์คงเรียก ตินแคนตะว'นอยิกแห่งแม่นาสาลว

ญวน และพวกทิ่มืภมิลำเนาอยู่ในแควนญวนนั้ว่าญวนชา (หรือไ เวลาได้ล่วงมาต"ง ๒,๒๐0 บี่แลำ และทกว”นนํ้ก็ไม่ปรากฏว่าเบ็๋นเมือง ของชนชาติอื่นนอกจุากไทย

และกำว่าญวนก็ย”งกงใช้อยู่ในอื่

ซึ่งถึงแม้ในสม”ยนํ้จะหมายเฉพาะแต่ชนผายเหนือในประเทศไทย

ค”มภีร์พุทธศาสนาหรือความเชื่อถือซึ่งมาจุากอื่นเหล่านํ้เองก ฐานมีปรากฏอยู่ด”งที่เราได้พบปะในแกวนชานของพม่า

ในแกวนลา

ของฝร”งเศส และในแควไเลอ และไทยเหนือในยนนาน ว่าก”มภีร์ญวน

ที่ใช้อยู่เหล่านนเบ็เนติวอ่กษรเชียงใหม่ อีกประการหนึ่งกนเชี นามว่า ญวน เหมือนก”น นาม

เชียงใหม่ ตนเติมน่าจุะมาจากภาษากะเหรี่ยง ค”งที่มีกล่า

ไว้ในตำนานว่า ตชีงใหม่ เบนชื่อเมืองของกะเหรี่ยงกร*งโบราณ

เมื

หลวงของ ‘อาณาจ”กรเชียงใหม่’ เลื่อนไปต*งอยู่หลายแห่งในสมโ)ต่

เช่นที่เชียงราย เชียงแสน ลำพูน ลำปาง เชียงใหม่ และท

นายยี”ลเลตกล่าวว่า ‘เมื่อเจาเชียงแสนองค์สุดทโยทิวงคตแลวเ ได้ปกครองแกวนญวนชาน

เพราะใน พ.ศ. ๏ ๒๕0 นนโอรสของเจุโ

เชียงตุงได้ทำสงครามมืชโได้อาณาเขดดอน!.หนือของเขมรครึ่งห

เชิ)๑๓)

ไค้ให้พวกชาน (หรือไทย) ไปฅํ้งอยู่ ไปทางใต้อยู่กไ]ไทยในประเทศไทย

เท่ากไ]ขไ]ไล่ชนพํ้นเมืองให

นไ]ว่าเบ็่นญวนชานสายแรกที่ไค้

อพยพลงไป ถึงบริเวณอ่าวไทย’ แฅ่นนมา ท’วบริเวณนท^งหมดจึงไค้กลายเบ็'นยุทธภูมิอนไพศาล ซึ่งมีแควนและอาณาวิกรต่าง ‘ๆ มาช่วงชิงกนเบี่นสงครามใหญ่

ไทย

เชียงใหม่ เขมร เวียงวิ’นทน์ วิน พม่า และมอญ ต่างก็ไค้ส้รบก และผล’ดก’นแพ้ชนะเรื่อยไป ครอบครำเอาไปเบ็่นเชลย

ผายใดมีช’ยก็เขไยํ่ายีเมืองและกวาดตอน ทำให้ทองทื่อ’นกวไงใหญ่ปราศวิากผ้กน

กลายเบนถึนส’ตว์รไยต่าง‘ภู เช่น เสือ ชไง กวาง แรด และส’ฅว์รไยอื่น‘ภู ในระหว่างที่ชาติต่าง ‘ภู ทำสงครามก’นอยู่น ‘อาณาวิกรเชียงใหม่’ มีส่วนเกี่ยวของดำยเสมอ วินเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๗ จึงได้มาอยู่ก’บกรงไทย นายยีลเลฅกล่าวว่า

เมื่อได้รบราฆ่าพนก’นนานต"งสองพ’นบี

แลำถึง

พ.ศ. ๒๔ ๐ ๑ ความสงบราบคาบจึงได้เกิดขนครอบกลมดินแดนอินโควิน ภาคตะว่นตกของประเทศญวน

เชียงแสนซึ่งคซึ่งหนึ่งเคยเบีนเมืองงามนนได้ฅ*งขนในสมไอาณา กะเหรี่ยง

และมีประว'ฅมาพิลึกกึกกือเหมือนก’น

วิดหมายเหตุโบราณ

กล่าวว่า เมื่อกซึ่งวินรบชนะได้ยนนานตอนตะ ว'นฅกเฉียงใต้นน อ เขตแห่งแกวนแสน ได้แผ่ออกแต่ทะเลสาบยูนนานลงไปทางใต้

และ

ทางฅะว่นออกกึงนานนิงบางทีวิะรวมทงเมืองแสนนิพ้าหรือเชียงร้ง แล

แสนหวีซึ่งบ’คนึ่อย'ในพม่าและเชียงแสนซึ่งเบ็๋นเมืองขนของพ พ.ศ. ๒๐๖๕ ถึง ๒๑๕๘

ระหว่างนึ่พม่าได้กคขี่พวกไทยญวน่อย่าง

1คุ3๑?:^

และใช้ให้ทำการก่อสราง เบ็๋นก่นว่า วิหารแสะสถปก่าง •'•^ ภายหลงพวกไทยญวนเหลือที่จุะทนทๅนจุงญ็'นก!]ฏิขน

จนก

และขํบไล่

ออกไปเสียไค้ ก่อมาถึง พ.ศ. ๒๓๔๗ พวกไทยแม่บี่งได้ยก ทำลายเมืองเสีย

เมืองเชียงแสนนจึงไค้ห้างมา

แก่สถปวิหารแ &

^

พุทธรปยงคีอยู่ ซึงแสดงให้เห็นว่าแก่ก่อนนๆา ผ้กนในเมืองนเคร่งคห้ ในศาสนามาก

กล่าวก'นว่า ในเมืองนไเว'ดมือย่ภายในกำแพงเมืองถึง ๕๓ ว และสถปใหญ่ที่ย'งดีอย่กระท"งบ'ด้นกว่า ๖๐ องค์ เบนอ'นมาก บางองค์หล่อก่วยทองส'มฤทธอย่างงดงาม

พระพุทธรูปก

ห้าพเห้าไค้ไ

คูห้คห้างแห่งหนึ่ง และได้เห็นพระพทธรปทองส'มฤทธอย่างว

บจจุบ'นนึ่คงไม่ถึงเบ็่นแน่ และเสาอิฐถือปนต่าง พุ มากมายก่อห อย่างวิเศษเช่นเคียวก'น

ห้าพเห้าร้สึกพิศวงใน'ผี่มือการช่างเบน

ที่ทำให้โบราณว'ตณหล่านถาวรคงทนอย่จนทุกห้นนึ่ได้ ท!งนึ่ ว่าศร"3นนผ้คนคงม่งก'ง และมืช่าง’ผมือเลิศเบนอ'นมาก ตำเมืองนไเฅํ้งอย่ในทำเลงดงาม ตรงนนกห้างราวไมล์หนึ่ง

คือ อย่บนผืงแม่น

มืกำแพงเมืองยำม'นกงแข็งแรง อยู่ภ

กำแพงเมืองเบ็นเนึ่อที่กวำงซึ่งบ'ด้นึ่กลายเบ็่นบาทึบไปหมดแ

กห้างตลอดออกไปท"งสองฟากแม่นา และเบนที่ดินอ”นอดมแลจาก

เบี่นเนินเขา ผึงนาสูงราว ๒0 ฟุต บอมและกำแพงห้านตะห้นออกนน ถกนาเซาะพำไปหมดแห้ว กำแพงชํ้นนอกมืฐานกห้าง ๗๐ ฟุต บนกห้าง ส๒ ฟุตและสูง 0๔ ฟุต

ตอน

กำแพงชนในมีฐานกห้าง ๗๕

ไดุปิ๑ซี่

สง ๏๘ ฟุฅ ฅธนกลางตํ้งขั้นเบ็'นฅวกำแพงกว่^าง ๒ ฟุตกึ่ง เนินลาคเขิาไปในเมือง ๓0 ฟุต

และเบ็

และลาดออกมานอกเมือง ๔๓ ฟุต

กำแพงทํ้งสองดิานน*’แห่างกนถึง ๙๗ ฟุต แต่ทางด'านใต้ชองเมืองไ กำแพง

เพี่งไค้จ์ต่การสรางขั้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๔0

เวียงจนทน์ที่ไค้ยกพลมาลอมเมืองไว้ สถป

เพื่อบองกนพวก

เกือบครึ่งเมืองเต็มไปดวยวิหาร

และพระพุทธรปทองส”มฤทธื้อโเมีขนาดสูงแต่ ๒ ถึง ๗ ฟุต

เกลื่อนกลาดอย่าา”วไปในบริเวณปร”กห”กพเงืน*น ต่อมาอีก ๗๗บี) พระเจ'าแผ่นดินไทยได้ทรงประกาศให้พวกญวน ชงได้หนีกระจ”ดกระจายไปนไเ ให้มาต*งภมิลำเนารวบรวมก”นใหม่ แต่ 0

!

าฅ*งเมืองอย่ใต้ลงไปจากเมืองเดิม คือ ที่ริมนาแม่จ”น เมืองเชียงแสนเก่า

จึงไค้รำงไป

นอกจากนเมืองของไทยญวน

เช่น เชียงใหม่ ลำปาง

ลำพน และเชียงราย ก็มีพลเมืองอยู่มากท*งนหั้เ เชียงรายเบนจำหว”คอย่ สดพรมแดนผายเหนือในประเทศไทย เบ็่นย่านกลางการคำที่มาจากจีน พม่า กะเหรี่ยง เงยว ไทย่ ตำเกี๋ย และญวน.

/4

บทท ๑๗ สรป ในสรุปน

ไค้แปลมาจากภาษาฝรํงเศสเบนบทนำในหน*งสีอ

ไวยากรณ์ไทยโท้ของนายสิลเว

ซึ่งบรรยายประว"ฅของไทยโดยส*งเชป

และชัดเจนอย่างดีเลิศ ปรากฏในเชิงอรรถด*งนํ้ว่า นิ่คือ ‘ประว อ*นไค้รวบรวมแปลมาจากพระราชพงศาวดารไทย พงศาวดารไทยเหนือ

เชียงราย

พงศาวดารก'มพูชา

และพงศาวดารแห่งแดนลาวด่าง‘

ในลุ่มนาเจ‘าพระยา’ “ประว*ตของไทยนใแก่าแก่มาก

จดหมายเหตุจีนกล่าวว่า

เมื

ประมาณ ๓0๗ บี่ก่อนพุทธศ’กราช ภูมิลำเนาเดิมของไทยอยู่ตอนกลาง ลุ่มแม่นาเหลือง

ซึ่งเบนทองที่มณฑลสูเปและโชินานในบ*คนื

ใน

เดียวกนนนจีนก็ไค้มาต"งภูมิลำเนาอยู่ตามที่ราบสงในลุ่มแม่น คอนบน คือมณฑลก*งซในบ’ดนั้ ซึ่งเห็นจะเบ็นเพราะถกพวกตาดรุกราน จึงไค้ร่นลงมาและปะทะก*บไทยเชัา

ไทยมีจำนวนน^อยและผี่มืออ่อน

กว่าจีน จำชัองร่นลงมาใต้หลายทิศหลายทาง (ประมาณ๒๐๐0บล่วงมา แลำ ! ว.ค.ค.)

พวกไทยส่วนมากร่นลงมาตามแม่นายางสี เชัาไปต^งอยู่ในยนนา ณ ที่นนไค้ต่อสู้ก*บพวกพนเมืองเดิม

และไค้ฅ"งอาณาจักรน่านเชัาใน

ทองที่โกส’มพีและมืเมืองฅาลิฟูเบ็'นเมืองหลวง

ต่อมาเมืองหล

]®ป็1®3๑ เลือนไปตํ้งที่ปูเออฟู

อาณาจกรนกรอบทองที่มณฑลยูนนานบจจุบน

พม่าเหนือและภาคเหนือของสิบสองพํนนา

ประวฅของไทยในสมโ)ที่กล่าวนืรุ่งเรืองที่สุค ผู้คนก็แสดงลก เบ็นนกรบกล้าหาญที่สุคและมีการปกครองเบ็๋นบึกแผ่น ปกครองดินแคนตลอดถึงภาคฅะวนออกของธิเบฅ

ท^งมีอำนาจ

และบางสมโ)ก็ได้

ผูกไมฅรีล้บจีน ในสมโ)สามก๊ก ไทยก็เขำมีส่วนชิงชโ)ดวย เขำกบจีน

บางคราวก็

บางคราวก็เขำก"บฅาดผู้รุกราน ประมาณเวลาที่ไทยรุ่ง

และมีอำนาจอยู่อย่างนื ๔ ศตวรรษ แต่อย่างไรก็ดี เมื่อจีนรุกรานหน'กขั้น VI 2^

ไทยก็จำตองอพยพลงมา

๔ ๘!

I

และกวาจะ เดตอสูและชนะอานาจขอมกเบนเวลาตงหลายศตวรรษ แลว รึงได้ต*ง์อาณาจ'กรใหม่ ณ เชียงแสนบนผงแม่นาโขง แต่อาณาจ'กรใหม่นื มีชึ่อต่าง ‘ๆ ก'นมาและมีประวฅรุ่งเรืองเหมือนอาณาจ'กรเดิม ได้ยำยจากเชียงแสนไปทางตะวนตกเฉียงใต้ แม่นาสาลวีน มีเผ่ากาม

เบึนเมืองหลวง

ต่อนน

และฅํ้งอาณาจ'กรขนที

แต่อาณาจ'กรใหม่นืไม่ย'งยืน

เลย เพราะมีพวกขอมยกมารุกรานหน'ก แต่ก็ถูกข'บไป แล้วเลยมาสรำง เมืองเชียงใหม่เบึนเมืองหลวงใหม่ข้นที่แม่นาบึง การอพยพลงมาทางใต้หาได้หยุดย*งไม่ ฅามลุ่มแม่นาเจำพระยาและต*^5อาณาจโารใหม่

ไทยยำคงอพยพลงมา มีอยุธยาเบึนราชธานี

เขำใจว่ากงเบนเมืองภกาม ทามพระอธบายของสมเด็จพระIจำบรมวงศ์เธอ กรมพระยา คำรงราชานภาพว่า

เมื่อพม่าไค้เสยเมืองภุกามแก่พวกมงกลใน พ.ศ. ๑๘๒๗

ท่อมาไม่ช*า ไทยใหญ่ ก็ใค้กรองภุกาม

แลๅ

เสุปี]สุป็เฐป็

ประมาณ พ.ศ. ๑๘๕๘ มาตงที่บางกอก

ในร”ชกาลพระเจ็าอ่ทองไค้เลือนเมืองหลวง

ซึ่งเมืองหลวงหล”งที่สดแห่งอาณาจกรไทย

ทยอพยพลงมาทาง ใฅ้และแผ่ออกไปอย่างรวดเร็ว ไค้แยกย่าย ออกเบนหลายพวกด้วยก”•แ

เมื่อชนะผ้ชนะเดิมหรือพวกพั้นถินแลว

ก็เขาอยู่แทนที่และด*งเมืองเบนบกแผ่น และในด้งเกี๋ย

ไทยบางพวก เช่น ในกว

ก็ยอมอย่ในปกครองของจีนและญวน

เมื่อไค้สมาค

ปะปนก”บพวกใดแลวก็ย่อมเบนธรรมดาอยู่เองที่กิริยาการภาษาท*งเขีย และพคค่อย

กลายไปเบ็่นอย่างพวกน*นยึงขนทุกที

ไทยไต้เสยอิสรภาพในประเทศจนเบนเวลากว่า ๘00 บมาแล็ว แต่กระนนก็หาไต้ถูกกลนให้กลายเบ นจนไปไม่ ภาษาของไทยก็ย“ง

คงดำรงล”กษณะเดิมอยู่เบนคู่เคยงแข่งภาษาจนในพวกไทยทงหลาย น"น

น”บว่าไทยภาคเหนือย”งเบนไทยแท้กว่าเพอน ท"งโดยเชอสาย

และภาษา

พวกพม่องไทยตะว”นฅกซงพม่าเรยกว่า

ชาน

หรอ

ฉาน น"น ก็ไต้ไปกลมกลนก"บพม่าท"งเลอดเนอและด้อยดำเสยมาก แด้ว ในทำนองเดิยวก"น พวกพ*องทเบนไทยในประเทศไทยก็ย่อม ไต้มาซงเลอดเนอและด้อยคำจาก ทเด้ามาพ"กพิงในดินแดน * ครงนก ง จะกลาคเกลื่อ’^

มอญ

เขมร

มลายู และจน

แต่ว่าไทยในจนใต้ ในพม่าตะว"นอ

ฅามพระอธิบายของสมเก็จพระเจ็าบรม วงศ์เธอ กรมพระยา

คำรง ราชานภาขว่า พ่อขนศว่อินทราทิทย์ ฅํ้งๆาณาฆัารสโขท้ย เมื่อราว พ.ก. ซิ๗ ฅ่อ จากเวลานไเประมาณ ®0๐ บื่เศษ ธานีของอาณาจกรไท^ เ-มืก ธนบรีน^น เมอ พ•ศ* ๒5๐-

พระเจาอู่ทองจึงไค้มาฅงกรงศรอยธยาเบนราคู ®๘®'0

ส่วนทลงมาฅงราชธานีทีบางกอก กึอกรง

เดุวเธุป็ส) ในภาคเหนอประเทศไทย และในแครนลาวของฝร"งเศสน่น มได้ สัมพันธ์ก่บชนชาติใหญ่หรอนอำนาจแต่อย่างใด จงเแร้ร่าเลอดเนอ และถอยอำจะกลับกลายไปบาง พันเท่าน'น

ก็เบนแต่ส่วนน*อยเฉพาะพนถิน

ไทยพวกที่กล่าวมานี

ติดต่อเก็ยวข*องก'บพวกชาวเขา

ทไม'มหนงสอ ซงโดยมากเบนกระเส็นกระสายของชาติมอญ-เขมร ทอพยพกันมายดยาวส่ถินใต้

และก็มิได้แต่งงานกับพวกชาวเขาท

ไม่มหพังส่อเหล่านนจนเบนจำนวนมากมายใหญ่โตเลย

พระ

ผู้เบ่นเจ*าคงปรารถนาจะร“กบาชาติไทยกันใหญ่หลวงนีให้ดำรงคงอย ตลอดมากร่าสล*านบ่แล*ว

ฉะพัน ไทยซงมจำนวนกัง ๑เต) ถ'งึ เธุออ

ลานคนจิงได้พูดภาษาเดยวกัน แม้จะต่างกันบ*างก็เพราะต่างถ แต่ร่าในทสุดก็สามารถเข*าใจกันและกันได้ อนีง เมอพจารณาดูตามประวติของไทย บจจุบ'นซงรวมท^งไทยตะกันตก

ก็จะเห็นร่า ไทย

ไทยในภาคใต้ประเทศไทยและ

ไทยทส่บเชอสายจากชาติลาวเดิมกัวย เหล่านี หาได้เบ่นคนพนถิน ซงอยู่ในเขตร*อนของโลกเช่นนไม่

แต่ตรงกันข*าม

ไทยเหล่าน

เคยอยู่และเคยมิอำนาจใน ‘แดนอำนาจ’ คอ เขตอบอุ่นเหนีอนน แต่ประมาณ ๑๖๕ฟ่ บ ก่อน พ.ศ. ถง พ.ศ. ๑๗๙๗ กร่า ๓,๔00 บ่มาแสัว

กันเบ่นเวลา

และพับร่านานกร่าเวลาที่เข*ามาอยู่

ร*อนนีเส่ยอก

ไทยเคยมิการปกครองเบ่นบ่กแผ่นแน่นหนามาแล’ว

กร่า ๔,000 บ่

ซงเบ่นสม'ยเดยวก'นกับที่บรรพบรษของเรากังน่ง

หพังสัตว์และใช้มิดทำกัวยหินเหล็กไฟอยู่

15ปิ]ดุ0(5!

เท่าทิ่ทราบอย่แลำในบจจบินว่า ไทย มีจำนวนมากหลาย มีภูมิลำเนาแผ่ออกไปกว่า ๔ แสนฅารางไมล์

แล

ประวฅของไทยแต่กาล

คึกคำบรรพ์มาย่อมแสดงให้เห็นว่า ไทยเบ็๋นชาติแข็งแรงเพียงไรแต คร^งยำอย่ใน ‘แดนอำนาจ’ นน ทีน่าพอใจมาก

จำนวนคนเกิดมีเพีมข้นเรื่อย ๆ เบน

อนึ่ง ยำแสดงให้เห็นอีกดำยว่า ไทย แต่เติมมาก็

ติดต่ออย่างใกล้ชิด และต่องผจญกไ]จีนฅํ้ง ๔0๐ ลำนคนทางเหนื และญวนฅํ้ง ๒0 ลำนคนทางฅะวนออก

และพม่าอีกฅํ้ง ๑0

ซึ่งเบ็นสี่งมหศจรรย์มากที'ไทยได้ดกอย่ ในที'ลอมเช่นนึ่แลำ ดำรงชาติอยู่ได้

นำศึกษาประวฅศาสตร์ทำหลายน่าจะเพ่งเล็งพ

ถึงความสำคโบชอนึ่ให้มาก

สี่งใดที่สามารถ ทำ ให้ไทยเปลี่

สี่งนนก็ย่อมสามารถทำชาวทวีปอาเชียคำยกนเกือบ ๕0๐ ลำน เปลี่ยนแปลงไปได้เหมือนก”น ฅลอคแดนดะวนออกเฉียงใต้แห่งทวีปอาเชีย ออกไปจนเหลือจะคณนา

ไทยได้แผ่ไพศาล

ตามประวฅก็ว่า ไทยเบนเชอสายพวกมงคล

ซึ่งนไ]ว่ามีส่วนส”มพ”นธ์ใกล้ชิดกโบจีนมาก แต่ว่าเมื่อได้พิจาร จดหมายเหตุจีน จดหมายเหตุพม่า และจดหมายเหฅไทยแลำ ก็จะเห็น ว่า ไทยเบ็นชาติที'เก่าแก'กว่าเฮบรู หรือจีนเองเสียอีก

จะกล่าวไปไ

สลาฟ ติวตอน หรือกอล อ”นเบ็'นชาติใหม่ ฯ สองสามว'นเหล่านน อน เมื่อตำดอนนิยายปรมปราอนเบนส่วนย่อยทีงเสีย

หรือจะ ถือ ตา

จีนเกยเรียกไทยว่า ชนพนถิน แลำก็ปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุของจี เองว่า

เมื่อจีนได้อพยพมาในแคนจีน ณ บดนึ่นน

ได้พบไทยอ

แลว ในดินแคนที่เบนภาคตะวนฅกเฉียงใต้แห่งมณฑลเสฉวนบคน ซึง เบนเวลาน'บได้กว่า ๔,0๐๐ บี่มาแลว

แค่ในจคหมายเหฅุของรีนนน

เรียกไทยว่า มุงใหญ่ เหตุฉะนจึงอนุมานไต้ว่า ไทยในครํ้งนไเค่ และสำค'ญจริง‘ตุ

มิฉะนไเแลำ จีน ซึ่ง มีนิส'ยไม่ ใคร่ จะ ยอม เล็ก ให้ใคร

ง่าย‘ตุ คงไม่บนทึกในจดหมายเหตุว่า ใหญ่ เบ็่นแน่นอน และน'บแค่ เวลานนมา

ไทยก็ค่อย‘ตุ ขยายฅวออกในพํ้นที่ลุ่มนายาง สี

ประเทศจีนบ'คนและฅลอคดินแดนทางใต้ลงมา เบ็นสาย ‘ตุ

การอพยพของไทยนไเ

ทยอยก'น่ลงมาจากดินแดนทางใต้ของประเทศจีน

เอิบอาบไปท'วดินแคนพม่า

อ'สส'ม

ประเทศไทย

ซึ่ง เบ็่น

และ

ฅลอคจนบางส่วน

ในแดนญวนและเขมร ศร*งที่ขำพเจนดินทางไปฅามแถบลุ่มแม่นา ยาง สี เหนือ สุค ยูนนาน น

ขนไปนน

ไต้ทราบว่ามีชนชาติไทยเบ็'นอ'นมากอยู่ท*งเหนือและใ

ลุ่มแม่นานือีก ซึ่งข'าพเห้าไม่สามารถจะไปเยือนไต้ถึง ชนชาติไทยที่อ

ฅอนเหนือคงมีมากเท่าก”บทางตอนใต้ ข'าพเห้าไต้เดินทางจากยูนนาน

ผ่านเสเม'าไปเชียงรุ้งเข'าไปในพม่า แค่หาไต้ผ่านไกวเจาไม่ แค่อย่างไ

ก็คี นายเอส อาร. คลารก ซึ่งเบนมิสชันรีประจำชาติจีนเมื่อ ๔๐ บก่อ

ไต้กล่าวถึงชนชาติไทยในไกวเจา ซึ่งเรียกก'น่ในพนถึนน*นว่า ทุ หรือ ใ นนค'งนืว่า

ชนพนเมืองพวกนํ้มีจำนวนประมาณ ๒ ลำนคน

อย่ฅอนกลาง ฅอนใต้

และตอนตะวนตกเฉียงใต้ในไกวเจา

เรียกว่าพวกจงเจีย ต"ใอยู่โคยรอบจำหว”ดไกวยาง

โดยมา

บางที

1ดุ!)เตุ)V) ครึงหนึงของกวางซีฅะว*นฅกเฉียงใฅ้ ท”งนไเ

พวกเงียวและพวกพ๎องไทยอื่นพู อีก

ชานของพม่า

หนังสือ 7116 8113115, 701. 1

นจงหวคทาตอน

และตามลำนาชินควิน

นอกจากทีอยู่ในแคว

ย*งกล่าวว่า มีอยู่อีกท

ร่างก้ง ตองอ ปยินมานา

ยงมีเบ่นจำนวนมากใกล้บาโม

น”น

ก็มีคนทีพูดภาษาไทยแทบ

และที่อืนพู

นอกจากนี

และตามลุ่มนาตาบ่งในแกวนโมกองเก่า

และมีพวกไทยขำติรวมอยุ่ควย แต่ว่าไทย

ได้มีสำมะโนครำเบ่นสินคูไปแลำ รวมความว่า มีไทยอย่ในดินแดนแต่เหนือในลุ่มแม่นายางสี

ใต้ในร3มลายู

และแต่ตะว”นออกในญวน

ถึง

ถึงตะว”นตกในอ*สฒั

จำนวนของชนชาติไทยนไเ,ตามจดหมายเหฅุประจำบ่ของอินโดจีน ฝร'งเศสกล่าวว่า ลำนคน

ชนชาติที่พูดภาษาไทยในแกวนลาวของฝร'งเศสมี ๒

นายคลารกประมาณว่าในไกวเจามีจำนวน ๒ ลำนคน

กวางซีซึ่งขำพเจำได้ไปเองมีอย่างนัอย ๒ ลำนคน แกวนชานของพม่ามี ๑ ลำนคน อ'สส”มควยมี ๒ แสน ๕ หมื่นคน

ใน

นายโคเฆรนว่า ใน

และในส่วนอื่นของพม่ารวมท^งใน

ส่วนจำนวนชนชาติไทยไม่มีหนังสือ

ในยนนานนน ขำพเจำไม่ได้พบสถิติทางราชการ ฉะนน จึงตองประมาณ เอาเองตามที'ได้พบมา เบ็'นไทย มาก

กวางนานภาคตะว”นออก

มีพลเมืองสามในหำ

และในภาคตะว*น.ตกเฉียงใต้นนก็มื ไทยมีหนังสือเบ่นจำนวน

กะตามสำมะ!นครวของยูนนานทำหมคมี®๒ลำนกน ในจำนวน

นคงจะมืไทยไม่นอยกว่า ® ลำนกน

ฅามที่นายพ'นตรีคาวีสประมาณว่า

ทยเหนือ [นยนนานมี ๖ แสนกน ก*บทางราชการจีนว่ามีไทยสออีก แสนคน รึงรวมเบน ๑ ล^านกนในยูนนาน นายฟรีแมนได้อ"างกำของ

บาทหลวงคาธอสิกว่า ในเนือที่กว่างใหญ่นืมีพลเมืองท"งหมค ๒ ล็านคน เบ็๋นไทยครึ่งหนึ่ง แฅ่มืชื่อต่างก*นไปตามพํ้นถิน

เมื่อกิคฅามจำนวนที่กล่าวแล"วนึ่ ไทยที่อยู่ในประเท กน

ถารวมท"งที่อยู่ในกวางตุ้งด้วยอีกครึ่งล้านแลำก็เบน

ฅามสถิติของคณะกรรมการมิสช*นรีประจำภาคใต้ในประเทศไทยว่า ใน ประเทศไทยมีจำนวน ๑0 ล้านกน ๒ แสน ๕ หมื่นคน

และล้ารวมไทยในเกาะไหหลำอีก

ท"งสํ้นก็จุะเบ็่นจำนวนไทยในบวิจุบ"นนึ่ ๒๐

ล้านคน

ไทยมหน'งสอ

ไทยประเทศ. ไทยลาว ไทยดำ

©๐,๐๐๐,0๐0

ไทยขาวในอินโดจีน . . . ๑,๕๐๐,๐๐๐

ไทยเขิน ไทยในพม่า. ๑,๐๐๐,๐๐๐ ไทยอาหม ไทยขำติ ฯลๆ.

๒๕๐,๐๐ ๐

ไทยเหนือในยนนาน.

๖๐๐, ๐๐๐

ไทยลอในยนนาน.

๔๐๐, ๐๐๐ ๑๓,๗๕๐, 0 ๐ ๐

ไทยไม่มหนํงสอ .ทยโท้ ไทยนง ไทยคำ ไทยขาวในฅํงเกีย

.

๕๐0,000

ไทยโท้ ไทยนง ไทยชองในกวางซี . . . .

๒,0๐0,๐0๐

ไทยรุง ไทยยฑ้ยฯลๆ ในไกวเจา . . . .

๒,๐๐๐,๐๐๐

ไทยนา ไทยลาย ไทยหลวง ไทยยอย ไทยจีนฯลฯ ในยูนนาน.

๑,๐๐๐,๐๐๐

ไทยในกวางตุ้ง.

๕, ๐๐๐, ๐๐๐

ไทยในไหหลำ.

๒๕๐, ๐ ๐ ๐ ๖,๒๕๐,๐ ๐ ๐

ไทย รวมท"งสน มี

๒๐,๐๐๐,๐๐๐

แม้ว่าไทยจะมีประวฅมาแฅ่คึกคำบรรพ์และแผ่ชาติออกไปอย่าง ไพศาลดำกล่าวแลำก็ฅาม

แต่ยำไม่มีอะไรเบ็่นหล*ก 3านสรุปไค้ว่

ไทยไค้เคยมีอารยธรรมความเจริญกำวหน้าไปไกลกว่าไทยในบจจุ เท่าที่มีอย่เบ็'นแต่เพียงว่า

ไทยเคยเบ็่นชาติที่ยำไม่เจริญ

แต่ก็มีท่าทางจะรุ่งเรืองกำวหน้ามานานแลว ก่อนที่จะมาอยู่ในปร

ไทยเสียอีก คำขอลำเกตของท่านเสอรยอรชสคอฅฅว่า ‘ไทยน้กจะ กำลำฅนเสียเอง’

โดยการแบ่งแยกออกเบ็่นพวกเล็กพวกน้อย แทนที่

จะรวบรวมก”นอยู่เบ่น■อำนาจบ่อศรธงส่วนกลาง พระเจำแผ่นดินทรงอำนาจราชศกดํ่มาแลวหลายพระวงศ์

จริงอยู่



เบ็่นฅนว่า

กร*งอาณาจ”กรไทย มีฅาลิฟูเบี่นราชธานี ในยูนนานฅะว”นฅกอันยืน

ไฅ้กว่า ๖0๐บี่ แลำจึงฅทอยู่ในอำนาจของพวกมงคล เมื่อ พ.ศ. &๗๗ นน

แฅ่ก็มิได้หมายถึงว่าไทยทํ้งหมคได้พลอยเสียอำนาจไปควย

ว่าผื่มือการบนการก่อสรางของไทยจะด'ยิยลงไปบ็างก็คาม

แค่น'ใามิใช่

หลก^านแสคงกวามเสื่อมของไทย ความจริงคือเพราะย*งไม่เจริญเต็มที่ ค่างหาก

ควยเหตุว่าแค่เค็มมาไทยอยู่ในดินแคนของคน

ได้ฅิดค่อเกี่ยวข'องก*บใครอื่นเลย

และไม่ค่อย

เพี่งไค้ย่างกรายออกสู่ท'องทะเลและ

คบค'าก*บประเทศคะว*นตกหรือโลกภายนอกเมื่อสองสามศตวรรษมาน เอง

และช่วเวลา ๕0 บี่

หรือกำหนคให้แน่ลง ๒๕ บี่ที่แลวมานั้

ไทยก็ได้สำแคงให้เห็นแล'วว่า เบนชาติที่สามารถมาก ค'วยความเจริญ ก'าวหน'าอย่างมห*ศจรรย์ คามจคหมายเหตุของจีนนนปรากฏว่า ไทยมีชื่ออย่างนอย ๓ ชื่อ ที่เหลือสืบมาถึงบจจุบ*นคือ ปา ลง และลาว เข'าใจว่าชื่อใดชื่อหนึ่งใน ชื่อท*งสามนึ่คงเบ็๋นชื่อที่เรืยกไทยมาแค่โบราณ

จีนเรียกไทยเบ็นหลา

พวกค'วยก*น เช่น โท้ จง ชอง ฯลฯ และพม่าเรียกว่า ชาน เขียนชาวอ*งกฤษหลายคนก็พลอยเรียกตามควย อาศ*ยเหตุผลประการใดไม่ทราบแน่

ซึ่งน*ก

แฅ่ที่เรียก?ด้งนึ่

ส่วนใหญ่แม้จะไม่ท*งหมดเรียกฅไเ

เองว่า ไทย และบางทีก็เพี่มล'กษณะประจำพวกเข'าข'างท'ายอีกเบนไท ลาย

ไทยย’อย ฯลฯ

ในภาษาไทย ไทย หมายว่าอิสระเสรี

ในภาษาจีนหมายว่าใหญ่

แค่

เดิมที ไทย คงมีความหมาย เพื่อให้

ชนชาติอื่นๆ ใฅ้บ‘งค*บคือไม่ใช่ทาสนใแอง

และเมื่อไทยไค้มามีอำนาจ

123๓๐

ยยู่1นแหลมอินโดจีนแลว

จีงมีความหมายแปรไปว่าเบ็น[หญ่หรือ

อิสระเสรีดจี3กล่าวแลำน\เ ในบจจปนน ไทย จีงมาเบ็่นชือของชาติไป

เบ็๋นโชคดีที่ขปพเฑ้มีโอกาสได้ไปเที่ยวและพบปะ อยู่ในทจี]งที่อไเกวที่งใหเบ่ไพศาล

ที่เรียกว่าโชคดีนน

ฃาพเจีาไปอย่ในที่ใดที่มีคนไทยแลำ น่ารจีไและเมฅฅากรณา

ก็เพราะเ3จ

ฃจีพเฃ์าก็ได้พบแต่ความเอ

ขจีพเจำได้เดินทางแฅ่จํงหว่ดเพชรบุรีขนไป

ทางเหนือถึงเชียงตุง

เขจีไปในยูนนานจนถึงเมืองบ่อ

ซึ่ง

ต่าง‘ตุเรียกว่าไวยวนอย่เยํ้องไปทางฅะวไเฅก ๑๐® องศาแวงตะวนออก

และ ๒๓ องศากึ่งร้งเหนือ ไวยวนเบนคำจีน แต่คนที่อยู่ใน เบนไทยท*งนน

เวนแต่เจจีหนจีที่ผู้ปกครองและพ'อกจีเท่านน เบ็่นจีน

ซึ่งมีจำนวนนอย คร*งหนึ่งขจีพเจจีเดินทางมาฅ*งแต่แคนเงยว มาทางฅะวนออกผ่านแดนไทยไปยำมหาสมุทรปาซิพี่ค

หรือไทยฅะวไเฅก ในทองที่ราบ

ทุกแห่งตลอดภาคใต้แห่งยุนนาน ขจีพเจจีได้พบชนชาติไทยแทบท*งน (ยิงคงมือยู่อีกมาก

ในจำหวดที่ขจีพเจจีไม่ได้ผ่าน)

แม้ตลอดกว

จากตะวนตกไปตะวนออก โดย เหตุ ที่ขจีพ เจจี ได้ไปควย ฅน เองและอ่านพบในหนำลือทาง

ราชการของฝที่งเศสควย จึงอาจกล่าวได้ว่า ตามชนบทแทบทำหมด

ตำเกี๋ยพนปากแม่นึ่าแคงไป เบ็นไทยพวกต่าง‘ตุ และตลอดแกวน ราชการฝร”งเศสเรียกว่าแกวนลาว ทยต*งภมีลำเนาอยู่ท่วไป

แม้ในทองที่ลุ่มแม่'นาคาก็มีชนชา

แต่ตอนที่เบ็'นเขาเบนดอนน*นเบ็๋นข

)31๓!;)

ขมุและพวกเชอสายมอญ-เขมรซึ่งเกยถูกไทยอพยพมาแย่งที่ไป

นอก

จากนีชนที่ฅํ้งภูมิลำเนาอย่ลาเขำไปกลางเกาะไหหลำ ขำพเจ็าทราบว่า เบนชนชาฅิลาว

แต่เมื่อไค้พบพวกนั้สองสามคนก็เห็นว่าคำพูดหลายค

เบนอย่างเคียวก"บไทยในประเทศไทยและในประเทศจีน สอนศาสนาอยุ่ในเกาะไหหลำ

มิสช่นรีที่ฅำ

ไค้เกยส่งบ"ญชีถอยคำของชนในเกาะนน

มาให้ และขำพเจำก็อ่านเขำใจไค้ ไทยอาจแบ่งออกเบนพวกฅามล"กษณะของอ*กขระที่ใช้กนไค้ดำน

๑. ที่ใช้อ*ก์ขร ะขอม และ อ*กขระไทยประเทศ ๒.

ที่ใช้อำขระญวน คือ (ก) ไทยภาคเหนือประเทศไทย

(ข)

ไทยในแกวนลาวฅะว"นออก (ก) ไทยเขินในเชียงตุง (ฆ) ไทยลอใน เชียงตุงฅะว*นออก

ในสิบสองพ*นนาแห่งยูนนาน

แควนลาวของฝร*งเศส

(ง) ไทยเหนือแห่งเมืองบ่อต่อไปทางตะวนตก

ถึงแม่นาสาลวีน

และในบางส่วนแห่ง

อยู่เหนือราว ๒๕ องศาที่สาลวีน

รวมท^งพวกไทย

เมืองเล็มและอื่น ๆ ควย ■ทางตะว*นออกแห่งแม่นาสาลวีน

๓. ที่ใช้อำขระลาวตะวนออก

เช่นในธุรกิจทำไปแต่ก*มภีร์

เกี่ยวำบศาสนาใช้อำขระญวน ๔. ศาสนา

ที่ใช้อำขระไทยเหนือ

ส่วนมากใช้อำขระญวนเฉพาะทาง

และ ใช้อำขระไทยเหนือในธุรกิจทำไปแต่จะใช้ก*นตลอคไปแค่

ไหนทางตะว'นฅกแห่งแม่นาสาลวีนนน ทราบไม่ไค้ ๕.

ที่ใช้อำขระเงยว คลำยก*บลาวตะว”นออกและไทยเหนือ คือ

โดยมากใช้อำขระเงยวในธุรกิจทำไบ่

เฉพาะที่เกี่ยวกำศาสนาแลำ

1ข๓12)

อกขระพม่าเบ็นพน

มีอย่บ^างที่ไม่ส้สำคํญน"กก็ใช้อ”กขระเงํ้ยว

เงียวเหมือนอ”กขระไทยเหนือที่มีฅํวไม่ค่อยจุะครบตามเสียง

อกข

และไม่

เครืองหมายกำหนคให้รู้เสียงสงฅํ่าสีนยาวไค้เลย

๖. ที่ใช้อ”กขระไทยขำฅิ คือ พวกไทยที่อยู่ในพม่าฅอนเหน ๗. ที่ใช้อ”กขระอาหม คือ ไทยที่อยู่ในแควนอ”สส”มของอินเดีย ๘. ที่ใช้อักขระไทยคำ คือ พวกไทยดำ

ไทยขาวในดํงเกี๋

ตามลุ่มนาคำขนไปาเนยูนนาน อักขระไทยคำ อับ อักขระลาวตะอันออก

นื ดูเหมือนจะมีอัวไม่ค่อยตรงอันอับอักขระไทยประเทศ และเสี พ้งเบ็นเสียง อ ผสมควยเบ็๋น อาว

'

ส่วนไทย ไม่มีหน”งสือ เท่าที่ทราบมีด”งนั้ ®. ไทยนา

มีอยู่ตอนเหนือแม่นาคำและแม่นาแดงในยนนาน

ได้ยินว่า จีนเรียกไทยนาเพราะไทยพวกนือักต*ง์บำนเรือนอยู่ชายนา

๒. ไทยลาย จีนเรียกอังนื เพราะพวกผู้หญิงนุ่งผำถุงล

อับไทยญวน ไทยเขิน และไทยลั้อ แต่ว่าสนกว่า ไทยลายอักอยู่รวม ‘ด อันอับไทยนา ๓. ไทยหลวง บางทีอับไทยพวกอื่น ๆ อัวยรวมเรียกว่า ผู้ไทย

ซึ่งชาวฝร”งเศสผ้หนึ่งบอกว่าคำ ผู้ไทย นึ่เบึนชื่อชาติไม่ใช่ชื่อพวก ขำพเอัาพบไทยหลวงเบ็นกร*งแรกในยูนนานตะอันออกและกวางนาน

และ

ร้สึกยินดียิ'งที่แม้ไทยหลวงวิะอยู่ห่าง'ใกลจากไทยอื่'แ 'ดู ก็ยำพคกไเรู้เรื่องไค้

1^๓๓

๔. กนใหญ่ ซึ่งเบึนไทยที่ข็าพเจาได้พบในแคนเคียวกนกบไทย

หลวง ส้งเกฅได้ว่าฅำ ก ในคำว่า กน นนมิได้ออกเสียงเบ็นธนิฅ อนึง

ย*งสํงเกฅได้อีกว่ายี่งเหนือขั้นไป สำเนียงไทยยี่งมีธนิฅ

ใหญ่ก็คือไทยเหมือนก*น แต่ชื่อที่จีนเรียกนน,เมื่อแปลแลวคือ ‘กนใหญ

ข์าพเจ*าแปลกใจมากว่าเหฅุไรจึงเรียกเช่นนน เพราะพวกคนใหญ่ เ ไทยเล็กที่สุดที่ช่าพเจ*าเคยพบมา ๕. ไทยย*อย ขาพเจ*าได้พบบ*างในแถบนี ไทยพวกนมีมากมาย ตามต*นแควแยกของแม่นาสิเกียงในไกวเจา

และที่บาทหลวงโรม*น

คาธอลคสองท่านทำพจนานุกรมไทยย่อยขั้นก็ด้วยจากถินน้

อยู่เล่มหนึ่งจ้อจากฮ่องกงรู้สึกว่าภาษาไทยย*อยต่างก*บภาษาอี่น ‘นุ ม แต่ว่าคงไม่ยากเกินไปที่จะเรียนพูดได้

สำเนียงไทยย*อยเหมือนคนใหญ

ที่ออกเสียง ร ได้อย่างช*คเจนน่าพง ๖. ไทยไท้ ด*งได้กล่าวแล*วว่าอยู่ในไกวเจา

ข*าพเจ*าไค้พบใน

ต*งเกี๋ยและกวางซีฅะว*นฅกอีก ภาษาไทยไท้ต่างจากที่พูดก*นในประเทศ ไทยมาก

แต่เมื่อข*าพเจ*าได้ไปในระหว่างไทยไท้เหล่านึ่ ก็สามารถ

ไทยเบ็๋นภาษากลางพูดก*นเข*าใจไค้

๗. ไทยนุง พบอยู่ในแคนเคียวก*บไทยไท้ และมีภาษาเหมือน

ก*น ไท้ และ นุง เบ็่นกำภาษาจีน หรืออย่างน*อยที่สดไท้ก็เบีนคำ แล*วจีนเลยเรียกหมายความรวมถึงไทยนุงดค้วย

ตามที่ข*าพเจ*าไค้อ่าน

หรือได้ยินมาว่าคำ ไท้ และ ท ซึ่งหมายถึง ดินหรือแคน นน ในภ

1ช๓๔

จีนเบ็นกนละกำ

และจีนใช้เรียกไทยในไกวเจา กวางซี และฅงเ

ฅอนเหนือซึงทไ3นีย่อมเบ็'นหล“ก^านสน*บสนุนขอืความที่ว่า เบนเจาของ ‘ดินแคน’ อยู่ก่อนแลำ

ส่วนจีนน*นเพื่งยกเขามาอยู่

ภายหล*งขาพเจ^าไค้ทราบจากมิสชํนรีประจำชาดิจีนผ้หนึ่งว่า นุง เบ็น ภาษาจีนหมายความว่า พ่อบำน แต่ขำพเจำสม*กรจะเชื่อว่า จีนคงเรียก ชือชาฅิเดิมของไทยผิดไปเบ็น นง แน่นอน ๘. ไทยชอง อยู่ในกวางซีฅะว*นออก จำนวนน้อย

ที่ขำพเจำพบนนเบ็!เ

และไม่ค่อยมีถอยกำของฅนเองใช้ในภาษา

สำเกฅดูต่างก*นก*บไทยโท้และไทยนุงเพียงเล็กน้อย

ขำพเจำเอง

และแปลกใจที

เหตุไรจึงมีร์อถูกฅองฅามทองถี่นที่อยู่มากกว่ามีภาษา ๙. ไทยจุง เท่านน

แห่งไกวเจา

ขำพเจำพบแต่คนหนึ่งหรือสองคน

ขำพเจำยำเขำใจว่าจีนคงเรียกชื่อเดิมผิดไปเหมือนเรียก

ไท

ชอง ไทยนุง และไทยลุงอีกน้นแหละ ๑๐. ไทยจีน เบ็๋นไทยลุ่มนายางสีในยนนานตอนเหนือ ขำพเจำ อย่ก*บพวกนึ่ ๒ เดอน

และสามารถประกาศส*งสอนและแปลหนำลือ

เบนภาษาจีนไค้ น้งที่ไค้บรรยายมานึ่นอกจากจะเบ็่นหน้าที่ทางศาสนาของขำพเจำ แลว

ขำพเจำยำมีเจตนาอย่างยี่งจะให้ท่านท"งหลายไค้มีส่วนร้ถึงส

ความเบ็'นอย่ของไทยที่แฅกแยกกี่งก’านสาขาออกไปทวทิศานุทิศ

1ชิ)๓

ขาพเจำไค้พยายามให้ท่านทํ้งหลายร้ซํก เกยเห็นมาแล'วค้วืยฅาของขท่พเจำเอง

ใจของข'าพเจำน*นปรารถนา

ถาเบนไปไค้ จะไค้เห็นไทยฅํ้งหลายสิบล'านนั้เดินเบึนกระบวนมโหห แล'วให้ท่านท*งหลายประ!ค้งสำเนียงเอ่ย นามอนใหญ่ยิง ทงหลาย เทอญ. 0^'

10๕®^

Get in touch

Social

© Copyright 2013 - 2024 MYDOKUMENT.COM - All rights reserved.