Basic English Flipbook PDF

Basic English

107 downloads 119 Views 4MB Size

Story Transcript

BASIC ENGLISH

Prepared by Nirinthana Preechawatcharatrakul

Content

CHAPTER 1 Introduction

CHAPTER 2 The Alphabet and Pronunciation

CHAPTER 3 Sentences , Phrases and Clauses

CHAPTER 4 Articles

CHAPTER 5 Basic Parts of Speech

CHAPTER 6 Nouns

Content

CHAPTER 7 Pronouns

CHAPTER 8 Adjectives

CHAPTER 9 Adverbs

CHAPTER 10 Modals Verbs

CHAPTER 11 Tenses



Chapter 1 Introductions

LANGUAGE LEARNING PYRAMID Writing Reading Speaking Listening

COMMON PROBLEMS FOR THAI PEOPLE 1.They lack confidence in their ability. 2.They are too shy to speak. 3.They don't want to make a fool of themselves. 4.Some people just hate making mistakes. 5.Some people are too impatient. 6.Some people just don't know how to start.

DON'T FORGET English will take you to a bigger world. You will have more opportunities and get to know lots of new friends and amazing people from around the world.

Chapter 2 The Alphabet and Pronunciation EACH LANGUAGE IS DIFFERENT EACH LANGUAGE HAS A DIFFERENT SOUND SYSTEM Examples: Peter Susan Robert Nathan Vow Van Fan Three Thanks Think Run Row Low Rice Lice Election Erection School Watch Wash Fish English

Chapter 3 Sentences , Phrases and Clauses

Sentence คือ ประโยคสมบูรณ์ประกอบด้วยส่วนหลักๆ คือ ประธาน กับ กริยา (ส่วนอื่นมีหรือไม่มีก็ได้) Ex. I love you. Clause (ประโยคย่อย/อนุประโยค) คือ ข้อความที่มีความหมาย สมบูรณ์ มีประธานและกริยาเหมือนกัน แต่จะต่างกันที่ clause จะ ต้องขึ้นต้นประโยคด้วยตัวเชื่อมต่างๆ เสมอ เช่น that, because, etc. Ex. Because I love you, I will buy you a ring. Phrases (วลี) คือ กลุ่มคำที่ประกอบด้วยคำต่าง ๆ ที่นำมาเรียง กันอย่างมีความหมายและทำหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งในประโยค ข้อสังเกต sentence และ clause เหมือนกันตรงที่ต้องมี subject & verb นอกนั้นเป็นส่วนขยาย จะมีหรือไม่มีก็ได้ sentence จะสมบูรณ์สามารถอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยว ในขณะ ที่clause ไม่สามารถอยู่ลอยๆได้ แต้องอยู่คู่กับsentenceเสมอ เพราะเวลาอยู่ลอยๆความหมายจะไม่สมบูรณ์ Sentence structures 1. Subject + Verb Ex. I am sleeping 2. Subject + Verb + Object Ex. I love you 3. Subject + Verb + Complement Ex. He looks good

Chapter 4 Articles

หลักการใช้ a ใช้ a ไว้คำนำหน้าคำนามทั่วไป ที่อยู่ในรูปเอกพจน์ และขึ้น ต้นด้วยพยัญชนะหรือออกเสียงพยัญชนะ ใช้นำหน้านาม ทั่วไป Ex. She is a teacher. A cat is sleeping.

หลักการใช้ an ใช้ an จะใช้ an นำหน้า คำนามที่ขึ้นต้นด้วย สระ (a, e, i, o, u) และนามที่มีคำอ่านเป็นเสียงสระ คือมี อ เป็น พยัญชนะต้น Ex. I have an umbrella. Jane is an honest girl.

หลักการใช้ the ใช้ The คือ ใช้นำหน้าคำนามที่ “เฉพาะเจาะจง” และ จะใช้ นำหน้าทั้งคำนามที่นับได้และนับไม่ได้ และใช้ได้กับทั้ง เอกพจน์และพหูพจน์ Ex. Where is the cat, honey? The coffee is very hot. Don’t touch it.

Chapter 5 Basic Parts of Speech

Noun - คำนาม

คำที่ใช้แทนชื่อคน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ต่างๆ เช่น book(หนังสือ), dog(สุนัข), Peter(ปีเตอร์) ,Thailand(ประเทศไทย)

Pronoun - คำสรรพนาม

คำที่ใช้แทนคำนามต่างๆ เช่น I(ฉัน), you(คุณ), we(พวกเรา), they(พวกเขา)

Verb - คำกริยา

คำที่ใช้แทนการกระทำต่างๆ เช่น do(ทำ), eat(กิน), play(เล่น), run(วิ่ง)

Adverb - คำกริยาวิเศษณ์

คำที่ใช้ขยายคำกริยา เพื่อบอกลักษณะการกระทำต่างๆ เช่น quickly(อย่างรวดเร็ว), easily(อย่างง่ายดาย), happily(อย่างมี ความสุข)

Adjective - คำคุณศัพท์

คำที่ใช้ขยายคำนาม เพื่อบอกลักษณะของคำนามต่างๆ เช่น beautiful(สวย), big(ใหญ่), tall(สูง)

Chapter 5 Basic Parts of Speech

Preposition - คำบุพบท

คำที่ใช้เชื่อมคำและกลุ่มคำเพื่อแสดงความสัมพันธ์ของคำและ ประโยค โดยทำหน้าที่ได้ทั้งเชื่อมสถานที่ เวลา และทิศทาง เช่น in(ใน), from(บน), by (โดย), under(ใต้)

Conjunction - คำสันธาน

คำที่ใช้เชื่อมกลุ่มคำและวลีเพื่อแสดงความสัมพันธ์ในประโยค ที่ สามารถทำให้ประโยคมีความหมายไปในทางเดียวกันและตรงข้าม กันก็ได้ เช่น and(และ), but(แต่), or(หรือ)

Interjection - คำอุทาน

คำที่ใช้แสดงอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งบางคำอาจไม่มีความหมาย ก็ได้ เช่น Wow!(ใช้เมื่อรู้สึกประหลาดใจ), Ew(ใช้เมื่อรู้สึก รังเกียจ), Aw(ใช้เมื่อรู้สึกเอ็นดู/เห็นใจ)

Preposition - คำบุพบท

Chapter 6 Nouns คำนาม (Noun) คือ คำที่ใช้เรียกแทนคน สัตว์ สิ่งของ สามารถแบ่งคำนามออกได้ตามประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ Proper Nouns (คำนามชี้เฉพาะ)

เป็นคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะของ Common Noun จะต้องขึ้นต้น ด้วยตัวใหญ่เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ใดของประโยค เช่น ชื่อคน (Person Name) เช่น Somsak, Tom, Daeng ชื่อสถานที่ (Place Name) เช่น Australia, Bangkok, Sukhumvit Road, Toyota ชื่อบอกระยะเวลา (Time name) เช่น Saturday, January, Christmas

Common Noun (นามทั่วไป)

เป็นคำนามที่ใช้เรียก คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ทั่วๆไป ความคิด โดยไม่เฉพาะเจาะจง กล่าวโดยสรุปคือ คำนามทั้งหลายที่ ไม่ใช่ proper nouns เป็น common nouns เช่น คน/สิ่งของ boy, sign, table, hill, water, sugar, atom, elephant สถานที่ city, hill, road, stadium, school, company เหตุการณ์ revolution, journey, meeting ความรู้สึก fear, hate, love เวลา year, minute, millennium

Chapter 6 Nouns

Common Nouns เป็นได้ทั้งนามนับได้ (Countable) และนามนับไม่ได้ (Uncountable) คำนามนับได้ (Countable Noun) เป็นคำนามที่สามารถ นับจำนวนได้ มี 2 รูป คือ เอกพจน์และพหูพจน์ - การใช้นามนับได้เอกพจน์ ต้องนำหน้าด้วย article ‘a/an’ a ใช้กับคำที่ขั้นต้นด้วยพยัญชนะ เช่น a book, a pencil, a cat, a table, a knife เป็นต้น an ใช้กับคำที่ขึ้นต้นด้วยสระ a, e, i, o, u เช่น an umbrella, an apple, an owl เป็นต้น - การใช้นามนับได้พหูพจน์อาจจะนำหน้าด้วย articles หรือ ไม่ก็ได้ เช่น I like to feed the birds. (เฉพาะเจาะจง ต้องมี articles ‘the) Cats are interesting pets. (ไม่เฉพาะเจาะจง ไม่ต้องมี article) I want those books on the table. (those เป็น determiners)

Chapter 6 Nouns

คำนามนับไม่ได้ (Uncountable Noun) เป็นคำนามที่ไม่ สามารถนับได้โดยใช้เลขบอกจำนวน เช่น rice, sugar, money, water เป็นต้น สามารถบอกได้ในรูปของภาชนะที่ ใช้เก็บสิ่งนั้น เช่น a cup of coffee, a bag of sugar, a bottle of Coke, a bowl of cereal เป็นต้น หรือใช้ some, any นำหน้าคำนามนับไม่ได้ เช่น Let’s listen to some music. Do you have any idea? หน้าที่และตำแหน่งของนาม 1. คำนามทำหน้าที่เป็นประธาน (subject) จะอยู่ต้นประโยค เช่น My boss bought a new lamborghini for his wife. **My boss เป็นประธาน 2. คำนามทำหน้าที่เป็นกรรม (object) จะตามหลังกริยา เช่น My boss bought a new lamborghini for his wife. **a new lamborghini เป็นกรรม 3. คำนามต้องตามหลัง article (a, an, the) เช่น a car, an apple, The boy 4. ถ้ามีการแสดงความเป็นเจ้าของ คำนามจะตามหลัง Possessive adjective และ ’s เสมอ เช่น My boss, his cat, John's book 5. ถ้าในประโยคมีคำคุณศัพท์ (adjective) คำนามจะตาม หลังคำคุณศัพท์เสมอ เช่น new car, blue dress 6. คำนามจะอยู่หลังคำบุพบท (Preposition) เสมอ เช่น My boss bought a new lamborghini for his wife. ** for เป็น Preposition ตามหลังด้วยคำนาม wife ที่ตาม หลังสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ his

Chapter 7 Pronouns Pronoun (คำสรรพนาม) คือคำที่ใช้แทนคำนาม เพื่อหลีก เลี่ยงการกล่าวถึงซ้ำ หรือแทนสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วระหว่างผู้พูด ผู้ฟัง หรือแทนสิ่งของที่ยังไม่รู้ หรือไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร ประเภทของคำสรรพนาม Personal Pronoun (บุรุษสรรพนาม) คือสรรพนามที่ใช้แทนบุคคลหรือสิ่งของในการพูดสนทนา มี 3 บุรุษ คือ บุรุษที่ 1 คือ ตัวผู้พูด บุรุษที่ 2 คือ ตัวผู้ฟัง บุรุษที่ 3 คือ ผู้ที่พูดถึงหรือสิ่งที่พูดถึง หน้าที่และการใช้งาน Personal Pronoun Subject Pronoun (สรรพนามรูปประธาน) ทำหน้าที่เป็น ประธาน ได้แก่ I, you, we, he, she, it, they ex. She is my friend from England. (เธอเป็นเพื่อนของฉันมาจากอังกฤษ) Object Pronoun (สรรพนามรูปกรรม) ทำหน้าที่เป็น กรรม ได้แก่ me, you, us, them, him, her, it โดยจะ ตามหลังคำกริยาหรือคำบุพบท ex. Mr.Wilson talked with him about the project. (คุณวิลสันพูดกับเขาเกี่ยวกับโครงการ) * him เป็น Object Pronoun ตามหลังบุพบท with

Chapter 7 Pronouns

Possessive Form สรรพนามที่แสดงความเป็นเจ้าของ แบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ Possessive Adjective สรรพนามใช้แสดงความเป็นเจ้าของ ทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์ ได้แก่ my, your, our, their, his, her, its จะต้องตามหลังด้วยคำนามเสมอ ex. My brother is an engineer. (น้องชายเขาฉันเป็นวิศวกร) Possessive Pronoun สรรพนามที่ใช้แทนคำนามเพื่อแสดง ความเป็นเจ้าของ ได้แก่ mine, yours, his, hers, its, yours, ours, theirs รูปแบบนี้ไม่ต้องมีคำนามตามหลัง สามารถใช้เดี่ยว ๆ ได้เลย ex. This iPad is mine. (ไอแพดเครื่องนี้คือของฉัน)

Chapter 7 Pronouns

Reflexive Pronouns (สรรพนามตนเอง)

คือ สรรพนามที่อ้างถึงตัวของประธานของประโยคเอง และ ถูกนำมาใช้เป็นกรรมของประโยคเพื่อเน้นว่าตัวประธานนั้นทำ กริยาบางอย่างต่อตัวเอง (Direct Object) หรือทำกริยา หรือกิจกรรมบางอย่างนั้นให้ตัวเอง (Indirect Object) ได้แก่ myself, yourself, himself, herself, yourselves, ourselves. themselves, itself จะใช้รูป -self หรือ -selves ขึ้นอยู่กับว่าประธานเป็นรูปเอกพจน์ (Single Subject) หรือว่าพหูพจน์ (Plural Subject) ex. I have some food on the table. You can help yourselves if you are hungry. (ฉันมีอาหารวางอยู่บนโต๊ะ ถ้าพวกเธอหิวเธอจัดการตัวเองได้ เลย)

Definite Pronoun (สรรพนามชี้เฉพาะ เจาะจง)

คือ สรรพนามที่บ่งชี้ชัดเจนว่าใช้แทนสิ่งใด เช่น this, that, these, those, one, ones, such, the same, the former, the latter ex. I will never forget this. (ฉันจะไม่ลืมเรื่องนี้เลย)

Chapter 7 Pronouns

Indefinite Pronoun (สรรพนามไม่เจาะจง)

คือคำสรรพนามที่ไม่ชี้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นคนใด สิ่งใด หรือที่ใด โดยสรรพนามประเภทนี้ส่วนมากนับเป็นเอกพจน์ (singular) แต่ก็มีบางคำเป็นพหูพจน์ (plural) ด้วย เช่น one, all, some, any, somebody, something, someone, many, both ex. Everybody is here for celebrating Christmas Day together. (ทุกคนมาฉลองวันคริสมาตส์ด้วยกัน)

Relative pronoun (สรรพนามเชื่อมความ)

สรรพนามที่ใช้แทนคำนามในประโยคหน้าและความประโยคหลังให้ มีความหมายไปทางเดียวกัน ได้แก่ Who, Whom, Whose, Which, That ex. There is a boy who is running in the park. (มีเด็กผู้ชายที่กำลังวิ่งอยู่ในสวน)

Interrogative Pronoun (สรรพนามคำถาม)

ช้ในการตั้งคำถาม เช่น Who, Which, What ex. What is your name? (คุณชื่ออะไร)

MUST REMEMBER

Chapter 8 Adjectives

คุณศัพท์ (Adjectives) เป็นคำที่ใช้ทำหน้าที่ขยายคำนาม หรือคำสรรพนาม (ถ้านำไปขยายสรรพนามต้องอยู่หลังตลอด ไป) เพื่อทำให้เห็นทราบรายละเอียดของคำนามหรือคำ สรรพนามเพิ่มเติม

ชนิดของคุณศัพท์ คุณศัพท์ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 11 ชนิด คือ 1. คำคุณศัพท์บอกลักษณะ (Descriptive Adjective) เป็น คำที่ใช้ลักษณะหรือคุณภาพของคนสัตว์ สิ่งของและสถานที่ เช่น bad เลว, ไม่ดี blue สีฟ้า brave กล้าหาญ clever ฉลาด cowardly ขี้ขลาด, ไม่กล้า fat อ้วน foolish โง่ good ดี poor จน pretty น่ารัก rich ร่ำรวย shot สั้น, เตี้ย sorry เสียใจ, โศกเศร้า thin ผอม Ex. The poor man lives in the old house. (คนจนอยู่ใน บ้านเก่าๆ) The black cat caught a small rat last night. (แมวดำ นั้นจับหนูได้หลายตัวเมื่อคืนก่อน)

Chapter 8 Adjectives

2. คุณศัพท์บอกสัญชาติ (Proper Adjective) เป็นคำที่ไปขยาย นามเพื่อบอกสัญชาติ ซึ่งอันที่จริงมีรูปเปลี่ยนมาจากคำนามเฉพาะ (Proper noun) เช่น

Ex. I like Chinese food but he likes Korean food. (ฉันชอบอาหารจีนแต่เขาชอบอาหารเกาหลี) 3.คำคุณศัพท์บอกปริมาณ (Quantitive Adjective) เป็นคำที่ ไปขยายนาม เพื่อบอกให้ทราบปริมาณของสิ่งเหล่านั้นว่า มีมาก หรือน้อย (แต่ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน)ได้แก่ much, many, little, some, any, enough, half, great, all, whole, sufficient Ex. He drank much milk at home yesterday. (เขาดื่มนมมากที่บ้านเมื่อวานนี้)

Chapter 8 Adjectives

4. คำคุณศัพท์บอกจำนวนแน่นอน (Numberal Adjective) เป็นคำที่ไปขยายนาม เมื่อแสดงจำนวนที่ แน่นอนของนามนั้น แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ 4.1 คุณศัพท์ที่ใช้บอกจำนวนนับ เช่น one, two, three, four, five, six, seven (ดูรายละเอียดได้ที่ห้วข้อการอ่านจำนวน) Ex. I have five friends in this group. (ฉันมีเพื่อนอยู่ 5 คนในกลุ่มนี้) 4.2 คำคุณศัพท์ที่ใช้บอกลำดับ เช่น first, second, third, fifth, sixth, seventh Ex. Joy is the first girl to be rewarded in our class. (จอยเป็นเด็กผู้หญิงคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้) 4.3 คุณศัพท์บอกตัวคูณหรือพหูคูณของนาม เช่น double(2 เท่า), triple(3 เท่า), fourfold (4 เท่า) You got double bonus. คุณได้รับโบนัส 2 เท่า

Chapter 8 Adjectives

5. คุณศัพท์ชี้เฉพาะ (Demonstrative adjective) ได้แก่ this (ใช้กับนามเอกพจน์ ที่อยู่ใกล้มือ) that (ใช้กับนามเอกพจน์ ที่อยู่ไกลมือ) these (ใช้กับนามพหูพจน์ ที่อยู่ใกล้มือ) those (ใช้กับนามพหูพจน์ ที่อยู่ไกลมือ) such, same Ex. That man is my father. (ผู้ชายคนนั้นเป็นพ่อของฉัน) 6. คุณศัพท์บอกคําถาม (interrogative adjective) ใช้ขยาย คำนามเพื่อให้เป็นคําถามโดยจะวางไว้ ต้นประโยคและอยู่หย้าคำ นามเสมอ ได้แก่ what, which, whose Ex. What music is he listening in the room? (เขากําลัง ฟังเพลงอะไรอยู่ในห้อง) 7. คุณศัพท์แสดงความเป็นเจ้า (Possessive adjective) เช่น my ของฉัน your ของคุณ our ของพวกเรา his ของเขา her ของเธอ its ของมัน their ของพวกเขา, ของพวกมัน Ex. Her pencils are on his desk. (ดินสอของเธออยู่บนโต๊ะ ของเขา)

Chapter 8 Adjectives

8. คุณศัพท์แบ่งแยก (Distributive adjective) เป็นคําคุณศัพท์ที่ไปขยายนาม มีความหมายในลักษณะเพื่อแยก นามออกจากกันเป็น อันหนึ่ง หรือส่วนหนึ่งได้แก่ each แต่ละ every ทุกๆ either ไม่อันใดก็อันหนึ่ง neither ไม่ทั้งสอง Ex. Every student has his bicycle. (นักเรียนทุกคนมี จักรยานเป็นของตัวเอง) 9. คุณศัพท์เน้นความ (Emphasizing Adjective) เป็น คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อเน้นความให้มีนำหนักขึ้น เช่น own เอง very ที่แปลว่า นั้น,นั้นเอง,นั้นจริงๆ Ex. She can buy her own house. (เธอสามารถซื้อบ้าน เป็นของตัวเองได้) 10. คุณศัพท์บอกอุทาน (Exclamatory Adjective) ได้แก่ what (อะไรเช่นนี้) Ex. What a good idea it is! (มันเป็นความคิดที่ดี อะไรเช่นนี้) 11. คุณศัพท์บอกความสัมพันธ์ (Relative Adjective) เป็นคำ คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามที่ตามหลังและในเวลาเดียวกันก็ยังทําหน้าที่ คล้ายส้นธานเชื่อมความในประโยคของตัวเองกับประโยคข้างหน้า ให้สัมพันธ์กันอีกด้วย ได้แก่ What (อะไรก็ได้), whichever (อันไหนก็ได้) Ex. I will take whichever book you do not want. (ฉันจะนําเอาหนังสือเล่มที่คุณไม่ต้องการ)

Chapter 8 Adjectives

ตำแหน่งของคำคุณศัพท์

เราสามารถเขียนคำคุณศัพท์ในตำแหน่งต่างๆของประโยคได้ดังนี้ 1. เขียนไว้หน้าคำนามที่มันไปขยายโดยตรงได้ เช่น The fat man is walking slowly. (ชายอ้วนคนนั้นกำลังเดิน อย่างช้า) 2. เขียนไว้หลัง Verb to be The weather is hot. อากาศร้อน She is very tall. เธอสูงมาก 3. ไว้หลังคำกริยาเหล่าซึ่งสามาถใช้แทน verb to be ได้ เช่น look, feel, seem, get, taste, smell, turn, go, appear, keep, become, sound เช่น Sugar tastes sweet. (น้ำตาลมีรสหวาน) 4. เขียนไว้หลังคำนามที่ไปทำหน้าที่เป็นกรรมได้ ทั้งนี้เพื่อให้ความ หมายของประโยคสมบรูณ์ขึ้น เช่น He always makes his wife happy. (เขามักจะทำให้ภรรยาของเขาให้มีความสุขเสมอ) 5. เขียนคำคุณศัพท์ไว้หลังคำนามได้ ไม่ว่านามนั้นจะทำหน้าที่ เป็นอะไรก็ตาม ถ้า Adjective ตัวนั้นมีบุพบทวลี มาขยายนาม ตามหลัง เช่น The document sent by messenger will reach him this afternoon. (เอกสารที่คนส่งเอกสารส่งมาจะมาถึงคุณบ่าย นี้)

Chapter 9 Adverbs Adverb หรือ คำกริยาวิเศษณ์ ทำหน้าที่ในการขยาย verb (คำ กริยา), adjective (คำคุณศัพท์) หรือ adverb (คำกริยา วิเศษณ์) ด้วยกันเอง ส่วนมากแล้ว Adverb จะเกิดจากการนำ Adjective มาเติม –ly (แต่ก็ไม่เสมอไปนะครับ) เช่น careful เป็น Adjective แปลว่า ระมัดระวัง เมื่อนำมาเติม –ly จะกลายเป็น carefully ซึ่งเป็น Adverb แปลว่า อย่างระมัดระวัง Adverb สามารถแบ่งเป็น ประเภทต่าง ๆ ได้ 5 ประเภท ดังต่อไปนี้ 1. Adverb of Manner คือ คำที่ใช้อธิบายลักษณะ ท่าทาง อาการ เช่น He speaks softly. (เขาพูดอย่างนุ่มนวล) 2. Adverb of Place คือ คำที่ใช้บอกสถานที่ หรือคำที่ให้ความ หมายเกี่ยวกับสถานที่ เช่น Please come here. (กรุณามาที่นี่) 3. Adverb of Time คือ คำที่ใช้บอกเวลา เช่น I saw her yesterday. (ฉันเห็นเธอเมื่อวาน) 4. Adverb of Frequency คือ คำที่ใช้บอกถึงความถี่ เช่น She often goes to the party. (เธอไปสังสรรค์บ่อยๆ) 5. Adverb of Degree คือ คำที่ใช้บอกว่าอยู่ในระดับไหน หรือ ใช้เน้นย้ำ เช่น English is quite difficult. (ภาษาอังกฤษค่อนข้างจะยาก)

MUST REMEMBER

Chapter 10 Modals Verbs

Modal Verbs คือ กริยาช่วย Modal Verbs ต่างจาก verb ปกติอย่างไร? 1. Modal Verbs ไม่ต้องเติม s ไม่ว่าประธานจะเป็นตัวไหน Ex 1. I will visit Japan next year. Ex 2. She can speak Italian. 2. สามารถทำเป็นประโยคปฏิเสธหรือประโยคคำถามได้เลยโดยไม่ ต้องใช้กริยาช่วยตัวอื่น เช่น do, does Ex 1. Students can’t enter this room. Ex 2. Can you pass me the sugar? 3. หลัง Modal Verbs ต้องตามด้วย infinitive verbs (verb รูปธรรมดาที่ไม่เติม -ing, -ed, to, s หรือ es) Ex 1. I should arrive by lunch time. Ex 2. You must study hard.

MUST REMEMBER

Chapter 11 Tenses Past = อดีต Present = ปัจจุบัน Future = อนาคต โดยแต่ละช่วงเวลาแบ่งเป็น 4 แบบและมีโครงสร้างประโยค รวมถึงหลักการใช้ที่แตกต่างกันดังนี้ Past Tenses ใช้เล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต มี 4 แบบ คือ Past Simple Tense หลักการใช้ : ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วและจบแล้วในอดีต โครงสร้าง : S + V2 ข้อสังเกต : yesterday, in the past, last + day/month/year, in + ช่วงเวลาในอดีต เช่น in 1989 Past Continuous Tense หลักการใช้ : ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต โครงสร้าง : S + was/were + V.ing ข้อสังเกต : at this time yesterday, at that moment, at this time in the past Past Perfect Tense หลักการใช้ : ใช้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเหตุการณ์ใน อดีตเหตุการณ์หนึ่ง โครงสร้าง : S + had + V3 ข้อสังเกต : by the time, before, after, when, before last week, by….o’clock yesterday และที่สำคัญ Past Perfect จะใช้คู่กับ Past Simple เสมอ Past Perfect Continuous Tense หลักการใช้ : ใช้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดอย่างต่อเนื่องและเกิดขึ้น ก่อนอีกเหตุการณ์หนึ่งในอดีต โครงสร้าง : S + had + been + V.ing ข้อสังเกต : for, since, how long, before, after

Chapter 11 Tenses Present Tenses ใช้เล่าถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน มี 4 แบบ Present Simple Tense หลักการใช้ : ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดในปัจจุบัน, ทำเป็นประจำ, เป็น จริงทางวิทยาศาสตร์ โครงสร้าง : S + V1 (s, es) ข้อสังเกต : always, usually, often, never, today, nowadays, every + day/month/year, normally, habitually, naturally Present Continuous Tense หลักการใช้ : ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน โครงสร้าง : S + V. to be + V.ing ข้อสังเกต : now, right now, at this moment, at the moment, at present Present Perfect Tense หลักการใช้ : เล่าเหตุการณ์ที่เกิดในอดีตและดำเนินมาถึงปัจจุบัน หรือส่งผลถึงปัจจุบัน โครงสร้าง : S + have/has + V3 ข้อสังเกต : since, for, just, yet, already, never, ever Present Perfect Continuous Tense หลักการใช้ : ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน โครงสร้าง : S + have/has + been + V.ing ข้อสังเกต : for an hour, for a week, for a long time, for….years, all day, all morning, since, how long

Chapter 11 Tenses Future Tenses ใช้เล่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มี 4 แบบ คือ Future Simple Tense หลักการใช้ : ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วไปในอนาคต โครงสร้าง : S + will + V1 ข้อสังเกต : tomorrow, next week/month/year, soon Future Continuous Tense หลักการใช้ : ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต โครงสร้าง : S + will + be + V.ing ข้อสังเกต : at…(time)…tomorrow, at this time tomorrow Future Perfect Tense หลักการใช้ : ใช้เล่าถึงเหตุการณ์ที่จะทำเสร็จสมบูรณ์ ณ เวลา หนึ่งในอนาคต โครงสร้าง : S + will + have + V3 ข้อสังเกต : by the end of this year, by this time tomorrow, in….years time, in…(month)…next year Future Perfect Continuous Tense หลักการใช้ : ใช้เล่าถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่จะได้ทำไปแล้วเป็น ระยะเวลาหนึ่งและกำลังทำอยู่ โครงสร้าง : S + will have + been + V.ing ข้อสังเกต : for, by, the time

MUST REMEMBER

MUST REMEMBER

ENGLAND

Get in touch

Social

© Copyright 2013 - 2024 MYDOKUMENT.COM - All rights reserved.